เสิ่นหยินอู้มองเธออย่างเย็นชา ดวงตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ราวกับไม่ต้องการยุ่งกับเธอ เมื่อเห็นเธอในสภาพนี้ ซูเชี่ยวอดไม่ได้ที่จะพูดอย่างโกรธเคือง “จนถึงตอนนี้ เธอยังคิดว่าตัวเองเป็นเทพธิดาผู้บริสุทธิ์อยู่หรอ? เห็นอยู่ชัดๆว่าเธออยากเป็นภรรยาของฉินเย่ แต่แค่ทำเป็นไม่สนใจ เดี๋ยวก็รู้สึก” "ฉันอยากเป็นภรรยาของฉินเย่หรือไม่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ?" เสิ่นหยินอู้หัวเราะเบาๆ "หรือว่า เธอเองก็อยากเป็นภรรยาของเขาเหมือนกัน?" ซูเชี่ยวหน้าแดงทันทีเมื่อได้ยิน คำพูดที่เตรียมไว้ถึงกับพูดไม่ออก "เธอ พูดบ้าอะไร?""ก็แค่พูดไปงั้น แค่นี้ก็โกรธแล้วหรอ สงสัยจะแทงใจดำสินะ?" หน้าของซูเชี่ยวบิดเบี้ยวไปเพราะความโกรธ ใบหน้าของเธอดูเหมือนกับสัตว์เลื้อยคลาน "เสิ่นหยินอู้ เธออย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน!" พูดจบ ซูเชี่ยวก็โทรหาฉินเย่ทันที พร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ “ตอนนี้ฉินเย่อยู่กับใคร ไม่ต้องเดาเธอก็คงรู้อยู่แล้วแหละ? ไม่รู้ว่าถ้าภรรยาของเขาโทรเรียกให้เขามาช่วยตอนนี้ เขาจะมามั้ยนะ?” พูดถึงตรงนี้ ซูเชี่ยวก็หยุด แล้วแกล้งทำเป็นประหลาดใจ เธอเอามือปิดปากแล้วพูด “อุ๊ย ฉันลืมบอกไป เขาอาจจะไม่รับสายเลยก็ไ
คนในโกดังทั้งสามคนต่างก็หันไปมองที่ประตูพร้อมๆกัน ยังไม่ทันที่พวกเขาจะตอบสนองอะไร คนกลุ่มหนึ่งก็กรูกันเข้ามา ซูเชี่ยวถูกจับข้อมือและกดลงกับพื้นทันทีต้วนจื่อเหย่ก็ถูกทำแบบเดียวกัน เนื่องจากคนจำนวนมากเข้ามา โกดังที่มีฝุ่นปกคลุมอยู่แล้วจึงกลายเป็นสถานที่อุดอู้ขึ้นมาทันทีเสิ่นหยินอู้ปิดตาลงโดยไม่รู้ตัว "จับพวกเขาไว้แล้วพาออกไป!" "กรี๊ด! พวกคุณจะทำอะไร? ปล่อยฉัน!" ในขณะที่ปิดตา เสิ่นหยินอู้ได้ยินเสียงซูเชี่ยวพยายามดิ้นหนีและกรีดร้องห่างออกไปเรื่อยๆรอดแล้วเหรอ? เสิ่นหยินอู้คิด แต่คนกลุ่มนั้นดูไม่เหมือนตำรวจเลย ใครเป็นคนช่วยเธอไว้กันนะ?ระหว่างที่คิด เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกเวียนหัว และคลื่นไส้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการกระแทกเมื่อกี้นี้ หรือเพราะยาสลบก่อนหน้านี้กันแน่ต้วนจื่อเหย่เอามือปิดปากเธอไม่นาน เธอก็หมดสติไป ไม่รู้ว่ามันจะมีผลกระทบกับร่างกายของเธอหรือเปล่าระหว่างที่คิด เสิ่นหยินอู้ได้ยินเสียงฝีเท้าที่มั่นคงเดินเข้ามาใกล้เธอ เธอพยายามยกหัวขึ้นมาอย่างยากลำบาก พยายามดูว่าใครเข้ามา แต่แล้วเธอก็หมดสติไปในวินาทีต่อมาเสิ่นหยินอู้พิงอยู่กับกล่องกระดาษที่พังอยู่ ดั
