"ยังคิดว่าผมเป็นโรคกลัวความสกปรกอยู่อีกหรือเปล่า?" เสิ่นหยินอู้ "......" เมื่อครู่เขาแค่ใช้วิธีนี้เพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้เป็นโรคกลัวความสกปรกอย่างนั้นหรอ? ไปต่างประเทศมาห้าปี นิสัยของเขาเปลี่ยนไปมากเกินไปแล้ว "แค่รู้สึกว่าการไปสัมผัสคนที่ไม่ชัดเจนกับผู้หญิงทั้งสองคนทำให้มือสกปรก" โม่ไป๋พูดต่อไปด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์เมื่อได้ยิน สายตาของเสิ่นหยินอู้ก็ตาเศร้าลงเล็กน้อย เธอคิดถึงฉินเย่ขึ้นมาอีกแล้ว โม่ไป๋ถอนหายใจเมื่อเห็นเธอเงียบ "แม้ว่าผมไม่ควรพูดมากไป แต่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉินเย่กับฉูฉู่ คนในวงการต่างก็รู้กันดี ส่วนเรื่องที่เธอแต่งงานกับเขา..."มาถึงตรงนี้ โม่ไป๋หยุดพูดชั่วครู่ "ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเขาเป็นยังไง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ชอบความสัมพันธ์แบบนี้ใช่ไหม ถ้ามันทำให้เธอเจ็บปวด ก็ควรจบมันให้เร็วที่สุดนะ" แม้จะรู้จักโม่ไป๋มาตั้งแต่เด็ก แต่เสิ่นหยินอู้ก็ยังคงรักษาระยะห่างกับเขา เธอไม่อยากเล่าเรื่องของตัวเองให้เขาฟังมากนักดังนั้นหลังจากฟังคำแนะนำของเขา เธอจึงยิ้มและพยักหน้ารับเท่านั้น "อืม ฉันรู้แล้ว"โม่ไป๋หยุดพูดเรื่องนี้ทันที แล้วไม่พ
คืนนั้น เสิ่นหยินอู้และฉินเย่ได้นำคำพูดของคุณหมอเฉินที่ได้ยินมาในตอนเช้ามาบอกกับคุณนายฉิน คุณนายฉินในช่วงนี้อารมณ์ดีขึ้นมาก หน้าตาก็เปล่งปลั่งขึ้นกว่าตอนอยู่ที่โรงพยาบาล และสภาพจิตใจก็ดีมากเช่นกัน เมื่อเห็นทั้งสองคนมาบอกเรื่องนี้กับตัวเอง เธอก็ไม่รู้สึกกลัว และยิ้มรับพร้อมพยักหน้า “พรุ่งนี้ไปตรวจหรอ ได้สิ ไม่มีปัญหา”คุณนายฉินตอนนี้อารมณ์ดี น่าจะเพราะชอบบรรยากาศภายนอก จึงอยากทำการผ่าตัดให้เสร็จเร็วๆ จะได้ฟื้นตัวเร็วๆ เสิ่นหยินอู้ฟังแล้วรู้สึกสบายใจมาก “คุณย่ามีความสุขมากเลยใช่ไหมคะ?” “แน่นอนสิ” คุณนายฉินจับมือเธอ พร้อมกับพูดอย่างเปี่ยมด้วยความรู้สึก "ย่านึกว่าย่าต้องอยู่ในโรงพยาบาลไปตลอด แต่ก่อนที่จะผ่าตัดได้ออกมาดูโลกภายนอกอีกครั้ง ถึงต่อไปจะตายบนเตียงผ่าตัดก็ไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว" เสิ่นหยินอู้ที่ตอนแรกดีใจเพราะคำพูดของคุณนายฉิน เมื่อได้ยินประโยคหลัง ก็หน้าซีดไป “คุณย่า พูดอะไรไม่เป็นมงคลเลยค่ะ”ในสายตาของคุณนายฉินไม่มีความเศร้า แต่กลับมองไปที่ฉินเย่ พร้อมกับเรียกให้เขาเข้ามาใกล้ๆฉินเย่เดินเข้าไปด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณย่า อย่าพูดอะไรที่ไม่เป็นมงคลสิครั
