"โอเค งั้นฉันจะไปซื้อตั๋วเครื่องบินให้นะคะ คุณสามี" "ขอบคุณครับคุณภรรยา"ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างหวานชื่นพร้อมกับเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เหลือไว้ก็แต่คู่ที่แสนเย็นชาด้านหลัง เสิ่นหยินอู้และฉินเย่ต่างคนต่างเดิน เสิ่นหยินอู้มองดูพ่อแม่ของฉินเย่ที่เดินด้วยกันอย่างหวานชื่น ขณะที่เธอและฉินเย่กลับไม่มีความใกล้ชิดกันเลย ถ้าไปหาคุณย่าแบบนี้อาจไม่ดีเท่าไร เธอจึงหยุดเดินและพูดกับฉินเย่ว่า "ฉันจะไปรอคุณที่รถนะ" ได้ยินแบบนั้นนั้น ฉินเย่ก็หยุดเดินไปสักพัก เขามองเธอครู่หนึ่งและนึกถึงคำพูดที่ตัวเองยังไม่ได้พูดออกมา แต่ก่อนที่จะได้เปิดปากพูดออกมา เสิ่นหยินอู้ก็หันหลังเดินไปแล้ว สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนไป เขาตามเธอไปด้วยสีหน้าโกรธ ทางฝั่งคุณแม่ของฉินเย่เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินเสร็จแล้ว และกำลังหันกลับมาจะพูดกับทั้งสองคน แต่เห็นเพียงแค่แผ่นหลังฉินเย่ที่วิ่งตามเสิ่นหยินอู้ไป "เด็กสองคนนี้......" คุณแม่ฉินเย่ส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วโบกมือ "งั้นปล่อยพวกเขาไปก่อน เราไปหาคุณแม่กันเถอะ" "อืม เอาตามที่คุณว่าเลย"สำหรับลูกชายของเขา คุณพ่อฉินเย่ไม่ได้กังวลอะไรเลย เพราะลูกชายเขาโตแล้ว ไม่น่าจะจ
จริงๆแล้วฉินเย่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยากพูดอะไร เขาแค่มีอารมณ์บางอย่างอยู่ในอก จนเหมือนว่าจะระเบิดออกมาให้ได้ แต่ก็ยังไม่เจอทางที่จะระบายออกมา แต่เขารู้อย่างแจ่มแจ้งว่าคนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้คือเสิ่นหยินอู้ ความกังวลนี้ทำให้ฉินเย่รู้สึกไม่สบายใจ เสิ่นหยินอู้เห็นฉินเย่ยังจับข้อมือตัวเองอยู่ เขาคิ้วขมวด ทำเหมือนไม่อยากปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป เธอจึงพูดอีกครั้งว่า "ไม่ว่าคุณจะอยากพูดอะไรตอนนี้ ช่วยบอกหลังจากคุณย่าผาตัดเสร็จแล้วก็คงไม่ต่างกันใช่ไหม?" ถ้าฉินเย่มีเรื่องอะไรที่อยากจะพูดกับเธอ ก็คงไม่พ้นเรื่องเขากับฉูฉู่ เหตุการณ์ที่ฉูฉู่ล้มครั้งก่อน ดูเหมือนไม่มีผลอะไรตามมา เขาไม่ได้มาพูดอะไรกับเธออีก อาจเป็นเพราะตอนอยู่บ้านต้องรักษาหน้าคุณย่าเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะลืมเรื่องนี้ไป แม้ฉินเย่จะบอกวันนั้นว่าเขารู้ว่าเจียงฉูฉู่ล้มลงไปเอง แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายหรือแก้ตัวให้เธอเหมือนกัน? ดังนั้นถ้าเจียงฉูฉู่คิดจะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็คงเป็นหลังจากที่คุณย่าผ่าตัดเสร็จแต่ถึงตอนนั้นเสิ่นหยินอู้ก็คงหย่ากับฉินเย่แล้ว แล้วเธอจะต้องกังวลอะไรอีก? แต่ตอนนี้เธอไม่อยากจะพูดเรื่องฉู
