ไฟในห้องผ่าตัดสว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว ญาติผู้ป่วยได้แต่รอคอยอยู่ข้างนอกเสิ่นหยินอู้ถูกฉินเย่พาไปนั่งตรงเก้าอี้ข้างๆแม้จะนั่งลงแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม เสิ่นหยินอู้ถึงได้รู้สึกไม่ชอบมาพากลคิ้วงามของเธอขมวดมุ่นอยู่ตลอดเวลาด้วยความไม่สบายใจไม่รู้เพราะอะไร ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เธอถึงรู้สึกแปลกๆแต่เพราะเธอมุ่งความสนใจไปที่คุณย่าทั้งหมด ก็เลยไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นอีกอย่างคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอ…ฉินเย่ ก็คอยจับมือเธอไว้ไม่ปล่อยตั้งแต่ตอนนั้นแรงบีบในมือของเขาหนักมาก อีกอย่างอุณหภูมิในฝ่ามือของเขาก็อบอุ่นมากด้วย ไออุ่นนั้นคอยถ่ายทอดสู่เธอไม่หยุด ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกสบายใจมากไม่น้อยหากไม่ใช่ฉินเย่ล่ะก็ เธอคงกังวลมากกว่านี้ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าของฉินเย่ก็สั่นขึ้นมาตั้งแต่ที่คุณย่าเข้าห้องผ่าตัดไป ฉินเย่ก็ปรับโทรศัพท์ให้อยู่ในโหมดสั่นทันที อีกอย่างคนในบริษัทต่างก็รู้ว่าคุณนายฉินต้องเข้ารับการผ่าตัด ไม่มีใครโทรหาเขาในช่วงนี้แน่นอนคนที่จะโทรหาเขาได้ในตอนนี้…เสิ่นหยินอู้มองไปยังฉินเย่โดยสัญชาตญาณฉินเย่เม้มริมฝีปาก สบตากับเธอครู่หนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพ
“โทรศัพท์คุณสั่นอีกแล้ว ไม่รับสายเหรอ?”ได้ยินดังนั้น ฉินเย่พลันเม้มริมฝีปาก แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้มันอยู่ในมือเธอ”หมายความว่ายังไง?เขากำลังจะบอกว่ามอบอำนาจในการรับสายให้กับตนงั้นเหรอ?แรกเริ่มเดิมที เสิ่นหยินอู้ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ ให้ก็ให้สิ คิดว่าเธอจะใจอ่อนหรือไง?แต่ทว่าพอตอนหลัง โทรศัพท์เอาแต่สั่นอยู่ในกระเป๋า ทำให้เธอรู้สึกรำคาญขึ้นมาเธอมองฉินเย่ “ถ้าฉันปิดเครื่องโทรศัพท์นาย แล้วนายพลาดบางอย่างไป นายจะโทษฉันไหม?”สายตาฉินเย่จ้องไปที่ใบหน้าของเธอตรงๆ“ตั้งแต่เด็กจนโต ฉันเคยโทษอะไรเธอบ้าง?”พอพูดเช่นนี้กลับทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกชะงัก“โอเค นายพูดเองนะ ถ้างั้นฉันจะปิดเครื่องแล้ว รำคาญชะมัด”กล่าวจบ เสิ่นหยินอู้ก็หยิบโทรศัพท์ของเขาออกจากกระเป๋า เพราะว่าอยู่ในโหมดสั่น ทำให้สามารถเห็นสายที่ไม่ได้รับจำนวนสี่ห้าสายจากเจียงฉูฉู่ได้จากหน้าจอโทรศัพท์โทรมาในเวลานี้…สงสัยเธอคงจะถามฉินเย่เกี่ยวกับการผ่าตัดของคุณย่าสินะ?ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น โทรศัพท์พลันสั่นขึ้นอีกครั้งแต่ทว่าครั้งนี้กลับไม่ใช่สายเรียกเข้า แต่เป็นข้อความ ซึ่งถูกเสิ่นหยินอู้เห็นเข้าพอดี“คุณชายฉิ
