“แล้วก็เมื่อวาน เธอออกไปกับเขาด้วย”เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล“ฉินเย่ นายแอบตามฉันเหรอ?”ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกตื่นตระหนกด้วยเพราะช่วงนี้เธอยังไปโรงพยาบาลด้วย ถึงแม้จะไปพร้อมกับโจวซวงซวง แต่ถ้าฉินเย่เกิดอยากสืบขึ้นมา ก็ไม่เจออะไรอยู่ดี“จำเป็นด้วยเหรอ?” ฉินเย่ย้อนถามไม่จำเป็น? ถ้างั้นเขาคงไม่ได้ส่งคนแอบตามตนสินะ?“แล้วนายรู้ได้ยังไง?”วันที่เจียงฉูฉู่ได้รับบาดเจ็บ ถึงเขาจะรู้ก็ช่างเถอะ เพราะบางทีฉินเย่อาจจะเห็นตอนที่โม่ไป๋ไปส่งเธอที่หน้าประตูวิลล่าก็ได้แต่เรื่องออกไปกินข้าวเมื่อวาน แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่คิดว่าจะเจอโม่ไป๋ที่นั่น แล้วฉินเย่รู้ได้ยังไง?ตอนกลับมา เธอยังนั่งรถแท็กซี่กลับมาด้วยซ้ำ“เธอลนลานมากนะ?” ฉินเย่หัวเราะแห้ง “เสิ่นนั่วนั่ว เธอเคยได้ยินคำพูดนี้ไหม? เรื่องชั่วๆ ที่เคยทำไว้ ยังไงก็ต้องปรากฏในสักวัน”เสิ่นหยินอู้ “…”เมื่อนึกอะไรบางอย่างได้ สายตาของฉินเย่ก็เคลื่อนลงมาสำรวจมองชุดนอนของเธอ “แล้วก็สไตล์การแต่งตัวของเธอช่วงนี้ ทำเพื่อความชอบของพวกมันใช่ไหมล่ะ?”เสิ่นหยินอู้ “?”“นายพูดจาเหลวไหลอะไรกันแน่? เข้าฤดูหนาวแล้ว
หลังจากนอนหลับไปแล้ว ลมหายใจของเสิ่นหยินอู้ก็ค่อยๆ คงที่สมดุลกันฉินเย่เดินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่ง พบว่าเสิ่นหยินอู้นอนหลับแล้วจริงๆไม่เพียงแต่นอนหลับเท่านั้น แต่ยังหลับสนิทด้วยเขายกมือจับใบหน้าที่ถูกตบของตน สติเลือนราง หากไม่ใช่เพราะบริเวณแก้มยังรู้สึกเจ็บเล็กน้อยล่ะก็ เขาคงคิดว่าการทะเลาะเมื่อกี้นี้เป็นแค่ภาพลวงตาแน่ๆเพราะคงไม่มีใครที่วินาทีก่อนหน้ายังโกรธอยู่ วินาทีต่อมาก็หลับปุ๋ยไปแล้วช่วงนี้เธอเปลี่ยนไปมาก มากเสียจนฉินเย่ไม่รู้จักเธอแล้วด้วยซ้ำเขารู้สึกไม่สบายใจ เรื่องบางเรื่องไม่สามารถหาที่ระบายได้ แต่เมื่อมองดูเธอนอนหลับสบายใจในตอนนี้ เขากลับพูดอะไรไม่ออกมิหนำซ้ำ ตอนที่ฉินเย่เดินออกจากห้อง เขายังเดินเบาลงด้วยสุดท้ายฉินเย่ก็นั่งลงบนโซฟาข้างนอกทั้งๆ ที่ดึกแล้ว แต่ในหัวของเขากลับยังตื่นอยู่ และคิดถึงแต่คำพูดที่จี้ชิงเป่ยพูดกับตนก่อนที่จะแยกจากกันตอนที่ทั้งสองออกจากบาร์ จี้ชิงเป่ยเรียกเขาเอาไว้“ถ้านายคิดไม่ออกจริงๆ ถ้างั้นฉันขอถามนายอีกอย่าง”หัวใจของฉินเย่สับสนมาก เมื่อได้ยินดังนั้นจึงมองเขาแวบหนึ่ง ถึงแม้ความรู้สึกและสายตาจะดูไม่สบอารมณ์ แต่เขากลับไม่ก้าวเท้าออกไป
