Part ทานตะวัน
11 ปีผ่านไป[ฮาโหล เจ้]
[ใครเจ้แก ฉันไม่ได้มีเชื้อจีน ต้องเรียกฉันว่าพี่สิยะ]
[เอาน่า ติดปากแล้ว ขอนะ]
ผมมักเรียกพี่ดาวเรืองว่า ‘เจ้’ จนติดปาก ถึงแม้ว่าตัวจริงของนางจะโคตรแมนก็ตามที
สวัสดีครับ ผมชื่อทานตะวัน จะเรียกว่าตะวันเฉย ๆ ก็ได้ครับ ผมเพิ่งพบกับพ่อแม่และเจ้ดาวเรืองล่าสุดเมื่อ 5 วันก่อน ที่จริงมันเป็นวันที่พิเศษสุดของผมวันหนึ่ง
วันอะไรเหรอ?
วันรับพระราชทานปริญญาบัตรไงครับ ผมเรียนจบปริญญาตรีเรียบร้อยแล้ว ตามที่ได้คุยกับทางบ้านไว้ว่า เมื่อเรียบจบผมจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด
แต่ที่วันนี้ยังเอ้อระเหยโทรศัพท์คุยกับเจ้ดาวเรืองอยู่นี่ ก็เพราะเพื่อน ๆ ที่คณะขอให้อยู่ต่ออย่าเพิ่งกลับ ผมจึงขอพ่ออยู่ต่ออีก 5 วัน
ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนะครับ บ้านที่กรุงเทพฯ ผมก็ยังไป ๆ มา ๆ ได้อยู่ คุณลุงใจดีกับผมมาก ท่านรักผมเหมือนลูก เพราะลุงไม่มีลูกเนอะ
ผมอยู่ที่กรุงเทพฯ กับลุงตั้งแต่เริ่มชั้นมัธยมต้น ในทีแรกก็มีเหงาบ้าง แต่ลุงมักชวนผมทำกิจกรรมมากมายทั้งที่ชอบและไม่ชอบ จนเราสนิทกัน คุณน้าหลินก็ใจดีมากจนแทบจะเป็นแม่ผมอีกคนแล้ว
หลังจากร่ำลากับเพื่อนในคณะ และบอกพวกมันว่าสามารถแวะไปเที่ยวที่ไร่ได้หากมีโอกาส ซึ่งผมคิดว่าแรก ๆ คงไม่มีใครไปหาผมหรอก เพราะว่ามันค่อนข้างไปยาก แม้จะไม่ได้ไกลจากกรุงเทพฯ ระดับ 500-600 กิโลเมตร แต่จังหวัดที่ผมอยู่ก็ยังถือว่าเป็นจังหวัดที่ไกลจากกรุงเทพฯ หลักเกือบ 200 กิโลเมตร ไม่ได้อยู่อำเภอเมือ จะไปแต่ละทีต้องนั่งรถสองแถวเข้าไป แถมรถสองแถวที่ว่ายังมีแค่วันละไม่กี่เที่ยวเอง กันดารบ้านนอกก็ยอมรับว่าจริงครับ
ผมกลับมาถึงบ้านในช่วงบ่าย กระเป๋าถูกแพ็กไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ของผมยังอยู่ที่นี่ส่วนหนึ่ง น้ากับน้าหลินบังคับให้ผมลงมาหาที่กรุงเทพฯ ฯ 2 - 3 เดือนครั้ง ซึ่งผมยินดีรับปาก แต่มีข้อแม้ว่า หากผมงานยุ่ง ลุงกับป้าก็ต้องเป็นฝ่ายขึ้นไปหาผมบ้าง ทั้ง 2 ท่านยินดี
ป้าร้องไห้เมื่อผมเข้าไปกราบลาที่ตัก ส่วนลุงใจแข็ง ก็ผู้ชายนี่นะ
“ไปก่อนนะครับ รักป้านะ จุ๊บ จุ๊บ” ผมโผเข้ากอดและหอมแก้มป้าลุงหัวเราะกับความอ้อนของผม
“ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวถึงทางโน้นไม่ปาไปตีหนึ่งตีสองเหรอ บอกให้ไปเช้าก็ไม่เอา” น้าแสร้งบ่นขณะที่ช่วยลากกระเป๋าเดินทางของผมไปใส่ท้ายรถให้
“ไม่เป็นไรครับ ผมว่าจะค้างที่บ้านย่าในเมืองก่อน”
ใช่แล้วครับ ผมกะจะแวะพักที่บ้านในเมือง บ้านอีกหลังของผม ก็บ้านย่านั่นแหละ
“เอาเลย พ่อคนบ้านเยอะ” น้าแซวก่อนจะเดินไปเปิดประตูบ้านเพื่อเตรียมนำรถออก
“ฝากปิดประตูด้วยนะคุณ” น้าส่งเสียงบอกน้าหลิน
“จ้า ไปกันเถอะ เดี๋ยวแม่ปิดประตูเอง” น้าหลินรับคำ พร้อมโบกมือส่งท้ายก่อนที่รถจะเลี้ยวออกจากบ้านไป
ผมมาถึงหมอชิตในเวลาเฉียดฉิว อันที่จริงนั้น รถทัวร์สายที่ผ่านบ้านผมมีเยอะแยะมาก แทบไม่ต้องจองตั๋วด้วยซ้ำหากไม่เลือกลักษณะรถที่จะนั่ง แต่ผมขอเลือกที่นอนหลับสบาย ๆ อย่างน้อยการเดินทางสองชั่วโมงกว่า ๆ ของผม ก็ควรให้ผมได้งีบสักหน่อยนะครับ
งีบอะไรล่ะ รถยังไม่ทันออก โทรศัพท์มือถือก็สั่นพรืดขึ้นมา!
