บนตัวแม่ฉินมีกลิ่นหอมจางๆ จากเลม่อน หอมสดชื่นมากขณะที่กอดเธอ เสิ่นหยินอู้รู้สึกแค่ว่าโล่งใจมาก จึงได้กอดเธอกลับผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงมักจะทำให้เสิ่นหยินอู้ชอบมากเป็นพิเศษแม่ฉินเองก็สัมผัสได้เช่นกัน จึงอดไม่ได้ยื่นมือออกไปดีดจมูกเสิ่นหยินอู้เบาๆ “คิดถึงแม่ใช่ไหม?”คำว่าแม่นี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตะลึงไปชั่วขณะ ผ่านไปนานกว่าจะพยักหน้าตอบ“อืม คิดถึงคุณพ่อคุณแม่มากเลยค่ะ”“จึ ยัยเด็กน้อย พวกเราก็คิดถึงหนูเหมือนกัน” กล่าวจบ แม่ฉินก็บีบแก้มเธอเบาๆ พลันรู้สึกว่าผิวพรรณของเธอดีมากจึงอดไม่ได้ที่จะบีบอีกสองสามที แล้วหันไปพูดกับพ่อฉินว่า “ของขวัญที่เตรียมให้หยินอู้ล่ะ เอามาด้วยไหม?”ได้ยินดังนั้น พ่อฉินก็ควานหาในถุงสองที แล้วหยิบกล่องออกมาสองกล่อง“เอามาสิ”แม่ฉินหันกลับไปรับของ แล้วยื่นให้กับเสิ่นหยินอู้“อะ นี่เป็นของขวัญจากพ่อกับแม่”จริงๆ ไม่ใช่แค่ตอนนี้เท่านั้น แต่ก่อนตอนที่เธอยังไม่แต่งงานกับฉินเย่ ขอแค่เจอหน้าเธอทุกครั้ง พ่อฉินและแม่ฉินก็จะเอาของขวัญให้เธอเสมอ แถมยังเป็นของแพงด้วยถ้าเธอไม่รับไว้ แม่ฉินก็จะพูดกล่อมจนเธอรับเอาไว้ดังนั้นเมื่อได้รับของขวัญ เสิ่นหยินอู้จะเผยรอยยิ้
“เหมือนตอนที่แม่ไล่จีบพ่อน่ะเหรอ?”แม่ฉินกำลังสอนวิธีคืนดีให้ลูกชายอย่างสบายใจ แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ เขาก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องของตัวเธอเอง“พูดอะไรน่ะ? เป็นพ่อแกต่างหากที่ตามตื้อจีบฉันไม่หยุด ฉันกับพ่อแกถึงได้มีวันนี้ เข้าใจไหม”ฉินเย่ส่งเสียงจึ้ ไม่ได้อยากจะเถียงกับเธออีกต่อไปเพราะถึงแม้ว่าจะเป็นแม่ของเขาที่ตามจีบพ่อในตอนแรก แต่เวลาผ่านไปนานมากแล้วและพ่อของเขารักแม่ของเขามาก ตอนนี้ต้องกลับหนังคนละม้วน มาบอกว่าพ่อตามจีบแม่อย่างแน่นอนเรื่องแบบนี้น่ะ เขาเห็นมาบ่อยแล้ว“แกจึ้ปากทำไม? นี่แกไม่เชื่อแม่เหรอ?” แม่ฉินพูดอย่างไม่พอใจ “ไม่เชื่อก็ไปถามพ่อแกดูสิ”“โอเคๆ” ฉินเย่พูดด้วยสีหน้าสงบ “ขึ้นรถเถอะครับ เราต้องไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลอีกนะ”พูดจบ เขาไม่สนใจว่าแม่ฉินจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ฉินเย่ก็สาวเท้าก้าวไปข้างหน้าแล้วแม่ฉินยืนอยู่กับที่ แทบจะโกรธจนควันออกหู และในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงทะเลาะกับเสิ่นหยินอู้ได้นิสัยของลูกชายของเธอเหมือนกับของพ่อของเขาทุกประการ น่าเบื่อหน่าย คนอื่นๆ เย็นชาเหมือนภูเขาน้ำแข็ง แต่ลูกชายของเธอกลับทื่อเหมือนท่อนไม้ถ้าหยินอู้นิสัยไม่เหมือนตนล่ะก