"คุณโม่ เราจะไปไหนต่อครับ?"เมื่อได้ยินคำถาม โม่ไป๋ก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เหมือนกำลังจะบอกว่า ต้องถามฉันด้วยเหรอว่าจะไปไหนต่อ? เมื่อคนขับรถเห็นสายตาของเขา เขาก็กลืนน้ำลายด้วยความตกใจ และในไม่ช้าก็ได้ยินโม่ไป๋ตอบกลับว่า "ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด" "ได้ครับ เข้าใจแล้วครับ" หลังจากรู้จุดหมายของตัวเองแล้ว คนขับก็ไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป เขารีบออกรถทันที แต่เพราะมีเสิ่นหยินอู้อยู่ในรถ คนขับจึงไม่กล้าขับเร็วเกินไป ได้แต่ขับอย่างช้าๆ ไม่กี่นาทีต่อมา โม่ไป๋ก็ยกมือขึ้นดันแว่นตาบนใบหน้า และพูดอย่างไร้อารมณ์ว่า "ถ้าคุณขับแบบนี้ไปเรื่อยๆ และทำให้การรักษาของเธอล่าช้า คุณจะรับผิดชอบได้ไหม?"เมื่อได้ยิน คนขับก็หน้าซีดและเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง "ได้ครับๆ ผมจะขับให้เร็วขึ้น" สิบนาทีต่อมา รถก็มาจอดที่หน้าประตูโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด โม่ไป๋อุ้มเธอลงจากรถหลังจากที่เขาเดินไป คนขับถึงจะยกมือขึ้นลูบหน้าผากของตัวเอง ไม่ลูบก็ยังไม่รู้ พอลูบแล้วก็เห็นว่ามีเหงื่อออกมาเต็มมือ วันนี้แม้ว่าโม่ไป๋จะไม่ได้พูดอะไรที่รุนแรง แต่ออร่าเย็นเฉียบรอบตัวเขากลับทำให้คนขับกลัวสุดๆ โชคดีที่ภารกิจของเขาเสร็จ
มองลอดใต้กรอบแว่นตาสีทองไป เสิ่นหยินอู้เห็นดวงตาลึกล้ำที่เหมือนมีหมอกล้อมอยู่รอบๆ ทำให้ยากที่จะจับต้องได้ ในขณะที่ภายนอกนั้น โม่ไป๋ยังคงมีรอยยิ้มเหมือนเดิม หลังจากสบตากับเธออยู่สักพัก โม่ไป๋เลิกคิ้วเล็กน้อย "มีอะไรเหรอ?" เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็มองตาลงต่ำ เธอไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่เธอก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่จะไปเยี่ยมคุณย่าฉินอีก ปล่อยให้พยาบาลเปลี่ยนเข็มใหม่ให้เงียบๆ ความเจ็บปวดจากเข็มทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกตัวมากขึ้นหลังจากพยาบาลออกไปแล้ว ในห้องเหลือแค่พวกเราสองคน มีบางอย่างที่เธออยากจะพูดออกไปในตอนนี้ ขณะที่เสิ่นหยินอู้กำลังลังเลว่าจะพูดออกไปอย่างไร โม่ไป๋ก็ย่อตัวลงต่อหน้าเธอทันที มือของเขาถือผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาด และกำลังเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากแผลเบาๆ พยาบาลได้จัดการทำความสะอาดแผลของเธอแล้ว เลือดที่เหลือซึมเข้าไปในแขนเสื้อของเธอ ทำให้เป็นจุดเล็กๆ ไม่สามารถเช็ดออกได้ แต่โม่ไป๋ดูเหมือนจะมีอาการย้ำคิดย้ำทำหรือรักความสะอาด เขาพยายามเช็ดจุดเลือดเล็กๆเหล่านั้นอย่างช้าๆประมาณสิบกว่าวินาทีผ่านไป เสิ่นหยินอู้ทนไม่ไหวและพูดว่า "ไม่ต้องเช็ดแล้ว เช็ดไม่ออกห
