"ครั้งที่แล้วก็เพราะการผ่าตัดถูกเลื่อนออกไป ฉันต้องรออีกนานแค่ไหนเนี่ย? ถ้าไม่ใช่เพราะการผ่าตัดถูกเลื่อน เย่กับเสิ่นหยินอู้ก็คงจะหย่ากันแล้ว และคงจะไม่มีเรื่องเกิดขึ้นตามมามากมายขนาดนี้" พูดมาถึงตรงนี้ เจียงฉูฉู่ก็จับข้อมือซูเชี่ยว "ซูเชี่ยว ฉันรู้ว่าเธอหวังดีกับฉันเสมอ แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้คุณนายฉินผ่าตัดให้เสร็จ ฉันกับเย่ถึงจะมีโอกาส ไม่อย่างนั้น......การที่ยืดเยื้อออกไปแล้วไม่หย่าสักทีนั่นคือสิ่งที่อันตรายที่สุด ฉันไม่รู้ว่าฉันจะเกลี้ยกล่อมต้วนจื่อเย่ได้ไหม เธอเก่งเรื่องการเจรจา เธอช่วยเกลี้ยกล่อมเขาให้ฉันหน่อยได้ไหม? บอกเขาว่าอย่าวู่วาม อย่าทำอะไรโง่ๆ รอให้ฉันเป็นภรรยาของฉินเย่ก่อน ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเธอ" เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ซูเชี่ยวก็เหมือนได้รับคำสัญญา "ฉูฉู่ ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะช่วยเธอแน่นอน" เจียงฉูฉู่มองเธอด้วยความซาบซึ้งทันที "ซูเชี่ยว ขอบคุณนะ เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลย" หลังจากออกจากโรงพยาบาล ซูเชี่ยวโทรหาต้วนจื่อเย่ให้ออกมาหาเพราะปกติพวกเธอมักจะดูถูกเขาเสมอ ดังนั้นนอกจากเจียงฉูฉู่แล้ว ต้วนจื่อเย่จึงไม่มีความรู้สึกดีต่อผู้หญิงคน
เขามีความทรงจำกับผู้หญิงคนนี้ แต่ก่อนเราเคยเรียนที่เดียวกัน เขาจำได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวย แต่ไม่คิดว่าเธอจะร้ายขนาดนี้ แน่นอนว่ามีแค่เจียงฉูฉู่ที่เขาชอบเท่านั้นที่จิตใจดี ผู้หญิงคนอื่นล้วนแต่เป็นแกะในคราบหมาป่า "โอเค งั้นก็แค่นี้ ถึงวันนั้นฉันจะติดต่อนายไป นายจะทำก็ทำ ไม่ทำก็ช่าง"ซูเชี่ยวพูดจบก็เดินจากไป เมื่อเธอเดินไปแล้ว ต้วนจื่อเย่ก็ถ่มน้ำลายลงพื้น ดวงตาฉายแววร้ายกาจ "ยัยผู้หญิงน่ารังเกียจ รอให้ฉันได้ตัวเจียงฉูฉู่มาอยู่ในมือก่อน พวกเธอไม่มีใครรอดแน่" -อาจเป็นเพราะการพูดคุยที่โรงพยาบาลกับฉินเย่ พอกลับบ้านแล้ว เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ก็มีช่วงเวลาที่สงบสุขแบบที่หาได้ยาก นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เจียงฉูฉู่กลับมาเพราะคุณย่าต้องผ่าตัด ฉินเย่จึงไม่ออกไปไหน ยกเว้นบริษัทกับบ้าน เขาแทบจะใช้ชีวิตอยู่แค่สองที่นี้ เราทั้งคู่ต่างก็เหมือนกัน หลังจากการตรวจในวันนั้น หมอเฉินบอกว่าให้รอแจ้งผลตรวจให้ทราบอีกที พ่อของฉินเย่ไปต่างประเทศเพื่อจัดการเรื่องต่างๆ ส่วนคุณแม่ของฉินเย่ก็อยู่กับคุณย่า พาคุณนายฉินไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆ ทุกวันเธอเป็นคนที่กระตือรือร้นมาก การอยู่กับเธอทำให้ค