จากนั้นเขาก็เดินผ่านเธอไปยังห้องน้ำเสิ่นหยินอู้ “…”ช่างเถอะ ไหนๆ ก็เหลืออีกไม่กี่วันแล้ว อดทนต่ออีกหน่อยแล้วกันเพราะนอนหลับดี รอบดวงตาไม่ดำ ทำให้วันนี้เสิ่นหยินอู้ไม่ต้องเสียเวลาแต่งหน้า เพียงแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ลงไปข้างล่างตึกแล้วเมื่อเธอลงมาถึงข้างล่าง ถึงจะพบว่าพ่อฉินแม่ฉินก็มาด้วย ทั้งสองกำลังพูดคุยกับคุณนายฉินที่นั่งอยู่บนรถเข็นอยู่ในห้องรับแขกเห็นพวกเขา เสิ่นหยินอู้ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะเมื่อคืนพวกเขาก็คุยกันแล้วว่าวันนี้จะมาหาตอนที่ผ่าตัดคราวก่อน ทั้งสองก็มาไม่ทันเพราะปัญหาเรื่องการบิน ถึงแม้วันนั้นคุณนายฉินจะไม่ได้เข้ารับการผ่าตัดเลย แต่ทั้งสองก็รู้สึกผิดต่อเรื่องนี้มาก ดังนั้นครั้งนี้ทั้งสองจึงมากลับมาก่อนล่วงหน้ามาถึงตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าวันนี้จะต้องผ่าตัดไหมเสิ่นหยินอู้เพิ่งลงมาถึงข้างล่าง ก็ได้ยินคุณนายฉินพูดจาแปลกกับต่อลูกชายและลูกสะใภ้ของตนว่า “ธุรกิจพวกเธอยุ่งขนาดนี้ ถ้าไม่ว่างจริงๆ ก็ไม่ต้องมาก็ได้ คนแก่อย่างฉันถึงจะตายคาเตียงผ่าตัด ก็คงไม่มีใครสนใจหรอก”ตอนที่ยังไม่ได้ยินคำพูดข้างหลัง เสิ่นหยินอู้ยังคิดว่าคุณย่าพูดจริง แต่เมื่อฟังจบแล้วถึ
บนตัวแม่ฉินมีกลิ่นหอมจางๆ จากเลม่อน หอมสดชื่นมากขณะที่กอดเธอ เสิ่นหยินอู้รู้สึกแค่ว่าโล่งใจมาก จึงได้กอดเธอกลับผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงมักจะทำให้เสิ่นหยินอู้ชอบมากเป็นพิเศษแม่ฉินเองก็สัมผัสได้เช่นกัน จึงอดไม่ได้ยื่นมือออกไปดีดจมูกเสิ่นหยินอู้เบาๆ “คิดถึงแม่ใช่ไหม?”คำว่าแม่นี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตะลึงไปชั่วขณะ ผ่านไปนานกว่าจะพยักหน้าตอบ“อืม คิดถึงคุณพ่อคุณแม่มากเลยค่ะ”“จึ ยัยเด็กน้อย พวกเราก็คิดถึงหนูเหมือนกัน” กล่าวจบ แม่ฉินก็บีบแก้มเธอเบาๆ พลันรู้สึกว่าผิวพรรณของเธอดีมากจึงอดไม่ได้ที่จะบีบอีกสองสามที แล้วหันไปพูดกับพ่อฉินว่า “ของขวัญที่เตรียมให้หยินอู้ล่ะ เอามาด้วยไหม?”ได้ยินดังนั้น พ่อฉินก็ควานหาในถุงสองที แล้วหยิบกล่องออกมาสองกล่อง“เอามาสิ”แม่ฉินหันกลับไปรับของ แล้วยื่นให้กับเสิ่นหยินอู้“อะ นี่เป็นของขวัญจากพ่อกับแม่”จริงๆ ไม่ใช่แค่ตอนนี้เท่านั้น แต่ก่อนตอนที่เธอยังไม่แต่งงานกับฉินเย่ ขอแค่เจอหน้าเธอทุกครั้ง พ่อฉินและแม่ฉินก็จะเอาของขวัญให้เธอเสมอ แถมยังเป็นของแพงด้วยถ้าเธอไม่รับไว้ แม่ฉินก็จะพูดกล่อมจนเธอรับเอาไว้ดังนั้นเมื่อได้รับของขวัญ เสิ่นหยินอู้จะเผยรอยยิ้