[ฮาโหล]
[กลับวันนี้ใช่ไหม]
[ใช่แล้ว]
[แล้วจะมายังไงที่บ้านเนี่ยะ]
[พรุ่งนี้เช้าเจ้มารับที่บ้านย่าหน่อยดิ]
[ว่าละ เออ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ขับรถเข้าไปรับ]
ไงล่ะ มีพี่สาวเก่งแบบนี้ก็ดีไปอย่างครับ ไม่ต้องรบกวนพ่อแม่เลย นางสปอยผมมาตั้งแต่เด็กยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ น่ารักที่สุด
รถทัวร์ออกจากขนส่งสายเหนือไม่นานผมก็หลับ!...
มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็คือเหลืออยู่ในรถแค่ไม่ถึงหกคน ใช่แล้ว ผมเดินทางมาถึงสถานีขนส่งปลายทางโดยสวัสดิภาพ ผมลงไปรับสัมภาระอันมีกระเป๋าลากสองใบ ส่วนเป้สะพายผมนำขึ้นไปด้วยบนรถตั้งแต่แรก
อยากจะบอกว่าอากาศที่บ้านผมตอนนี้
‘โคตรร้อน’ แถมตอนนี้หิวน้ำอีกต่างหาก ผมมองซ้ายมองขวา แลไปเป็นร้านสะดวกซื้ออยู่ไม่ไกลจากจุดที่ผมอยู่ หิวแล้วทำไม รออะไรล่ะครับ คนเดียวกระเป๋าสามใบฝากใครไม่ได้ ก็ลากมันไปแบบนี้ล่ะครับ
“ลำบากเนอะ”
ผมหันขวับไปตามเสียงที่คุ้นเคย
“เจ้ดาวเรือง!”
“ย่ะ ฉันเอง”
ผมโผเข้าไปกอดพี่สาวด้วยความดีใจ เธอหัวเราะด้วยความตลกของผม หรืออาจจะเขินที่มีชายหนุ่มรูปหล่อ (มาก) โผเข้ากอด ใช่ไหม
“แกก็เว่อร์ละ เพิ่งเจอกันได้ห้าวันป่ะล่ะ” พี่สาวทวนความจำให้ผม
“เออจริง” นึกขึ้นได้
“แล้วมาไง ก็บอกว่าจะไปนอนบ้านย่าไง”
ผมปากเบ้ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเคยบอกเรื่องที่จะมานอนค้างบ้านย่าก่อนแล้วเช้าค่อยเข้าไปที่ไร่
“ไม่มีใครอยู่ แกไม่เช็คก่อนมานี่ ย่าไปทอดผ้าป่ากะพวกญาติ ๆ ไม่มีใครอยู่หรอก”ผมได้ยินดังนั้นก็หน้าเหวอ จริงอย่างที่เจ้บอก ผมไม่ได้คอนเฟิร์มว่าจะเข้าไปนอนที่บ้านย่า เลยไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนแผนกันไปทอดผ้าป่าเป็นที่เรียบร้อย นี่ถ้าเจ้ดาวเรืองไม่ออกมารอรับ ผมคงต้องหาโรงแรมแถวนี้พักก่อนแน่ ๆ“เออ ขอบคุณเจ้ งั้นก็กลับบ้านเลย”“ก็ต้องงั้น”เจ้ดาวเรืองช่วยผมลากกระเป๋าไปใส่ท้ายรถเอสยูวีคันสูงที่จอดอยู่ไกลออกไปจากชานชาลารถ เวลานี้ พอมองไปรอบ ๆ ก็แอบวังเวงอยู่ไม่น้อย ผู้คนต่างพากันหายไปไหนหมดแล้ว เมื่อสักครู่ตอนลงจากรถยังเดินกันเต็มไปหมด“หิวไหม เอ้าน้ำเปล่า วางอยู่ในช่องด้านข้าง ประทังไปก่อน เดี๋ยวถึงบ้านค่อยว่ากัน” พี่สาวของผมรอบคอบเสมอ เธอส่งขวดน้ำขนาด ห้าร้อยมิลฯ มาให้ ผมคว้าโดยไม่รีรอ เปิดฝาได้ก็กระดก อึก อึก“เบาแก เดี๋ยวสำลักตาย”“หิวอ่ะ ขอบใจเจ้ว่ะ”ผมปิดฝาแล้วหันไปยิ้มหล่อให้หนึ่งที เจ้ส่ายหน้าก่อนออกรถมุ่งหน้าสู่ไร่กรุณาธร ไร่อันเป็นบ้านเกิดของผม ไร่ที่มีพ่อกับแม่รอผมอยู่ใช้เวลาเดินทางสามสิบนาที รถของเจ้ก็เลี้ยวเข้าสู่ไร่กรุณาธร ผมชะเง้อมองดูความเปลี่ยนแปลงสิบเอ็ดปีที่ผมไปจากที่นี่ ตอ