ปั้ง! ร่างกายที่บอบบางของเสิ่นหยินอู้กระแทกเข้ากับประตูกระจก จนทำให้เกิดเสียงดัง พนักงานที่เห็นเหตุการณ์นี้ ตกใจจนตาโตแล้วรีบวิ่งเข้ามา "คุณผู้หญิง ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ?"โจวชวงชวงที่อยู่ปลายสายได้ยินเสียงก็ถามด้วยความตกใจ "เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น? หยินอู้ เกิดอะไรขึ้น? เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?" ไหล่ของเสิ่นหยินอู้ที่ถูกชนนั้นเจ็บ จนทำให้เธอขมวดคิ้ว พนักงานเข้ามาช่วยพยุงเธอ แต่สัญชาติญาณแรกของเสิ่นหยินอู้คือเธอระวังท้องของตัวเอง เธอยกมือขึ้นมาปกป้องท้องของตัวเองโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่เธอรู้ว่าเจ็บแค่ไหล่เฉยๆ ไม่มีปัญหาอื่น เธอก็โล่งใจ จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองคนที่ชนเธอ ไม่รู้ว่าเป็นใคร เข้ามาทำไมไม่รู้จักระวังหน่อย?อีกอย่าง เวลาผ่านมาตั้งนานแล้ว คนที่ชนเธอทำไมถึงไม่ขอโทษสักคำเลย? เมื่อเสิ่นหยินอู้เงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างไม่คาดคิด ประมาณสามถึงสี่วินาที เสิ่นหยินอู้ก็เรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาโดยไม่รู้ตัว "ต้วนจื่อเย่?" "อะไร อะไร?" โจวชวงชวงได้ยินเสียงของเธอจากหูฟังถามด้วยความสงสัย "ชื่อใครอ่ะ ฟังดูคุ้นๆ? เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น? ไม่เป
คิดมาถึงตรงนี้ ต้วนจื่อเย่ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แถมยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อย "คุณจะมารู้จักคนแบบผมได้ยังไง?" เขาพูดพร้อมกับมีสีหน้าเยาะเย้ย "คุณหนูชนชั้นสูงแบบคุณ ควรจะเกลียดคนมีปัญหาแบบผมที่สุดไม่ใช่หรอ? ตอนเรียนก็เป็นเด็กมีปัญหา พอออกจากโรงเรียนไม่มีประโยชน์อะไรต่อสังคมเลย"เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป ไม่ได้ตอบโต้กลับ "ผมพูดถูกใช่ไหม? คุณก็เหมือนคนพวกนั้นที่ดูถูกผม?"เสิ่นหยินอู้ได้สติกลับมา เงยหน้ามองไปที่เขา "คุณคิดว่าต้องเป็นคนแบบไหนถึงจะเรียกว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคม?"คำถามนี้ทำให้ต้วนจื่อเย่ชะงักไป "ทุกคนต่างก็มีงานและโอกาสของตัวเองกันทั้งนั้น เราทุกคนก็เป็นคนเหมือนกัน ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปดูถูกคุณ" ถ้าเป็นเมื่อก่อน เสิ่นหยินอู้อาจจะไม่อธิบายกับเขามากขนาดนี้แต่ตั้งแต่ครอบครัวล้มละลาย ทำให้เธอเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น เมื่อพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ "ฉันมีธุระ ไปก่อนนะ"เธอก็ไม่คิดจะเอาเรื่องต้วนจื่อเย่ที่เดินชนเธอ พูดจบเธอก็รีบเดินออกไป ต้วนจื่อเย่ยืนอยู่ที่เดิม มองดูเธอเดินจากไปด้วยความคิดบางอย่างสักพัก เขาก็ขยี้บุหรี่ในมือทิ้งแ
