ซูเชี่ยวยืนขึ้น “ตอนนี้เขายังอยู่ที่ชั้นล่างหรือเปล่า? ฉันจะไปบอกให้เขากลับไป ช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักสำเหนียกตัวเองเลยจริงๆ ใฝ่หาในสิ่งที่ไม่มีวันได้ซะได้” เมื่อเธอกำลังจะออกไป เธอก็ถูกเจียงฉูฉู่หยุดไว้ "รอเดี๋ยว" "ฉูฉู่?" ไม่มีใครคาดคิดว่าเจียงฉูฉู่จะยิ้มออกมาในวินาทีถัดไปและพูดเบาๆ "ให้เขาขึ้นมา" หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนในห้องผู้ป่วยก็มองเธอด้วยความตกใจและพูดพร้อมกัน "ฉูฉู่!?" “เธอลืมไปแล้วหรอว่าเขาเคยทำอะไรกับเธอบ้าง? ต้วนจื่อเย่เป็นแค่ไอ้ขยะคนนึงนะ ถ้าคุณปล่อยให้เขาขึ้นมา เธอจะไม่…” “ซูเชี่ยว” เสียงของเจียงฉูฉู่ฟังดูอ่อนโยนมาก “ไม่ว่าเมื่อก่อนเขาจะเคยทำอะไรกับฉันไว้บ้าง แต่ตอนนี้ที่ฉันได้รับบาดเจ็บ เขาสามารถสืบหาและมาเยี่ยมฉันถึงที่โรงพยาบาลได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นห่วงฉัน การกระทำแบบนี้ ฉันไม่ควรรู้สึกซาบซึ้งหรอ?จะไล่ให้เขากลับไปได้ยังไง?” คนอื่นๆในห้องผู้ป่วยไม่เห็นด้วย “ฉูฉู่ เขาเป็นห่วงเธอตรงไหน เขาก็แค่คิดอะไรแบบนั้นกับเธอ ถ้าเธอสนใจเขา เขาอาจจะเป็นบ้าขึ้นมาก็ได้ เราอย่าไปสนใจเขาเลยดีกว่านะ?” “ใช่ๆ ฉูฉู่ ฉันรู้ว่าเธอมีจิตใจดี แต่ฉันคิดว่ามีเขามาเยี
“ฉูฉู่ แผลของเธอเป็นยังไงบ้าง? เป็นอะไรมากไหม? ฉัน...ฉันซื้อช่อดอกไม้มาเยี่ยมเธอ ไม่รู้ว่าเธอชอบหรือเปล่า? ตอนแรกฉันจะซื้อผลไม้มาด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเธอชอบกินผลไม้ไหม” ต้วนจื่อเย่พูดกับเจียงฉูฉู่อย่างระมัดระวัง เมื่อเจียงฉูฉู่ได้ยิน เสียงของเขาหยาบและแหบแห้ง น้ำเสียงของเขาไม่มั่นใจเป็นอย่างมาก มันไม่น่าฟังเป็นอย่างยิ่ง แต่เธอก็ยังคงระงับความเศร้าใจไว้และยิ้มออกมา “แผลของฉันไม่เป็นไรมาก ที่จริงนายมาตัวเปล่าก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อของมาฝากฉันเยอะแยะหรอก” “จะให้มามือเปล่าหรอ? ไม่ได้หรอก ฉันรู้สึกแย่” คนอื่นๆให้ห้องทำสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “ไม่ได้ให้นายมามือเปล่า แต่ถ้ามาทั้งทีก็ควรซื้ออะไรที่มันดีกว่านี้หน่อยไหม? ดูสิว่านายซื้อดอกไม้อะไรมา สีน่าเกลียดและฉูดฉาดมากขนาดนี้ ไม่ได้เก็บมาจากริมถนนใช่ไหม?” “ใช่สิ แบบนี้นายยังมีหน้ามาเยี่ยมฉูฉู่อีก” หลังจากได้ยินคำดูหมิ่นเหล่านั้น ดวงตาของต้วนจื่อเย่ก็หม่นลง มือที่ถือดอกไม้อยู่ก็กำแน่นขึ้นเล็กน้อย การกระทำเหล่านี้ล้วนอยู่ในสายตาของเจียงฉูฉู่ เธอเม้มริมฝีปากแล้วลองพูดดูว่า "พวกเธอหยุดพูดได้แล้ว เขาเต็มใจมาเยี่ยมฉัน มันก็เป็นควา