ก๊อก ก๊อก“แก! ตื่นได้แล้ว เสียงไก่ของไร่เรามันไม่ดังพอใช่ไม๊” เจ้ดาวเรืองแหวใส่ประตูห้องผมแหม ผมเพิ่งจะกลับมา ขอพักสักวันสองวันไม่ได้รึไง อีกอย่างวันนี้ก็คิดว่าจะขอยืมรถเข้าเมืองไปดูอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มาติดตั้งในบ้าน รวมถึงสำรวจร้านคอมพิวเตอร์ในตัวอำเภอว่าพอจะดิวไว้เป็นเพื่อนเป็นซัพพลายให้ได้ไหม ซึ่งร้านเหล่านี้ไม่ได้เปิดเช้าซะหน่อย“ตื่นแล้วจ้า เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จจะรีบลงไปนะที่รัก”ผมตะโกนกลับพร้อมดีดตัวเองจากเตียงที่แสนนุ่มสบาย อากาศยามเช้าที่นี่ค่อนข้างเย็น เครื่องปรับอากาศที่เมื่อคืนช่วยคลายร้อน ตอนนี้กลับร้อนกว่าอากาศข้างนอก ปิดเพื่อประหยัดไฟ เป็นทางเลือกที่ดีผมปิดเครื่องปรับอากาศแล้วเดินไปเปิดม่าน ยกหน้าต่างขึ้นด้านบน“สดชื่นสุด ๆ ฮิ้วว” ผมโห่ร้องเมื่ออากาศแรกของภายนอกสัมผัสถูกหน้าของตัวเองความชุ่มชื่น อากาศปลอดโปร่งโล่งสบาย หายใจทั่วท้อง เป็นเอกลักษณ์ที่ไร่ของผมรวมถึงหมู่บ้านแถบนี้มีไว้ให้ฟรีโดยไม่คิดค่าบริการผมรีบอาบน้ำ เปลี่ยนชุดลำลองก่อนจะลงมาที่ห้องครัว“สวัสดีครับพ่อแม่” ผมยกมือไหว้เมื่อเจอท่านทั้งสองที่กำลังดำเนินกิจกรรมประจำวันของตัวท่านเองอยู่พ่อที่อยู่ในชุดเตรียมลงไ
“ไม่ไปได้ไหมเจ้” ผมอุทธรณ์“ไม่ได้ ฉันรับปากไปแล้ว” เจ้ดาวเรืองแหวใส่ผมแม่มองเจ้ดาวเรืองอย่างตำหนิ“ทำไมไม่ถามน้องก่อน”“แหมแม่ ก็คุ้นเคยกันอยู่แล้ว หายไปแค่สิบกว่าปี ไม่น่าจะมีผลนี่นา ทีเมื่อก่อน วิ่งเข้าไปถึงห้องนอนน้าสมชายก็ทำมาแล้วนี่แก”ประโยคหลัง ทำให้พ่อแม่หันมามองผมเป็นตาเดียว คือเอาจริงนะครับ เรื่องนี้มันก็นานมาแล้วตั้งแต่เด็ก เอามาเผาทำไมนี่เจ้“ลูกไปเล่นถึงในห้องนอนเขาเลยเหรอ” แม่เฟื่องฟ้าของผมเริ่มไม่สบอารมณ์“คุณ เด็ก ๆ มันเล่นกันใช่ไหม?” พ่อมงคลของผม เห็นนิ่ง ๆ แบบนี้ ช่วยผมตลอดแหละครับผมทำหน้าแหย มันเป็นเรื่องเก่ามาก ๆ จนผมเองยังแทบจะจำได้ไม่ได้ เจ้ดาวเรืองนี่“โอเคครับ ผมไปก็ได้ เย็นนี้นะ” ผมตัดบท เพราะดูท่าแม่ผมจะเริ่มไม่ชอบใจเท่าไร แม่เป็นคนที่ไม่ชอบให้คนในบ้านไปยุ่มย่ามอะไรในที่ของคนอื่น ไปเล่นไปคุยไปกินข้าวได้ แต่การเข้าไปถึงห้องนอน แม่ไม่ชอบครับแพลนของที่วางไว้หลังจากกลับมาบ้านคืออยากเข้าเมืองไปเซอร์เวย์ร้านคอมพิวเตอร์ทั่วไป จนถึงร้านแบรนด์ดัง ซึ่งแพลนนั้นคือวันนี้นี่แหละผมไปขอยืมกุญแจรถของพ่อ ซึ่งพ่อบอกว่าให้ไปขอแม่ เพราะ แม่เป็นผู้ดูแลรถทั้งหมด ผมยังไม่อยากข
ยามเย็นอีก 15 นาทีจะ 4 โมงเย็น แสงแดดสีเหลืองเกือบแดง สาดส่องรอดช่องหน้าต่างห้องผมเข้ามา ตอนนี้ผมแต่งตัวเรียบร้อย เสื้อยืด กางเกงขาสั้น ตามสภาพอากาศที่ยังร้อน และร้อนอยู่อย่างนี้ก๊อก ก๊อก“เปิดมาเลยครับ” ผมตะโกนบอกเจ้ดาวเรืองเดินเข้ามาในชุดที่ดูไม่เหมือนชาวไร่เท่าไร นี่มันชุดอะไรวะ? นายพราน หรือทหารพราน! เสื้อยืดพับแขน กับกางเกงลายพราง“เจ้จะไปออกหน่วยพิทักษ์ป่าเหรอ” ผมถามติดตลก กลั้นขำไว้แทบไม่อยู่เมื่อมองสภาพโดยรวมอีกครั้ง“อะไรแก นี่แหละชุดประจำชาติของฉัน”เจ้แกพูดพร้อมก้มมองชุดของตัวเองสลับซ้ายขวาไปมาด้วยความภาคภูมิใจ“ถามจริง เจ้เป็นทอมรึเปล่าเนี่ยะ ใส่แต่ละชุด ไม่ออกพิทักษ์ป่า ก็เหมือนทหารพรานออกลาดตระเวน” ผมว่าตามที่เห็น ชุดเมื่อคืนที่ขับรถมารับผม เหมือนทหารหญิงครึ่งท่อน กางเกงลายพราง เสื้อสีดำ มาวันนี้เสื้อสีเขียวพับแขนซะสูง ยัดเสื้อในกางเกงลายพรางสีเขียวอีก“เข้าประเด็นดีมากแก” เจ้ดีดนิ้ว แล้วกระโดดไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงผม“เจ้ว่า เจ้ไม่ใช่ทอม ฉันไม่ได้ชอบผู้หญิงนะยะ”ผมพยักหน้าหงึก ๆ ประมาณว่า ‘เชื่อก็ได้’“เอาเป็นหญิงห้าวก่อนก็แล้วกันเจ้”ผมพยายามเดาว่าเจ้ห้าว มากกว่าเป็น
