คิดมาถึงตรงนี้ ต้วนจื่อเย่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แถมยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อย "คุณจะมารู้จักคนแบบผมได้ยังไง?" เขาพูดพร้อมกับมีสีหน้าเยาะเย้ย "คุณหนูชนชั้นสูงแบบคุณ ควรจะเกลียดคนมีปัญหาแบบผมที่สุดไม่ใช่หรอ? ตอนเรียนก็เป็นเด็กมีปัญหา พอออกจากโรงเรียนไม่มีประโยชน์อะไรต่อสังคมเลย"เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป ไม่ได้ตอบโต้กลับ "ผมพูดถูกใช่ไหม? คุณก็เหมือนคนพวกนั้นที่ดูถูกผม?"เสิ่นหยินอู้ได้สติกลับมา เงยหน้ามองไปที่เขา "คุณคิดว่าต้องเป็นคนแบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคม?"คำถามนี้ทำให้ต้วนจื่อเย่ชะงักไป "ทุกคนต่างก็มีงานและโอกาสของตัวเองกันทั้งนั้น เราทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปดูถูกคุณ" ถ้าเป็นเมื่อก่อน เสิ่นหยินอู้อาจจะไม่อธิบายกับเขามากขนาดนี้แต่ตั้งแต่ครอบครัวล้มละลาย ทำให้เธอเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น เมื่อพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ "ฉันมีธุระ ไปก่อนนะ"เธอก็ไม่คิดจะเอาเรื่องต้วนจื่อเย่ที่เดินชนเธอ พูดจบเธอก็รีบเดินออกไป ต้วนจื่อเย่ยืนอยู่ที่เดิม มองดูเธอเดินจากไปด้วยความคิดบางอย่างสักพัก เขาก็ขยี้บุหรี่ในมือทิ้งแ
เมื่อกลับมาที่ออฟฟิศ เสิ่นหยินอู้ก็วางเค้กในมือไว้บนโต๊ะก่อนลงไปข้างล่างเธออารมณ์ดีและรู้สึกอยากอาหาร แต่ตอนนี้กลับหมดความอยากอาหารไปเลย ในตอนนี้ สิ่งที่อยู่ในหัวของเสิ่นหยินอู้มีแต่เรื่องที่เจอต้วนจื่อเย่ตอนที่อยู่ข้างล่าง คำพูดของโจวชวงชวงทำให้เธอตระหนักได้ แม้ว่าเธอไม่อยากคิดร้ายกับคนอื่น เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่าวันนี้ที่เจอต้วนจื่อเย่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ เนื่องจากร้านเค้กที่ชั้นล่างนั้นขายดีมาก คนจากที่อื่นมาก็อาจจะมาซื้อเค้กที่นี่เป็นเรื่องปกติ แต่ว่า...... ในโลกนี้จะมีเรื่องที่บังเอิญขนาดนั้นเลยหรอ? บังเอิญเจอเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ได้เจอกันมานานในช่วงที่เจียงฉูฉู่บาดเจ็บ และคนนี้ยังเป็นคนที่ชอบเจียงฉูฉู่อีก คิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็แกะกล่องเค้กออก กลิ่นหอมฟุ้งลอยออกมา เสิ่นหยินอู้หยิบมีดและส้อมที่พนักงานเตรียมไว้ให้ ตักเค้กชิ้นเล็กๆ เข้าปาก ขณะเดียวกันก็ตัดสินใจไปด้วย ว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่บังเอิญ หลังจากนี้เธอต้องระวังตัวมากขึ้นถ้าต้วนจื่อเย่ต้องการแก้แค้นแทนเจียงฉูฉู่จริงๆ เธอจะได้หลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าไม่ใช่....
