เสิ่นหยินอู้มองเธออย่างเย็นชา ดวงตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ราวกับไม่ต้องการยุ่งกับเธอ เมื่อเห็นเธอในสภาพนี้ ซูเชี่ยวอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างโกรธเคือง “จนถึงตอนนี้ เธอยังคิดว่าตัวเองเป็นเทพธิดาผู้บริสุทธิ์อยู่หรอ? เห็นอยู่ชัดๆว่าเธออยากเป็นภรรยาของฉินเย่ แต่แค่ทำเป็นไม่สนใจ เดี๋ยวก็รู้สึก” "ฉันอยากเป็นภรรยาของฉินเย่หรือไม่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ?" เสิ่นหยินอู้หัวเราะเบาๆ "หรือว่า เธอเองก็อยากเป็นภรรยาของเขาเหมือนกัน?" ซูเชี่ยวหน้าแดงทันทีเมื่อได้ยิน คำพูดที่เตรียมไว้ถึงกับพูดไม่ออก "เธอ พูดบ้าอะไร?""ก็แค่พูดไปงั้น แค่นี้ก็โกรธแล้วหรอ สงสัยจะแทงใจดำสินะ?" หน้าของซูเชี่ยวบิดเบี้ยวไปเพราะความโกรธ ใบหน้าของเธอดูเหมือนกับสัตว์เลื้อยคลาน "เสิ่นหยินอู้ เธออย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน!" พูดจบ ซูเชี่ยวก็โทรหาฉินเย่ทันที พร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ “ตอนนี้ฉินเย่อยู่กับใคร ไม่ต้องเดาเธอก็คงรู้อยู่แล้วแหละ? ไม่รู้ว่าถ้าภรรยาของเขาโทรเรียกให้เขามาช่วยตอนนี้ เขาจะมามั้ยนะ?” พูดถึงตรงนี้ ซูเชี่ยวก็หยุด แล้วแกล้งทำเป็นประหลาดใจ เธอเอามือปิดปากแล้วพูด “อุ๊ย ฉันลืมบอกไป เขาอาจจะไม่รับสายเลยก็ไ
คนในโกดังทั้งสามคนต่างก็หันไปมองที่ประตูพร้อมๆกัน ยังไม่ทันที่พวกเขาจะตอบสนองอะไร คนกลุ่มหนึ่งก็กรูกันเข้ามา ซูเชี่ยวถูกจับข้อมือและกดลงกับพื้นทันทีต้วนจื่อเหย่ก็ถูกทำแบบเดียวกัน เนื่องจากคนจำนวนมากเข้ามา โกดังที่มีฝุ่นปกคลุมอยู่แล้วจึงกลายเป็นสถานที่อุดอู้ขึ้นมาทันทีเสิ่นหยินอู้ปิดตาลงโดยไม่รู้ตัว "จับพวกเขาไว้แล้วพาออกไป!" "กรี๊ด! พวกคุณจะทำอะไร? ปล่อยฉัน!" ในขณะที่ปิดตา เสิ่นหยินอู้ได้ยินเสียงซูเชี่ยวพยายามดิ้นหนีและกรีดร้องห่างออกไปเรื่อยๆรอดแล้วเหรอ? เสิ่นหยินอู้คิด แต่คนกลุ่มนั้นดูไม่เหมือนตำรวจเลย ใครเป็นคนช่วยเธอไว้กันนะ?ระหว่างที่คิด เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกเวียนหัว และคลื่นไส้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการกระแทกเมื่อกี้นี้ หรือเพราะยาสลบก่อนหน้านี้กันแน่ต้วนจื่อเหย่เอามือปิดปากเธอไม่นาน เธอก็หมดสติไป ไม่รู้ว่ามันจะมีผลกระทบกับร่างกายของเธอหรือเปล่าระหว่างที่คิด เสิ่นหยินอู้ได้ยินเสียงฝีเท้าที่มั่นคงเดินเข้ามาใกล้เธอ เธอพยายามยกหัวขึ้นมาอย่างยากลำบาก พยายามดูว่าใครเข้ามา แต่แล้วเธอก็หมดสติไปในวินาทีต่อมาเสิ่นหยินอู้พิงอยู่กับกล่องกระดาษที่พังอยู่ ดั