เจ้ดาวเรือง ขับรถพาผมเลี้ยวเข้ามาที่หน้าประตูบ้านไร่จินตรา ผมจำได้ว่าเมื่อสมัยเด็ก เราไม่ต้องอ้อมมาเข้าทางหน้าประตูแบบนี้ เราใช้วิธีลอดรั้วลวดหนามไปมาระหว่างกัน ซึ่งใช้เฉพาะพวกเด็ก ๆ อย่างผม ตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็คงต้องเข้าตามเส้นทางที่เขาเข้ากันแหละเนอะ“เจ้ ไอ้ที่เราเคยมุดข้ามไปมา มันยังอยู่ไหม?” หลังจากนึกถึงวันเก่า ที่บังเอิญไปนึกถึงทางพิเศษที่สมัยเด็กเคยใช้เดินทางระหว่างไร่ ตอนนี้ไม่รู้มันเป็นยังไง“ตอนนี้ก่อรั้วเป็นอิฐสูงเท่าเอวยาวไปจนสุดเขตแล้วล่ะ” เจ้อธิบายขณะที่ผ่านประตูหน้าของไร่จินตราเข้าไป“มีปัญหากันเหรอ” ผมถามเพราะปกติไม่เคยเห็นต้องกั้นรั้วถาวรกันตั้งแต่แรก แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่ามันจะเกิดปัญหาอะไร ยิ่งในขณะนี้ ผมกับเจ้กำลังจะไปร่วมกินอาหารเย็นกับพวกเขา“เปล่านะ มันกลายเป็นประตูต่างหาก”“อ้าว”ผมเหวอ แล้วทำไมต้องขับรถมาทางนี้ด้วยล่ะ เดินผ่านทางนั้น เดินชิว ๆ เลยนะ ผมไม่เข้าใจเจ้ดาวเรืองของผมจริง ๆ“เออน่า รอบหน้าค่อยเดินผ่านประตูด้านข้างก็แล้วกัน ไปเหอะ” เจ้ตัดบทเอาดื้อ ๆ เปิดประตูแล้วเดินลงไปรอผมที่
อาหารมื้อค่ำ ณ บ้านไร่จินตรา เป็นไปค่อนข้างดี น้าชายกับน้าหลินดูแลผมดี ส่วนออโต้ ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด เขาพูดเรื่องอะไรมา ผมก็เออออไป เอาจริงนะ ผมจำหลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมาได้เลือนราง จนแอบเห็นเขาทำหน้ามึนกับเจ้ดาวเรือง“มันนานมาแล้วน่ะ” ผมใช้ประโยคนี้หลายรอบอยู่นอกนั้น เป็นน้าชายบ้าง น้าหลินบ้าง สลับกันถามผมไปมา เรื่องที่ถามเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป เรื่องอนาคตในไร่ (แอบจริงจัง) และตำหนิผมกับเจ้ดาวเรืองที่ไม่ยอมบอกเรื่องรับพระราชทานปริญญาบัตร“ขอโทษจริง ๆ ครับ ผมไม่ได้ให้พ่อแม่บอกใครเอง มันเล็กน้อยครับ เรื่องใหญ่กว่าคือผมต้องกลับมาแล้วพัฒนาให้อะไร ๆ มันไปต่อได้ทันโลกครับ”คำพูดของผมทำให้น้าสมชายยิ้มร่า ขณะที่น้าหลินหันไปมองลูกชายสุดหล่อของตัวเองเป็นระยะ ๆ“ออโต้เรียนจบเกษตรที่นี่ หนูทานตะวัน ถ้ามีอะไรให้พวกน้าหลินช่วยบอกได้เลยนะ เราเหมือนญาติกัน ใช่ไหมดาวเรือง”ประโยคทิ้งท้ายของน้าหลิน ฟังแล้วแปลก แต่ผมเก็บความสงสัยไว้ในใจ ส่วนเจ้ดาวเรืองของผมเหรอครับ รายนั้นอร่อยจัด มูมมาม ไร้ซึ่งความเป็นกุลสตรี นี่ถ้าเจ้แกอ้วนนะ ผมจะเรียกว
