ถึงแม้เขาจะดูอบอุ่น อ่อนโยน แต่อย่างไรฐานะทางสังคมของเขาก็สูงมาก เธอไม่สามารถมองโม่ไป๋ให้เป็นแฟนธรรมดาๆ คนหนึ่งได้เลยพักหลังพอรู้จักกันนานเข้า อาจเป็นเพราะเธอเป็นเพื่อนสนิทของเสิ่นหยินอู้ ดังนั้นโม่ไป๋เลยปฏิบัติตัวดีกับเธอมาก มีอะไรดีๆ ก็จะซื้อมาฝากเธอด้วยเสมอนานเข้าๆ โจวชวงชวงก็กลายเป็นพรรคพวกของโม่ไป๋ แถมมักจะพูดแทนโม่ไป๋ด้วยบวกกับเธอรู้สึกว่าโม่ไป๋เป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่งจริงๆเขาอยู่เคียงข้างเสิ่นหยินอู้มาตลอดระยะเวลาห้าปีมิหนำซ้ำ ตลอดห้าปีมานี้ ไม่มีเรื่องผู้หญิงคนอื่นเข้ามาเลยผู้ชายที่ซื่อสัตย์ขนาดนี้ บนโลกนี้คงมีแต่โม่ไป๋คนเดียวแล้วมั้ง?อีกอย่างเขายังไม่ถือสาที่เสิ่นหยินอู้เคยแต่งงานมีลูกด้วย ทั้งยังรักและเอ็นดูลูกทั้งสองของหล่อนด้วยถ้าแบบนี้ไม่ใช่ความรัก…“เอาอะไร?”เสิ่นหยินอู้เดินออกมาจากห้องครัวพอดี และได้ยินเพียงคำพูดประโยคหลังเท่านั้น ประโยคหน้าไม่ได้ยินโจวชวงชวงกระแอมเบาๆ แล้วโกหกหน้านิ่ง “จะเอาอะไรได้อีกเล่า? ต้องเอาโปรเจกต์นี้ไว้ให้ได้น่ะสิ”โม่ไป๋เดินเข้าไปรับจานจากเธอ “ฉันช่วย”เสิ่นหยินอู้ปล่อยมือ“ถึงเวลากินข้าวแล้ว พวกเธอยังคุยเรื่องงานกันอีก?”
หลังจากกินข้าวเสร็จ โม่ไป๋ถกแขนเสื้อขึ้น “เดี๋ยวฉันล้างเอง”“ไม่ต้อง เก็บแล้วใส่เข้าไปในเครื่องล้างจานก็พอแล้ว”แต่น่าเสียดาย เพราะการกระทำของโม่ไป๋รวดเร็วเกินไป เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็ยกถ้วยไปแล้วโจวชวงชวงเห็นก็อดไม่ได้เยาะเย้ยขึ้น“พอได้แล้วหยินอู้ เขาอยากทำก็ปล่อยเขาทำไปเถอะ ถ้าเธอไม่อนุญาต แล้วเขาจะทำคะแนนยังไงเล่า?”“นั่นน่ะสิ” โม่ไป๋สำทับ “ให้ฉันได้ทำคะแนนสักหน่อยเถอะ”พูดขนาดนี้แล้ว เสิ่นหยินอู้ก็พูดอะไรต่อไม่ได้ จึงมอบสิ่งที่ต้องทำที่เหลือให้กับโม่ไป๋ทำเองทั้งหมดจนกระทั่งถึงเวลาพัก ทั้งๆ โจวชวงชวงมีที่นอนในห้องรับแขกอยู่แล้ว แต่เธอก็จะหยิบหมอนไปนอนเบียดกับเสิ่นหยินอู้บริเวณนอกหน้าต่างฝนกำลังตกปรอยๆ อุณหภูมิในห้องก็ลดลงไม่น้อยแต่เมื่อทั้งสองนอนเบียดด้วยกันจึงทำให้อุณหภูมิใต้ผ้าห่มนั้นสูงขึ้น“ฉันจำได้ว่าสมัยเรียน ฉันจะแอบไปนอนที่บ้านเธอบ่อยๆ แต่ว่าตอนนั้นเตียงบ้านเธอใหญ่มาก ตอนนั้นฉันคิดตลอดเลยว่าเตียงบ้านคนรวยนี่มันใหญ่ขนาดนี้กันหมดเลยเหรอ?”เมื่อเอ่ยถึงเรื่องอดีต เสิ่นหยินอู้ก็อยากหัวเราะขึ้นมา“พ่อคงกลัวว่าฉันจะตกเตียงล่ะมั้ง ก็เลยสั่งทำเตียงนอนให้ต