"คุณโม่ เราจะไปไหนต่อครับ?"เมื่อได้ยินคำถาม โม่ไป๋ก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เหมือนกำลังจะบอกว่า ต้องถามฉันด้วยเหรอว่าจะไปไหนต่อ? เมื่อคนขับรถเห็นสายตาของเขา เขาก็กลืนน้ำลายด้วยความตกใจ และในไม่ช้าก็ได้ยินโม่ไป๋ตอบกลับว่า "ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด" "ได้ครับ เข้าใจแล้วครับ" หลังจากรู้จุดหมายของตัวเองแล้ว คนขับก็ไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป เขารีบออกรถทันที แต่เพราะมีเสิ่นหยินอู้อยู่ในรถ คนขับจึงไม่กล้าขับเร็วเกินไป ได้แต่ขับอย่างช้าๆ ไม่กี่นาทีต่อมา โม่ไป๋ก็ยกมือขึ้นดันแว่นตาบนใบหน้า และพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า "ถ้าคุณขับแบบนี้ไปเรื่อยๆ และทำให้การรักษาของเธอล่าช้า คุณจะรับผิดชอบได้ไหม?"เมื่อได้ยิน คนขับก็หน้าซีดและเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง "ได้ครับๆ ผมจะขับให้เร็วขึ้น" สิบนาทีต่อมา รถก็มาจอดที่หน้าประตูโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด โม่ไป๋อุ้มเธอลงจากรถหลังจากที่เขาเดินไป คนขับถึงจะยกมือขึ้นลูบหน้าผากของตัวเอง ไม่ลูบก็ยังไม่รู้ พอลูบแล้วก็เห็นว่ามีเหงื่อออกมาเต็มมือ วันนี้แม้ว่าโม่ไป๋จะไม่ได้พูดอะไรที่รุนแรง แต่ออร่าเย็นเฉียบรอบตัวเขากลับทำให้คนขับกลัวสุดๆ โชคดีที่ภารกิจของเขาเสร็จ
มองลอดใต้กรอบแว่นตาสีทองไป เสิ่นหยินอู้เห็นดวงตาลึกล้ำที่เหมือนมีหมอกล้อมอยู่รอบๆ ทำให้ยากที่จะจับต้องได้ ในขณะที่ภายนอกนั้น โม่ไป๋ยังคงมีรอยยิ้มเหมือนเดิม หลังจากสบตากับเธออยู่สักพัก โม่ไป๋เลิกคิ้วเล็กน้อย "มีอะไรเหรอ?" เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็มองตาลงต่ำ เธอไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่เธอก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่จะไปเยี่ยมคุณย่าฉินอีก ปล่อยให้พยาบาลเปลี่ยนเข็มใหม่ให้เงียบๆ ความเจ็บปวดจากเข็มทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกตัวมากขึ้นหลังจากพยาบาลออกไปแล้ว ในห้องเหลือแค่พวกเราสองคน มีบางอย่างที่เธออยากจะพูดออกไปในตอนนี้ ขณะที่เสิ่นหยินอู้กำลังลังเลว่าจะพูดออกไปอย่างไร โม่ไป๋ก็ย่อตัวลงต่อหน้าเธอทันที มือของเขาถือผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาด และกำลังเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากแผลเบาๆ พยาบาลได้จัดการทำความสะอาดแผลของเธอแล้ว เลือดที่เหลือซึมเข้าไปในแขนเสื้อของเธอ ทำให้เป็นจุดเล็กๆ ไม่สามารถเช็ดออกได้ แต่โม่ไป๋ดูเหมือนจะมีอาการย้ำคิดย้ำทำหรือรักความสะอาด เขาพยายามเช็ดจุดเลือดเล็กๆเหล่านั้นอย่างช้าๆประมาณสิบกว่าวินาทีผ่านไป เสิ่นหยินอู้ทนไม่ไหวและพูดว่า "ไม่ต้องเช็ดแล้ว เช็ดไม่ออกห
