เด็กชายทั้งสองถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาลในตัวอำเภอซึ่งอยู่ไม่ไกลจากไร่มากนัก
ทั้งคู่ไป - กลับบ้านด้วยกันโดยรถรับส่งของโรงเรียน มีเพียงแค่เวลาเรียนที่พวกเขาจะเรียนคนละห้องกันเท่านั้น
เมื่อขึ้นชั้นประถมทั้งสอง ยังคงอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่ไม่ได้เรียนห้องเดียวกันอีกเช่นเคย สาเหตุเป็นเพราะทานตะวันค่อนข้างมีผลการเรียนที่ดีกว่าออโต้ โดยเฉพาะวิชาคำนวณ
เมื่อกลับบ้านทั้งสองผลัดกันสอนการบ้านโดยไม่ต้องให้ดาวเรืองมา สอนอีก ออโต้มักจะขอความช่วยเหลือหากทำการบ้านวิชาคณิต ศาสตร์ไม่ได้ในขณะเดียวกันออโต้จะช่วยทานตะวันทำงานประดิษฐ์ หรือกิจกรรมที่ต้องใช้ฝีมือ
จนกระทั่งจบชั้นประถม ความเปลี่ยนแปลงจึงเริ่มเกิดขึ้น
“ตะวัน แม่เราบอกว่าตะวันจะไปเรียนกรุงเทพฯ เหรอ”
ออโต้ถามทานตะวัน
ขณะที่กำลังเดินเล่นในไร่องุ่นของบ้านไร่จินตรา
ทานตะวันชะงัก เขาหันมามองหน้าออโต้
“อืม ใช่ พ่อกับแม่ตะวันจะให้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ ”
“แล้วไปนานไหม” ออโต้ถามด้วยความอยากรู้ ในความคิดของเขา ทานตะวันคงไปเรียนแค่ช่วงเปิดเทอม พอปิดเทอมก็คงกลับมา
แต่
“พ่อบอกว่าจะให้ย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ จนกว่าจะเรียนจบ แล้วค่อยว่ากันอีกที”
ทานตะวันบอกเล่าให้ออโต้ฟังตามที่แม่เขาบอกมาอีกที
ออโต้ใช้ความคิด จากที่ทานตะวันพูด
‘ย้าย’ มันหมายถึงไปอยู่ยาวไม่กลับมาเลยนั่นเอง
ซึ่งเขาคิดถูก เขาคงต้องเล่นแต่กับลูกคนงานซึ่งพักหลัง ๆ พวกนั้นก็แยกตัวไปเล่นกันโดยไม่บอกเขาซึ่งอาจจะเป็นเพราะเห็นว่าเขาเป็นลูกเจ้าของไร่ก็ได้
“คงเหงาแย่”
ออโต้กำลังรู้สึกว่าคนสำคัญคนหนึ่งของเขากำลังหายไปไกลแสนไกล
ทานตะวันยิ้มอ่อนให้เมื่อเห็นว่าออโต้ทำหน้าหงอย สำหรับทานตะวันแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่อยากไป มันเป็นสังคมที่เขาไม่รู้จัก และไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
“ออโต้เรียนในจังหวัดนี่แหละ แม่ไม่อยากให้ไปไหน แล้วอีกอย่าง เราก็ไม่อยากไปที่อื่นอยู่แล้วด้วย”
ทั้งสองตกลงกันว่าจะไปเดินที่ลำธารหลังไร่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะ แยกย้ายกันไปเรียนต่อตามเส้นทางที่ผู้ใหญ่วางไว้
ทางเดินจากประตูไร่กรุณาธรทอดยาวตรงไปยังท้ายไร่มองดูเหมือนตกท้องช้าง เส้นทางสายนี้ พวกเขาทั้งสองวิ่งเล่นกันมาตั้งแต่จำความได้ วันนี้พวกเขาตัดสินใจว่าจะไปที่ลำธารโดยไม่ชวนดาวเรืองไปด้วย
น้ำในลำธารใสแจ๋วไหลเอื่อยเฉื่อยมาจากป่า พวกเขาทั้งสองลงวักน้ำใส่หน้าเพื่อให้คลายร้อน หลังจากที่เดินทางไกลมาจากหน้าไร่
“ชื่นใจ”
“อืม อยากชื่นใจกว่านี้ไม๊”
“ไม่ รู้นะ คิดอะไรอยู่”
“ไม่ทันแล้ว”
“เฮ้ย”
ออโต้วักน้ำใส่ทานตะวันมีหรือหนุ่มน้อยทานตะวันจะยอมแพ้ เขาเอามือประสานกันแล้ววักน้ำสาดกลับออโต้โดยเร็ว
“หนอย นี่แน่ะ” ออโต้ใช้ฝ่ามือดันน้ำใส่ทานตะวัน
“โหดเว้ย” ทานตะวันร้องเสียงหลง ก่อนจะหัวเราะดัง ๆ ออกมา
ออโต้หัวเราะตาม เขาทั้งสองมีความสุขทุกครั้งที่มาเล่นน้ำกันที่นี่
“สัญญาไหมว่าจะไม่ลืมกัน”
ออโต้หยุดวักน้ำใส่ หันไปพูดด้วยเสียงที่นิ่งเรียบจริงจัง
“โอ๊ยไม่ลืมอยู่แล้วน่า”
ทานตะวันโบกมือไปมา
เขาไม่รู้ว่าทำไมรู้สึกว่าหน้าตัวเองมันร้อนผ่าวขึ้นมาได้อย่างไร
“สัญญาก่อนดิ” ออโต้ย้ำเพื่อขอสัญญาจากทานตะวัน
“เออ สัญญาก็ได้” ทานตะวันยื่นนิ้วก้อยออกไป
ออโต้เกี่ยวก้อยของเขาเข้ากับทานตะวัน
“สัญญาแล้วนะ”
“...”