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้วคัดค้าน“แต่ว่าความรู้สึกไม่ได้ดูที่เรื่องพวกนี้สักหน่อย”“แล้วดูที่เรื่องอะไรล่ะ? เธอลองบอกมาซิ?” เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ โจวชวงชวงพลันหัวเราะ “หรือไม่เธอก็พูดมาเลยดีกว่าว่าห้าปีมานี้ เธอมีคนที่ชอบไหม? เพราะคนที่ชอบเธอไม่ได้มีแค่โม่ไป๋คนเดียว”เสิ่นหยินอู้ “ชวงชวง ฉันมีลูกแล้ว ไม่อยากไปคิดเรื่องพวกนั้น”“แต่ว่าคนพวกนั้นไม่ได้ถือสาที่เธอมีลูกนี่ โม่ไป๋เขาเลี้ยงดูเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนเหมือนลูกของตัวเองเลยนะ”“อืม ฉันรู้ว่าฉันติดค้างเขามาก”ชาตินี้ อาจจะชดใช้ไม่หมดเลยก็ได้“เฮ้อ ถ้าฉันเป็นโม่ไป๋แล้วได้ยินคำนี้เข้า ฉันคงเสียใจแย่” โจวชวงชวงรู้สึกเจ็บใจแทนโม่ไป๋ “ฉันรู้สึกว่าเขาไม่เลวเลยนะ หน้าตาก็ดี ฐานะก็เลิศ ที่สำคัญยังซื่อสัตย์มากด้วย ไม่มีผู้หญิงคนอื่นเลย มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น ถ้าเธอชอบเขา รับรองว่าชีวิตของเธอต้องมีความสุขมากแน่ๆ”“ชวงชวง…”“โอเคๆ ไม่ว่าโม่ไป๋จะดีกับเธอแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะหน้าตาดีขนาดไหน เธอต้องเชื่อเสมอว่าฉันอยู่ข้างเธอ ไม่ว่ายังไงก็ตาม และก็เพราะรู้สึกว่าเขาเป็นคนดี ก็เลยแนะนำให้เธอลองคิดดู แต่ถ้าเธอไม่ชอบจริงๆ ก็ไ
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ฉินเย่ก็นึกถึงแม่ของเหมิงเหมิงและเหนียนเหนียนที่ก่อนหน้านี้ได้ติดต่อเข้ามา แต่เพราะว่าเขาไม่ได้ตอบกลับจึงขาดการติดต่อไปเพราะว่าเขาไม่รับเงินที่ส่งของขวัญให้ เลยกลัวว่าหากไลฟ์ต่อไป เขาจะส่งของขวัญให้อีกงั้นเหรอ?ก็เลยหยุดไลฟ์?ถ้าหาก…เขาส่งเลขบัญชีไปล่ะ?