ถึงแม้เขาจะดูอบอุ่น อ่อนโยน แต่อย่างไรฐานะทางสังคมของเขาก็สูงมาก เธอไม่สามารถมองโม่ไป๋ให้เป็นแฟนธรรมดาๆ คนหนึ่งได้เลยพักหลังพอรู้จักกันนานเข้า อาจเป็นเพราะเธอเป็นเพื่อนสนิทของเสิ่นหยินอู้ ดังนั้นโม่ไป๋เลยปฏิบัติตัวดีกับเธอมาก มีอะไรดีๆ ก็จะซื้อมาฝากเธอด้วยเสมอนานเข้าๆ โจวชวงชวงก็กลายเป็นพรรคพวกของโม่ไป๋ แถมมักจะพูดแทนโม่ไป๋ด้วยบวกกับเธอรู้สึกว่าโม่ไป๋เป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่งจริงๆเขาอยู่เคียงข้างเสิ่นหยินอู้มาตลอดระยะเวลาห้าปีมิหนำซ้ำ ตลอดห้าปีมานี้ ไม่มีเรื่องผู้หญิงคนอื่นเข้ามาเลยผู้ชายที่ซื่อสัตย์ขนาดนี้ บนโลกนี้คงมีแต่โม่ไป๋คนเดียวแล้วมั้ง?อีกอย่างเขายังไม่ถือสาที่เสิ่นหยินอู้เคยแต่งงานมีลูกด้วย ทั้งยังรักและเอ็นดูลูกทั้งสองของหล่อนด้วยถ้าแบบนี้ไม่ใช่ความรัก…“เอาอะไร?”เสิ่นหยินอู้เดินออกมาจากห้องครัวพอดี และได้ยินเพียงคำพูดประโยคหลังเท่านั้น ประโยคหน้าไม่ได้ยินโจวชวงชวงกระแอมเบาๆ แล้วโกหกหน้านิ่ง “จะเอาอะไรได้อีกเล่า? ต้องเอาโปรเจกต์นี้ไว้ให้ได้น่ะสิ”โม่ไป๋เดินเข้าไปรับจานจากเธอ “ฉันช่วย”เสิ่นหยินอู้ปล่อยมือ“ถึงเวลากินข้าวแล้ว พวกเธอยังคุยเรื่องงานกันอีก?”
หลังจากกินข้าวเสร็จ โม่ไป๋ถกแขนเสื้อขึ้น “เดี๋ยวฉันล้างเอง”“ไม่ต้อง เก็บแล้วใส่เข้าไปในเครื่องล้างจานก็พอแล้ว”แต่น่าเสียดาย เพราะการกระทำของโม่ไป๋รวดเร็วเกินไป เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็ยกถ้วยไปแล้วโจวชวงชวงเห็นก็อดไม่ได้เยาะเย้ยขึ้น“พอได้แล้วหยินอู้ เขาอยากทำก็ปล่อยเขาทำไปเถอะ ถ้าเธอไม่อนุญาต แล้วเขาจะทำคะแนนยังไงเล่า?”“นั่นน่ะสิ” โม่ไป๋สำทับ “ให้ฉันได้ทำคะแนนสักหน่อยเถอะ”พูดขนาดนี้แล้ว เสิ่นหยินอู้ก็พูดอะไรต่อไม่ได้ จึงมอบสิ่งที่ต้องทำที่เหลือให้กับโม่ไป๋ทำเองทั้งหมดจนกระทั่งถึงเวลาพัก ทั้งๆ โจวชวงชวงมีที่นอนในห้องรับแขกอยู่แล้ว แต่เธอก็จะหยิบหมอนไปนอนเบียดกับเสิ่นหยินอู้บริเวณนอกหน้าต่างฝนกำลังตกปรอยๆ อุณหภูมิในห้องก็ลดลงไม่น้อยแต่เมื่อทั้งสองนอนเบียดด้วยกันจึงทำให้อุณหภูมิใต้ผ้าห่มนั้นสูงขึ้น“ฉันจำได้ว่าสมัยเรียน ฉันจะแอบไปนอนที่บ้านเธอบ่อยๆ แต่ว่าตอนนั้นเตียงบ้านเธอใหญ่มาก ตอนนั้นฉันคิดตลอดเลยว่าเตียงบ้านคนรวยนี่มันใหญ่ขนาดนี้กันหมดเลยเหรอ?”เมื่อเอ่ยถึงเรื่องอดีต เสิ่นหยินอู้ก็อยากหัวเราะขึ้นมา“พ่อคงกลัวว่าฉันจะตกเตียงล่ะมั้ง ก็เลยสั่งทำเตียงนอนให้ต