“เหมือนตอนที่แม่ไล่จีบพ่อน่ะเหรอ?”แม่ฉินกำลังสอนวิธีคืนดีให้ลูกชายอย่างสบายใจ แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ เขาก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องของตัวเธอเอง“พูดอะไรน่ะ? เป็นพ่อแกต่างหากที่ตามตื้อจีบฉันไม่หยุด ฉันกับพ่อแกถึงได้มีวันนี้ เข้าใจไหม”ฉินเย่ส่งเสียงจึ้ ไม่ได้อยากจะเถียงกับเธออีกต่อไปเพราะถึงแม้ว่าจะเป็นแม่ของเขาที่ตามจีบพ่อในตอนแรก แต่เวลาผ่านไปนานมากแล้วและพ่อของเขารักแม่ของเขามาก ตอนนี้ต้องกลับหนังคนละม้วน มาบอกว่าพ่อตามจีบแม่อย่างแน่นอนเรื่องแบบนี้น่ะ เขาเห็นมาบ่อยแล้ว“แกจึ้ปากทำไม? นี่แกไม่เชื่อแม่เหรอ?” แม่ฉินพูดอย่างไม่พอใจ “ไม่เชื่อก็ไปถามพ่อแกดูสิ”“โอเคๆ” ฉินเย่พูดด้วยสีหน้าสงบ “ขึ้นรถเถอะครับ เราต้องไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลอีกนะ”พูดจบ เขาไม่สนใจว่าแม่ฉินจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ฉินเย่ก็สาวเท้าก้าวไปข้างหน้าแล้วแม่ฉินยืนอยู่กับที่ แทบจะโกรธจนควันออกหู และในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงทะเลาะกับเสิ่นหยินอู้ได้นิสัยของลูกชายของเธอเหมือนกับของพ่อของเขาทุกประการ น่าเบื่อหน่าย คนอื่นๆ เย็นชาเหมือนภูเขาน้ำแข็ง แต่ลูกชายของเธอกลับทื่อเหมือนท่อนไม้ถ้าหยินอู้นิสัยไม่เหมือนตนล่ะก
เมื่อเทียบกับอารมณ์ที่ไม่สงบของเขาแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็สงบกว่ามาก “รีบขับสิ อย่าทำให้เวลาตรวจของคุณช้าต้องล่าช้า” เนื่องจากไม่มีคนนอกอยู่ เสิ่นหยินอู้จึงไม่แสดงแล้ว น้ำเสียงและการแสดงออกของเธอแตกต่างไปจากปกติ หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็พบว่าตอนนี้ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากที่ข้างๆเธอเลยแม้แต่น้อย เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย เดิมทีเธอไม่ได้ต้องการจบความสัมพันธ์กับฉินเย่เร็วขนาดนี้ แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นทำให้เธอโกรธ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะ... วันนี้คุณย่าไปตรวจสุขภาพและไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร เธอค่อนข้างกระสับกระส่าย เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หายใจเข้าลึกๆ ขณะที่กำลังจะหันกลับมาพูดอะไรกับฉินเย่พอดี รถก็เร่งความเร็วออกไปอย่างรวดเร็ว เธอตกใจ เธอหันไปมองฉินเย่และเห็นเขาขับรถด้วยสีหน้าอึมครึม ออร่าความโกรธแผ่ออกมาจากตัวเขาอย่างรุนแรง จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกแสบจมูกอย่างอธิบายไม่ถูก ความน้อยใจที่มากมายแพร่กระจายออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ อะไรกัน…… แน่นอนว่า...เธอไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ทำไมเธอต้องมาทนกับอะไรแบบนี้? ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจียงฉูฉู่เป็นอย่างไร มันเกี่ยวอะไรกับเธอ? คนที