"โอเคๆ" คุณนายฉินใจอ่อนทันทีและปลอบเสิ่นหยินอู้ไม่หยุด "ย่าสัญญาว่าจะไม่พูดอะไรไม่เป็นมงคลแล้ว หยุดร้องไห้ได้ไหมจ้ะ?"สุดท้าย คุณนายฉินก็ปลอบเสิ่นหยินอู้จนเธอสงบลง และเสิ่นหยินอู้ก็กลับไปที่ห้องนอนด้วยความพอใจ พร้อมบอกว่าจะมาหาใหม่ในตอนเช้า คุณนายฉินลูบหลังศีรษะของเธอเบาๆ "โอเค ฝันดีนะ รีบไปนอนเถอะ" หลังจากที่เธอไปแล้ว คุณนายฉินก็จ้องไปที่ฉินเย่"ช่วงนี้พวกเธอสองคนทะเลาะกันบ่อยเหรอ?" ได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็ชะงักไป แล้วอธิบายว่า "เธอแค่แกล้งคุณย่าเล่น คุณย่าก็เชื่อเหรอครับ?" "แกคิดว่าย่าแก่จนมองไม่เห็นปัญหาของพวกเธอสองคนจริงๆ เหรอ?" ฉินเย่ตอบด้วยท่าทางนิ่งๆ ว่า “ปัญหาอะไรเหรอครับ?”"ฮึ่ม" คุณนายฉินแค่นเสียงเย็นๆ "ปัญหาอะไร แกก็รู้ดีอยู่แก่ใจ" “……”"เป็นเพราะเจียงฉูฉู่ใช่ไหม?" ไม่คิดว่าคุณนายฉินจะพูดจี้จุด ทำให้ฉินเย่สีหน้าเปลี่ยนไป "ฉูฉู่เคยช่วยชีวิตแกไว้ เพราะงั้นเธอถึงพิเศษสำหรับแก" เห็นฉินเย่ขยับปากเหมือนจะปฏิเสธ คุณนายฉินจึงพูดต่อว่า "อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ย่าสายตาเฉียบแหลมนะ ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของแกกับหยินอู้ก็ดีอยู่นี่? แล้วทำไมช่วงนี้ถึงมีปัญ
ค่ำคืนอันหนาวเย็นกู้เหยียนซีเดินฝ่ากลุ่มคนในผับ แล้วเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์คนที่ตามหลังเขาคือจี้ชิงเป่ยดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ ทั้งสองคนถูกฉินเย่เรียกออกมาอีกแล้วรอให้พวกเขาไปถึง คิดว่าจะเจอกับฉินเย่ที่เมาเละเทะ แต่ไม่คาดคิดว่าเขากลับแต่งตัวเรียบร้อย นั่งอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ด้วยแววตามีสติครบถ้วนเหล้าที่อยู่ตรงหน้าเขาแก้วนั้น ก็ไม่ได้แตะเลยแม้แต่นิดเดียว“เกิดอะไรขึ้น? เรียกเรามาดื่มเหล้าไม่ใช่เหรอ?” กู้เหยียนซีแปลกใจเขาเดินเข้าไปทักทายฉินเย่“เย่ นายเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย? ถึงตอนนี้ยังไม่แตะเหล้าเข้าปากสักอึก?”เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคย ฉินเย่ก็ได้สติ เงยหน้าขึ้นพบว่ากู้เหยียนซีมาพร้อมกับจี้ชิงเป่ยด้วย เขาจึงใช้สายตามองจี้ชิงเป่ยราวกับกำลังถามด้วยสายตาว่า: นายพาเขามาทำไม?จี้ชิงเป่ยที่เห็นสายตาที่ส่งมาของเขาพลันรู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นดูท่าแล้วคืนนี้ฉินเย่จะเรียกเขามาคนเดียวแต่เขาไม่รู้จึงได้เรียกกู้เหยียนซีมาด้วยไหนๆ ก็มาแล้ว ทำอะไรไม่ได้ ชายทั้งสองจึงไม่ได้พูดอะไรต่อกู้เหยียนซีนั่งปุ๊บก็สั่งเครื่องดื่มปั๊บอย่างคนบ้าพลางพูดกับฉินเย่ว่า “นายนี่ก็แปลก คราวก่อนท