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟ้าช่างเป็นใจสุด ๆ อากาศเย็นชื้นสดชื่นบริสุทธิ์อยู่รายล้อมรอบตัว ผมตื่นขึ้นโดยไม่ต้องมีใครมาปลุก นั่นคงเพราะได้นอนอย่างเต็มอิ่มแปดชั่วโมงจริง ๆความจริงแล้ววันนี้ ผมกะว่าจะจัดห้อง ปรับปรุงให้ห้องมันเป็นห้องสำหรับผมหน่อย ความบ้าเทคโนโลยีของผม ทำให้ผมมีไอแพด แท็บเล็ต วินโดวส์แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ก พีซีตัวแรง และมอนิเตอร์ขนาดยักษ์ ของพวกนี้พ่อช่วยขนกลับมาก่อนที่ผมจะกลับ 5 วันตอนนี้มันกองอยู่ที่ปลายเตียงของผมโต๊ะทำงานขนาดใหญ่เข้ามุมใกล้พร้อมสำหรับทำงานแล้ว แต่พ่อบอกว่า มีห้องทำงานสร้างไว้อยู่อีกฟากของบ้าน เป็นออฟฟิศเล็ก ๆ ที่แม่เฟื่องฟ้าให้สร้างเพื่อเป็นสัดส่วน ทำให้ตอนกลางวัน พวกเราก็จะพบกันในห้องนั้นนั่นแหละผมเห็นว่าช่วงเช้ายังพอมีเวลาจึงยกพีซีกับจอใหญ่ของผมไปวางไว้ที่ห้องทำงานก่อน พอไปถึงก็พบกับเจ้ดาวเรืองในชุดเตรียมเข้าไร่“อ้าวแกตื่นแล้วเหรอ แล้วนี่ขนอะไรมา” เจ้ดาวเรืองมองพีซีในมือผม“จะเอามาทำเซิร์ฟเวอร์” ผมบอกแค่นี้พอ บอกมากกว่านี้จะเข้าใจอะไรบ้าง เจ้พยักหน้า แล้วเธอก็พาผมไปที่ห้องเล็กด้านหลังอีกห้
“แกไปนั่งกับออโต้ ฉันจะนั่งข้างหลังเอง” ว่าแล้วเจ้ก็กระโดดขึ้นท้ายรถอย่างชำนาญ ผมเลยไม่ต้องถามอีกว่าจะนั่งตรงไหน เปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างออโต้อย่างไม่ลังเลรถเริ่มถอยหลัง มันเงียบกริบจริง ๆพอรถเริ่มออกตัว มันก็ไปได้ค่อนข้างช้าเพราะทางไม่ได้เรียบเหมือนถนนใหญ่ มันเป็นทางกรวดที่ทำไว้สำหรับใช้งานในไร่จริง ๆ“ไม่ชอบอะไรรึเปล่า ไม่ค่อยคุยกับเราเลย” ออโต้ที่กำลังขับรถ อยู่ดี ๆ ก็โพล่งถามขึ้นมา“เปล่านิ เราเอ่อ ตะวันแค่กำลังปรับตัว” ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ไอ้ครั้นจะบอกว่าประหม่าเพราะแกแหละออโต้ มันก็ไม่ใช่เรื่องนะ เดี๋ยวเกิดออโต้ไม่ได้เป็นแบบที่ผมคิดไว้ จะเข้าหน้าไม่ติด จะเกิดเรื่องแย่ขึ้นในรุ่นผมได้“ปรับตัวอะไร แต่เราว่าตะวันเงียบลงเยอะ สุขุม แล้วก็...” เขาหยุดพูดแค่นั้นแล้วหันกลับไปขับรถต่อผมที่ตั้งใจฟังก็คาใจสิ“ก็อะไร” ปากถาม มือเริ่มทำงานอย่างเคยชิน เอื้อมไปจับแขนเสื้อออโต้ไว้ คาดคั้น“น่ารักขึ้นมากด้วย” ออโต้พูดโดยไม่ได้หันมามองผม แต่สิ่งที่ฟ้องว่าเขาเองก็เขินมากอยู่นั่นคือ ‘หู’เอ ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิ กลิ่นมันตุอยู่นะนายออ
Part ทานตะวันผมจ้องมองหน้าจอจนแน่ใจว่าไฟล์เสียงที่เจ้ดาวแชร์มาให้ มันเป็นคลิปจากเครื่องของเจ้เองและจากเครื่องของพี่อัค ตอนนี้ส่งมาครบถ้วนแล้วขณะนั้นเองท้องฟ้าเมฆดำอิ่มตัว เริ่มร้องคำราม ฝนน่าจะตกหนักในไม่ช้า ผมเห็นเจ้ดาวกับพวกพากันวิ่งออกไปเก็บลังผลไม้หน้าร้านเพื่อไม่ให้ถูกฝนเข้ามาในร้าน ผมจึงคิดได้ว่าถ้ารีบไปหาออโต้แล้วทำความเข้าใจกับเขาโดยให้ฟังคลิปเสียงนี้ เขาน่าจะเข้าใจผมมากขึ้นรออะไรล่ะ ไปสิครับ ก่อนที่ฝนจะลง ผมเดินออกทางหลังร้านลัดไปยังลานจอดรถเพื่อขับรถไปไร่กรุณาธร ซึ่งผมก็คงต้องจอดอยู่แค่หน้าไร่นั่นแหละ ตายิ้มแกคงไม่ยอมให้ผมเข้าไปอยู่ แต่เรื่องแบบนี้มันก็ต้องเสี่ยงใช่ไหมผมเงยหน้ามองท้องฟ้าเมื่อลงจากรถ ฝนใกล้จะตกเต็มแก่แล้ว แต่มันยังไม่เท่ากับความต้องการพิสูจน์ให้ออโต้ได้รู้ว่าบ้านผมบริสุทธิ์ใจจริงผมเดินไปที่ป้อมหน้าของบ้านไร่กรุณาธร เห็นตายิ้มยืนมองอยู่ก็รู้แล้วว่าเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้น“ตายิ้ม ผมมาหาออโต้”“คุณกลับไปเถอะครับ” ตายิ้มพูดอย่างสุภาพ