แต่ครั้งนี้เขากลับ......เสิ่นหยินอู้ลืมไปเลยว่าเธอจะพูดอะไร เธอรู้สึกว่าความคิดของเธอยุ่งเหยิงไปหมด"ไม่ต้องห่วง ผมจะช่วยเอง"เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ยิ่งสับสนมากขึ้น เธอแหงนหน้าขึ้นไปมองเขา "ช่วยฉัน?"โม่ไป๋ยิ้มเล็กๆ "ถือโอกาสช่วยฉินเย่และเจียงฉูฉู่คู่รักคู่นั้นด้วย" คำว่า "คู่รัก" สองคำนี้ทำให้หัวใจของเสิ่นหยินอู้เจ็บปวด เธอพยักหน้าช้าๆด้วยความรู้สึกชาๆ แม้ว่าความคิดของเธอจะยังคงยุ่งเหยิงอยู่ แต่เมื่อได้ยินว่าเขาจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ หัวใจของเสิ่นหยินอู้ก็สงบลงบ้าง"เรื่องระหว่างเธอกับเขามันเป็นยังไง?"หลังจากยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายมีวัตถุประสงค์ร่วมกันแล้ว โม่ไป๋ก็หาจังหวะถามเธอ "เธออยู่กับเขาตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่าเธอท้องเหรอ?" มือของเสิ่นหยินอู้ประสานเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว"เขารู้"เมื่อได้ยินแบบนั้น ดวงตาของโม่ไป๋ที่ซ่อนอยู่หลังแว่นตาเป็นประกายขึ้นมา น้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย "รู้เหรอ?""อืม" เสิ่นหยินอู้พยักหน้า นึกถึงข้อความที่ส่งไปแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ เธอยกมือขึ้นทัดผมไว้ข้างหูอย่างเป็นธรรมชาติ ยิ้มเบาๆ "เขาไม่ได้ต้องการเด็กคนนี้"เมื่อได้ยินแบบน
ฉินเย่ในตอนนี้มีผมที่ยุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล และยังคงมีความเย็นจากภายนอกติดตัวเขาอยู่ดูเหมือนว่าเขามาที่นี่เพราะเธอ แต่เสิ่นหยินอู้รู้ดีว่าก่อนที่เขาจะมาหาเธอ เขาคงออกไปหาเจียงฉูฉู่นานแล้ว นอกจากนี้ เขายุ่งมากจนไม่มีเวลารับโทรศัพท์ของเธอเลย หรืออาจจะไม่สะดวก แต่เธอไม่อยากคาดเดาเหตุผลที่เขาไม่สะดวกนั้นมากเท่าไหร่ ดังนั้นเมื่อเขาวิ่งมาหาเธอ หัวใจของเสิ่นหยินอู้จึงไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษแต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่ว่าภายในจะเป็นยังไงแต่ภายก็ยังคงต้องรักษาความสงบเอาไว้ ดังนั้นเธอจึงส่ายหัวเบาๆ "ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เป็นไร"น้ำเสียงของเธอสงบนิ่ง ดูเหมือนจะไม่ได้ตกใจเพราะเรื่องนี้ และก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังที่เขาไม่รับโทรศัพท์แต่ในขณะนี้ฉินเย่ไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องพวกนี้ เขาก้มลงอุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมาเสิ่นหยินอู้รู้สึกเสียสมดุลในทันที เธอยกมือขึ้นไปโอบคอเขาโดยสัญชาติญาณ แต่ทันทีที่ขยับเข็มที่มือก็ถูกกระตุก ความเจ็บปวดทำให้เธอตื่นตัวขึ้นและหยุดการเคลื่อนไหวยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร โม่ไป๋ก็พูดขึ้นก่อน "ฉินเย่ จะทำอะไร?"ฉินเย่ทำหน้าเย็นชาและพูดว่า "พาเธอไปตรวจ"