ฉินเย่ชอบเด็กสองคนนี้จริงๆ ถึงแม้พวกเขาจะไลฟ์ไม่บ่อยนัก แต่ก็สามารถทำลายความมืดมนในใจเขาได้เด็กสองคนนี้น่ารักมาก แถมหนึ่งปีมานี้ การดูพวกเขาไลฟ์นั้นได้กลายเป็นความคุ้นเคยของเขาไปแล้วเขาเองก็ยังไม่เจอเรื่องอื่นที่สามารถช่วยบรรเทาจิตใจของเขาได้เช่นกันหากพวกเขาหยุดไลฟ์เพราะเรื่องนี้…ชั่วขณะหนึ่ง ในสมองของฉินเย่ก็มีความคิดวิธีแก้ต่างๆ มากมายผุดขึ้นแต่ทว่าไม่ปล่อยให้เขาได้คิดมากนาน เหนียนเหนียนก็ได้แก้คำพูดของเหมิงเหมิงใหม่“ไม่ใช่ว่าไม่ไลฟ์แล้วครับ แต่ว่าช่วงนี้พวกผมต้องย้ายบ้าน ก็เลยยังไม่ได้ไลฟ์จนกว่าจะย้ายบ้านเสร็จครับ”“อืม” เสิ่นเหมิงเหมิงพยักหน้า “พวกหนูจะย้ายบ้านค่ะ”ฉินเย่ที่ได้ยินว่าพวกเขาเพียงแค่จะย้ายบ้าน แต่ไม่ได้จะหยุดไลฟ์ โล่งใจไปเฮือกหนึ่งโชคดีที่แค่ย้ายบ้านเขากดเข้าไปในหน้าบั
มีแม่ฉินคอยหนุนหลังให้ตนแล้วหลี่มู่ถิงยังจะกลัวอะไรอีก? แบบนี้ก็ต้องทำเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือรีบให้ประธานฉินกินยาสิ?ที่สำคัญคือเพียงแค่กำชับให้กินยาเฉยๆ ยังมีงานควบให้ทำอีก นี่มันเยี่ยมจริงๆ“ประธานฉินครับ ถ้าคุณไม่กินยา เดี๋ยวคุณหญิงฉินโทรมาจะอธิบายยากนะครับ”สิ้นเสียง หลี่มู่ถิงพลันรู้สึกถึงรังสีเย็นชากำลังจ้องมาที่ตนอยู่เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบและในขณะนั้นเองเขาถึงจะเข้าใจว่าแม้จะมีแม่ฉินสนับสนุน แต่ไม่ว่ายังไงฉินเย่ก็เป็นลูกชายของแม่ฉิน หากตนอวดดีเกินไปถึงตอนนั้นคนที่เสียเปรียบจะเป็นตนแน่นอนแต่ว่าการกระทำต่อจากนี้ของฉินเย่กลับทำให้เขาอึ้งเพราะเขากินยาต่อหน้าเขา ซ้ำยังดื่มน้ำอุ่นแก้วนั้นจนหมดด้วย จากนั้นก็วางแก้วลงบนโต๊ะเสียงดังปัง“พอใจยัง?”หลี่มู่ถิงได้รู้สึกตัว รีบพยักหน้าหงึกๆ พลางตอบว่าพอใจแล้วพลางเดินออกไปหลังจากที่เขาออกไปแล้ว ฉินเย่ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูหน้าต่างที่ขึ้นว่าไลฟ์สิ้นสุดแล้ว จากนั้นเม้มริมฝีปากเบาๆไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะไลฟ์อีกเมื่อไหร่หวังว่าจะกลับมาไลฟ์เร็วๆ อย่าช้าเกินไปล่ะ_“ไลฟ์เสร็จแล้วเหรอจ๊ะ?” เสิ่น
ที่สำคัญคือ เธอรู้สึกว่าพ่อของตนอยู่คนเดียวมานานแล้ว กว่าจะมีคนที่ถูกใจเข้ามาได้นั้นไม่ง่าย หากเธอไปขัดขวางคงจะโหดร้ายกับเขาน่าดูผู้หญิงคนนั้นเองก็รุกมากหลังจากที่เธอรู้เรื่องของพวกเขาทั้งสอง หล่อนก็มาพูดคุยกับเธอตามลำพัง แล้วบอกเธออย่างระมัดระวังตัวว่า“คุณหนูเสิ่นคะ ฉันได้ฟังเรื่องราวของครอบครัวคุณจากพ่อคุณมาบ้างแล้ว ครอบครัวของพวกคุณพิเศษมาก