หลังจากรออยู่ข้างนอกประมาณสิบนาที รถของคุณพ่อฉินก็มาถึง คนที่ขับรถคือคนขับ และเนื่องจากคุณนายฉินอยู่ในรถ เขาจึงขับอย่างมั่นคงมาก ทันทีที่ลงจากรถ คุณพ่อฉินก็มองฉินเย่อย่างไม่พอใจ และพูดอย่างเย็นเยียบ "ขับอะไรเร็วขนาดนั้น? นี่แกลืมไปแล้วหรอว่าเสิ่นหยินอู้ก็อยู่ในรถของแก" หลังจากดุลูกชายของตัวเองเสร็จ คุณพ่อฉินก็เป็นห่วงเสิ่นหยินอู้ คุณแม่ฉินเข็นคุณนายฉินไปอย่างช้าๆ ในช่วงเวลานี้ เธอเหลือบมองลูกชายของเธออย่างไม่สนใจใยดี เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาบูดบึ้ง เธอจึงสบถอยู่ในใจ แล้วส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เธอสอนเคล็ดลับให้เขาไปหมดแล้ว แต่ก็ยังโง่แบบนี้ สมควรแล้วแหละ คุณนายฉินซึ่งกำลังนั่งอยู่บนรถเข็นคงสังเกตเห็นถึงบางอย่าง จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "พวกเขาเหมือนจะมีปัญหากันในช่วงนี้ มักจะอารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอ" หลังจากได้ยิน คุณแม่ฉินก็หยุดครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็เข้าใจได้ทันทีในว่าคุณนายฉินกังวลอะไรอยู่ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ยิ้มแล้วพูดว่า "แม่คะ วัยรุ่นน่ะชอบมีปัญหากับความรัก ไม่ต้องไปสนใจมันมากหรอกค่ะ พอลองคิดถึงตอนที่ฉันยังเป็นวัยรุ่น ฉันก็ทะเลาะกับกับอาหมิงแทบทุกวี่ทุกวัน ไม่ใช่เพรา
การตรวจร่างกายนั้นมีเพียงคุณนายฉินเท่านั้นที่สามารถเข้าไปตรวจได้ คนอื่นทำได้เพียงนั่งเฝ้าอยู่ด้านนอกเท่านั้น ฉินเย่พิงหน้าต่างและคลำที่กระเป๋ากางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว แต่ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้สัมผัสบุหรี่มานานมากแล้ว เขาติดนิสัยที่ชอบสูบบุหรี่เมื่อในใจรู้สึกไม่สงบ และยังไม่ได้แก้นิสัยนี้ จริงๆแล้วเมื่อก่อนเขาไม่ได้สูบบุหรี่มากนัก แต่เขาเลิกสูบบุหรี่อย่างสมบูรณ์ไปเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์กันโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉินเย่ไม่สามารถหยุดความต้องการในร่างกายและกลิ่นของเธอได้ ราวกับว่าเขาเสพติดมัน เขาเริ่มจูบเธอเป็นครั้งคราว ทุกเวลา ทุกสถานที่ เขาไม่พลาดเลยสักโอกาส มีครั้งหนึ่ง เขาประชุมเป็นเวลาหลายชั่วโมง เนื้อหาของการประชุมในวันนั้นทำให้ฉินเย่รู้สึกแย่มาก เขากลับมาที่ห้องประชุมและเริ่มสูบบุหรี่ หลังจากสูบไปได้ไม่นาน เสิ่นหยินอู้ก็เข้ามาพร้อมกับเอกสาร เมื่อเห็นเขาสูบบุหรี่ เธอก็ถามด้วยความเป็นกังวลว่า "ทำไมคุณถึงสูบบุหรี่ในเวลานี้ล่ะ? อารมณ์ไม่ดีหรอ?" เขาไม่ตอบ เพียงแค่จ้องมองเธออย่างเคร่งขรึมด้วยดวงตาสีดำคู่หนึ่ง ในเวลานั้น ความสัมพันธ์ของเสิ่
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