เมื่อกลับมาที่ออฟฟิศ เสิ่นหยินอู้ก็วางเค้กในมือไว้บนโต๊ะก่อนลงไปข้างล่างเธออารมณ์ดีและรู้สึกอยากอาหาร แต่ตอนนี้กลับหมดความอยากอาหารไปเลย ในตอนนี้ สิ่งที่อยู่ในหัวของเสิ่นหยินอู้มีแต่เรื่องที่เจอต้วนจื่อเย่ตอนที่อยู่ข้างล่าง คำพูดของโจวชวงชวงทำให้เธอตระหนักได้ แม้ว่าเธอไม่อยากคิดร้ายกับคนอื่น เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่าวันนี้ที่เจอต้วนจื่อเย่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ เนื่องจากร้านเค้กที่ชั้นล่างนั้นขายดีมาก คนจากที่อื่นมาก็อาจจะมาซื้อเค้กที่นี่เป็นเรื่องปกติ แต่ว่า...... ในโลกนี้จะมีเรื่องที่บังเอิญขนาดนั้นเลยหรอ? บังเอิญเจอเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ได้เจอกันมานานในช่วงที่เจียงฉูฉู่บาดเจ็บ และคนนี้ยังเป็นคนที่ชอบเจียงฉูฉู่อีก คิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็แกะกล่องเค้กออก กลิ่นหอมฟุ้งลอยออกมา เสิ่นหยินอู้หยิบมีดและส้อมที่พนักงานเตรียมไว้ให้ ตักเค้กชิ้นเล็กๆ เข้าปาก ขณะเดียวกันก็ตัดสินใจไปด้วย ว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่บังเอิญ หลังจากนี้เธอต้องระวังตัวมากขึ้นถ้าต้วนจื่อเย่ต้องการแก้แค้นแทนเจียงฉูฉู่จริงๆ เธอจะได้หลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าไม่ใช่....
ฉินเย่ไม่คิดว่าเสิ่นหยินอู้จะมาหาตน บนใบหน้าอันเย็นชาพลันมีความรู้สึกเพิ่มมากขึ้น“มาหาฉันเหรอ?”ได้ยินดังนั้น มือที่อยู่กลางอากาศของเสิ่นหยินอู้พลันหุบกลับเข้ามาเธอพยักหน้า “ฉันรู้สึกไม่สบายน่ะ ไม่อยากขับรถเอง เมื่อคืนฉัน…”เมื่อนึกถึงบางอย่างเข้า เสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนหัวข้อ “ช่วงนี้ฉันขอติดรถนายไปได้ไหม?”“ไม่สบายตรงไหน?”ไม่คิดว่าสิ่งที่ฉินเย่ถามออกมาจะเป็นคำถามถึงอาการป่วยของเธอ สายตาเฉียบคมถึงกับสำรวจมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าเสิ่นหยินอู้ตัวแข็งทื่อ “เอ่อ นี่ไม่ใช่ประเด็น”วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็โน้มตัวจับไหล่ของเธอไว้ “นี่ไม่ใช่ประเด็น แล้วอะไรถึงจะเป็นประเด็น? ร่างกายเธอเป็นอะไรกันแน่?”ก่อนหน้านี้ เขาก็รู้สึกว่าเธอแปลกๆ เหมือนมีบางอย่างปิดบังเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้นใบแจ้งผลนั่น…ก็ทำให้เขารู้สึกแปลกเช่นกันตอนนั้นเขาคิดว่าเธอป่วยถึงได้ฉีกใบแจ้งผลนั่นทิ้ง แต่คำอธิบายที่เสิ่นหยินอู้ให้กับเขาในภายหลังกลับทำให้เขารู้สึกไม่มีช่องว่างให้โจมตีฝนตกหนักขนาดนั้น ใบแจ้งผลใส่อยู่ในถุง การจะถูกน้ำฝนแช่จนขนาดหลุดลุ่ยนั้นเป็นเรื่องปกติมากหลังจากนั้น เธอก็ตัดบทด้วยวิธีอื่น ทำให้เรื่อ