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้วคัดค้าน“แต่ว่าความรู้สึกไม่ได้ดูที่เรื่องพวกนี้สักหน่อย”“แล้วดูที่เรื่องอะไรล่ะ? เธอลองบอกมาซิ?” เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ โจวชวงชวงพลันหัวเราะ “หรือไม่เธอก็พูดมาเลยดีกว่าว่าห้าปีมานี้ เธอมีคนที่ชอบไหม? เพราะคนที่ชอบเธอไม่ได้มีแค่โม่ไป๋คนเดียว”เสิ่นหยินอู้ “ชวงชวง ฉันมีลูกแล้ว ไม่อยากไปคิดเรื่องพวกนั้น”“แต่ว่าคนพวกนั้นไม่ได้ถือสาที่เธอมีลูกนี่ โม่ไป๋เขาเลี้ยงดูเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนเหมือนลูกของตัวเองเลยนะ”“อืม ฉันรู้ว่าฉันติดค้างเขามาก”ชาตินี้ อาจจะชดใช้ไม่หมดเลยก็ได้“เฮ้อ ถ้าฉันเป็นโม่ไป๋แล้วได้ยินคำนี้เข้า ฉันคงเสียใจแย่” โจวชวงชวงรู้สึกเจ็บใจแทนโม่ไป๋ “ฉันรู้สึกว่าเขาไม่เลวเลยนะ หน้าตาก็ดี ฐานะก็เลิศ ที่สำคัญยังซื่อสัตย์มากด้วย ไม่มีผู้หญิงคนอื่นเลย มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น ถ้าเธอชอบเขา รับรองว่าชีวิตของเธอต้องมีความสุขมากแน่ๆ”“ชวงชวง…”“โอเคๆ ไม่ว่าโม่ไป๋จะดีกับเธอแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะหน้าตาดีขนาดไหน เธอต้องเชื่อเสมอว่าฉันอยู่ข้างเธอ ไม่ว่ายังไงก็ตาม และก็เพราะรู้สึกว่าเขาเป็นคนดี ก็เลยแนะนำให้เธอลองคิดดู แต่ถ้าเธอไม่ชอบจริงๆ ก็ไ
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ฉินเย่ก็นึกถึงแม่ของเหมิงเหมิงและเหนียนเหนียนที่ก่อนหน้านี้ได้ติดต่อเข้ามา แต่เพราะว่าเขาไม่ได้ตอบกลับจึงขาดการติดต่อไปเพราะว่าเขาไม่รับเงินที่ส่งของขวัญให้ เลยกลัวว่าหากไลฟ์ต่อไป เขาจะส่งของขวัญให้อีกงั้นเหรอ?ก็เลยหยุดไลฟ์?ถ้าหาก…เขาส่งเลขบัญชีไปล่ะ?ฉินเย่ชอบเด็กสองคนนี้จริงๆ ถึงแม้พวกเขาจะไลฟ์ไม่บ่อยนัก แต่ก็สามารถทำลายความมืดมนในใจเขาได้เด็กสองคนนี้น่ารักมาก แถมหนึ่งปีมานี้ การดูพวกเขาไลฟ์นั้นได้กลายเป็นความคุ้นเคยของเขาไปแล้วเขาเองก็ยังไม่เจอเรื่องอื่นที่สามารถช่วยบรรเทาจิตใจของเขาได้เช่นกันหากพวกเขาหยุดไลฟ์เพราะเรื่องนี้…ชั่วขณะหนึ่ง ในสมองของฉินเย่ก็มีความคิดวิธีแก้ต่างๆ มากมายผุดขึ้นแต่ทว่าไม่ปล่อยให้เขาได้คิดมากนาน เหนียนเหนียนก็ได้แก้คำพูดของเหมิงเหมิงใหม่“ไม่ใช่ว่าไม่ไลฟ์แล้วครับ แต่ว่าช่วงนี้พวกผมต้องย้ายบ้าน ก็เลยยังไม่ได้ไลฟ์จนกว่าจะย้ายบ้านเสร็จครับ”“อืม” เสิ่นเหมิงเหมิงพยักหน้า “พวกหนูจะย้ายบ้านค่ะ”ฉินเย่ที่ได้ยินว่าพวกเขาเพียงแค่จะย้ายบ้าน แต่ไม่ได้จะหยุดไลฟ์ โล่งใจไปเฮือกหนึ่งโชคดีที่แค่ย้ายบ้านเขากดเข้าไปในหน้าบั