ฉินเย่อยากรู้เรื่องราวทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงเงียบเพื่อฟังเมื่อโม่ไป๋พูดจบ เขาก็ขมวดคิ้ว "แล้วคนร้ายล่ะ?""จับได้แล้ว""ใคร?" ฉินเย่ไม่เข้าใจ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่มีศัตรูที่ไหน ใครจะทำร้ายเธอในเวลาแบบนี้? พอได้ยินเขาถามว่าใครคือคนร้าย โม่ไป๋กลับเงียบไปเมื่อเห็นแบบนั้น ฉินเย่ก็ขมวดคิ้ว "โม่ไป๋?"พอได้ยิน โม่ไป๋ก็เงยหน้าขึ้น และพูดอย่างครุ่นคิด "นายอยากรู้จริงๆเหรอ?" คำถามนี้ทำให้ฉินเย่งงขึ้นไปอีก แม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะดูเหมือนไม่เป็นอะไรในตอนนี้ แต่การลักพาตัวเป็นเรื่องร้ายแรง และคนที่คิดร้ายต่อเธอ เขาจะปล่อยไปได้อย่างไรกัน?โม่ไป๋ใส่แว่นตากลับเข้าไป และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "คนที่ลักพาตัวเธอ อาจทำให้นายประหลาดใจ นายต้องเตรียมใจรับมือกับเรื่องนี้" เมื่อได้ยินคำว่า "รับมือ" ฉินเย่ก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาและแล้วโดยไม่ต้องรอให้เขาถามต่อ โม่ไป๋ก็พูดขึ้นมาว่า "เป็นคนของฉูฉู่" เมื่อได้ยินแบบนั้น สายตาของฉินเย่เข้มขึ้นเล็กน้อย"ถ้าอยากรู้ชื่อ คนของฉันส่งมาแล้ว นายดูเองเถอะ"โม่ไป๋ยื่นโทรศัพท์ให้ฉินเย่ ฉินเย่รับโทรศัพท์มาดูรูปในนั้นทันที และจำได้ว่าเป็นคนที่เคยทะเลาะกับเสิ่นหยินอู้ใ
ความคิดของฉินเย่ยุ่งเหยิงไปหมด ตั้งแต่ตอนเด็กๆ เขาก็รู้สึกว่าโม่ไป๋แปลกๆ ชอบทำตัวใกล้ชิดกับเสิ่นหยินอู้ตลอด ชอบลูบหัวเธอและเรียกเธอว่า "ยัยเด็กน้อย" แต่โม่ไป๋มักจะบอกว่า เสิ่นหยินอู้เป็นแค่ยัยเด็กน้อยที่ยังไม่โต ดังนั้น ฉินเย่จึงคิดมาตลอดว่า เขามองเธอเป็นน้องสาว แม้ว่าเขาจะคิดแบบนั้น แต่ลึก ๆ ในใจของฉินเย่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ความรู้สึกไม่สบายใจนี้หายไปหลังจากที่โม่ไป๋ไปต่างประเทศและขาดการติดต่อไป ไม่นึกเลยว่าวันนี้...... โม่ไป๋จะกล้ายอมรับ และยอมรับออกมาอย่างรวดเร็วอีกด้วย"แปลกใจเหรอ?" โม่ไป๋หัวเราะเบา ๆ "ฉันไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนตั้งแต่เด็กเหรอว่าฉันชอบเธอ? ฉันคิดว่านายรู้มาตลอดซะอีก" ฉินเย่ไม่พูดอะไร ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น"ดูเหมือนนายจะเพิ่งรู้ แต่รู้ตอนนี้รู้ก็ไม่สาย"พอนึกอะไรขึ้นมาได้ โม่ไป๋ก็พูดขึ้น "แล้วนายจะทำยังไงกับเจียงฉูฉู่?""อะไรนะ?" ฉินเย่คิดถึงแต่เรื่องที่โม่ไป๋ชอบเสิ่นหยินอู้ จนไม่ทันได้คิดถึงเรื่องอื่น โม่ไป๋พูดอย่างอ้อมค้อม"ฉันได้ยินมาว่านายออกมาจากโรงพยาบาลมากลางคันเพราะมีคนส่งข้อความบอกว่าเจียงฉูฉู่หายตัวไป?"ทั้งสองเป็นคนฉลาด โม่ไป๋พูดอ
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