ฉินเย่รับโทรศัพท์ เสียงอ่อนนุ่มของเจียงฉูฉู่ดังผ่านโทรศัพท์ออกมา“เย่ เลิกงานแล้วใช่ไหมคะ? ฉันคิดว่าเวลานี้คุณน่าจะว่างแล้ว ก็เลยโทรมาหาน่ะค่ะ”“อืม” ฉินเย่มองไปยังเสิ่นหยินอู้ที่อยู่ไม่ไกล “เพิ่งเลิกงาน”“งั้นก็ดีค่ะ ฉันกลัวว่าจะไปรบกวนเวลางานของคุณ แล้วคุณย่าเป็นยังไงบ้านคะ? สองสามวันนี้ฉันเป็นห่วงท่านมากเลย ตอนอยู่โรงพยาบาลก็ไม่ได้พักผ่อนดีๆ ถ้าคุณย่าชอบฉันก็คงดี ฉันจะได้ไปเฝ้าท่านที่โรงพยาบาลได้”ทุกถ้อยทุกคำของเจียงฉูฉู่เอ่ยถึงคุณย่าตลอด ทำให้ฉินเย่รู้สึกผิดในใจ น้ำเสียงพลางอ่อนนุ่มตามไปด้วย“คุณรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเถอะ เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมาก”“ฉันรู้แล้วค่ะ ฉันก็แค่เป็นห่วงคุณย่า…เอาอย่างงี้ได้ไหม คุณมารับฉันไปหาคุณย่าตอนที่ท่านจะเข้าผ่าตัดได้ไหม? แบบนั้นคุณย่าไม่เห็นหน้าฉัน ก็จะไม่โกรธแล้ว”วันที่ผ่าตัดเหรอ?ฉินเย่เม้มริมฝีปาก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรแต่ทว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรนั้น ต้องรอดูวันนั้น“เดี๋ยวผมจะบอกคุณอีกทีวันที่ผ่าตัดแล้วกัน”เจียงฉูฉู่ไม่คิดว่าเขาจะตอบตกลงทันทีอยู่แล้ว แต่ทว่าครั้งนี้เธอพูดจุดประสงค์ของตนออกมาก่อน และเขาไม่ไ
ส่วนการกระทำของเธอเช่นนี้ ทำให้ฉินเย่คิดว่าเธอเป็นเหมือนตอนเด็ก และตนก็มีหางเพิ่มเข้ามาคอยติดตามอยู่เขาไม่เพียงไม่รู้สึกรำคาญเท่านั้น แต่ยังรู้สึกพึงพอใจมาก ขนาดรู้สึกว่า…หากเธอตกลง เขาไม่ถือสาที่เธอจะติดตามเขาแบบนี้ไปตลอดชีวิตความคิดที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจนี้ ทำให้ฉินเย่อดไม่ได้ที่จะตระหนักถึงความรู้สึกของตนเองอย่างจริงจังอีกครั้งแต่ทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ ในสมองของเขาก็จะมีภาพของผู้หญิงคนหนึ่งผุดขึ้นมา เธอน่าสงสาร ดูอ่อนแอแต่กลับเสี่ยงชีวิตช่วยเขาไว้ และยังคิดถึงเขาทุกเรื่องเสมอเขาเองก็เคยสัญญากับเธอว่า ตำแหน่งข้างกายของตนจะเป็นของเธอเสมอและตลอดไปหลังจากที่รู้ว่าสมองของตนเริ่มตีกันนั้น ฉินเย่พลันรู้สึกว่าเป็นเพราะฟ้าเล่นตลกกับเขาไม่อย่างนั้น จะมีคนสองคนอยู่ในหัวใจของคนคนหนึ่งได้อย่างไร?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉินเย่พลางโยนปากกาบนโต๊ะ ไม่มีกะจิตกะใจทำงานต่ออีก_เข้าสู่วันที่สี่ หมอเฉินส่งข้อความมาให้คุณนายฉินเข้าไปทำเรื่องแอดมิดโรงพยาบาล เพื่อรอผ่าตัดดังนั้นไม่ว่าในใจทุกคนจะคิดอย่างไร หรือมีงานสำคัญในมือแค่ไหน ก็ต้องวางมือ แล้วมุ่งความสนใจไปที่เรื่องผ่าตัดของคุ