ฉันสัญญาว่าฉันไม่หวังทรัพย์สินเงินทองอะไรจากเขาแน่นอน แต่ถ้าคุณไม่ไว้ใจฉัน ฉันสามารถเซ็นสัญญากับคุณได้ รับรองว่าฉันจะไม่เอาของอะไรจากตระกูลเสิ่นไปสักอย่า สัญญาฉบับนี้เรารู้กันแค่สองคน คนอื่นจะไม่รู้”“เซ็นสัญญา? ได้สิ งั้นก็เซ็นเลย”ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงให้ฝ่ายกฎหมายของบริษัทโม่ไป๋ร่างสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ แล้วนำไปให้ผู้หญิงคนนั้นเซ็นผู้หญิงคนนั้นเซ็นทันทีโดยไม่อ่านสัญญาดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงหยุดการกระทำของเธอไว้“ไม่อ่านให้ชัดเจนก่อนก็เซ็นแล้ว ไม่กลัวว่าหนูจะเอาเปรียบเลยเหรอ?”ผู้หญิงคนนั้นยิ้มตอบ “เหล่าเสิ่นเป็นคนดี คุณเป็นลูกสาวของเหล่าเสิ่นย่อมไม่มีทางเอาเปรียบฉันแน่นอน”ท่าทีอารมณ์ของอีกฝ่ายทำให้เสิ่นหยินอู้ชื่นชม เธอเองก็ไม่อ
หลังจากที่ฟู่เซียงอุ้มเสิ่นเหมิงเหมิงแล้ว ก็ยื่นมือไปบีบแก้มของเสิ่นซือเหนียน หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าตนไม่ได้ละเลยเขาแล้วถึงจะหันไปพูดกับเสิ่นหยินอู้ว่า “ข้างนอกลมแรง เราเข้าไปกันเถอะ”“ค่ะ”เสิ่นหยินอู้ตามฟู่เซียงเข้าไปด้านในฟู่เซียงเดินไปด้วยพูดไปด้วย “พ่อเราเพิ่งขึ้นไปอาบน้ำน่ะ บอกเขาหลายครั้งแล้วว่าอย่าอาบน้ำทันทีหลังกินข้าวเสร็จ แต่เขาไม่ฟัง”เมื่อได้ฟังหล่อนบ่นเรื่องชีวิตประจำวันให้ฟังแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ยกมุมปากขึ้น“ดูแลพ่อหนู น้าฟู่ต้องลำบากมากแน่นอน”ได้ยินดังนั้น ฟู่เซียงก็รีบอธิบายแทนพ่อเสิ่น“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก มีเรื่องมากมายที่พ่อเราเป็นคนทำเองหมด ในทางกลับกัน น้าคิดว่าเขากำลังดูแลน้าอยู่ด้วยซ้ำ”“ดูแลกันและกันก็ดีเหมือนกันค่ะ”ฟู่เซียงหันไปมองเธอ แล้วยิ้มให้กับเธอ จากนั้นค่อยวางเสิ่นเหมิงเหมิงลง“เดี๋ยวน้าขึ้นไปตามพ่อหนูให้ บอกให้เขาอาบเร็วหน่อย”“ไม่เป็นไรค่ะน้าฟู่ วันนี้พวกหนูเองก็ไม่รีบกลับด้วย”ได้ยินดังนั้น ดวงตาของฟู่เซียงเป็นประกาย“คืนนี้นอนที่นี่ไหม?”เสิ่นหยินอู้หันไปหาเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียน“ว่ายังไง คุณยายถามว่าพวกหนูสองคนอยากนอนที่นี่ไหม?”
