หลังจากโทรศัพท์ดังขึ้นไม่กี่วินาที ฉินเย่ก็ตัดสายโทรศัพท์ รอบๆตัวเขาก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง ฉินเย่รีบปิดเสียงโทรศัพท์อย่างรวดเร็วเมื่อคุณแม่ฉินเห็นปฏิกิริยาของลูกชายเธอ จะมีอะไรที่เธอไม่เข้าใจล่ะ?ถ้ามันสำคัญ เขาจะรับสายแน่นอนแต่เมื่อเขาเห็นสิ่งที่ปรากฎบนหน้าจอ เขาก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้โดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ตัดสาย นี่มันหมายความว่าอย่างไรล่ะ?คนที่โทรมา... คงจะเป็นเจียงฉูฉู่สินะคุณแม่ฉินไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่ฉินเย่ทำ เธอมองไปที่เสิ่นหยินอู้อีกครั้ง เธอลดสายตาลงและทำท่าทางที่ดูไม่สะทกสะท้าน ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่-หลังจากที่เจียงฉูฉู่ถูกตัดสาย เธอก็ตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิมและไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี่เป็น... ครั้งแรกที่ฉินเย่ตัดสายเธอทำไมกัน?หรือว่าเพราะเธอกำลังจะเสียโฉม ฉินเย่จึงเปลี่ยนใจ?แต่เธอเป็นผู้มีพระคุณของเขาไม่ใช่หรอ? แม้ว่าเธอจะเสียโฉมจริงๆ แต่เขาก็ไม่ควรทำเช่นนี้กับเธอ เมื่อก่อนเขาจะรับสายของเธอในทันทีซูเชี่ยวอยู่ข้างๆเธอ เมื่อเธอเห็นสีหน้าของเจียงฉูฉู่ไม่ค่อยดี เธอก็ด่าทอในทันที "จะต้องเป็นอีเลวเสิ่นหยินอู้ให้ท่าฉินเย่แน่ๆ ไม่งั้นฉินเย่จะไ
ซูเชี่ยวยืนขึ้น “ตอนนี้เขายังอยู่ที่ชั้นล่างหรือเปล่า? ฉันจะไปบอกให้เขากลับไป ช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักสำเหนียกตัวเองเลยจริงๆ ใฝ่หาในสิ่งที่ไม่มีวันได้ซะได้” เมื่อเธอกำลังจะออกไป เธอก็ถูกเจียงฉูฉู่หยุดไว้ "รอเดี๋ยว" "ฉูฉู่?" ไม่มีใครคาดคิดว่าเจียงฉูฉู่จะยิ้มออกมาในวินาทีถัดไปและพูดเบาๆ "ให้เขาขึ้นมา" หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนในห้องผู้ป่วยก็มองเธอด้วยความตกใจและพูดพร้อมกัน "ฉูฉู่!?" “เธอลืมไปแล้วหรอว่าเขาเคยทำอะไรกับเธอบ้าง? ต้วนจื่อเย่เป็นแค่ไอ้ขยะคนนึงนะ ถ้าคุณปล่อยให้เขาขึ้นมา เธอจะไม่…” “ซูเชี่ยว” เสียงของเจียงฉูฉู่ฟังดูอ่อนโยนมาก “ไม่ว่าเมื่อก่อนเขาจะเคยทำอะไรกับฉันไว้บ้าง แต่ตอนนี้ที่ฉันได้รับบาดเจ็บ เขาสามารถสืบหาและมาเยี่ยมฉันถึงที่โรงพยาบาลได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นห่วงฉัน การกระทำแบบนี้ ฉันไม่ควรรู้สึกซาบซึ้งหรอ?จะไล่ให้เขากลับไปได้ยังไง?” คนอื่นๆในห้องผู้ป่วยไม่เห็นด้วย “ฉูฉู่ เขาเป็นห่วงเธอตรงไหน เขาก็แค่คิดอะไรแบบนั้นกับเธอ ถ้าเธอสนใจเขา เขาอาจจะเป็นบ้าขึ้นมาก็ได้ เราอย่าไปสนใจเขาเลยดีกว่านะ?” “ใช่ๆ ฉูฉู่ ฉันรู้ว่าเธอมีจิตใจดี แต่ฉันคิดว่ามีเขามาเยี