มีแม่ฉินคอยหนุนหลังให้ตนแล้วหลี่มู่ถิงยังจะกลัวอะไรอีก? แบบนี้ก็ต้องทำเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือรีบให้ประธานฉินกินยาสิ?ที่สำคัญคือเพียงแค่กำชับให้กินยาเฉยๆ ยังมีงานควบให้ทำอีก นี่มันเยี่ยมจริงๆ“ประธานฉินครับ ถ้าคุณไม่กินยา เดี๋ยวคุณหญิงฉินโทรมาจะอธิบายยากนะครับ”สิ้นเสียง หลี่มู่ถิงพลันรู้สึกถึงรังสีเย็นชากำลังจ้องมาที่ตนอยู่เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบและในขณะนั้นเองเขาถึงจะเข้าใจว่าแม้จะมีแม่ฉินสนับสนุน แต่ไม่ว่ายังไงฉินเย่ก็เป็นลูกชายของแม่ฉิน หากตนอวดดีเกินไปถึงตอนนั้นคนที่เสียเปรียบจะเป็นตนแน่นอนแต่ว่าการกระทำต่อจากนี้ของฉินเย่กลับทำให้เขาอึ้งเพราะเขากินยาต่อหน้าเขา ซ้ำยังดื่มน้ำอุ่นแก้วนั้นจนหมดด้วย จากนั้นก็วางแก้วลงบนโต๊ะเสียงดังปัง“พอใจยัง?”หลี่มู่ถิงได้รู้สึกตัว รีบพยักหน้าหงึกๆ พลางตอบว่าพอใจแล้วพลางเดินออกไปหลังจากที่เขาออกไปแล้ว ฉินเย่ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูหน้าต่างที่ขึ้นว่าไลฟ์สิ้นสุดแล้ว จากนั้นเม้มริมฝีปากเบาๆไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะไลฟ์อีกเมื่อไหร่หวังว่าจะกลับมาไลฟ์เร็วๆ อย่าช้าเกินไปล่ะ_“ไลฟ์เสร็จแล้วเหรอจ๊ะ?” เสิ่น
ที่สำคัญคือ เธอรู้สึกว่าพ่อของตนอยู่คนเดียวมานานแล้ว กว่าจะมีคนที่ถูกใจเข้ามาได้นั้นไม่ง่าย หากเธอไปขัดขวางคงจะโหดร้ายกับเขาน่าดูผู้หญิงคนนั้นเองก็รุกมากหลังจากที่เธอรู้เรื่องของพวกเขาทั้งสอง หล่อนก็มาพูดคุยกับเธอตามลำพัง แล้วบอกเธออย่างระมัดระวังตัวว่า“คุณหนูเสิ่นคะ ฉันได้ฟังเรื่องราวของครอบครัวคุณจากพ่อคุณมาบ้างแล้ว ครอบครัวของพวกคุณพิเศษมาก ฉันสัญญาว่าฉันไม่หวังทรัพย์สินเงินทองอะไรจากเขาแน่นอน แต่ถ้าคุณไม่ไว้ใจฉัน ฉันสามารถเซ็นสัญญากับคุณได้ รับรองว่าฉันจะไม่เอาของอะไรจากตระกูลเสิ่นไปสักอย่า สัญญาฉบับนี้เรารู้กันแค่สองคน คนอื่นจะไม่รู้”“เซ็นสัญญา? ได้สิ งั้นก็เซ็นเลย”ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงให้ฝ่ายกฎหมายของบริษัทโม่ไป๋ร่างสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ แล้วนำไปให้ผู้หญิงคนนั้นเซ็นผู้หญิงคนนั้นเซ็นทันทีโดยไม่อ่านสัญญาดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงหยุดการกระทำของเธอไว้“ไม่อ่านให้ชัดเจนก่อนก็เซ็นแล้ว ไม่กลัวว่าหนูจะเอาเปรียบเลยเหรอ?”ผู้หญิงคนนั้นยิ้มตอบ “เหล่าเสิ่นเป็นคนดี คุณเป็นลูกสาวของเหล่าเสิ่นย่อมไม่มีทางเอาเปรียบฉันแน่นอน”ท่าทีอารมณ์ของอีกฝ่ายทำให้เสิ่นหยินอู้ชื่นชม เธอเองก็ไม่อ