ทันทีที่พูดจบ ภายในห้องผู้ป่วยก็เงียบลงทันที อาจเพราะคิดไม่ถึงว่าซูเชี่ยวจะพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เหตุผลที่ทุกคนเงียบไปพร้อมๆกันก็เพราะคำพูดของซูเชี่ยว จู่ๆพวกเธอก็ตระหนักได้ว่าต้วนจื่อเย่ก็ไม่ได้จะไร้ประโยชน์ซะทีเดียว เขาเป็นนักเลงที่ต้องหนีไปทั่ว เรื่องจัดการใครสักคน ดูเหมือนการปล่อยให้เขาทำจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด ทุกคนคาดไม่ถึงว่าซูเชี่ยวจะเปลี่ยนใจเร็วขนาดนี้ ดูเหมือนว่าการทะเลาะกับเสิ่นหยินอู้ในงานเลี้ยงต้อนรับจะทำให้เธอเกลียดเสิ่นหยินอู้จนเข้าไส้จริงๆ หลังจากเงียบไปนาน เจียงฉูฉู่ก็พูดด้วยความตกใจ "ซูเชี่ยว เธอหมายความอะไรน่ะ? จะให้คุณต้วนทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไงกัน? คุณต้วน ซูเชี่ยวก็แค่พูดไร้สาระ คุณอย่าไปสนใจเลย" ต้วนจื่นเย่เปิดริมฝีปากของเขา "แล้วถ้าผมบอกว่าผมสนใจล่ะ? ฉูฉู่ ผมไม่เคยทำอะไรให้คุณมาก่อน แต่ผมเคยสาบานว่าจะไม่ให้ใครมาทำร้ายคุณได้เด็ดขาด ใครก็ตามที่กล้าทำร้ายคุณ มันจะอยู่ร่วมโลกกับผมต้วนจื่อเย่ไม่ได้ และผมจะไม่มีวันปล่อยคนๆนั้นไปอย่างเด็ดขาด” “คุณต้วน สถานการณ์ตอนนั้นวุ่นวายมาก มันไม่แน่หรอกว่าเสิ่นหยินอู้จะเป็นคนทำ” “ฉูฉู่” ซูเชี่ยวข
"โอเค งั้นฉันจะไปซื้อตั๋วเครื่องบินให้นะคะ คุณสามี" "ขอบคุณครับคุณภรรยา"ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างหวานชื่นพร้อมกับเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เหลือไว้ก็แต่คู่ที่แสนเย็นชาด้านหลัง เสิ่นหยินอู้และฉินเย่ต่างคนต่างเดิน เสิ่นหยินอู้มองดูพ่อแม่ของฉินเย่ที่เดินด้วยกันอย่างหวานชื่น ขณะที่เธอและฉินเย่กลับไม่มีความใกล้ชิดกันเลย ถ้าไปหาคุณย่าแบบนี้อาจไม่ดีเท่าไร เธอจึงหยุดเดินและพูดกับฉินเย่ว่า "ฉันจะไปรอคุณที่รถนะ" ได้ยินแบบนั้นนั้น ฉินเย่ก็หยุดเดินไปสักพัก เขามองเธอครู่หนึ่งและนึกถึงคำพูดที่ตัวเองยังไม่ได้พูดออกมา แต่ก่อนที่จะได้เปิดปากพูดออกมา เสิ่นหยินอู้ก็หันหลังเดินไปแล้ว สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนไป เขาตามเธอไปด้วยสีหน้าโกรธ ทางฝั่งคุณแม่ของฉินเย่เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินเสร็จแล้ว และกำลังหันกลับมาจะพูดกับทั้งสองคน แต่เห็นเพียงแค่แผ่นหลังฉินเย่ที่วิ่งตามเสิ่นหยินอู้ไป "เด็กสองคนนี้......" คุณแม่ฉินเย่ส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วโบกมือ "งั้นปล่อยพวกเขาไปก่อน เราไปหาคุณแม่กันเถอะ" "อืม เอาตามที่คุณว่าเลย"สำหรับลูกชายของเขา คุณพ่อฉินเย่ไม่ได้กังวลอะไรเลย เพราะลูกชายเขาโตแล้ว ไม่น่าจะจ
