เมื่อกลับมาที่ออฟฟิศ เสิ่นหยินอู้ก็วางเค้กในมือไว้บนโต๊ะก่อนลงไปข้างล่างเธออารมณ์ดีและรู้สึกอยากอาหาร แต่ตอนนี้กลับหมดความอยากอาหารไปเลย ในตอนนี้ สิ่งที่อยู่ในหัวของเสิ่นหยินอู้มีแต่เรื่องที่เจอต้วนจื่อเย่ตอนที่อยู่ข้างล่าง คำพูดของโจวชวงชวงทำให้เธอตระหนักได้ แม้ว่าเธอไม่อยากคิดร้ายกับคนอื่น เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่าวันนี้ที่เจอต้วนจื่อเย่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ เนื่องจากร้านเค้กที่ชั้นล่างนั้นขายดีมาก คนจากที่อื่นมาก็อาจจะมาซื้อเค้กที่นี่เป็นเรื่องปกติ แต่ว่า...... ในโลกนี้จะมีเรื่องที่บังเอิญขนาดนั้นเลยหรอ? บังเอิญเจอเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ได้เจอกันมานานในช่วงที่เจียงฉูฉู่บาดเจ็บ และคนนี้ยังเป็นคนที่ชอบเจียงฉูฉู่อีก คิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็แกะกล่องเค้กออก กลิ่นหอมฟุ้งลอยออกมา เสิ่นหยินอู้หยิบมีดและส้อมที่พนักงานเตรียมไว้ให้ ตักเค้กชิ้นเล็กๆ เข้าปาก ขณะเดียวกันก็ตัดสินใจไปด้วย ว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่บังเอิญ หลังจากนี้เธอต้องระวังตัวมากขึ้นถ้าต้วนจื่อเย่ต้องการแก้แค้นแทนเจียงฉูฉู่จริงๆ เธอจะได้หลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าไม่ใช่....
ฉินเย่ไม่คิดว่าเสิ่นหยินอู้จะมาหาตน บนใบหน้าอันเย็นชาพลันมีความรู้สึกเพิ่มมากขึ้น“มาหาฉันเหรอ?”ได้ยินดังนั้น มือที่อยู่กลางอากาศของเสิ่นหยินอู้พลันหุบกลับเข้ามาเธอพยักหน้า “ฉันรู้สึกไม่สบายน่ะ ไม่อยากขับรถเอง เมื่อคืนฉัน…”เมื่อนึกถึงบางอย่างเข้า เสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนหัวข้อ “ช่วงนี้ฉันขอติดรถนายไปได้ไหม?”“ไม่สบายตรงไหน?”ไม่คิดว่าสิ่งที่ฉินเย่ถามออกมาจะเป็นคำถามถึงอาการป่วยของเธอ สายตาเฉียบคมถึงกับสำรวจมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าเสิ่นหยินอู้ตัวแข็งทื่อ “เอ่อ นี่ไม่ใช่ประเด็น”วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็โน้มตัวจับไหล่ของเธอไว้ “นี่ไม่ใช่ประเด็น แล้วอะไรถึงจะเป็นประเด็น? ร่างกายเธอเป็นอะไรกันแน่?”ก่อนหน้านี้ เขาก็รู้สึกว่าเธอแปลกๆ เหมือนมีบางอย่างปิดบังเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้นใบแจ้งผลนั่น…ก็ทำให้เขารู้สึกแปลกเช่นกันตอนนั้นเขาคิดว่าเธอป่วยถึงได้ฉีกใบแจ้งผลนั่นทิ้ง แต่คำอธิบายที่เสิ่นหยินอู้ให้กับเขาในภายหลังกลับทำให้เขารู้สึกไม่มีช่องว่างให้โจมตีฝนตกหนักขนาดนั้น ใบแจ้งผลใส่อยู่ในถุง การจะถูกน้ำฝนแช่จนขนาดหลุดลุ่ยนั้นเป็นเรื่องปกติมากหลังจากนั้น เธอก็ตัดบทด้วยวิธีอื่น ทำให้เรื่อ