หลังจากนั้นชั่วโมงกว่า ๆ อัคก็เดินทางมาถึงไร่ ดาวสั่งให้ป้อมหน้าเปิดรอรับประดุจแขกวีไอพี. เดินทางมาเที่ยวชมไร่เลยค่ะ แต่เปล่านะคะ ที่จริงเตรียมการสอบสวนอย่างเข้มงวดไว้รอต่างหาก“เข้ามาก่อนตรงนี้เลยครับ” ทานตะวันเชื้อเชิญเพื่อนของดาวเข้าบ้านอย่างเสแสร้ง แต่พอให้หลังอัค ทานตะวันก็กดล็อกประตูหน้าบ้านทันที น้องฉันไม่ธรรมดาเหมือนกันส่วนดาวในตอนนี้ได้เตรียมภาพเอกสารหลักฐานและหันกล้องวงจรปิดที่อัดเสียงได้มาเตรียมรอ รู้ค่ะว่ามันผิดกฎหมาย แต่ทำยังไงได้คะ จะจับผู้ร้ายมันก็ต้องเก็บหลักฐานสิคะอัคนั่งลงที่โซฟาด้วยท่าทางกระตือรือร้น มองซ้ายมองขวากวาดตา มองไปรอบห้อง“นายมองหาอะไรอัค” ดาวถามเพื่อนเสียงต่ำ เวลานี้บรรยากาศภายในห้องเริ่มอึมครึมขึ้นมา แม่บ้านเดินมาเสิร์ฟน้ำด้วยท่าทีมึนตึงตึ๊ก...แม่บ้านวางแก้วกระแทกโต๊ะ อัคสะดุ้งเฮือก แต่กิริยากลับไม่มีใครต่อว่า ใครจะว่าล่ะค่ะ ทุกอย่าง...‘การละคร’ ค่ะทานตะวันเข้าไปนัดแนะให้พี่แม่บ้านทำมึนตึงออกไปเสิร์ฟน้ำ ซึ่งอาการของอัคทำใ
Part ดาวเรืองดาวรู้เรื่องที่น้าชายเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์จากทานตะวัน จึงพยายามติดต่อกลับไปเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่า ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นน้าสมชายเอง น้าหลิน และออโต้ ไม่มีใครรับสายหรืออ่านข้อความ เดาว่าน่าจะยุ่งอยู่กับเรื่องอุบัติเหตุ จึงบอกกับทานตะวันว่ารุ่งขึ้นให้ลองติดต่ออีกทีรุ่งขึ้น แม่เฟื่องฟ้าบอกว่าติดต่อกับน้าหลินได้แล้ว น้าหลินบอกว่าน้าสมชายไม่เป็นอะไรมากขณะที่ดาวกำลังนั่งคุยอยู่กับแม่เฟื่องฟ้า พ่อมงคลก็เข้ามาสมทบ แล้วบอกว่า ระหว่างพ่อแม่ กับน้าชายน้าหลิน เราเชื่อใจกัน แต่ก็คงต้องหาข้อมูลว่ามันเป็นการข่มขู่ หรืออุบัติเหตุจริง ๆ“คุณดาวเรือง พี่มีเรื่องจะรายงานและแจ้งข่าวครับ”พี่ไม้ ผู้ดูแลน้องรถถังของดาว โผล่หน้าเข้ามาด้วยความไม่แน่ใจว่าจะสะดวกรึเปล่า“เข้ามาสิพี่ น้องรถถังไปทำเรื่องอะไรอีกล่ะ” ดาวคิดว่าเป็นเรื่องของรถถัง แต่กลับไม่ใช่“ไม่ใช่รถถังครับ แต่เป็นเรื่องที่ตอนนี้กำลังเกิด เรื่องไร่ข้าง ๆ ครับ”
ผมเดินลงมาจากบ้านเพื่อจะไปดูรถของพ่อที่พี่ผันขับมาจอดไว้ที่หน้าบ้านแล้ว แต่กลับพบว่าตายิ้มกับพี่ผันยืนรอผมอยู่“รถเป็นไงบ้างพี่” ผมถามพี่ผัน“ผมขับรถกลับมาแล้ว รถเสียศูนย์ต้องไปตั้งศูนย์ใหม่ แล้วก็กันชนบุบนิดหน่อย ไฟแตกข้างซ้าย ที่เหลือไม่เป็นอะไรครับ”พี่ผันรายงาน“ส่วนอีกเรื่อง มีข่าวลือว่าที่คุณสมชายโดนรถปาดหน้า จะเป็นเพราะไม่ยอมขายที่รึเปล่า แบบว่าข่มขู่เหมือนในละครน่ะ” ตายิ้มที่นาน ๆ จะพูดที ร่ายยาวผมเอง ในตอนแรกไม่ได้นึกถึงเรื่องพวกนี้เลย กลับต้องมาฉุกคิดทันที เพราะพ่อสมชายอยู่มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยมีเรื่องอะไรแบบนี้เกิดขึ้นเลย สักครั้งก็ไม่เคยมีแต่พอมีนายหน้ามาติดต่อจะซื้อที่ดิน แล้วพ่อไม่ยอมขาย หลังจากนั้นก็เกิดเรื่อง เวลามันคล้องจองมาก“แล้วยังไงต่อตายิ้ม” ผมเห็นว่าแกยังฮึดฮัดอยู่กับพี่ผัน เหมือนพี่ผันไม่อยากให้ตายิ้มพูดอะไรต่อ“มีอะไรว่ามาเลยตายิ้ม พี่ผัน ให้แกพูดเถอะ”ผมปรามพี่ผัน ทำให้พี่ผันจำยอม ถอยห่างออกจากตายิ้ม“คื