เมื่อเทียบกับอารมณ์ที่ไม่สงบของเขาแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็สงบกว่ามาก “รีบขับสิ อย่าทำให้เวลาตรวจของคุณช้าต้องล่าช้า” เนื่องจากไม่มีคนนอกอยู่ เสิ่นหยินอู้จึงไม่แสดงแล้ว น้ำเสียงและการแสดงออกของเธอแตกต่างไปจากปกติ หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็พบว่าตอนนี้ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากที่ข้างๆเธอเลยแม้แต่น้อย เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย เดิมทีเธอไม่ได้ต้องการจบความสัมพันธ์กับฉินเย่เร็วขนาดนี้ แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นทำให้เธอโกรธ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะ... วันนี้คุณย่าไปตรวจสุขภาพและไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร เธอค่อนข้างกระสับกระส่าย เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หายใจเข้าลึกๆ ขณะที่กำลังจะหันกลับมาพูดอะไรกับฉินเย่พอดี รถก็เร่งความเร็วออกไปอย่างรวดเร็ว เธอตกใจ เธอหันไปมองฉินเย่และเห็นเขาขับรถด้วยสีหน้าอึมครึม ออร่าความโกรธแผ่ออกมาจากตัวเขาอย่างรุนแรง จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกแสบจมูกอย่างอธิบายไม่ถูก ความน้อยใจที่มากมายแพร่กระจายออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ อะไรกัน…… แน่นอนว่า...เธอไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ทำไมเธอต้องมาทนกับอะไรแบบนี้? ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจียงฉูฉู่เป็นอย่างไร มันเกี่ยวอะไรกับเธอ? คนที
หลังจากรออยู่ข้างนอกประมาณสิบนาที รถของคุณพ่อฉินก็มาถึง คนที่ขับรถคือคนขับ และเนื่องจากคุณนายฉินอยู่ในรถ เขาจึงขับอย่างมั่นคงมาก ทันทีที่ลงจากรถ คุณพ่อฉินก็มองฉินเย่อย่างไม่พอใจ และพูดอย่างเย็นเยียบ "ขับอะไรเร็วขนาดนั้น? นี่แกลืมไปแล้วหรอว่าเสิ่นหยินอู้ก็อยู่ในรถของแก" หลังจากดุลูกชายของตัวเองเสร็จ คุณพ่อฉินก็เป็นห่วงเสิ่นหยินอู้ คุณแม่ฉินเข็นคุณนายฉินไปอย่างช้าๆ ในช่วงเวลานี้ เธอเหลือบมองลูกชายของเธออย่างไม่สนใจใยดี เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาบูดบึ้ง เธอจึงสบถอยู่ในใจ แล้วส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เธอสอนเคล็ดลับให้เขาไปหมดแล้ว แต่ก็ยังโง่แบบนี้ สมควรแล้วแหละ คุณนายฉินซึ่งกำลังนั่งอยู่บนรถเข็นคงสังเกตเห็นถึงบางอย่าง จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "พวกเขาเหมือนจะมีปัญหากันในช่วงนี้ มักจะอารมณ์ไม่ดีอยู่เสมอ" หลังจากได้ยิน คุณแม่ฉินก็หยุดครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็เข้าใจได้ทันทีในว่าคุณนายฉินกังวลอะไรอยู่ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ยิ้มแล้วพูดว่า "แม่คะ วัยรุ่นน่ะชอบมีปัญหากับความรัก ไม่ต้องไปสนใจมันมากหรอกค่ะ พอลองคิดถึงตอนที่ฉันยังเป็นวัยรุ่น ฉันก็ทะเลาะกับกับอาหมิงแทบทุกวี่ทุกวัน ไม่ใช่เพรา