ขณะที่เธอยื่นโทรศัพท์ออกไป ฉินเย่ก็ได้เห็นรายละเอียดทั้งหมดแล้วเสิ่นหยินอู้เห็นว่าดวงตาของเขาหรี่ลงอย่างชัดเจน คงเป็นเพราะเป็นห่วงเรื่องที่เจียงฉูฉู่หายตัวไปเธอเบือนหน้าหนี กำลังจะถอดเสื้อคลุมบนตัวออก แต่ทว่ากลับได้ยินฉินเย่พูดว่า “ฉันออกไปแป๊บหนึ่งนะ”แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ทว่าตอนที่ได้ยินเขาพูดเองกลับให้ความรู้สึกต่างกันเสิ่นหยินอู้ตอบเบาๆ ว่าโอเค จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมคืนให้กับเขาแววตาของฉินเย่เปลี่ยนไป แล้วจับมือเธอไว้ “ไม่ต้อง เธอใส่ไว้เลย”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้พลันชะงัก “แต่ว่าข้างนอกหนาวนะ”“ฉันเป็นผู้ชาย” น้ำเสียงของฉินเย่หนักแน่น “เธอใส่ไว้เถอะ ฉันไปแป๊บเดียวก็กลับ”กล่าวจบ เขาก็หันหลังมองไฟห้องผ่าตัดแวบหนึ่ง“ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง ฉันจะกลับมาภายในหนึ่งชั่วโมง มีเรื่องอะไรก็โทรหาฉันนะ”เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปาก แล้วตอบเบาๆ ว่า “โอเค นายไปบอกพ่อกับแม่ด้วย”“อืม”ฉินเย่พยักหน้าจากนั้นเขาปล่อยมือออก แล้วไปหาพ่อฉินแม่ฉินทันทีที่แม่ฉินได้ยินว่าเขาจะออกไป ก็จ้องเขาด้วยสายตาไม่พอใจ“นี่มันเวลาไหนแล้ว แกยังจะออกไปอีก? แกเห็นย่าเป็นอะไรกัน?”ฉินเย่เม้
เมื่อได้ยินดังนั้น แม่ฉินก็จ้องเขาเขม็ง “พูดอะไรของคุณ!”พ่อฉินเพียงแค่ยิ้มไม่พูดจาแม่ฉินกลับนึกบางอย่างออก แล้วเอ่ยกับพ่อฉินว่า “คุณนั่งรอที่นี่ไปก่อนนะ ฉันจะไปหาหยินอู้”“อืม”เสิ่นหยินอู้พาดเสื้อคลุมของฉินเย่เอาไว้นั่งอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นแม่ฉินเดินเข้ามาหาตน ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเป็นไปตามคาด หลังจากที่แม่ฉินนั่งลงข้างๆ เธอ ก็ถามเธอทันทีว่า “เห็นเขาออกไปหาผู้หญิงคนอื่นแบบนี้ ไม่รู้สึกเจ็บใจ หรือเสียใจเลยเหรอ?”เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงตอบเบาๆ ว่า “เขาไปตามหาคน ไม่ได้ทำอย่างอื่นสักหน่อย”“แค่นี้จริงๆ เหรอ?”เสิ่นหยินอู้ไม่ตอบ“พวกเธอเป็นสามีภรรยากัน บางทีไม่จำเป็นต้องใจกว้างขนาดนั้นก็ได้ อะไรควรงอนก็งอน เป็นคนเห็นใจคนอื่นแบบนี้ตลอด จะทำให้เขาคิดว่าเธอไม่รักเขาได้นะ”นั่นน่ะสิ เหตุผลนี้ เสิ่นหยินอู้จะไม่เข้าใจได้อย่างไร?แต่ทว่า…เธอกับฉินเย่แค่แต่งงานกันปลอมๆ ตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่ แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรไปงอนเขาล่ะ?เมื่อเห็นเธอไม่พูดจา แม่ฉินที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่พลันมีความรู้สึกไม่แก่ดัดยากอย่างไรอย่างนั้น“ช่างเถอะๆ พวกเธอสองคนไม่มีเรื่องอะไรกันก็ดีแล้ว ฉันที่เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่