ฉินเย่ไม่คิดว่าเสิ่นหยินอู้จะมาหาตน บนใบหน้าอันเย็นชาพลันมีความรู้สึกเพิ่มมากขึ้น“มาหาฉันเหรอ?”ได้ยินดังนั้น มือที่อยู่กลางอากาศของเสิ่นหยินอู้พลันหุบกลับเข้ามาเธอพยักหน้า “ฉันรู้สึกไม่สบายน่ะ ไม่อยากขับรถเอง เมื่อคืนฉัน…”เมื่อนึกถึงบางอย่างเข้า เสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนหัวข้อ “ช่วงนี้ฉันขอติดรถนายไปได้ไหม?”“ไม่สบายตรงไหน?”ไม่คิดว่าสิ่งที่ฉินเย่ถามออกมาจะเป็นคำถามถึงอาการป่วยของเธอ สายตาเฉียบคมถึงกับสำรวจมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าเสิ่นหยินอู้ตัวแข็งทื่อ “เอ่อ นี่ไม่ใช่ประเด็น”วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็โน้มตัวจับไหล่ของเธอไว้ “นี่ไม่ใช่ประเด็น แล้วอะไรถึงจะเป็นประเด็น? ร่างกายเธอเป็นอะไรกันแน่?”ก่อนหน้านี้ เขาก็รู้สึกว่าเธอแปลกๆ เหมือนมีบางอย่างปิดบังเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้นใบแจ้งผลนั่น…ก็ทำให้เขารู้สึกแปลกเช่นกันตอนนั้นเขาคิดว่าเธอป่วยถึงได้ฉีกใบแจ้งผลนั่นทิ้ง แต่คำอธิบายที่เสิ่นหยินอู้ให้กับเขาในภายหลังกลับทำให้เขารู้สึกไม่มีช่องว่างให้โจมตีฝนตกหนักขนาดนั้น ใบแจ้งผลใส่อยู่ในถุง การจะถูกน้ำฝนแช่จนขนาดหลุดลุ่ยนั้นเป็นเรื่องปกติมากหลังจากนั้น เธอก็ตัดบทด้วยวิธีอื่น ทำให้เรื่อ
ฉินเย่รับโทรศัพท์ เสียงอ่อนนุ่มของเจียงฉูฉู่ดังผ่านโทรศัพท์ออกมา“เย่ เลิกงานแล้วใช่ไหมคะ? ฉันคิดว่าเวลานี้คุณน่าจะว่างแล้ว ก็เลยโทรมาหาน่ะค่ะ”“อืม” ฉินเย่มองไปยังเสิ่นหยินอู้ที่อยู่ไม่ไกล “เพิ่งเลิกงาน”“งั้นก็ดีค่ะ ฉันกลัวว่าจะไปรบกวนเวลางานของคุณ แล้วคุณย่าเป็นยังไงบ้านคะ? สองสามวันนี้ฉันเป็นห่วงท่านมากเลย ตอนอยู่โรงพยาบาลก็ไม่ได้พักผ่อนดีๆ ถ้าคุณย่าชอบฉันก็คงดี ฉันจะได้ไปเฝ้าท่านที่โรงพยาบาลได้”ทุกถ้อยทุกคำของเจียงฉูฉู่เอ่ยถึงคุณย่าตลอด ทำให้ฉินเย่รู้สึกผิดในใจ น้ำเสียงพลางอ่อนนุ่มตามไปด้วย“คุณรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเถอะ เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมาก”“ฉันรู้แล้วค่ะ ฉันก็แค่เป็นห่วงคุณย่า…เอาอย่างงี้ได้ไหม คุณมารับฉันไปหาคุณย่าตอนที่ท่านจะเข้าผ่าตัดได้ไหม? แบบนั้นคุณย่าไม่เห็นหน้าฉัน ก็จะไม่โกรธแล้ว”วันที่ผ่าตัดเหรอ?ฉินเย่เม้มริมฝีปาก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแต่ทว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรนั้น ต้องรอดูวันนั้น“เดี๋ยวผมจะบอกคุณอีกทีวันที่ผ่าตัดแล้วกัน”เจียงฉูฉู่ไม่คิดว่าเขาจะตอบตกลงทันทีอยู่แล้ว แต่ทว่าครั้งนี้เธอพูดจุดประสงค์ของตนออกมาก่อน และเขาไม่ไ