การตรวจร่างกายนั้นมีเพียงคุณนายฉินเท่านั้นที่สามารถเข้าไปตรวจได้ คนอื่นทำได้เพียงนั่งเฝ้าอยู่ด้านนอกเท่านั้น ฉินเย่พิงหน้าต่างและคลำที่กระเป๋ากางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว แต่ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้สัมผัสบุหรี่มานานมากแล้ว เขาติดนิสัยที่ชอบสูบบุหรี่เมื่อในใจรู้สึกไม่สงบ และยังไม่ได้แก้นิสัยนี้ จริงๆแล้วเมื่อก่อนเขาไม่ได้สูบบุหรี่มากนัก แต่เขาเลิกสูบบุหรี่อย่างสมบูรณ์ไปเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์กันโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉินเย่ไม่สามารถหยุดความต้องการในร่างกายและกลิ่นของเธอได้ ราวกับว่าเขาเสพติดมัน เขาเริ่มจูบเธอเป็นครั้งคราว ทุกเวลา ทุกสถานที่ เขาไม่พลาดเลยสักโอกาส มีครั้งหนึ่ง เขาประชุมเป็นเวลาหลายชั่วโมง เนื้อหาของการประชุมในวันนั้นทำให้ฉินเย่รู้สึกแย่มาก เขากลับมาที่ห้องประชุมและเริ่มสูบบุหรี่ หลังจากสูบไปได้ไม่นาน เสิ่นหยินอู้ก็เข้ามาพร้อมกับเอกสาร เมื่อเห็นเขาสูบบุหรี่ เธอก็ถามด้วยความเป็นกังวลว่า "ทำไมคุณถึงสูบบุหรี่ในเวลานี้ล่ะ? อารมณ์ไม่ดีหรอ?" เขาไม่ตอบ เพียงแค่จ้องมองเธออย่างเคร่งขรึมด้วยดวงตาสีดำคู่หนึ่ง ในเวลานั้น ความสัมพันธ์ของเสิ่
หลังจากโทรศัพท์ดังขึ้นไม่กี่วินาที ฉินเย่ก็ตัดสายโทรศัพท์ รอบๆตัวเขาก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง ฉินเย่รีบปิดเสียงโทรศัพท์อย่างรวดเร็วเมื่อคุณแม่ฉินเห็นปฏิกิริยาของลูกชายเธอ จะมีอะไรที่เธอไม่เข้าใจล่ะ?ถ้ามันสำคัญ เขาจะรับสายแน่นอนแต่เมื่อเขาเห็นสิ่งที่ปรากฎบนหน้าจอ เขาก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้โดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ตัดสาย นี่มันหมายความว่าอย่างไรล่ะ?คนที่โทรมา... คงจะเป็นเจียงฉูฉู่สินะคุณแม่ฉินไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่ฉินเย่ทำ เธอมองไปที่เสิ่นหยินอู้อีกครั้ง เธอลดสายตาลงและทำท่าทางที่ดูไม่สะทกสะท้าน ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่-หลังจากที่เจียงฉูฉู่ถูกตัดสาย เธอก็ตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิมและไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี่เป็น... ครั้งแรกที่ฉินเย่ตัดสายเธอทำไมกัน?หรือว่าเพราะเธอกำลังจะเสียโฉม ฉินเย่จึงเปลี่ยนใจ?แต่เธอเป็นผู้มีพระคุณของเขาไม่ใช่หรอ? แม้ว่าเธอจะเสียโฉมจริงๆ แต่เขาก็ไม่ควรทำเช่นนี้กับเธอ เมื่อก่อนเขาจะรับสายของเธอในทันทีซูเชี่ยวอยู่ข้างๆเธอ เมื่อเธอเห็นสีหน้าของเจียงฉูฉู่ไม่ค่อยดี เธอก็ด่าทอในทันที "จะต้องเป็นอีเลวเสิ่นหยินอู้ให้ท่าฉินเย่แน่ๆ ไม่งั้นฉินเย่จะไ