“ฉูฉู่ แผลของเธอเป็นยังไงบ้าง? เป็นอะไรมากไหม? ฉัน...ฉันซื้อช่อดอกไม้มาเยี่ยมเธอ ไม่รู้ว่าเธอชอบหรือเปล่า? ตอนแรกฉันจะซื้อผลไม้มาด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเธอชอบกินผลไม้ไหม” ต้วนจื่อเย่พูดกับเจียงฉูฉู่อย่างระมัดระวัง เมื่อเจียงฉูฉู่ได้ยิน เสียงของเขาหยาบและแหบแห้ง น้ำเสียงของเขาไม่มั่นใจเป็นอย่างมาก มันไม่น่าฟังเป็นอย่างยิ่ง แต่เธอก็ยังคงระงับความเศร้าใจไว้และยิ้มออกมา “แผลของฉันไม่เป็นไรมาก ที่จริงนายมาตัวเปล่าก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อของมาฝากฉันเยอะแยะหรอก” “จะให้มามือเปล่าหรอ? ไม่ได้หรอก ฉันรู้สึกแย่” คนอื่นๆให้ห้องทำสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “ไม่ได้ให้นายมามือเปล่า แต่ถ้ามาทั้งทีก็ควรซื้ออะไรที่มันดีกว่านี้หน่อยไหม? ดูสิว่านายซื้อดอกไม้อะไรมา สีน่าเกลียดและฉูดฉาดมากขนาดนี้ ไม่ได้เก็บมาจากริมถนนใช่ไหม?” “ใช่สิ แบบนี้นายยังมีหน้ามาเยี่ยมฉูฉู่อีก” หลังจากได้ยินคำดูหมิ่นเหล่านั้น ดวงตาของต้วนจื่อเย่ก็หม่นลง มือที่ถือดอกไม้อยู่ก็กำแน่นขึ้นเล็กน้อย การกระทำเหล่านี้ล้วนอยู่ในสายตาของเจียงฉูฉู่ เธอเม้มริมฝีปากแล้วลองพูดดูว่า "พวกเธอหยุดพูดได้แล้ว เขาเต็มใจมาเยี่ยมฉัน มันก็เป็นควา
ทันทีที่พูดจบ ภายในห้องผู้ป่วยก็เงียบลงทันที อาจเพราะคิดไม่ถึงว่าซูเชี่ยวจะพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เหตุผลที่ทุกคนเงียบไปพร้อมๆกันก็เพราะคำพูดของซูเชี่ยว จู่ๆพวกเธอก็ตระหนักได้ว่าต้วนจื่อเย่ก็ไม่ได้จะไร้ประโยชน์ซะทีเดียว เขาเป็นนักเลงที่ต้องหนีไปทั่ว เรื่องจัดการใครสักคน ดูเหมือนการปล่อยให้เขาทำจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด ทุกคนคาดไม่ถึงว่าซูเชี่ยวจะเปลี่ยนใจเร็วขนาดนี้ ดูเหมือนว่าการทะเลาะกับเสิ่นหยินอู้ในงานเลี้ยงต้อนรับจะทำให้เธอเกลียดเสิ่นหยินอู้จนเข้าไส้จริงๆ หลังจากเงียบไปนาน เจียงฉูฉู่ก็พูดด้วยความตกใจ "ซูเชี่ยว เธอหมายความอะไรน่ะ? จะให้คุณต้วนทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกัน? คุณต้วน ซูเชี่ยวก็แค่พูดไร้สาระ คุณอย่าไปสนใจเลย" ต้วนจื่นเย่เปิดริมฝีปากของเขา "แล้วถ้าผมบอกว่าผมสนใจล่ะ? ฉูฉู่ ผมไม่เคยทำอะไรให้คุณมาก่อน แต่ผมเคยสาบานว่าจะไม่ให้ใครมาทำร้ายคุณได้เด็ดขาด ใครก็ตามที่กล้าทำร้ายคุณ มันจะอยู่ร่วมโลกกับผมต้วนจื่อเย่ไม่ได้ และผมจะไม่มีวันปล่อยคนๆนั้นไปอย่างเด็ดขาด” “คุณต้วน สถานการณ์ตอนนั้นวุ่นวายมาก มันไม่แน่หรอกว่าเสิ่นหยินอู้จะเป็นคนทำ” “ฉูฉู่” ซูเชี่ยวข