จี้ชิงเป่ยแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง ไม่ได้ตอบว่าเจียงฉูฉู่ล้มเอง เพียงแค่บอกว่า “ฉันถามนายหน่อย นายบอกว่าเสิ่นหยินอู้เป็นคนผลักเจียงฉูฉู่ นายตัดสินจากอะไร? เพราะว่าหล่อนอยู่ใกล้เจียงฉูฉู่ที่สุดงั้นเหรอ?”“เหตุผลหนึ่งคืออยู่ใกล้ฉูฉู่ แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือ ทุกคนเขาพูดกันแบบนี้” กู้เหยียนซีตอบ“ทุกคนเขาพูดกันแบบนี้ แล้วความจริงก็ต้องเป็นแบบนั้นเหรอ?”“ก็…ทุกคนเขาก็พูดกันแบบนี้แล้ว ถ้านี่ไม่ใช่ความจริง แล้วอะไรล่ะที่เป็นความจริง?”กู้เหยียนซีมองจี้ชิงเป่ยด้วยสีหน้าหมดคำพูด“จี้ชิงเป่ย ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมทุกครั้งที่เกิดเรื่อง นายต้องเข้าข้างเสิ่นหยินอู้ตลอด?”“เพราะฉันเข้าข้างหล่อน หรือเพราะนายเชื่อฉูฉู่มากเกินไปกันแน่?”ทันใดนั้น เด็กเสิร์ฟก็ยกเหล้าเข้ามา จี้ชิงเป่ยหยิบมาหนึ่งแก้ว แล้วแกว่งเบาๆ เหล้าที่ผสมขึ้นมาโดยเฉพาะ เมื่ออยู่ใต้แสงเคาน์เตอร์บาร์แล้วดูสดใสและไม่ชัดเจน“ความคิดของมนุษย์น่ะ ถ้าถูกความคิดเพียงอย่างเดียวครอบงำแล้ว ก็ง่ายที่จะเพิกเฉยต่อความเป็นไปได้อื่นๆ”ฉินเย่ที่เงียบไม่พูดอะไรได้ยินดังนั้นก็หรี่ตาลงแต่กู้เหยียนซีกลับจ้องจี้ชิงเป่ยด้วยสีหน้าแปลกใจ“อะไรเนี่ย ตอนนี
กู้เหยียนซีจากไปด้วยความโมโหบริเวณเคาน์เตอร์บาร์จึงเหลืออยู่เพียงสองคนจี้ชิงเป่ยกวาดมองฉินเย่แวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขายังจมอยู่ในความคิดของตนเองอยู่นั้น จึงไม่ได้รีบเอ่ยปากพูดอะไรหลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ฉินเย่ถึงได้เอ่ยถามเขานิ่งๆ“ที่นายพูดเมื่อกี้นี้หมายความว่าอะไร?”จี้ชิงเป่ยยกมุมปากขึ้น “นายมีคำตอบอยู่ในใจแล้วไม่ใช่เหรอ?”ได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาเศร้าโศก“คำตอบอะไร?”“ฉินเย่ ฉันจำได้ว่าคราวก่อนฉันก็เคยถามนายที่นี่เหมือนกัน ผ่านไปหลายปีแล้ว นายยังไม่รู้อีกเหรอว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่?”ฉินเย่ชะงัก ที่แท้จี้ชิงเป่ยก็เคยถามเขาเช่นกันไม่น่าล่ะ คืนนั้นตอนที่คุณย่าถามเขา เขาถึงได้รู้สึกคุ้นคำถามนี้มาก เพียงแต่ตอนที่จี้ชิงเป่ยพูดคราวก่อน เขาไม่ได้สนใจอะไรนัก และไม่ได้ใส่ใจอะไรเมื่อเห็นฉินเย่เงียบ จี้ชิงเป่ยพลันถอนหายใจ “นายโตมากับหล่อนตั้งแต่เด็ก รู้ทุกอย่างที่หล่อนชอบหรือไม่ชอบ ไม่ว่าหล่อนจะอยู่ในสภาพได้ นายก็แทบจะเห็นมาหมดแล้ว ตอนที่ตระกูลเสิ่นล้มละลาย ถ้าฉันจำไม่ผิด หลังจากที่ได้รับข่าว นายก็รีบกลับมาเลยไม่ใช่เหรอ?”“ก็ใช่” เรื่องนี้ฉินเย่ไม่อาจ