ซูเชี่ยวยืนขึ้น “ตอนนี้เขายังอยู่ที่ชั้นล่างหรือเปล่า? ฉันจะไปบอกให้เขากลับไป ช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักสำเหนียกตัวเองเลยจริงๆ ใฝ่หาในสิ่งที่ไม่มีวันได้ซะได้” เมื่อเธอกำลังจะออกไป เธอก็ถูกเจียงฉูฉู่หยุดไว้ "รอเดี๋ยว" "ฉูฉู่?" ไม่มีใครคาดคิดว่าเจียงฉูฉู่จะยิ้มออกมาในวินาทีถัดไปและพูดเบาๆ "ให้เขาขึ้นมา" หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนในห้องผู้ป่วยก็มองเธอด้วยความตกใจและพูดพร้อมกัน "ฉูฉู่!?" “เธอลืมไปแล้วหรอว่าเขาเคยทำอะไรกับเธอบ้าง? ต้วนจื่อเย่เป็นแค่ไอ้ขยะคนนึงนะ ถ้าคุณปล่อยให้เขาขึ้นมา เธอจะไม่…” “ซูเชี่ยว” เสียงของเจียงฉูฉู่ฟังดูอ่อนโยนมาก “ไม่ว่าเมื่อก่อนเขาจะเคยทำอะไรกับฉันไว้บ้าง แต่ตอนนี้ที่ฉันได้รับบาดเจ็บ เขาสามารถสืบหาและมาเยี่ยมฉันถึงที่โรงพยาบาลได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นห่วงฉัน การกระทำแบบนี้ ฉันไม่ควรรู้สึกซาบซึ้งหรอ?จะไล่ให้เขากลับไปได้ยังไง?” คนอื่นๆในห้องผู้ป่วยไม่เห็นด้วย “ฉูฉู่ เขาเป็นห่วงเธอตรงไหน เขาก็แค่คิดอะไรแบบนั้นกับเธอ ถ้าเธอสนใจเขา เขาอาจจะเป็นบ้าขึ้นมาก็ได้ เราอย่าไปสนใจเขาเลยดีกว่านะ?” “ใช่ๆ ฉูฉู่ ฉันรู้ว่าเธอมีจิตใจดี แต่ฉันคิดว่ามีเขามาเยี
“ฉูฉู่ แผลของเธอเป็นยังไงบ้าง? เป็นอะไรมากไหม? ฉัน...ฉันซื้อช่อดอกไม้มาเยี่ยมเธอ ไม่รู้ว่าเธอชอบหรือเปล่า? ตอนแรกฉันจะซื้อผลไม้มาด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเธอชอบกินผลไม้ไหม” ต้วนจื่อเย่พูดกับเจียงฉูฉู่อย่างระมัดระวัง เมื่อเจียงฉูฉู่ได้ยิน เสียงของเขาหยาบและแหบแห้ง น้ำเสียงของเขาไม่มั่นใจเป็นอย่างมาก มันไม่น่าฟังเป็นอย่างยิ่ง แต่เธอก็ยังคงระงับความเศร้าใจไว้และยิ้มออกมา “แผลของฉันไม่เป็นไรมาก ที่จริงนายมาตัวเปล่าก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อของมาฝากฉันเยอะแยะหรอก” “จะให้มามือเปล่าหรอ? ไม่ได้หรอก ฉันรู้สึกแย่” คนอื่นๆให้ห้องทำสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “ไม่ได้ให้นายมามือเปล่า แต่ถ้ามาทั้งทีก็ควรซื้ออะไรที่มันดีกว่านี้หน่อยไหม? ดูสิว่านายซื้อดอกไม้อะไรมา สีน่าเกลียดและฉูดฉาดมากขนาดนี้ ไม่ได้เก็บมาจากริมถนนใช่ไหม?” “ใช่สิ แบบนี้นายยังมีหน้ามาเยี่ยมฉูฉู่อีก” หลังจากได้ยินคำดูหมิ่นเหล่านั้น ดวงตาของต้วนจื่อเย่ก็หม่นลง มือที่ถือดอกไม้อยู่ก็กำแน่นขึ้นเล็กน้อย การกระทำเหล่านี้ล้วนอยู่ในสายตาของเจียงฉูฉู่ เธอเม้มริมฝีปากแล้วลองพูดดูว่า "พวกเธอหยุดพูดได้แล้ว เขาเต็มใจมาเยี่ยมฉัน มันก็เป็นควา
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