"โอเค งั้นฉันจะไปซื้อตั๋วเครื่องบินให้นะคะ คุณสามี" "ขอบคุณครับคุณภรรยา"ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างหวานชื่นพร้อมกับเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เหลือไว้ก็แต่คู่ที่แสนเย็นชาด้านหลัง เสิ่นหยินอู้และฉินเย่ต่างคนต่างเดิน เสิ่นหยินอู้มองดูพ่อแม่ของฉินเย่ที่เดินด้วยกันอย่างหวานชื่น ขณะที่เธอและฉินเย่กลับไม่มีความใกล้ชิดกันเลย ถ้าไปหาคุณย่าแบบนี้อาจไม่ดีเท่าไร เธอจึงหยุดเดินและพูดกับฉินเย่ว่า "ฉันจะไปรอคุณที่รถนะ" ได้ยินแบบนั้นนั้น ฉินเย่ก็หยุดเดินไปสักพัก เขามองเธอครู่หนึ่งและนึกถึงคำพูดที่ตัวเองยังไม่ได้พูดออกมา แต่ก่อนที่จะได้เปิดปากพูดออกมา เสิ่นหยินอู้ก็หันหลังเดินไปแล้ว สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนไป เขาตามเธอไปด้วยสีหน้าโกรธ ทางฝั่งคุณแม่ของฉินเย่เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินเสร็จแล้ว และกำลังหันกลับมาจะพูดกับทั้งสองคน แต่เห็นเพียงแค่แผ่นหลังฉินเย่ที่วิ่งตามเสิ่นหยินอู้ไป "เด็กสองคนนี้......" คุณแม่ฉินเย่ส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วโบกมือ "งั้นปล่อยพวกเขาไปก่อน เราไปหาคุณแม่กันเถอะ" "อืม เอาตามที่คุณว่าเลย"สำหรับลูกชายของเขา คุณพ่อฉินเย่ไม่ได้กังวลอะไรเลย เพราะลูกชายเขาโตแล้ว ไม่น่าจะจ
จริงๆแล้วฉินเย่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยากพูดอะไร เขาแค่มีอารมณ์บางอย่างอยู่ในอก จนเหมือนว่าจะระเบิดออกมาให้ได้ แต่ก็ยังไม่เจอทางที่จะระบายออกมา แต่เขารู้อย่างแจ่มแจ้งว่าคนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้คือเสิ่นหยินอู้ ความกังวลนี้ทำให้ฉินเย่รู้สึกไม่สบายใจ เสิ่นหยินอู้เห็นฉินเย่ยังจับข้อมือตัวเองอยู่ เขาคิ้วขมวด ทำเหมือนไม่อยากปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป เธอจึงพูดอีกครั้งว่า "ไม่ว่าคุณจะอยากพูดอะไรตอนนี้ ช่วยบอกหลังจากคุณย่าผาตัดเสร็จแล้วก็คงไม่ต่างกันใช่ไหม?" ถ้าฉินเย่มีเรื่องอะไรที่อยากจะพูดกับเธอ ก็คงไม่พ้นเรื่องเขากับฉูฉู่ เหตุการณ์ที่ฉูฉู่ล้มครั้งก่อน ดูเหมือนไม่มีผลอะไรตามมา เขาไม่ได้มาพูดอะไรกับเธออีก อาจเป็นเพราะตอนอยู่บ้านต้องรักษาหน้าคุณย่าเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะลืมเรื่องนี้ไป แม้ฉินเย่จะบอกวันนั้นว่าเขารู้ว่าเจียงฉูฉู่ล้มลงไปเอง แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายหรือแก้ตัวให้เธอเหมือนกัน? ดังนั้นถ้าเจียงฉูฉู่คิดจะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็คงเป็นหลังจากที่คุณย่าผ่าตัดเสร็จแต่ถึงตอนนั้นเสิ่นหยินอู้ก็คงหย่ากับฉินเย่แล้ว แล้วเธอจะต้องกังวลอะไรอีก? แต่ตอนนี้เธอไม่อยากจะพูดเรื่องฉู