ฉินเย่รับโทรศัพท์ เสียงอ่อนนุ่มของเจียงฉูฉู่ดังผ่านโทรศัพท์ออกมา“เย่ เลิกงานแล้วใช่ไหมคะ? ฉันคิดว่าเวลานี้คุณน่าจะว่างแล้ว ก็เลยโทรมาหาน่ะค่ะ”“อืม” ฉินเย่มองไปยังเสิ่นหยินอู้ที่อยู่ไม่ไกล “เพิ่งเลิกงาน”“งั้นก็ดีค่ะ ฉันกลัวว่าจะไปรบกวนเวลางานของคุณ แล้วคุณย่าเป็นยังไงบ้านคะ? สองสามวันนี้ฉันเป็นห่วงท่านมากเลย ตอนอยู่โรงพยาบาลก็ไม่ได้พักผ่อนดีๆ ถ้าคุณย่าชอบฉันก็คงดี ฉันจะได้ไปเฝ้าท่านที่โรงพยาบาลได้”ทุกถ้อยทุกคำของเจียงฉูฉู่เอ่ยถึงคุณย่าตลอด ทำให้ฉินเย่รู้สึกผิดในใจ น้ำเสียงพลางอ่อนนุ่มตามไปด้วย“คุณรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเถอะ เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมาก”“ฉันรู้แล้วค่ะ ฉันก็แค่เป็นห่วงคุณย่า…เอาอย่างงี้ได้ไหม คุณมารับฉันไปหาคุณย่าตอนที่ท่านจะเข้าผ่าตัดได้ไหม? แบบนั้นคุณย่าไม่เห็นหน้าฉัน ก็จะไม่โกรธแล้ว”วันที่ผ่าตัดเหรอ?ฉินเย่เม้มริมฝีปาก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแต่ทว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรนั้น ต้องรอดูวันนั้น“เดี๋ยวผมจะบอกคุณอีกทีวันที่ผ่าตัดแล้วกัน”เจียงฉูฉู่ไม่คิดว่าเขาจะตอบตกลงทันทีอยู่แล้ว แต่ทว่าครั้งนี้เธอพูดจุดประสงค์ของตนออกมาก่อน และเขาไม่ไ
ส่วนการกระทำของเธอเช่นนี้ ทำให้ฉินเย่คิดว่าเธอเป็นเหมือนตอนเด็ก และตนก็มีหางเพิ่มเข้ามาคอยติดตามอยู่เขาไม่เพียงไม่รู้สึกรำคาญเท่านั้น แต่ยังรู้สึกพึงพอใจมาก ขนาดรู้สึกว่า…หากเธอตกลง เขาไม่ถือสาที่เธอจะติดตามเขาแบบนี้ไปตลอดชีวิตความคิดที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจนี้ ทำให้ฉินเย่อดไม่ได้ที่จะตระหนักถึงความรู้สึกของตนเองอย่างจริงจังอีกครั้งแต่ทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ ในสมองของเขาก็จะมีภาพของผู้หญิงคนหนึ่งผุดขึ้นมา เธอน่าสงสาร ดูอ่อนแอแต่กลับเสี่ยงชีวิตช่วยเขาไว้ และยังคิดถึงเขาทุกเรื่องเสมอเขาเองก็เคยสัญญากับเธอว่า ตำแหน่งข้างกายของตนจะเป็นของเธอเสมอและตลอดไปหลังจากที่รู้ว่าสมองของตนเริ่มตีกันนั้น ฉินเย่พลันรู้สึกว่าเป็นเพราะฟ้าเล่นตลกกับเขาไม่อย่างนั้น จะมีคนสองคนอยู่ในหัวใจของคนคนหนึ่งได้อย่างไร?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉินเย่พลางโยนปากกาบนโต๊ะ ไม่มีกะจิตกะใจทำงานต่ออีก_เข้าสู่วันที่สี่ หมอเฉินส่งข้อความมาให้คุณนายฉินเข้าไปทำเรื่องแอดมิดโรงพยาบาล เพื่อรอผ่าตัดดังนั้นไม่ว่าในใจทุกคนจะคิดอย่างไร หรือมีงานสำคัญในมือแค่ไหน ก็ต้องวางมือ แล้วมุ่งความสนใจไปที่เรื่องผ่าตัดของคุ