ความจริงเสิ่นหยินอู้ไม่เคยคิดจะให้พ่อทิ้งอะไรไว้ให้ตนเลยแต่พอได้ยินเขาบอกว่าบริษัททุกอย่างเป็นของเธอหมด ในใจก็ซาบซึ้งมาก“ฉะนั้น ไม่ต้องกลับประทงประเทศแล้ว อยู่ช่วยพ่อดูแลบริษัทที่นี่แหละ”ถึงแม้จะซาบซึ้ง แต่เสิ่นหยินอู้กลับเลิกคิ้ว “ไม่ได้ค่ะ”พ่อเสิ่นได้ยินก็รู้สึกมึนงง“ทำไมล่ะ? นั่วนั่ว ตอนนี้ลูกมีลูกสองคน แล้วยังจะไปเปิดบริษัทอีก เหนื่อยมากเลยนะ”“หนูรู้ค่ะ แต่ในขณะเดียวกันก็จะรู้สึกประสบความสำเร็จ พ่อคะ หนูอยากเปิดบริษัทจริงๆ ค่ะ”เธออยากพึ่งตัวเอง และทำให้ลูกทั้งสองได้มีชีวิตที่ดีเสิ่นหยินอู้ไม่รู้ว่าพ่อแม่คนอื่นคิดยังไง แต่สำหรับเธอ เธอคิดว่าไหนๆ เป็นพ่อเป็นแม่แล้วในเมื่อเธอมีความสามารถที่จะทำให้ลูกทั้งสองคนมีชีวิตที่ดีได้ ถ้างั้นทำไมเธอถึงไม่พยายามล่ะ?เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เดินอ้อมมายังข้างๆ พ่อเสิ่น แล้วกอดคอพ่อเสิ่นเหมือนตอนเด็ก “อีกอย่างที่สำคัญคือ ตอนนี้บริษัทของพ่อกำลังไปได้ดี และเป็นเบื้องหลังที่ดีที่สุดของหนู ถ้าหนูล้มเหลวก็ไม่ต้องกังวลเลย เพราะหนูรู้ว่ามีพ่อคอยสนับสนุนหนูอยู่ข้างหลัง”คำพูดนี้พูดแทงใจพ่อเสิ่นในฐานะที่เป็นพ่อ เขาคือเบื้องหลังท
แต่ในไม่ช้า สายตาของฉินเย่ก็เปลี่ยนไปเพราะเขาเห็นฉากหลังด้านหลังของเธอ “คุณอยู่บ้านเหรอ?” เสิ่นหยินอู้เห็นเขามองฉากหลังที่อยู่ด้านหลัง ไม่รู้ด้วยเหตุใด เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ และเธอก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่เสมอ แม้ว่าทั้งสองจะเข้าใจผิดกันในตอนแรก แต่เขาก็ทำร้ายเธอจริงๆ แม้ว่าเธออยากอยู่กับเขา แต่เธอไม่ได้ต้องการให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไร อีกทั้งยังลดสายตาลงต่ำ สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อ “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนนอนแล้วหรอ?” เมื่อได้ยินหัวข้ออื่น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดว่า "น่าจะหลับไปแล้วนะ คืนนี้พวกเขานอนกับ... " เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปอีกครั้ง ฉินเย่อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อจากคำพูดของเธอ “ตอนนี้เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนอยู่กับพ่อแม่งั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้พยักหน้า “อืม พวกผู้ใหญ่ชอบพวกเขามาก” อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ที่เสิ่นหยินอู้เงียบไปถึงสองครั้งและลังเลที่จะพูด บรรยากาศ
เสิ่นหยินอู้ตกใจกับเรื่องที่ตระกูลฉินจะย้ายจากหนานเฉิงไปยังเจียงเฉิง ขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงการได้รับความเคารพอย่างมาก แต่เธอก็ถามคุณแม่ฉินในขณะที่เธอจะตัดสินใจ “ต้นตระกูลฉินอยู่ที่หนานเฉิงไม่ใช่หรอคะ? ถ้าย้ายไปที่เจียงเฉิงมันจะ…” “กำลังพูดเรื่องอะไรจ๊ะเนี่ย พ่อกับแม่แก่มากแล้ว คนที่เราห่วงก็มีแค่ลูกๆนี่แหละจ๊ะ ตอนนี้เรามีหลานเพิ่มมาอีกสองคน แน่นอนว่าหนูคือคนที่สำคัญที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเราสองคนสามีภรรยาเลย เราอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอจ๊ะ? สภาพแวดล้อมในเจียงเฉิงเหมาะสมกว่าที่นี่อีก หนูเปิดบริษัทอยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ? ถึงตอนนั้นถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็แค่ถามพ่อ ตั้งใจทำงานให้ดี ส่วนเรื่องเด็กๆน่ะไม่ต้องห่วงเลย มีพ่อกับแม่อยู่ เดี๋ยวเราจะช่วยหนูเลี้ยงพวกเขาให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ไปเลย” หลังจากนั้น คุณแม่ฉินก็ไม่ได้คุยอะไรกับเธอเพิ่ม เธอยุ่งอยู่กับการพาเด็กๆไปที่ห้องและปรึกษาหารือกับคุณพ่อฉินเรื่องการย้ายที่อยู่ของครอบครัว ระหว่างทางกลับห้อง เสิ่นหยินอู้ยังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บริษัทในตอนนี้ของเธอเพิ่งเปิดเลย แม้ว่าบริษัทของเธอจะเริ่มพัฒนาขึ้นมาแล