หลังจากที่ฟู่เซียงอุ้มเสิ่นเหมิงเหมิงแล้ว ก็ยื่นมือไปบีบแก้มของเสิ่นซือเหนียน หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าตนไม่ได้ละเลยเขาแล้วถึงจะหันไปพูดกับเสิ่นหยินอู้ว่า “ข้างนอกลมแรง เราเข้าไปกันเถอะ”“ค่ะ”เสิ่นหยินอู้ตามฟู่เซียงเข้าไปด้านในฟู่เซียงเดินไปด้วยพูดไปด้วย “พ่อเราเพิ่งขึ้นไปอาบน้ำน่ะ บอกเขาหลายครั้งแล้วว่าอย่าอาบน้ำทันทีหลังกินข้าวเสร็จ แต่เขาไม่ฟัง”เมื่อได้ฟังหล่อนบ่นเรื่องชีวิตประจำวันให้ฟังแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ยกมุมปากขึ้น“ดูแลพ่อหนู น้าฟู่ต้องลำบากมากแน่นอน”ได้ยินดังนั้น ฟู่เซียงก็รีบอธิบายแทนพ่อเสิ่น“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก มีเรื่องมากมายที่พ่อเราเป็นคนทำเองหมด ในทางกลับกัน น้าคิดว่าเขากำลังดูแลน้าอยู่ด้วยซ้ำ”“ดูแลกันและกันก็ดีเหมือนกันค่ะ”ฟู่เซียงหันไปมองเธอ แล้วยิ้มให้กับเธอ จากนั้นค่อยวางเสิ่นเหมิงเหมิงลง“เดี๋ยวน้าขึ้นไปตามพ่อหนูให้ บอกให้เขาอาบเร็วหน่อย”“ไม่เป็นไรค่ะน้าฟู่ วันนี้พวกหนูเองก็ไม่รีบกลับด้วย”ได้ยินดังนั้น ดวงตาของฟู่เซียงเป็นประกาย“คืนนี้นอนที่นี่ไหม?”เสิ่นหยินอู้หันไปหาเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียน“ว่ายังไง คุณยายถามว่าพวกหนูสองคนอยากนอนที่นี่ไหม?”
ความจริงเสิ่นหยินอู้ไม่เคยคิดจะให้พ่อทิ้งอะไรไว้ให้ตนเลยแต่พอได้ยินเขาบอกว่าบริษัททุกอย่างเป็นของเธอหมด ในใจก็ซาบซึ้งมาก“ฉะนั้น ไม่ต้องกลับประทงประเทศแล้ว อยู่ช่วยพ่อดูแลบริษัทที่นี่แหละ”ถึงแม้จะซาบซึ้ง แต่เสิ่นหยินอู้กลับเลิกคิ้ว “ไม่ได้ค่ะ”พ่อเสิ่นได้ยินก็รู้สึกมึนงง“ทำไมล่ะ? นั่วนั่ว ตอนนี้ลูกมีลูกสองคน แล้วยังจะไปเปิดบริษัทอีก เหนื่อยมากเลยนะ”“หนูรู้ค่ะ แต่ในขณะเดียวกันก็จะรู้สึกประสบความสำเร็จ พ่อคะ หนูอยากเปิดบริษัทจริงๆ ค่ะ”เธออยากพึ่งตัวเอง และทำให้ลูกทั้งสองได้มีชีวิตที่ดีเสิ่นหยินอู้ไม่รู้ว่าพ่อแม่คนอื่นคิดยังไง แต่สำหรับเธอ เธอคิดว่าไหนๆ เป็นพ่อเป็นแม่แล้วในเมื่อเธอมีความสามารถที่จะทำให้ลูกทั้งสองคนมีชีวิตที่ดีได้ ถ้างั้นทำไมเธอถึงไม่พยายามล่ะ?เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็เดินอ้อมมายังข้างๆ พ่อเสิ่น แล้วกอดคอพ่อเสิ่นเหมือนตอนเด็ก “อีกอย่างที่สำคัญคือ ตอนนี้บริษัทของพ่อกำลังไปได้ดี และเป็นเบื้องหลังที่ดีที่สุดของหนู ถ้าหนูล้มเหลวก็ไม่ต้องกังวลเลย เพราะหนูรู้ว่ามีพ่อคอยสนับสนุนหนูอยู่ข้างหลัง”คำพูดนี้พูดแทงใจพ่อเสิ่นในฐานะที่เป็นพ่อ เขาคือเบื้องหลังท
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