“อีกสองวันก็จะได้ผ่าตัดแล้ว? จริงเหรอคะ?”เจียงฉูฉู่ถือโทรศัพท์ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจและตื่นเต้นในที่สุดก็จะได้ผ่าตัดแล้วครั้งนี้ยายแก่นั่นคงไม่คิดจะทำอะไรอีกใช่ไหม?“ดีจังเลยค่ะ การผ่าตัดของคุณย่าต้องผ่านไปด้วยดีแน่ๆ”“ขอบใจมาก”ด้วยความดีใจ เจียงฉูฉู่พลางถามขึ้น “เย่คะ ประเด็นระหว่างเราที่เคยพูดกันคราวก่อน…หากคุณย่าผ่าตัดอยู่ ฉันสามารถไปได้ไหมคะ? คุณวางใจได้เลย ฉันแค่ไปรอที่หน้าห้องผ่าตัดแป๊บเดียวก็กลับ คุณไม่ต้องมารับส่งฉัน ฉันขอแค่ไปแอบดูสักหน่อย ได้ไหมคะ?”ครั้งนี้ฉินเย่เงียบกริบผ่านไปนาน ถึงจะเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ฉูฉู่ ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องคาดไม่ถึงขึ้นน่ะ”ได้ยินดังนั้น เจียงฉูฉู่พลันอ้ำอึ้งไปชั่วขณะ“เรื่องคาดไม่ถึงอะไรกัน?”“หลังจากผ่าตัด คุณย่ายังต้องพักฟื้นต่อ”เมื่อได้ยินดังนั้น มีหรือที่เจียงฉูฉู่จะไม่เข้าใจ?เธอกัดริมฝีปากล่างอย่างไม่พอใจ “แต่ว่า ฉันไม่ได้จะไปเปิดเผยตัวสักหน่อยนี่ ถือซะว่าฉันไปเยี่ยมคนแก่ที่เข้าผ่าตัดด้วยความเป็นห่วงในฐานะเพื่อนก็ไม่ได้เหรอ? บางที หากคุณย่าเห็นหน้าฉัน ท่านอาจจะดีใจก็ได้?”“ฉูฉู่ คุณย่าไม่ได้ผ่าตัดธรรมดาทั่วไป”เจียงฉู
“นั่นมันเรื่องวันก่อนไม่ใช่เหรอ? ผ่านไปกี่วันแล้ว?”ต้วนจื่อเหย่ “…กี่วันแล้วมันต่างกันหรือไง?”“สรุป นายจะทำไม่ทำ? ถ้าทำพรุ่งนี้ฉันจะส่งข้อความไปให้”หลังจากที่ถูกเธอถามเช่นนั้น ทางนั้นกลับเงียบไปชั่วขณะซูเชี่ยวรออยู่พักหนึ่ง ก็ไม่ได้รับการตอบกลับของเขา จึงหรี่ตาลงเล็กน้อย “ต้วนจื่อเหย่ นายคงไม่ได้รู้สึกผิดหรอกนะ? ปากนายบอกจะแก้แค้นแทนฉูฉู่นั้นที่แท้ก็แค่พูดไปอย่างนั้นสินะ ฉันรู้อยู่แล้วว่าคำพูดของผู้ชายน่ะเชื่อไม่ได้หรอก มีแค่คำพูดลวงหลอก อย่างนายน่ะ ฉันคิดว่าจะทนได้มากกว่านี้ซะอีก”สงสัยคำพูดของเธอจะไปแทงใจต้วนจื่อเหย่ เขาพูดอย่างไม่พอใจว่า “ใครเสียใจกัน? ฉันพูดหรือไงว่าเสียใจ? ซูเชี่ยว เธอคิดว่าฉันไม่กล้าตีผู้หญิงใช่ไหม?”จู่ๆ เขาก็ระเบิดอารมณ์ออกมา ทำให้ซูเชี่ยวตกใจสะดุ้ง ผ่านไปนานกว่าจะรู้สึกตัว“ฉัน ฉันคิดว่านายไม่อยากช่วยฉูฉู่แล้ว ก็เลย…”“ฉันจะช่วยหล่อน แต่ไม่ช่วยเธอ ดังนั้นตอนที่พูดกับฉัน ให้ระวังคำพูดด้วย ไม่อย่างนั้นฉันไม่ถือสาที่จะเก็บเธอด้วยนะ เข้าใจไหม?”หลังจากวางสาย ในใจของซูเชี่ยวเหลือเพียงคำเดียวคือ ‘โจรป่าเถื่อน’ต้วนจื่อเหย่เป็นแค่โจรป่าเถื่อนเท่านั้น ฉู