หลังจากที่ฉินเย่จัดการเรื่องของคุณย่าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ถึงส่งข้อความไปหาเจียงฉูฉู่ บอกเธอเกี่ยวกับการเตรียมทำการผ่าตัดของคุณย่า เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่ได้รับสายเธอเดิมทีเจียงฉูฉู่คิดว่าฉินเย่กำลังหลบหน้าเธอ ดังนั้นถึงแม้ว่าต้วนจื่อเย่จะไปแก้แค้นให้เธอแล้ว แต่ถ้าฉินเย่ไม่อยู่เคียงข้างเธอ เธอก็ยังรู้สึกไม่มีความสุขอยู่ดี ดังนั้นเมื่อเจียงฉูฉู่ได้รับข้อความจากฉินเย่ อารมณ์ของเธอก็เริ่มดีขึ้นทันทีถ้าเป็นเพราะเรื่องของคุณนายฉินเขาเลยไม่ได้รับสายเธอ งั้นเจียงฉูฉู่ก็ไม่รู้สึกกังวลอีกต่อไป เธอโทรหาฉินเย่อีกครั้งด้วยความระมัดระวัง ครั้งนี้ฉินเย่รับสายอย่างรวดเร็ว "เย่" เสียงของฉินเย่ฟังดูเหนื่อยนิดหน่อย "อืม ช่วงนี้เธออยู่โรงพยาบาลพักผ่อนดีๆนะ เดี๋ยวฉันจะหาเวลาไปหาเธอ" "ฉันรู้ว่านายยุ่ง ไม่มีเวลาเข้ามาก็ไม่เป็นไร" น้ำเสียงของเจียงฉูฉู่อ่อนโยนเหมือนกับน้ำ "เมื่อเทียบกับเรื่องของย่าของคุณ แผลที่หน้าผากของฉันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย นายไปจัดการเรื่องของคุณย่าก่อนเถอะ" เดิมทีฉินเย่กังวลว่าเธออาจมีความรู้สึกที่ไม่ดีเพราะเขาไม่ได้เข้าไปหา แต่เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ เขาก็รู้สึกสบ
"ครั้งที่แล้วก็เพราะการผ่าตัดถูกเลื่อนออกไป ฉันต้องรออีกนานแค่ไหนเนี่ย? ถ้าไม่ใช่เพราะการผ่าตัดถูกเลื่อน เย่กับเสิ่นหยินอู้ก็คงจะหย่ากันแล้ว และคงจะไม่มีเรื่องเกิดขึ้นตามมามากมายขนาดนี้" พูดมาถึงตรงนี้ เจียงฉูฉู่ก็จับข้อมือซูเชี่ยว "ซูเชี่ยว ฉันรู้ว่าเธอหวังดีกับฉันเสมอ แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้คุณนายฉินผ่าตัดให้เสร็จ ฉันกับเย่ถึงจะมีโอกาส ไม่อย่างนั้น......การที่ยืดเยื้อออกไปแล้วไม่หย่าสักทีนั่นคือสิ่งที่อันตรายที่สุด ฉันไม่รู้ว่าฉันจะเกลี้ยกล่อมต้วนจื่อเย่ได้ไหม เธอเก่งเรื่องการเจรจา เธอช่วยเกลี้ยกล่อมเขาให้ฉันหน่อยได้ไหม? บอกเขาว่าอย่าวู่วาม อย่าทำอะไรโง่ๆ รอให้ฉันเป็นภรรยาของฉินเย่ก่อน ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเธอ" เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ซูเชี่ยวก็เหมือนได้รับคำสัญญา "ฉูฉู่ ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะช่วยเธอแน่นอน" เจียงฉูฉู่มองเธอด้วยความซาบซึ้งทันที "ซูเชี่ยว ขอบคุณนะ เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลย" หลังจากออกจากโรงพยาบาล ซูเชี่ยวโทรหาต้วนจื่อเย่ให้ออกมาหาเพราะปกติพวกเธอมักจะดูถูกเขาเสมอ ดังนั้นนอกจากเจียงฉูฉู่แล้ว ต้วนจื่อเย่จึงไม่มีความรู้สึกดีต่อผู้หญิงคน