แต่ครั้งนี้เขากลับ......เสิ่นหยินอู้ลืมไปเลยว่าเธอจะพูดอะไร เธอรู้สึกว่าความคิดของเธอยุ่งเหยิงไปหมด"ไม่ต้องห่วง ผมจะช่วยเอง"เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ยิ่งสับสนมากขึ้น เธอแหงนหน้าขึ้นไปมองเขา "ช่วยฉัน?"โม่ไป๋ยิ้มเล็กๆ "ถือโอกาสช่วยฉินเย่และเจียงฉูฉู่คู่รักคู่นั้นด้วย" คำว่า "คู่รัก" สองคำนี้ทำให้หัวใจของเสิ่นหยินอู้เจ็บปวด เธอพยักหน้าช้าๆด้วยความรู้สึกชาๆ แม้ว่าความคิดของเธอจะยังคงยุ่งเหยิงอยู่ แต่เมื่อได้ยินว่าเขาจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ หัวใจของเสิ่นหยินอู้ก็สงบลงบ้าง"เรื่องระหว่างเธอกับเขามันเป็นยังไง?"หลังจากยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายมีวัตถุประสงค์ร่วมกันแล้ว โม่ไป๋ก็หาจังหวะถามเธอ "เธออยู่กับเขาตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่าเธอท้องเหรอ?" มือของเสิ่นหยินอู้ประสานเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว"เขารู้"เมื่อได้ยินแบบนั้น ดวงตาของโม่ไป๋ที่ซ่อนอยู่หลังแว่นตาเป็นประกายขึ้นมา น้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย "รู้เหรอ?""อืม" เสิ่นหยินอู้พยักหน้า นึกถึงข้อความที่ส่งไปแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ เธอยกมือขึ้นทัดผมไว้ข้างหูอย่างเป็นธรรมชาติ ยิ้มเบาๆ "เขาไม่ได้ต้องการเด็กคนนี้"เมื่อได้ยินแบบน
ฉินเย่ในตอนนี้มีผมที่ยุ่งเหยิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล และยังคงมีความเย็นจากภายนอกติดตัวเขาอยู่ดูเหมือนว่าเขามาที่นี่เพราะเธอ แต่เสิ่นหยินอู้รู้ดีว่าก่อนที่เขาจะมาหาเธอ เขาคงออกไปหาเจียงฉูฉู่นานแล้ว นอกจากนี้ เขายุ่งมากจนไม่มีเวลารับโทรศัพท์ของเธอเลย หรืออาจจะไม่สะดวก แต่เธอไม่อยากคาดเดาเหตุผลที่เขาไม่สะดวกนั้นมากเท่าไหร่ ดังนั้นเมื่อเขาวิ่งมาหาเธอ หัวใจของเสิ่นหยินอู้จึงไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษแต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่ว่าภายในจะเป็นยังไงแต่ภายก็ยังคงต้องรักษาความสงบเอาไว้ ดังนั้นเธอจึงส่ายหัวเบาๆ "ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เป็นไร"น้ำเสียงของเธอสงบนิ่ง ดูเหมือนจะไม่ได้ตกใจเพราะเรื่องนี้ และก็ไม่ได้รู้สึกผิดหวังที่เขาไม่รับโทรศัพท์แต่ในขณะนี้ฉินเย่ไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องพวกนี้ เขาก้มลงอุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมาเสิ่นหยินอู้รู้สึกเสียสมดุลในทันที เธอยกมือขึ้นไปโอบคอเขาโดยสัญชาติญาณ แต่ทันทีที่ขยับเข็มที่มือก็ถูกกระตุก ความเจ็บปวดทำให้เธอตื่นตัวขึ้นและหยุดการเคลื่อนไหวยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร โม่ไป๋ก็พูดขึ้นก่อน "ฉินเย่ จะทำอะไร?"ฉินเย่ทำหน้าเย็นชาและพูดว่า "พาเธอไปตรวจ"