Part ออโต้ช่วงนี้งานเยอะครับ หลังจากที่พ่อตัดสินใจว่าเพิ่มกำลังการผลิตพืชไฮโดรโปนิกส์ให้มากขึ้น ทันต่อปริมาณการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นมาอย่างพรวดพราดอันเกิดจากการเปิดไร่เข้าสู่โลกออนไลน์เรื่องนี้ยกให้ทานตะวันเขาล่ะครับความสนิทของเราทั้งสองกลับมาได้ดีกว่าเดิมมาก นั่นอาจเป็นเพราะเราทั้งคู่โตขึ้นมาก รึเปล่า?แต่ช่วงนี้ผมไม่มีเวลาไปเจอทานตะวันเท่าไร เวลาเขามา หากไม่ได้บอกไว้ก่อน ก็ต้องเข้าไร่ไปหาผมอีกที คุยอะไรก็ไม่ถนัดเพราะมันอยู่ในโรงปลูกไฮโดรโปนิกส์ มีคนงานหลายคน สำคัญคือมันร้อน ทานตะวันไม่ชอบสิ่งนี้ครับขณะที่ผมกำลังช่วยปรับสารเคมีสำหรับใช้ในการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ผมเห็นพ่อนั่งพักร้อนอยู่ใต้ต้นไม้หน้าโรง จึงพักงานแล้วออกไปนั่งคุยด้วยพ่อเล่าให้ผมฟัง ว่ามีนายหน้าเข้ามาสอบถามว่าอยากขายที่ดินไหม ผมขมวดคิ้วทันที ส่วนพ่อ พอเห็นผมขมวดคิ้วก็หัวเราะเบา ๆ ออกมา“ปฏิเสธไปแล้วน่ะ เขาก็ไม่อะไรนะ แต่ถือว่ากล้าบ้าบิ่นมากที่ใช้ความเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารอ
Part ทานตะวันผมหลับไปตอนไหน จำไม่ได้จริง ๆ แต่พอตื่นขึ้นมา มันปวดหัวเหมือนคนดื่มเหล้ามาแบบสุดซอย ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัว ใช่แล้ว วันนี้ผมมีธุระสำคัญอย่างหนึ่ง และนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ปวดหัวใช่แล้ว ผมต้องไปหาออโต้กิจวัตรยามเช้าประจำวันของผมหลังจากทำกิจส่วนตัวเสร็จ ก็ต่อด้วยอาหารเช้ากับพ่อแม่และพี่สาว ซึ่งบางวันพ่ออาจจะไม่ได้มาร่วมโต๊ะเพราะต้องเข้าไร่แต่เช้ามืด บางวันก็เหลือแต่ผมกับแม่ เจ้ดาวเรืองจะหายตามพ่อไปด้วยอีกคนวันนี้เจ้ดาวไปธุระกับพ่อในเมือง บ่าย ๆ คงกลับมา จึงเหลือแค่เพียงผมกับแม่ที่ร่วมโต๊ะอาหารกันมื้อนี้เป็นโจ๊กที่แม่บ้านทำเตรียมไว้ให้ บางวันมีปาท่องโก๋พ่วงท้ายมาด้วย ที่มาที่ไปของปาท่องโก๋นี้คือ แม่เฟื่องฟ้าฝากให้พี่คนงานที่มาทำงานเช้าซื้อเข้ามาจากตลาดในหมู่บ้านบางวันก็เป็นขนมครก ผมยังเคยคิดว่าจะชวนออโต้เข้าไปเดินเล่นที่ตลาดในหมู่บ้านบ้าง แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่เคยได้ไปสักที ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ ตื่นไม่ทัน ตลาดวายก่อน
Part ทานตะวันผมยังอยู่ในสภาพจมที่นอนหลังจากที่นั่งตัดคลิปวิดีโออยู่จนดึก ถึงแม้ว่าจะตัดได้ไม่ขั้นเทพเหมือนคนอื่น แต่ก็ถือว่าพอใช้งานได้ก็แล้วกันวันอาทิตย์แบบนี้ ผมไม่อยากตื่นเท่าไร อยากจมอยู่บนที่นอนแบบนี้อีกสักหน่อย แต่ทว่า“แก ตื่นได้แล้ว” เสียงเกือบตะโกนจากหน้าประตูห้องผมดังขึ้นผมพยายามไม่ตอบ แต่ทำไม่ได้น่ะสิ“ตื่นแล้ว โอ๊ย นี่วันอาทิตย์นะ” ผมโวยกลับ“หัดตื่นมาใส่บาตรกับที่บ้านบ้าง”ผมนึกถึงการใส่บาตร