เขามีความทรงจำกับผู้หญิงคนนี้ แต่ก่อนเราเคยเรียนที่เดียวกัน เขาจำได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวย แต่ไม่คิดว่าเธอจะร้ายขนาดนี้ แน่นอนว่ามีแค่เจียงฉูฉู่ที่เขาชอบเท่านั้นที่จิตใจดี ผู้หญิงคนอื่นล้วนแต่เป็นแกะในคราบหมาป่า "โอเค งั้นก็แค่นี้ ถึงวันนั้นฉันจะติดต่อนายไป นายจะทำก็ทำ ไม่ทำก็ช่าง"ซูเชี่ยวพูดจบก็เดินจากไป เมื่อเธอเดินไปแล้ว ต้วนจื่อเย่ก็ถ่มน้ำลายลงพื้น ดวงตาฉายแววร้ายกาจ "ยัยผู้หญิงน่ารังเกียจ รอให้ฉันได้ตัวเจียงฉูฉู่มาอยู่ในมือก่อน พวกเธอไม่มีใครรอดแน่" -อาจเป็นเพราะการพูดคุยที่โรงพยาบาลกับฉินเย่ พอกลับบ้านแล้ว เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ก็มีช่วงเวลาที่สงบสุขแบบที่หาได้ยาก นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เจียงฉูฉู่กลับมาเพราะคุณย่าต้องผ่าตัด ฉินเย่จึงไม่ออกไปไหน ยกเว้นบริษัทกับบ้าน เขาแทบจะใช้ชีวิตอยู่แค่สองที่นี้ เราทั้งคู่ต่างก็เหมือนกัน หลังจากการตรวจในวันนั้น หมอเฉินบอกว่าให้รอแจ้งผลตรวจให้ทราบอีกที พ่อของฉินเย่ไปต่างประเทศเพื่อจัดการเรื่องต่างๆ ส่วนคุณแม่ของฉินเย่ก็อยู่กับคุณย่า พาคุณนายฉินไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆ ทุกวันเธอเป็นคนที่กระตือรือร้นมาก การอยู่กับเธอทำให้ค
ปั้ง! ร่างกายที่บอบบางของเสิ่นหยินอู้กระแทกเข้ากับประตูกระจก จนทำให้เกิดเสียงดัง พนักงานที่เห็นเหตุการณ์นี้ ตกใจจนตาโตแล้วรีบวิ่งเข้ามา "คุณผู้หญิง ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?"โจวชวงชวงที่อยู่ปลายสายได้ยินเสียงก็ถามด้วยความตกใจ "เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น? หยินอู้ เกิดอะไรขึ้น? เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?" ไหล่ของเสิ่นหยินอู้ที่ถูกชนนั้นเจ็บ จนทำให้เธอขมวดคิ้ว พนักงานเข้ามาช่วยพยุงเธอ แต่สัญชาติญาณแรกของเสิ่นหยินอู้คือเธอระวังท้องของตัวเอง เธอยกมือขึ้นมาปกป้องท้องของตัวเองโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่เธอรู้ว่าเจ็บแค่ไหล่เฉยๆ ไม่มีปัญหาอื่น เธอก็โล่งใจ จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองคนที่ชนเธอ ไม่รู้ว่าเป็นใคร เข้ามาทำไมไม่รู้จักระวังหน่อย?อีกอย่าง เวลาผ่านมาตั้งนานแล้ว คนที่ชนเธอทำไมถึงไม่ขอโทษสักคำเลย? เมื่อเสิ่นหยินอู้เงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างไม่คาดคิด ประมาณสามถึงสี่วินาที เสิ่นหยินอู้ก็เรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาโดยไม่รู้ตัว "ต้วนจื่อเย่?" "อะไร อะไร?" โจวชวงชวงได้ยินเสียงของเธอจากหูฟังถามด้วยความสงสัย "ชื่อใครอ่ะ ฟังดูคุ้นๆ? เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น? ไม่เป