ฉินเย่อยากรู้เรื่องราวทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงเงียบเพื่อฟังเมื่อโม่ไป๋พูดจบ เขาก็ขมวดคิ้ว "แล้วคนร้ายล่ะ?""จับได้แล้ว""ใคร?" ฉินเย่ไม่เข้าใจ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่มีศัตรูที่ไหน ใครจะทำร้ายเธอในเวลาแบบนี้? พอได้ยินเขาถามว่าใครคือคนร้าย โม่ไป๋กลับเงียบไปเมื่อเห็นแบบนั้น ฉินเย่ก็ขมวดคิ้ว "โม่ไป๋?"พอได้ยิน โม่ไป๋ก็เงยหน้าขึ้น และพูดอย่างครุ่นคิด "นายอยากรู้จริงๆเหรอ?" คำถามนี้ทำให้ฉินเย่งงขึ้นไปอีก แม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะดูเหมือนไม่เป็นอะไรในตอนนี้ แต่การลักพาตัวเป็นเรื่องร้ายแรง และคนที่คิดร้ายต่อเธอ เขาจะปล่อยไปได้อย่างไรกัน?โม่ไป๋ใส่แว่นตากลับเข้าไป และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "คนที่ลักพาตัวเธอ อาจทำให้นายประหลาดใจ นายต้องเตรียมใจรับมือกับเรื่องนี้" เมื่อได้ยินคำว่า "รับมือ" ฉินเย่ก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาและแล้วโดยไม่ต้องรอให้เขาถามต่อ โม่ไป๋ก็พูดขึ้นมาว่า "เป็นคนของฉูฉู่" เมื่อได้ยินแบบนั้น สายตาของฉินเย่เข้มขึ้นเล็กน้อย"ถ้าอยากรู้ชื่อ คนของฉันส่งมาแล้ว นายดูเองเถอะ"โม่ไป๋ยื่นโทรศัพท์ให้ฉินเย่ ฉินเย่รับโทรศัพท์มาดูรูปในนั้นทันที และจำได้ว่าเป็นคนที่เคยทะเลาะกับเสิ่นหยินอู้ใ
ความคิดของฉินเย่ยุ่งเหยิงไปหมด ตั้งแต่ตอนเด็กๆ เขาก็รู้สึกว่าโม่ไป๋แปลกๆ ชอบทำตัวใกล้ชิดกับเสิ่นหยินอู้ตลอด ชอบลูบหัวเธอและเรียกเธอว่า "ยัยเด็กน้อย" แต่โม่ไป๋มักจะบอกว่า เสิ่นหยินอู้เป็นแค่ยัยเด็กน้อยที่ยังไม่โต ดังนั้น ฉินเย่จึงคิดมาตลอดว่า เขามองเธอเป็นน้องสาว แม้ว่าเขาจะคิดแบบนั้น แต่ลึก ๆ ในใจของฉินเย่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ความรู้สึกไม่สบายใจนี้หายไปหลังจากที่โม่ไป๋ไปต่างประเทศและขาดการติดต่อไป ไม่นึกเลยว่าวันนี้...... โม่ไป๋จะกล้ายอมรับ และยอมรับออกมาอย่างรวดเร็วอีกด้วย"แปลกใจเหรอ?" โม่ไป๋หัวเราะเบา ๆ "ฉันไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนตั้งแต่เด็กเหรอว่าฉันชอบเธอ? ฉันคิดว่านายรู้มาตลอดซะอีก" ฉินเย่ไม่พูดอะไร ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น"ดูเหมือนนายจะเพิ่งรู้ แต่รู้ตอนนี้รู้ก็ไม่สาย"พอนึกอะไรขึ้นมาได้ โม่ไป๋ก็พูดขึ้น "แล้วนายจะทำยังไงกับเจียงฉูฉู่?""อะไรนะ?" ฉินเย่คิดถึงแต่เรื่องที่โม่ไป๋ชอบเสิ่นหยินอู้ จนไม่ทันได้คิดถึงเรื่องอื่น โม่ไป๋พูดอย่างอ้อมค้อม"ฉันได้ยินมาว่านายออกมาจากโรงพยาบาลมากลางคันเพราะมีคนส่งข้อความบอกว่าเจียงฉูฉู่หายตัวไป?"ทั้งสองเป็นคนฉลาด โม่ไป๋พูดอ
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