เมื่อเธอฟื้นขึ้น ก็พบว่าอยู่ในโกดังซอมซ่อแห่งหนึ่งเสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าหนักอึ้งที่ศีรษะ ร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเสิ่นหยินอู้กวาดสายตามองไปรอบๆ พบว่าที่แห่งนี้เป็นโกดังซอมซ่อแห่งหนึ่ง ขณะสูดหายใจยังได้กลิ่นชื้นๆ เย็นๆ และเหม็นสาบมือและเท้าของเธอก็ถูกมัดไว้เช่นกัน สถานที่ที่เธออยู่ในตอนนี้มีกล่องกระดาษเก่าๆ วางเต็มไปหมดแท้จริงแวเธอพอจะเดาได้แล้วว่าเป็นฝีมือของใครเสิ่นหยินอู้เม้มปาก สูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดบริเวณหน้าท้อง เธอถึงได้โล่งใจเธอกลัวว่าตนจะถูกทำร้าย แต่ทว่านอกจากถูกมัดด้วยเชือกแล้ว ก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ เลยขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงดังมาจากนอกโกดังประตูเหล็กถูกเปิดออก ตามด้วยเสียงอันหนักอึ้ง บรรยากาศมึดสลัวในโกดังถูกแสงสว่างครอบคลุมอีกครั้งเสิ่นหยินอู้เห็นต้วนจื่อเหย่มาพร้อมกับถึงใบหนึ่งปัง!ประตูเหล็กถูกปิดลงอีกครั้ง ในโกดังค่อยๆ มืดลงต้วนจื่อเหย่ค่อยๆ เดินเข้าไปหาเธอ แล้วโยนถุงไว้ข้างๆ เธอ จากนั้นย่อตัวลงตรงหน้าเธอเสิ่นหยินอู้มองเขาอย่างเรียบนิ่งหลังจากนั้น ต้วนจื่อเหย่ก็เอ่ยขึ้น “ฉันจะเอาเทปปิดปากออกให้ แต่ถ้าเธอกล้าส่ง
“ใช่แล้วยังไง? ถ้าฉันไม่ชอบหล่อน แล้วทำไมฉันต้องจับตัวเธอเพราะหล่อนด้วย?”“แสดงว่า นายอยากเสียสละตัวเองเพื่อแก้แค้นฉันแทนหล่อนสินะ?”“เธอว่าอะไรนะ?”เสิ่นหยินอู้ไม่มองหน้าเขา เพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “ฉันจำได้ว่าคราวก่อนนายเคยบอกกับฉันว่า นายรู้สึกว่านายไม่มีมูลค่าต่อสังคมในสายตาพวกเราเลย”ได้ยินดังนั้น ต้วนจื่อเหย่พลันหรี่ตาลง“นายจำได้ไหมว่าตอนนั้นฉันถามนายว่าอะไร? นายคิดว่าคนแบบไหนถึงจะสามารถช่วยเหลือสังคมได้? นี่คือคำตอบของนายเหรอ?”ต้วนจื่อเหย่อ้ำอึ้งอยู่กับที่เมื่อเห็นเขาเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้พลันยกมุมปากขึ้น “หรือว่า นายสร้างมูลค่าอะไรให้กับตนเอง? หลังจากได้ยินเพื่อนเจียงฉูฉู่บอกว่าฉันทำร้ายหล่อนแล้ว นายเคยสืบหาความจริงแม้แต่เรื่องเดียวไหม?”“สืบหาความจริง?” ต้วนจื่อเหย่ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ยิ่งไม่คิดว่าเสิ่นหยินอู้จะแนะแนวทางใหม่ให้กับเขาด้วยเสิ่นหยินอู้มองเขาอย่างน่าขัน“หมายความว่า นายไม่เคยสืบหาความจริงเลย จากนั้นก็มาลักพาตัวฉันเลยใช่ไหม? ถ้างั้นฉันขอถามนาย หลังจากที่ลักพาตัวแล้วล่ะ? นายคิดเหรอว่าตำรวจจะไม่สามารถตามตัวนายเจ
คุณนายฉินกำลังเข้ารับการผ่าตัดอยู่ ดังนั้นพ่อฉินแม่ฉินไม่สามารถรู้ว่าเธอหายตัวไปในระยะเวลาอันสั้นแน่นอนถึงแม้จะรู้ เกรงว่าพวกเขาก็คงปลีกตัวออกไปไม่ได้ส่วนฉินเย่ก็ถูกเจียงฉูฉู่เรียกตัวไป สถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่ชัดเจน เธอจึงทำได้เพียงช่วยเหลือตัวเองเท่านั้นตั้งแต่พบกันคราวก่อน เสิ่นหยินอู้ก็จำคำพูดเยาะเย้ยของต้วนจื่อเหย่นั่นได้ฝังใจ บวกกับคำพูดของเขาในวันนี้ เธอสามารถสังเกตได้ว่า ต้วนจื่อเหย่ดูคิดมากกับสายตาคนอื่นที่มองเขามากดังนั้น บางทีเธออาจสามารถใช้วิธีนี้หาโอกาสให้กับตนได้รอให้เธอพูดจบ ต้วนจื่อเหย่ก็เข้าสู่ภวังค์ความคิด เห็นได้ชัดว่ากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามนั้นอยู่ก่อนหน้านี้ เขาอารมณ์ร้อนมาก คิดเพียงแต่จะแก้แค้นเท่านั้น แต่เมื่อเสิ่นหยินอู้วิเคราะห์ความเป็นจริงให้เขาฟังแล้ว ต้วนจื่อเหย่ถึงพบว่าตัวเองตามหลังอยู่มากถึงแม้เขาไม่อยากยอมรับ แต่สิ่งที่เสิ่นหยินอู้พูดล้วนเป็นความจริงทั้งนั้นเรื่องเกิดขึ้นไปแล้วย่อมต้องมีคนรับบาปอยู่แล้วและเขาต้องเป็นแพะรับบาปคนนั้นแน่นอนเมื่อเห็นว่าเขาคล้อยตาม เสิ่นหยินอู้ก็รู้ทันทีว่าวิธีช่วยเหลือตัวเองของตนนั้นมาถูกทางแล้วดูท่าแ
ซูเชี่ยวมองเขาด้วยความไม่พอใจแวบหนึ่ง“ถ้าฉันไม่มา นายคงปล่อยตัวคนร้ายที่ทำร้ายฉูฉู่ไปแล้วมั้ง?”ต้วนจื่อเหย่ที่ถูกซูเชี่ยวอ่านใจออก เห็นได้ขัดว่าทนต่อไปไม่ได้ เขากัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเธอด้วยเหรอ?”“จะไม่เกี่ยวกับฉันได้ยังไง? ฉันเป็นเพื่อนสนิทของฉูฉู่เชียวนะ แกออกหน้าแทนฉูฉู่ได้ แล้วฉันจะออกหน้าแทนฉูฉู่ไม่ได้เลยหรือไง?”ต้วนจื่อเหย่อดไม่ได้หัวเราะแห้งออกมา“เธออยากออกหน้าแทนหล่อน ก็อย่ามายืมมือฉัน ไสหัวไป”“ไสหัวไป? เป็นไปไม่ได้หรอก”สิ้นเสียง ซูเชี่ยวก็เตะเสิ่นหยินอู้ไปทีหนึ่งทันทีที่เธอเตะ สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไปในบัดดล ทำได้เพียงหดตัวเป็นก้อนเท่านั้นปัง!ซูเชี่ยวเตะโดนท่อนขาของเธอพอดีความเจ็บพวยพุ่งขึ้นมาในทันใดเสิ่นหยินอู้เจ็บจนน้ำตาไหลออกมาตามธรรมชาติ“เธอทำอะไรน่ะ?”ต้วนจื่อเหย่สีหน้าเปลี่ยน แล้วดึงตัวซูเชี่ยวที่คิดจะเตะอีกครั้งออก “เธอเป็นบ้าหรือไง?”ถึงแม้ซูเชี่ยวจะเป็นบ้า แต่แรงของเธอก็สู้ชายหนุ่มที่บรรลุนิติภาวะไม่ได้ ไม่นานก็ถูกต้วนจื่อเหย่ดึงตัวออกไป“นายน่ะสิบ้า ลักพาตัวมาแล้วยังจะมาเสแสร้งทำไมอีก? ทำไม นายคงไม่ได้เห็นว่าเสิ่นห
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