ส่วนการกระทำของเธอเช่นนี้ ทำให้ฉินเย่คิดว่าเธอเป็นเหมือนตอนเด็ก และตนก็มีหางเพิ่มเข้ามาคอยติดตามอยู่เขาไม่เพียงไม่รู้สึกรำคาญเท่านั้น แต่ยังรู้สึกพึงพอใจมาก ขนาดรู้สึกว่า…หากเธอตกลง เขาไม่ถือสาที่เธอจะติดตามเขาแบบนี้ไปตลอดชีวิตความคิดที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจนี้ ทำให้ฉินเย่อดไม่ได้ที่จะตระหนักถึงความรู้สึกของตนเองอย่างจริงจังอีกครั้งแต่ทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ ในสมองของเขาก็จะมีภาพของผู้หญิงคนหนึ่งผุดขึ้นมา เธอน่าสงสาร ดูอ่อนแอแต่กลับเสี่ยงชีวิตช่วยเขาไว้ และยังคิดถึงเขาทุกเรื่องเสมอเขาเองก็เคยสัญญากับเธอว่า ตำแหน่งข้างกายของตนจะเป็นของเธอเสมอและตลอดไปหลังจากที่รู้ว่าสมองของตนเริ่มตีกันนั้น ฉินเย่พลันรู้สึกว่าเป็นเพราะฟ้าเล่นตลกกับเขาไม่อย่างนั้น จะมีคนสองคนอยู่ในหัวใจของคนคนหนึ่งได้อย่างไร?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉินเย่พลางโยนปากกาบนโต๊ะ ไม่มีกะจิตกะใจทำงานต่ออีก_เข้าสู่วันที่สี่ หมอเฉินส่งข้อความมาให้คุณนายฉินเข้าไปทำเรื่องแอดมิดโรงพยาบาล เพื่อรอผ่าตัดดังนั้นไม่ว่าในใจทุกคนจะคิดอย่างไร หรือมีงานสำคัญในมือแค่ไหน ก็ต้องวางมือ แล้วมุ่งความสนใจไปที่เรื่องผ่าตัดของคุ
“อีกสองวันก็จะได้ผ่าตัดแล้ว? จริงเหรอคะ?”เจียงฉูฉู่ถือโทรศัพท์ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจและตื่นเต้นในที่สุดก็จะได้ผ่าตัดแล้วครั้งนี้ยายแก่นั่นคงไม่คิดจะทำอะไรอีกใช่ไหม?“ดีจังเลยค่ะ การผ่าตัดของคุณย่าต้องผ่านไปด้วยดีแน่ๆ”“ขอบใจมาก”ด้วยความดีใจ เจียงฉูฉู่พลางถามขึ้น “เย่คะ ประเด็นระหว่างเราที่เคยพูดกันคราวก่อน…หากคุณย่าผ่าตัดอยู่ ฉันสามารถไปได้ไหมคะ? คุณวางใจได้เลย ฉันแค่ไปรอที่หน้าห้องผ่าตัดแป๊บเดียวก็กลับ คุณไม่ต้องมารับส่งฉัน ฉันขอแค่ไปแอบดูสักหน่อย ได้ไหมคะ?”ครั้งนี้ฉินเย่เงียบกริบผ่านไปนาน ถึงจะเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ฉูฉู่ ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องคาดไม่ถึงขึ้นน่ะ”ได้ยินดังนั้น เจียงฉูฉู่พลันอ้ำอึ้งไปชั่วขณะ“เรื่องคาดไม่ถึงอะไรกัน?”“หลังจากผ่าตัด คุณย่ายังต้องพักฟื้นต่อ”เมื่อได้ยินดังนั้น มีหรือที่เจียงฉูฉู่จะไม่เข้าใจ?เธอกัดริมฝีปากล่างอย่างไม่พอใจ “แต่ว่า ฉันไม่ได้จะไปเปิดเผยตัวสักหน่อยนี่ ถือซะว่าฉันไปเยี่ยมคนแก่ที่เข้าผ่าตัดด้วยความเป็นห่วงในฐานะเพื่อนก็ไม่ได้เหรอ? บางที หากคุณย่าเห็นหน้าฉัน ท่านอาจจะดีใจก็ได้?”“ฉูฉู่ คุณย่าไม่ได้ผ่าตัดธรรมดาทั่วไป”เจียงฉู