หลังจากที่ฉินเย่จัดการเรื่องของคุณย่าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ถึงส่งข้อความไปหาเจียงฉูฉู่ บอกเธอเกี่ยวกับการเตรียมทำการผ่าตัดของคุณย่า เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่ได้รับสายเธอเดิมทีเจียงฉูฉู่คิดว่าฉินเย่กำลังหลบหน้าเธอ ดังนั้นถึงแม้ว่าต้วนจื่อเย่จะไปแก้แค้นให้เธอแล้ว แต่ถ้าฉินเย่ไม่อยู่เคียงข้างเธอ เธอก็ยังรู้สึกไม่มีความสุขอยู่ดี ดังนั้นเมื่อเจียงฉูฉู่ได้รับข้อความจากฉินเย่ อารมณ์ของเธอก็เริ่มดีขึ้นทันทีถ้าเป็นเพราะเรื่องของคุณนายฉินเขาเลยไม่ได้รับสายเธอ งั้นเจียงฉูฉู่ก็ไม่รู้สึกกังวลอีกต่อไป เธอโทรหาฉินเย่อีกครั้งด้วยความระมัดระวัง ครั้งนี้ฉินเย่รับสายอย่างรวดเร็ว "เย่" เสียงของฉินเย่ฟังดูเหนื่อยนิดหน่อย "อืม ช่วงนี้เธออยู่โรงพยาบาลพักผ่อนดีๆนะ เดี๋ยวฉันจะหาเวลาไปหาเธอ" "ฉันรู้ว่านายยุ่ง ไม่มีเวลาเข้ามาก็ไม่เป็นไร" น้ำเสียงของเจียงฉูฉู่อ่อนโยนเหมือนกับน้ำ "เมื่อเทียบกับเรื่องของย่าของคุณ แผลที่หน้าผากของฉันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย นายไปจัดการเรื่องของคุณย่าก่อนเถอะ" เดิมทีฉินเย่กังวลว่าเธออาจมีความรู้สึกที่ไม่ดีเพราะเขาไม่ได้เข้าไปหา แต่เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ เขาก็รู้สึกสบ
"ครั้งที่แล้วก็เพราะการผ่าตัดถูกเลื่อนออกไป ฉันต้องรออีกนานแค่ไหนเนี่ย? ถ้าไม่ใช่เพราะการผ่าตัดถูกเลื่อน เย่กับเสิ่นหยินอู้ก็คงจะหย่ากันแล้ว และคงจะไม่มีเรื่องเกิดขึ้นตามมามากมายขนาดนี้" พูดมาถึงตรงนี้ เจียงฉูฉู่ก็จับข้อมือซูเชี่ยว "ซูเชี่ยว ฉันรู้ว่าเธอหวังดีกับฉันเสมอ แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้คุณนายฉินผ่าตัดให้เสร็จ ฉันกับเย่ถึงจะมีโอกาส ไม่อย่างนั้น......การที่ยืดเยื้อออกไปแล้วไม่หย่าสักทีนั่นคือสิ่งที่อันตรายที่สุด ฉันไม่รู้ว่าฉันจะเกลี้ยกล่อมต้วนจื่อเย่ได้ไหม เธอเก่งเรื่องการเจรจา เธอช่วยเกลี้ยกล่อมเขาให้ฉันหน่อยได้ไหม? บอกเขาว่าอย่าวู่วาม อย่าทำอะไรโง่ๆ รอให้ฉันเป็นภรรยาของฉินเย่ก่อน ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเธอ" เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ซูเชี่ยวก็เหมือนได้รับคำสัญญา "ฉูฉู่ ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะช่วยเธอแน่นอน" เจียงฉูฉู่มองเธอด้วยความซาบซึ้งทันที "ซูเชี่ยว ขอบคุณนะ เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลย" หลังจากออกจากโรงพยาบาล ซูเชี่ยวโทรหาต้วนจื่อเย่ให้ออกมาหาเพราะปกติพวกเธอมักจะดูถูกเขาเสมอ ดังนั้นนอกจากเจียงฉูฉู่แล้ว ต้วนจื่อเย่จึงไม่มีความรู้สึกดีต่อผู้หญิงคน
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