ฝันร้ายเหรอ?ฉินเย่ย่อตัวลงข้างเตียง แล้วยื่นมือออกไปจะนวดหว่างคิ้วให้กับเสิ่นหยินอู้โดยสัญชาตญาณ โดยลืมไปแล้วว่าตนอยู่ที่บาร์นานเกินไป และตอนนี้มือยังเย็นอยู่ดังนั้น เมื่อปลายนิ้วมือของเขาสัมผัสลงบนหว่างคิ้วของเสิ่นหยินอู้ เสิ่นหยินอู้ก็สะดุ้งเล็กน้อย และตื่นขึ้นมาทันทีสายตาของทั้งสองจึงสบเข้าด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ดวงตาของเสิ่นหยินอู้ที่เพิ่งตื่นจากฝันยังคงสะลึมสะลืออยู่ ภายใต้แสงไฟที่กระทบลงในห้องนอน ทำให้สายตาที่เย็นชาดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย ทำเอาฉินเย่หัวใจเต้นไหวนิ้วมืออันเย็นยวบของเขายังคงสัมผัสอยู่บริเวณหว่างคิ้วของเสิ่นหยินอู้ผ่านไปนานพอควร เสิ่นหยินอู้ถึงจะรู้สึกตัว พิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า เธอถอยหลังเลี่ยงการสัมผัสจากฉินเย่ แล้วลุกขึ้นนั่งมองเขาด้วยสายตาระแวดระวัง“นายจะทำอะไร?”ท่าทีระแวดระวังตัวของเธอทำให้ฉินเย่ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด “ฉันจะทำอะไรได้? ตอนนี้เธอป้อมกันตัวจากฉันขนาดนี้เลยเหรอ?”เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้เองก็รู้สึกว่าปฏิกิริยาของตนเมื่อกี้นี้ดูตื่นตระหนกมากไปหน่อยจริงๆเธอทำได้เพียงหันหน้าหลบสายตาจากเขา แล้วพูดว่า “เปล่า”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หัวเราะเยาะ แล้วเงยหน้ามองเขาอย่างเย็นชา"นายมีความต้องการทางเพศ ก็ไปหาเจียงฉูฉู่ของนายสิ"ได้ยินดังนั้น แววตาของฉินเย่ก็มึดลงอย่างสิ้นเชิง เขากัดฟันแล้วพูดว่า "ฉันจะหาแค่เธอ ไม่หาใครทั้งนั้น"พูดจบ เขาก็โน้มตัวไปหาริมฝีปากของเธออีกครั้ง แต่กลับโดนเสิ่นหยินอู้ตบหน้า"ออกไป!""ไสหัวไปหาเจียงฉูฉู่ของนายไป อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!""ออกไป!"เสิ่นหยินอู้โกรธจนตัวสั่น รู้สึกว่าตบหน้าเขาแค่ครั้งเดียวไม่พอยังอยากตบอีกฉินเย่จับข้อมือของเธอและพูดว่า "โกรธเหรอ? ช่วงนี้เธอแสดงบทบาทเป็นศรีภรรยาได้ดีเลยไม่ใช่เหรอ? ทําไมถึงไม่แสดงต่อแล้วล่ะ? "พอเสิ่นหยินอู้คิดว่าเขาคิดจะใช้ตนเป็นเครื่องจัดการความต้องการทางเพศทีไร ก็เสียสติทันที ไม่อยากตอบฉินเย่เข้าไปใหญ่ เพียงแค่ออกแรงขัดขืนเท่านั้นเมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้เช่นนี้ ฉินแย่ก็รู้สึกโกรธกว่าเดิม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อนึกถึงคำพูดที่จี้ชิงเป่ยและคุณย่าพูดกับตัวเองไว้ ฉินเย่ก็ยิ่งกำข้อมือของเธอแน่น“คำพูดพวกนี้เธอเป็นคนพูดเอง แล้วทำไมตอนนี้ถึงต้องโกรธด้วย? เสิ่นนั่วนั่ว เธอโกรธอะไร?”ฉินเย่จ้องเธอเขม็งขณะที่ถามคำถามน
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