จริงๆแล้วฉินเย่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยากพูดอะไร เขาแค่มีอารมณ์บางอย่างอยู่ในอก จนเหมือนว่าจะระเบิดออกมาให้ได้ แต่ก็ยังไม่เจอทางที่จะระบายออกมา แต่เขารู้อย่างแจ่มแจ้งว่าคนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้คือเสิ่นหยินอู้ ความกังวลนี้ทำให้ฉินเย่รู้สึกไม่สบายใจ เสิ่นหยินอู้เห็นฉินเย่ยังจับข้อมือตัวเองอยู่ เขาคิ้วขมวด ทำเหมือนไม่อยากปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป เธอจึงพูดอีกครั้งว่า "ไม่ว่าคุณจะอยากพูดอะไรตอนนี้ ช่วยบอกหลังจากคุณย่าผาตัดเสร็จแล้วก็คงไม่ต่างกันใช่ไหม?" ถ้าฉินเย่มีเรื่องอะไรที่อยากจะพูดกับเธอ ก็คงไม่พ้นเรื่องเขากับฉูฉู่ เหตุการณ์ที่ฉูฉู่ล้มครั้งก่อน ดูเหมือนไม่มีผลอะไรตามมา เขาไม่ได้มาพูดอะไรกับเธออีก อาจเป็นเพราะตอนอยู่บ้านต้องรักษาหน้าคุณย่าเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะลืมเรื่องนี้ไป แม้ฉินเย่จะบอกวันนั้นว่าเขารู้ว่าเจียงฉูฉู่ล้มลงไปเอง แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายหรือแก้ตัวให้เธอเหมือนกัน? ดังนั้นถ้าเจียงฉูฉู่คิดจะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็คงเป็นหลังจากที่คุณย่าผ่าตัดเสร็จแต่ถึงตอนนั้นเสิ่นหยินอู้ก็คงหย่ากับฉินเย่แล้ว แล้วเธอจะต้องกังวลอะไรอีก? แต่ตอนนี้เธอไม่อยากจะพูดเรื่องฉู
หลังจากที่ฉินเย่จัดการเรื่องของคุณย่าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ถึงส่งข้อความไปหาเจียงฉูฉู่ บอกเธอเกี่ยวกับการเตรียมทำการผ่าตัดของคุณย่า เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่ได้รับสายเธอเดิมทีเจียงฉูฉู่คิดว่าฉินเย่กำลังหลบหน้าเธอ ดังนั้นถึงแม้ว่าต้วนจื่อเย่จะไปแก้แค้นให้เธอแล้ว แต่ถ้าฉินเย่ไม่อยู่เคียงข้างเธอ เธอก็ยังรู้สึกไม่มีความสุขอยู่ดี ดังนั้นเมื่อเจียงฉูฉู่ได้รับข้อความจากฉินเย่ อารมณ์ของเธอก็เริ่มดีขึ้นทันทีถ้าเป็นเพราะเรื่องของคุณนายฉินเขาเลยไม่ได้รับสายเธอ งั้นเจียงฉูฉู่ก็ไม่รู้สึกกังวลอีกต่อไป เธอโทรหาฉินเย่อีกครั้งด้วยความระมัดระวัง ครั้งนี้ฉินเย่รับสายอย่างรวดเร็ว "เย่" เสียงของฉินเย่ฟังดูเหนื่อยนิดหน่อย "อืม ช่วงนี้เธออยู่โรงพยาบาลพักผ่อนดีๆนะ เดี๋ยวฉันจะหาเวลาไปหาเธอ" "ฉันรู้ว่านายยุ่ง ไม่มีเวลาเข้ามาก็ไม่เป็นไร" น้ำเสียงของเจียงฉูฉู่อ่อนโยนเหมือนกับน้ำ "เมื่อเทียบกับเรื่องของย่าของคุณ แผลที่หน้าผากของฉันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย นายไปจัดการเรื่องของคุณย่าก่อนเถอะ" เดิมทีฉินเย่กังวลว่าเธออาจมีความรู้สึกที่ไม่ดีเพราะเขาไม่ได้เข้าไปหา แต่เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ เขาก็รู้สึกสบ