หลังจากที่รถแล่นออกจากอาณาเขตของตระกูลฉิน ความรู้สึกน่าขยะแขยงของเสิ่นหยินอู้เมื่อครู่นี้ถึงได้จางหายไปแต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ความรู้สึกเมื่อครู่นี้ก็ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกอึดอัดมากหลังจากที่รถแล่นออกไป เธอก็ยังอดไม่ได้เบือนหน้ามองไปยังป่าทึบข้างนอกเป็นเพราะที่ตรงนั้นมีคนอยู่ หรือเพราะช่วงนี้เธออ่อนไหวมากเกินไปเพราะช่วงนี้เธอมักจะติดรถฉินเย่เข้างานเลิกงาน ไปไหนก็อยู่กับเขาตลอด ก็ไม่เห็นเกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นเลยแต่ทว่าเมื่อครู่นี้แปลกมาก“เป็นอะไรไป?”เสียงของฉินเย่แว่วเข้ามา ทำให้ดึงสติของเสิ่นหยินอู้กลับมาเธอรวบรวมสติได้ทันใด แล้วส่ายศีรษะ“ไม่มีอะไร”เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปากแดงของตน คิดในใจว่าคงเป็นเพราะคุณย่าต้องเข้ารับการผ่าตัด เธอก็เลยจิตใจไม่แน่วแน่ ส่งผลให้เธอคิดมากล่ะมั้ง?ฉินเย่มองเธอแวบหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าของเธอยิ่งแย่ลงกว่าเดิม จึงได้มองไปยังสถานที่ที่เสิ่นหยินอู้มองผ่านทางกระจกมองหลังเธอเอาแต่มองที่ตรงนั้นตลอด ฉินเย่สอดส่องอยู่หลายที ก็ไม่พบว่าจะพิเศษตรงไหนสุดท้ายฉินเย่เพียงแค่คิดว่าเธอเป็นห่วงคุณย่ามากเกินไปถึงได้เป็นเช่นนี้สงสัยจะเป็นเพราะเรื่องในอดีต
แต่เธอจะตอบตกลงเร็วไปไม่ได้ เดี๋ยวจะถูกซูเชี่ยวจับได้เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจียงฉูฉู่เพียงแค่เผยสีหน้ายิ้มแย้มออกมา และไม่ได้ตอบตกลงในทันทีเมื่อเห็นท่าทีของเธอแล้ว ซูเชี่ยวก็พยายามกล่าวว่า “ฉูฉู่ การผ่าตัดเป็นเรื่องใหญ่ เธอเพียงแค่วิ่งออกไปเพราะความเป็นห่วงเท่านั้น ยังไงฉินเย่ก็จะหย่าแล้วมาคบกับเธออยู่แล้ว ต่อไปหากคุณนายฉินรู้ว่าเธอป่วย แต่ก็แอบไปเยี่ยมท่าน ท่านต้องซาบซึ้งใจมากแน่นอน”เจียงฉูฉู่ลังเลเล็กน้อย “เธอพูดแบบนี้ก็ฟังดูมีเหตุผลเหมือนกันนะ”“ใช่ไหมล่ะ?”“ถ้างั้น…ฉันคิดดูก่อนแล้วกัน”“อืม ยังไงซะคุณนายฉินเข้าผ่าตัดตอนเย็นนู้น เธอค่อยๆ คิดก็ได้”เมื่อมาถึงช่วงเย็น เจียงฉูฉู่ถึงบอกซูเชี่ยวว่า “ฉันคิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเธอพูดถูก ทำตามที่เธอพูดแล้วกัน”เมื่อพูดถึงตรงนี้ ริมฝีปากของเจียงฉูฉู่พลางเผยรอยยิ้มเขินอายออกมา “ฉันว่าเดี๋ยวก็ไปเลย แต่คนที่โรงพยาบาลน่าจะไม่อนุญาต เธอช่วยฉันหน่อยได้ไหม?”“ได้อยู่แล้ว”ซูเชี่ยวยกมุมปากขึ้นอย่างได้ใจ เธอต้องการผลลัพธ์นี้แหละ ดีมากที่เจียงฉูฉู่ยอมเล่นตามน้ำด้วยดังนั้นเธอจึงออกไปโทรศัพท์หาต้วนจื่อเหย่บอกว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว ให้เขาหาโอกา
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