คิดมาถึงตรงนี้ ต้วนจื่อเย่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แถมยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อย "คุณจะมารู้จักคนแบบผมได้ยังไง?" เขาพูดพร้อมกับมีสีหน้าเยาะเย้ย "คุณหนูชนชั้นสูงแบบคุณ ควรจะเกลียดคนมีปัญหาแบบผมที่สุดไม่ใช่หรอ? ตอนเรียนก็เป็นเด็กมีปัญหา พอออกจากโรงเรียนไม่มีประโยชน์อะไรต่อสังคมเลย"เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป ไม่ได้ตอบโต้กลับ "ผมพูดถูกใช่ไหม? คุณก็เหมือนคนพวกนั้นที่ดูถูกผม?"เสิ่นหยินอู้ได้สติกลับมา เงยหน้ามองไปที่เขา "คุณคิดว่าต้องเป็นคนแบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคม?"คำถามนี้ทำให้ต้วนจื่อเย่ชะงักไป "ทุกคนต่างก็มีงานและโอกาสของตัวเองกันทั้งนั้น เราทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปดูถูกคุณ" ถ้าเป็นเมื่อก่อน เสิ่นหยินอู้อาจจะไม่อธิบายกับเขามากขนาดนี้แต่ตั้งแต่ครอบครัวล้มละลาย ทำให้เธอเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น เมื่อพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ "ฉันมีธุระ ไปก่อนนะ"เธอก็ไม่คิดจะเอาเรื่องต้วนจื่อเย่ที่เดินชนเธอ พูดจบเธอก็รีบเดินออกไป ต้วนจื่อเย่ยืนอยู่ที่เดิม มองดูเธอเดินจากไปด้วยความคิดบางอย่างสักพัก เขาก็ขยี้บุหรี่ในมือทิ้งแ
เมื่อกลับมาที่ออฟฟิศ เสิ่นหยินอู้ก็วางเค้กในมือไว้บนโต๊ะก่อนลงไปข้างล่างเธออารมณ์ดีและรู้สึกอยากอาหาร แต่ตอนนี้กลับหมดความอยากอาหารไปเลย ในตอนนี้ สิ่งที่อยู่ในหัวของเสิ่นหยินอู้มีแต่เรื่องที่เจอต้วนจื่อเย่ตอนที่อยู่ข้างล่าง คำพูดของโจวชวงชวงทำให้เธอตระหนักได้ แม้ว่าเธอไม่อยากคิดร้ายกับคนอื่น เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่าวันนี้ที่เจอต้วนจื่อเย่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ เนื่องจากร้านเค้กที่ชั้นล่างนั้นขายดีมาก คนจากที่อื่นมาก็อาจจะมาซื้อเค้กที่นี่เป็นเรื่องปกติ แต่ว่า...... ในโลกนี้จะมีเรื่องที่บังเอิญขนาดนั้นเลยหรอ? บังเอิญเจอเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ได้เจอกันมานานในช่วงที่เจียงฉูฉู่บาดเจ็บ และคนนี้ยังเป็นคนที่ชอบเจียงฉูฉู่อีก คิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็แกะกล่องเค้กออก กลิ่นหอมฟุ้งลอยออกมา เสิ่นหยินอู้หยิบมีดและส้อมที่พนักงานเตรียมไว้ให้ ตักเค้กชิ้นเล็กๆ เข้าปาก ขณะเดียวกันก็ตัดสินใจไปด้วย ว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่บังเอิญ หลังจากนี้เธอต้องระวังตัวมากขึ้นถ้าต้วนจื่อเย่ต้องการแก้แค้นแทนเจียงฉูฉู่จริงๆ เธอจะได้หลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าไม่ใช่....