"ครั้งที่แล้วก็เพราะการผ่าตัดถูกเลื่อนออกไป ฉันต้องรออีกนานแค่ไหนเนี่ย? ถ้าไม่ใช่เพราะการผ่าตัดถูกเลื่อน เย่กับเสิ่นหยินอู้ก็คงจะหย่ากันแล้ว และคงจะไม่มีเรื่องเกิดขึ้นตามมามากมายขนาดนี้" พูดมาถึงตรงนี้ เจียงฉูฉู่ก็จับข้อมือซูเชี่ยว "ซูเชี่ยว ฉันรู้ว่าเธอหวังดีกับฉันเสมอ แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้คุณนายฉินผ่าตัดให้เสร็จ ฉันกับเย่ถึงจะมีโอกาส ไม่อย่างนั้น......การที่ยืดเยื้อออกไปแล้วไม่หย่าสักทีนั่นคือสิ่งที่อันตรายที่สุด ฉันไม่รู้ว่าฉันจะเกลี้ยกล่อมต้วนจื่อเย่ได้ไหม เธอเก่งเรื่องการเจรจา เธอช่วยเกลี้ยกล่อมเขาให้ฉันหน่อยได้ไหม? บอกเขาว่าอย่าวู่วาม อย่าทำอะไรโง่ๆ รอให้ฉันเป็นภรรยาของฉินเย่ก่อน ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเธอ" เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ซูเชี่ยวก็เหมือนได้รับคำสัญญา "ฉูฉู่ ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะช่วยเธอแน่นอน" เจียงฉูฉู่มองเธอด้วยความซาบซึ้งทันที "ซูเชี่ยว ขอบคุณนะ เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลย" หลังจากออกจากโรงพยาบาล ซูเชี่ยวโทรหาต้วนจื่อเย่ให้ออกมาหาเพราะปกติพวกเธอมักจะดูถูกเขาเสมอ ดังนั้นนอกจากเจียงฉูฉู่แล้ว ต้วนจื่อเย่จึงไม่มีความรู้สึกดีต่อผู้หญิงคน
เขามีความทรงจำกับผู้หญิงคนนี้ แต่ก่อนเราเคยเรียนที่เดียวกัน เขาจำได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวย แต่ไม่คิดว่าเธอจะร้ายขนาดนี้ แน่นอนว่ามีแค่เจียงฉูฉู่ที่เขาชอบเท่านั้นที่จิตใจดี ผู้หญิงคนอื่นล้วนแต่เป็นแกะในคราบหมาป่า "โอเค งั้นก็แค่นี้ ถึงวันนั้นฉันจะติดต่อนายไป นายจะทำก็ทำ ไม่ทำก็ช่าง"ซูเชี่ยวพูดจบก็เดินจากไป เมื่อเธอเดินไปแล้ว ต้วนจื่อเย่ก็ถ่มน้ำลายลงพื้น ดวงตาฉายแววร้ายกาจ "ยัยผู้หญิงน่ารังเกียจ รอให้ฉันได้ตัวเจียงฉูฉู่มาอยู่ในมือก่อน พวกเธอไม่มีใครรอดแน่" -อาจเป็นเพราะการพูดคุยที่โรงพยาบาลกับฉินเย่ พอกลับบ้านแล้ว เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ก็มีช่วงเวลาที่สงบสุขแบบที่หาได้ยาก นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เจียงฉูฉู่กลับมาเพราะคุณย่าต้องผ่าตัด ฉินเย่จึงไม่ออกไปไหน ยกเว้นบริษัทกับบ้าน เขาแทบจะใช้ชีวิตอยู่แค่สองที่นี้ เราทั้งคู่ต่างก็เหมือนกัน หลังจากการตรวจในวันนั้น หมอเฉินบอกว่าให้รอแจ้งผลตรวจให้ทราบอีกที พ่อของฉินเย่ไปต่างประเทศเพื่อจัดการเรื่องต่างๆ ส่วนคุณแม่ของฉินเย่ก็อยู่กับคุณย่า พาคุณนายฉินไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆ ทุกวันเธอเป็นคนที่กระตือรือร้นมาก การอยู่กับเธอทำให้ค
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