จริงสินะ ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน ยังไม่เคยตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อใส่บาตรไหว้พระอะไรเลยเอาจริง แม่เคยถามผมเรื่องบวชพระ แต่ผมยังไม่ได้ตอบอะไร ไม่มีแพลนอะไรเกี่ยวกับการบวช รู้แหละครับว่าพวกเขาอยากให้บวชเพราะอะไร แต่ผมอยากถามว่ามันจำเป็นด้วยเหรอ กฎหมายกำหนดรึเปล่า ไม่นะ แต่คงเป็นไปตามจารีตประเพณีที่ว่า บ้านไหนมีลูกชาย ก็อยากจะให้บวชเผื่อเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์รอก่อนนะ ผมยังไม่คิดผมเหลือบไปมองนาฬิกาที่ข้างฝาผนัง แม่เจ้า
เช้าวันเสาร์ท้ายสัปดาห์ที่แสนวุ่นวายของอัค หลังจากที่เขาตัดสินใจว่าจะเดินทางเข้าไปที่บ้านไร่จินตรา ครั้งนี้เขากะว่าหลังจากไปขอพบเจ้าของบ้านไร่จินตราแล้ว ค่อยแวะหาเพื่อนของเขาตอนจะกลับอีกทีชายหนุ่มแต่งตัวในชุดสุภาพตามสไตล์ของเขา ไม่มีการนัดล่วงหน้าใด ๆ กับเจ้าของไร่ ดูบ้าบิ่นที่สุด ในทีแรกเขาเองก็ไม่กล้าจะทำอะไรบุ่มบ่ามและรวดเร็วแบบนี้‘เงินจำนวนมหาศาลรอเขาอยู่’อัคเป็นพนักงานธนาคารสายสินเชื่อที่มีความรอบรู้ในเนื้องานการปล่อยสินเชื่อมากพอประมาณ แต่อาชีพการเป็นนายหน้า ยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขามาก การนั่งอยู่กับโต๊ะหรือออกตลาดเพื่อหาลูกค้ามาขอสินเชื่อ ทำได้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก หากเข้าถึงความจำเป็นการใช้เงินของลูกค้า กับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ชวนให้น่าสนใจขณะที่อาชีพการเป็นนายหน้า ไม่ว่าจะเป็นนายหน้าในเรื่องใดก็ตาม แก่นของมันคือ ‘จับแพะชนแกะ’ หาคู่ให้ลงตัว เมื่อความต้องการมาตรงกัน ค่าตอบแทนที่ได้จากฝ่ายที่ขอให้จัดหา มันค่อนข้างสมน้ำสมเนื้อสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจ เพียงเ
เช้าวันเสาร์ท้ายสัปดาห์ที่แสนวุ่นวายของอัค หลังจากที่เขาตัดสินใจว่าจะเดินทางเข้าไปที่บ้านไร่จินตรา ครั้งนี้เขากะว่าหลังจากไปขอพบเจ้าของบ้านไร่จินตราแล้ว ค่อยแวะหาเพื่อนของเขาตอนจะกลับอีกทีชายหนุ่มแต่งตัวในชุดสุภาพตามสไตล์ของเขา ไม่มีการนัดล่วงหน้าใด ๆ กับเจ้าของไร่ ดูบ้าบิ่นที่สุด ในทีแรกเขาเองก็ไม่กล้าจะทำอะไรบุ่มบ่ามและรวดเร็วแบบนี้‘เงินจำนวนมหาศาลรอเขาอยู่’อัคเป็นพนักงานธนาคารสายสินเชื่อที่มีความรอบรู้ในเนื้องานการปล่อยสินเชื่อมากพอประมาณ แต่อาชีพการเป็นนายหน้า ยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับเขามาก การนั่งอยู่กับโต๊ะหรือออกตลาดเพื่อหาลูกค้ามาขอสินเชื่อ ทำได้ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก หากเข้าถึงความจำเป็นการใช้เงินของลูกค้า กับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ชวนให้น่าสนใจขณะที่อาชีพการเป็นนายหน้า ไม่ว่าจะเป็นนายหน้าในเรื่องใดก็ตาม แก่นของมันคือ ‘จับแพะชนแกะ’ หาคู่ให้ลงตัว เมื่อความต้องการมาตรงกัน ค่าตอบแทนที่ได้จากฝ่ายที่ขอให้จัดหา มันค่อนข้างสมน้ำสมเนื้อสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจ เพียงเ