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขายังอยู่ที่ต่างประเทศและร่างกายยังได้รับบาดเจ็บ รอยยิ้มบนริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็จางหายไปเล็กน้อย “เอาล่ะ อย่าเพิ่งไปคิดมากเรื่องอื่นเลย นั่งเครื่องบินมาทั้งวัน หิวแย่แล้วใช่ไหม? อาหารในครัวน่าจะใกล้ทำเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวก็ไม่ต้องคิดอะไรสักพักแล้วก็กินข้าวให้อร่อยนะ มีอะไรไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้แล้วกันนะ" อาหารเย็นหลากหลายมากและมีแต่สิ่งที่เธอคุ้นเคย ซึ่งแตกต่างจากที่กินที่ต่างประเทศโดยสิ้นเชิง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ... รสชาติของอาหารต่างก็เป็นรสชาติที่คุ้นเคยทั้งนั้น... เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองคุณแม่และคุณพ่อฉิน แม้ว่าเธอจะแก้ปมในใจได้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่มีความมั่นใจเพราะเธอหายไปเป็นเวลานานมาก เธอพูดขึ้นมาอย่างขวยเขินและยากลำบากว่า: "พ่อคะ แม่คะ หลายปีมานี้พ่อครัวของบ้านนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยเหรอคะ?" คุณแม่ฉินมองดูเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ได้เปลี่ยนเลยจ๊ะ เขาอยู่กับตระกูลฉินมาหลายปีแล้ว และเราก็ชินกับรสชาติอาหารที่เขาทำมานานแล้ว ทำไมเหรอ กินไปนิดเดียวก็รู้แล้วเหรอจ๊ะ?” “ใช่ค่ะ มันเป็นรสชาติที่น่าคิดถึงมาก” มันเป็นอาหารเธอคุ้นเคย และแม้กระทั
ระหว่างทางกลับบ้าน เธอไม่ได้พูดอะไร คุณแม่ฉินกลับเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ เธอจับมือหยินอู้และลังเลเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง นอกจากคุณแม่ฉิน เสิ่นหยินอู้ก็ลังเลที่จะพูดเช่นกันเพราะเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หรือเรียกคุณแม่ฉินอย่างไร แม้ว่าเด็กทั้งสองจะเรียกพวกเขาว่าปู่กับย่า แต่เธอกลับไม่สามารถเรียกคุณแม่ฉินว่าแม่ได้ ท้ายที่สุด...มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ห้าปี ช่างเป็นตัวเลขที่เนิ่นนานเสียจริง อาจเป็นเพราะสายตาที่สื่อออกมาหรือไม่ก็การแสดงออกของเธอ แม่ฉินจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอยื่นมือออกไปจับปรอยผมของเธอเบาๆและนำมันไปทัดที่หลังหู จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน “เด็กดี หลายปีมานี้คงลำบากมามากเลยสินะ” ประโยคเดียวนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา เธอคิดไว้ก่อนแล้วว่าคุณแม่ฉินจะพูดอะไร แต่เธอไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่คุณแม่ฉินจะพูดนั้นจะเป็นประโยคนี้ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกลำบากใจที่ได้ยิน มีความน้อยใจมากมายอยู่ในที่เธอไม่อาจพูดออกมาได้ ความรู้สึกใกล้ชิดกับคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เธอมีความฝันที่จะมีแม่ หรือผู้ปกค
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง