“โทรศัพท์คุณสั่นอีกแล้ว ไม่รับสายเหรอ?”ได้ยินดังนั้น ฉินเย่พลันเม้มริมฝีปาก แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้มันอยู่ในมือเธอ”หมายความว่ายังไง?เขากำลังจะบอกว่ามอบอำนาจในการรับสายให้กับตนงั้นเหรอ?แรกเริ่มเดิมที เสิ่นหยินอู้ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ ให้ก็ให้สิ คิดว่าเธอจะใจอ่อนหรือไง?แต่ทว่าพอตอนหลัง โทรศัพท์เอาแต่สั่นอยู่ในกระเป๋า ทำให้เธอรู้สึกรำคาญขึ้นมาเธอมองฉินเย่ “ถ้าฉันปิดเครื่องโทรศัพท์นาย แล้วนายพลาดบางอย่างไป นายจะโทษฉันไหม?”สายตาฉินเย่จ้องไปที่ใบหน้าของเธอตรงๆ“ตั้งแต่เด็กจนโต ฉันเคยโทษอะไรเธอบ้าง?”พอพูดเช่นนี้กลับทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกชะงัก“โอเค นายพูดเองนะ ถ้างั้นฉันจะปิดเครื่องแล้ว รำคาญชะมัด”กล่าวจบ เสิ่นหยินอู้ก็หยิบโทรศัพท์ของเขาออกจากกระเป๋า เพราะว่าอยู่ในโหมดสั่น ทำให้สามารถเห็นสายที่ไม่ได้รับจำนวนสี่ห้าสายจากเจียงฉูฉู่ได้จากหน้าจอโทรศัพท์โทรมาในเวลานี้…สงสัยเธอคงจะถามฉินเย่เกี่ยวกับการผ่าตัดของคุณย่าสินะ?ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น โทรศัพท์พลันสั่นขึ้นอีกครั้งแต่ทว่าครั้งนี้กลับไม่ใช่สายเรียกเข้า แต่เป็นข้อความ ซึ่งถูกเสิ่นหยินอู้เห็นเข้าพอดี“คุณชายฉิ
ขณะที่เธอยื่นโทรศัพท์ออกไป ฉินเย่ก็ได้เห็นรายละเอียดทั้งหมดแล้วเสิ่นหยินอู้เห็นว่าดวงตาของเขาหรี่ลงอย่างชัดเจน คงเป็นเพราะเป็นห่วงเรื่องที่เจียงฉูฉู่หายตัวไปเธอเบือนหน้าหนี กำลังจะถอดเสื้อคลุมบนตัวออก แต่ทว่ากลับได้ยินฉินเย่พูดว่า “ฉันออกไปแป๊บหนึ่งนะ”แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ทว่าตอนที่ได้ยินเขาพูดเองกลับให้ความรู้สึกต่างกันเสิ่นหยินอู้ตอบเบาๆ ว่าโอเค จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมคืนให้กับเขาแววตาของฉินเย่เปลี่ยนไป แล้วจับมือเธอไว้ “ไม่ต้อง เธอใส่ไว้เลย”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้พลันชะงัก “แต่ว่าข้างนอกหนาวนะ”“ฉันเป็นผู้ชาย” น้ำเสียงของฉินเย่หนักแน่น “เธอใส่ไว้เถอะ ฉันไปแป๊บเดียวก็กลับ”กล่าวจบ เขาก็หันหลังมองไฟห้องผ่าตัดแวบหนึ่ง“ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง ฉันจะกลับมาภายในหนึ่งชั่วโมง มีเรื่องอะไรก็โทรหาฉันนะ”เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปาก แล้วตอบเบาๆ ว่า “โอเค นายไปบอกพ่อกับแม่ด้วย”“อืม”ฉินเย่พยักหน้าจากนั้นเขาปล่อยมือออก แล้วไปหาพ่อฉินแม่ฉินทันทีที่แม่ฉินได้ยินว่าเขาจะออกไป ก็จ้องเขาด้วยสายตาไม่พอใจ“นี่มันเวลาไหนแล้ว แกยังจะออกไปอีก? แกเห็นย่าเป็นอะไรกัน?”ฉินเย่เม้
เมื่อได้ยินดังนั้น แม่ฉินก็จ้องเขาเขม็ง “พูดอะไรของคุณ!”พ่อฉินเพียงแค่ยิ้มไม่พูดจาแม่ฉินกลับนึกบางอย่างออก แล้วเอ่ยกับพ่อฉินว่า “คุณนั่งรอที่นี่ไปก่อนนะ ฉันจะไปหาหยินอู้”“อืม”เสิ่นหยินอู้พาดเสื้อคลุมของฉินเย่เอาไว้นั่งอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นแม่ฉินเดินเข้ามาหาตน ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเป็นไปตามคาด หลังจากที่แม่ฉินนั่งลงข้างๆ เธอ ก็ถามเธอทันทีว่า “เห็นเขาออกไปหาผู้หญิงคนอื่นแบบนี้ ไม่รู้สึกเจ็บใจ หรือเสียใจเลยเหรอ?”เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงตอบเบาๆ ว่า “เขาไปตามหาคน ไม่ได้ทำอย่างอื่นสักหน่อย”“แค่นี้จริงๆ เหรอ?”เสิ่นหยินอู้ไม่ตอบ“พวกเธอเป็นสามีภรรยากัน บางทีไม่จำเป็นต้องใจกว้างขนาดนั้นก็ได้ อะไรควรงอนก็งอน เป็นคนเห็นใจคนอื่นแบบนี้ตลอด จะทำให้เขาคิดว่าเธอไม่รักเขาได้นะ”นั่นน่ะสิ เหตุผลนี้ เสิ่นหยินอู้จะไม่เข้าใจได้อย่างไร?แต่ทว่า…เธอกับฉินเย่แค่แต่งงานกันปลอมๆ ตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่ แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรไปงอนเขาล่ะ?เมื่อเห็นเธอไม่พูดจา แม่ฉินที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่พลันมีความรู้สึกไม่แก่ดัดยากอย่างไรอย่างนั้น“ช่างเถอะๆ พวกเธอสองคนไม่มีเรื่องอะไรกันก็ดีแล้ว ฉันที่เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่
เมื่อเธอฟื้นขึ้น ก็พบว่าอยู่ในโกดังซอมซ่อแห่งหนึ่งเสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าหนักอึ้งที่ศีรษะ ร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเสิ่นหยินอู้กวาดสายตามองไปรอบๆ พบว่าที่แห่งนี้เป็นโกดังซอมซ่อแห่งหนึ่ง ขณะสูดหายใจยังได้กลิ่นชื้นๆ เย็นๆ และเหม็นสาบมือและเท้าของเธอก็ถูกมัดไว้เช่นกัน สถานที่ที่เธออยู่ในตอนนี้มีกล่องกระดาษเก่าๆ วางเต็มไปหมดแท้จริงแวเธอพอจะเดาได้แล้วว่าเป็นฝีมือของใครเสิ่นหยินอู้เม้มปาก สูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดบริเวณหน้าท้อง เธอถึงได้โล่งใจเธอกลัวว่าตนจะถูกทำร้าย แต่ทว่านอกจากถูกมัดด้วยเชือกแล้ว ก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ เลยขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงดังมาจากนอกโกดังประตูเหล็กถูกเปิดออก ตามด้วยเสียงอันหนักอึ้ง บรรยากาศมึดสลัวในโกดังถูกแสงสว่างครอบคลุมอีกครั้งเสิ่นหยินอู้เห็นต้วนจื่อเหย่มาพร้อมกับถึงใบหนึ่งปัง!ประตูเหล็กถูกปิดลงอีกครั้ง ในโกดังค่อยๆ มืดลงต้วนจื่อเหย่ค่อยๆ เดินเข้าไปหาเธอ แล้วโยนถุงไว้ข้างๆ เธอ จากนั้นย่อตัวลงตรงหน้าเธอเสิ่นหยินอู้มองเขาอย่างเรียบนิ่งหลังจากนั้น ต้วนจื่อเหย่ก็เอ่ยขึ้น “ฉันจะเอาเทปปิดปากออกให้ แต่ถ้าเธอกล้าส่ง
“ใช่แล้วยังไง? ถ้าฉันไม่ชอบหล่อน แล้วทำไมฉันต้องจับตัวเธอเพราะหล่อนด้วย?”“แสดงว่า นายอยากเสียสละตัวเองเพื่อแก้แค้นฉันแทนหล่อนสินะ?”“เธอว่าอะไรนะ?”เสิ่นหยินอู้ไม่มองหน้าเขา เพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “ฉันจำได้ว่าคราวก่อนนายเคยบอกกับฉันว่า นายรู้สึกว่านายไม่มีมูลค่าต่อสังคมในสายตาพวกเราเลย”ได้ยินดังนั้น ต้วนจื่อเหย่พลันหรี่ตาลง“นายจำได้ไหมว่าตอนนั้นฉันถามนายว่าอะไร? นายคิดว่าคนแบบไหนถึงจะสามารถช่วยเหลือสังคมได้? นี่คือคำตอบของนายเหรอ?”ต้วนจื่อเหย่อ้ำอึ้งอยู่กับที่เมื่อเห็นเขาเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้พลันยกมุมปากขึ้น “หรือว่า นายสร้างมูลค่าอะไรให้กับตนเอง? หลังจากได้ยินเพื่อนเจียงฉูฉู่บอกว่าฉันทำร้ายหล่อนแล้ว นายเคยสืบหาความจริงแม้แต่เรื่องเดียวไหม?”“สืบหาความจริง?” ต้วนจื่อเหย่ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ยิ่งไม่คิดว่าเสิ่นหยินอู้จะแนะแนวทางใหม่ให้กับเขาด้วยเสิ่นหยินอู้มองเขาอย่างน่าขัน“หมายความว่า นายไม่เคยสืบหาความจริงเลย จากนั้นก็มาลักพาตัวฉันเลยใช่ไหม? ถ้างั้นฉันขอถามนาย หลังจากที่ลักพาตัวแล้วล่ะ? นายคิดเหรอว่าตำรวจจะไม่สามารถตามตัวนายเจ
คุณนายฉินกำลังเข้ารับการผ่าตัดอยู่ ดังนั้นพ่อฉินแม่ฉินไม่สามารถรู้ว่าเธอหายตัวไปในระยะเวลาอันสั้นแน่นอนถึงแม้จะรู้ เกรงว่าพวกเขาก็คงปลีกตัวออกไปไม่ได้ส่วนฉินเย่ก็ถูกเจียงฉูฉู่เรียกตัวไป สถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่ชัดเจน เธอจึงทำได้เพียงช่วยเหลือตัวเองเท่านั้นตั้งแต่พบกันคราวก่อน เสิ่นหยินอู้ก็จำคำพูดเยาะเย้ยของต้วนจื่อเหย่นั่นได้ฝังใจ บวกกับคำพูดของเขาในวันนี้ เธอสามารถสังเกตได้ว่า ต้วนจื่อเหย่ดูคิดมากกับสายตาคนอื่นที่มองเขามากดังนั้น บางทีเธออาจสามารถใช้วิธีนี้หาโอกาสให้กับตนได้รอให้เธอพูดจบ ต้วนจื่อเหย่ก็เข้าสู่ภวังค์ความคิด เห็นได้ชัดว่ากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามนั้นอยู่ก่อนหน้านี้ เขาอารมณ์ร้อนมาก คิดเพียงแต่จะแก้แค้นเท่านั้น แต่เมื่อเสิ่นหยินอู้วิเคราะห์ความเป็นจริงให้เขาฟังแล้ว ต้วนจื่อเหย่ถึงพบว่าตัวเองตามหลังอยู่มากถึงแม้เขาไม่อยากยอมรับ แต่สิ่งที่เสิ่นหยินอู้พูดล้วนเป็นความจริงทั้งนั้นเรื่องเกิดขึ้นไปแล้วย่อมต้องมีคนรับบาปอยู่แล้วและเขาต้องเป็นแพะรับบาปคนนั้นแน่นอนเมื่อเห็นว่าเขาคล้อยตาม เสิ่นหยินอู้ก็รู้ทันทีว่าวิธีช่วยเหลือตัวเองของตนนั้นมาถูกทางแล้วดูท่าแ
ซูเชี่ยวมองเขาด้วยความไม่พอใจแวบหนึ่ง“ถ้าฉันไม่มา นายคงปล่อยตัวคนร้ายที่ทำร้ายฉูฉู่ไปแล้วมั้ง?”ต้วนจื่อเหย่ที่ถูกซูเชี่ยวอ่านใจออก เห็นได้ขัดว่าทนต่อไปไม่ได้ เขากัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเธอด้วยเหรอ?”“จะไม่เกี่ยวกับฉันได้ยังไง? ฉันเป็นเพื่อนสนิทของฉูฉู่เชียวนะ แกออกหน้าแทนฉูฉู่ได้ แล้วฉันจะออกหน้าแทนฉูฉู่ไม่ได้เลยหรือไง?”ต้วนจื่อเหย่อดไม่ได้หัวเราะแห้งออกมา“เธออยากออกหน้าแทนหล่อน ก็อย่ามายืมมือฉัน ไสหัวไป”“ไสหัวไป? เป็นไปไม่ได้หรอก”สิ้นเสียง ซูเชี่ยวก็เตะเสิ่นหยินอู้ไปทีหนึ่งทันทีที่เธอเตะ สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไปในบัดดล ทำได้เพียงหดตัวเป็นก้อนเท่านั้นปัง!ซูเชี่ยวเตะโดนท่อนขาของเธอพอดีความเจ็บพวยพุ่งขึ้นมาในทันใดเสิ่นหยินอู้เจ็บจนน้ำตาไหลออกมาตามธรรมชาติ“เธอทำอะไรน่ะ?”ต้วนจื่อเหย่สีหน้าเปลี่ยน แล้วดึงตัวซูเชี่ยวที่คิดจะเตะอีกครั้งออก “เธอเป็นบ้าหรือไง?”ถึงแม้ซูเชี่ยวจะเป็นบ้า แต่แรงของเธอก็สู้ชายหนุ่มที่บรรลุนิติภาวะไม่ได้ ไม่นานก็ถูกต้วนจื่อเหย่ดึงตัวออกไป“นายน่ะสิบ้า ลักพาตัวมาแล้วยังจะมาเสแสร้งทำไมอีก? ทำไม นายคงไม่ได้เห็นว่าเสิ่นห
เสิ่นหยินอู้ฟังแล้วขมวดคิ้วอะไรที่เจียงฉูฉู่มี เธอก็แย่งมางั้นหรอ? ทั้งที่ทั้งสองคนยังไม่ได้ยืนยันความสัมพันธ์กันเลย ไม่อย่างนั้นเสิ่นหยินอู้จะพยายามไม่ให้รักฉินเย่ทำไม และยังกล้าแต่งงานหลอกๆ กับเขาอีก ก็เพราะเห็นว่าฉินเย่กับเจียงฉูฉู่ไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์กันไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้หัวเราะเยาะ “เธอบอกว่าฉินเย่เป็นของฉูฉู่ เขาเป็นคนบอกเธอเองหรอ?” "อย่าปากเก่งให้มากเสิ่นหยินอู้ ฉินเย่จะเป็นของฉูฉู่หรือไม่เป็น ฉันจะทำให้เธอรู้เร็วๆนี้" พูดจบ ซูเชี่ยวก็ปัดมือของต้วนจื่อเหย่ออก แล้วนั่งยองๆลงตรงหน้าเสิ่นหยินอู้ "พกมือถือไว้หรือเปล่า?" พอเธอเข้ามาใกล้ เสิ่นหยินอู้ก็มองเธอด้วยความระแวง "อย่ามองกันแบบนั้นสิ แค่จะทดสอบบางอย่างแค่นั้นเอง"พูดจบ ซูเชี่ยวก็พลิกตัวเธอเพื่อหาในกระเป๋า ตอนแรกเสิ่นหยินอู้กังวลเกี่ยวกับท้องของตัวเอง ไม่รู้ว่าซูเชี่ยวต้องการจะทำอะไร เธอจึงดิ้นหนีด้วยความกลัว "อย่าขยับ!" วินาทีต่อมา ซูเชี่ยวก็เตือนเธอด้วยเสียงเบาๆ “ถ้าเธอขยับอีก ฉันไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ”เสิ่นหยินอู้หน้าเปลี่ยนสีเมื่อได้ยิน “เธอจะทำอะไร?”