“นั่นมันเรื่องวันก่อนไม่ใช่เหรอ? ผ่านไปกี่วันแล้ว?”ต้วนจื่อเหย่ “…กี่วันแล้วมันต่างกันหรือไง?”“สรุป นายจะทำไม่ทำ? ถ้าทำพรุ่งนี้ฉันจะส่งข้อความไปให้”หลังจากที่ถูกเธอถามเช่นนั้น ทางนั้นกลับเงียบไปชั่วขณะซูเชี่ยวรออยู่พักหนึ่ง ก็ไม่ได้รับการตอบกลับของเขา จึงหรี่ตาลงเล็กน้อย “ต้วนจื่อเหย่ นายคงไม่ได้รู้สึกผิดหรอกนะ? ปากนายบอกจะแก้แค้นแทนฉูฉู่นั้นที่แท้ก็แค่พูดไปอย่างนั้นสินะ ฉันรู้อยู่แล้วว่าคำพูดของผู้ชายน่ะเชื่อไม่ได้หรอก มีแค่คำพูดลวงหลอก อย่างนายน่ะ ฉันคิดว่าจะทนได้มากกว่านี้ซะอีก”สงสัยคำพูดของเธอจะไปแทงใจต้วนจื่อเหย่ เขาพูดอย่างไม่พอใจว่า “ใครเสียใจกัน? ฉันพูดหรือไงว่าเสียใจ? ซูเชี่ยว เธอคิดว่าฉันไม่กล้าตีผู้หญิงใช่ไหม?”จู่ๆ เขาก็ระเบิดอารมณ์ออกมา ทำให้ซูเชี่ยวตกใจสะดุ้ง ผ่านไปนานกว่าจะรู้สึกตัว“ฉัน ฉันคิดว่านายไม่อยากช่วยฉูฉู่แล้ว ก็เลย…”“ฉันจะช่วยหล่อน แต่ไม่ช่วยเธอ ดังนั้นตอนที่พูดกับฉัน ให้ระวังคำพูดด้วย ไม่อย่างนั้นฉันไม่ถือสาที่จะเก็บเธอด้วยนะ เข้าใจไหม?”หลังจากวางสาย ในใจของซูเชี่ยวเหลือเพียงคำเดียวคือ ‘โจรป่าเถื่อน’ต้วนจื่อเหย่เป็นแค่โจรป่าเถื่อนเท่านั้น ฉู
หลังจากที่รถแล่นออกจากอาณาเขตของตระกูลฉิน ความรู้สึกน่าขยะแขยงของเสิ่นหยินอู้เมื่อครู่นี้ถึงได้จางหายไปแต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ความรู้สึกเมื่อครู่นี้ก็ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกอึดอัดมากหลังจากที่รถแล่นออกไป เธอก็ยังอดไม่ได้เบือนหน้ามองไปยังป่าทึบข้างนอกเป็นเพราะที่ตรงนั้นมีคนอยู่ หรือเพราะช่วงนี้เธออ่อนไหวมากเกินไปเพราะช่วงนี้เธอมักจะติดรถฉินเย่เข้างานเลิกงาน ไปไหนก็อยู่กับเขาตลอด ก็ไม่เห็นเกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นเลยแต่ทว่าเมื่อครู่นี้แปลกมาก“เป็นอะไรไป?”เสียงของฉินเย่แว่วเข้ามา ทำให้ดึงสติของเสิ่นหยินอู้กลับมาเธอรวบรวมสติได้ทันใด แล้วส่ายศีรษะ“ไม่มีอะไร”เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปากแดงของตน คิดในใจว่าคงเป็นเพราะคุณย่าต้องเข้ารับการผ่าตัด เธอก็เลยจิตใจไม่แน่วแน่ ส่งผลให้เธอคิดมากล่ะมั้ง?ฉินเย่มองเธอแวบหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าของเธอยิ่งแย่ลงกว่าเดิม จึงได้มองไปยังสถานที่ที่เสิ่นหยินอู้มองผ่านทางกระจกมองหลังเธอเอาแต่มองที่ตรงนั้นตลอด ฉินเย่สอดส่องอยู่หลายที ก็ไม่พบว่าจะพิเศษตรงไหนสุดท้ายฉินเย่เพียงแค่คิดว่าเธอเป็นห่วงคุณย่ามากเกินไปถึงได้เป็นเช่นนี้สงสัยจะเป็นเพราะเรื่องในอดีต
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