ขณะนั้นเองฝนเริ่มลงเม็ดหนักขึ้น
“แย่แล้ว” ทานตะวันร้อง“เรารีบกลับกันเถอะ”
ออโต้คว้ามือของทานตะวันไว้แล้วออกวิ่งนำ
“เฮ้ย…เดี๋ยวล้ม”
ทานตะวันรีบออกวิ่งตามแรงฉุดของออโต้ เขารู้ดีว่าหากไม่ออกวิ่งตามคงได้มีหน้าคะมำกันบ้างล่ะ
นี่เป็นการพบกันครั้งสุดท้ายของเด็กชายทั้งสอง เด็กชายคชา หรือออโต้ กับเด็กชายอากร หรือทานตะวัน
หลังจากวันนั้นอีกสามวันทานตะวันต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เขาไม่มีโอกาสได้ไปลาออโต้อีกครั้งเพราะในวันที่ทานตะวันจะเดิน ทางนั้น
ออโต้ต้องไปสอบที่โรงเรียนมัธยมในตัวจังหวัด
‘สัญญาแล้วนะ’
Part ทานตะวัน11 ปีผ่านไป[ฮาโหล เจ้][ใครเจ้แก ฉันไม่ได้มีเชื้อจีน ต้องเรียกฉันว่าพี่สิยะ][เอาน่า ติดปากแล้ว ขอนะ]ผมมักเรียกพี่ดาวเรืองว่า ‘เจ้’ จนติดปาก ถึงแม้ว่าตัวจริงของนางจะโคตรแมนก็ตามที สวัสดีครับ ผมชื่อทานตะวัน จะเรียกว่าตะวันเฉย ๆ ก็ได้ครับ ผมเพิ่งพบกับพ่อแม่และเจ้ดาวเรืองล่าสุดเมื่อ 5 วันก่อน ที่จริงมันเป็นวันที่พิเศษสุดของผมวันหนึ่งวันอะไรเหรอ?วันรับพระราชทานปริญญาบัตรไงครับ ผมเรียนจบปริญญาตรีเรียบร้อยแล้ว ตามที่ได้คุยกับทางบ้านไว้ว่า เมื่อเรียบจบผมจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดแต่ที่วันนี้ยังเอ้อระเหยโทรศัพท์คุยกับเจ้ดาวเรืองอยู่นี่ ก็เพราะเพื่อน ๆ ที่คณะขอให้อยู่ต่ออย่าเพิ่งกลับ ผมจึงขอพ่ออยู่ต่ออีก 5 วันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนะครับ บ้านที่กรุงเทพฯ ผมก็ยังไป ๆ มา ๆ ได้อยู่ คุณลุงใจดีกับผมมาก ท่านรักผมเหมือนลูก เพราะลุงไม่มีลูกเนอะผมอยู่ที่กรุงเทพฯ กับลุงตั้งแต่เริ่มชั้นมัธยมต้น ในทีแรกก็มีเหงาบ้าง แต่ลุงมักชวนผมทำกิจกรรมมากมายทั้งที่ชอบและไม่ชอบ จนเราสนิทกัน คุณน้าหลินก็ใจดีมากจนแทบจะเป็นแม่ผมอีกคนแล้วหลังจากร่ำลากับเพื่อนในคณะ และบอกพวกมันว่าสามารถแวะไปเที่ยวท
“ไม่มีใครอยู่ แกไม่เช็คก่อนมานี่ ย่าไปทอดผ้าป่ากะพวกญาติ ๆ ไม่มีใครอยู่หรอก”ผมได้ยินดังนั้นก็หน้าเหวอ จริงอย่างที่เจ้บอก ผมไม่ได้คอนเฟิร์มว่าจะเข้าไปนอนที่บ้านย่า เลยไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนแผนกันไปทอดผ้าป่าเป็นที่เรียบร้อย นี่ถ้าเจ้ดาวเรืองไม่ออกมารอรับ ผมคงต้องหาโรงแรมแถวนี้พักก่อนแน่ ๆ“เออ ขอบคุณเจ้ งั้นก็กลับบ้านเลย”“ก็ต้องงั้น”เจ้ดาวเรืองช่วยผมลากกระเป๋าไปใส่ท้ายรถเอสยูวีคันสูงที่จอดอยู่ไกลออกไปจากชานชาลารถ เวลานี้ พอมองไปรอบ ๆ ก็แอบวังเวงอยู่ไม่น้อย ผู้คนต่างพากันหายไปไหนหมดแล้ว เมื่อสักครู่ตอนลงจากรถยังเดินกันเต็มไปหมด“หิวไหม เอ้าน้ำเปล่า วางอยู่ในช่องด้านข้าง ประทังไปก่อน เดี๋ยวถึงบ้านค่อยว่ากัน” พี่สาวของผมรอบคอบเสมอ เธอส่งขวดน้ำขนาด ห้าร้อยมิลฯ มาให้ ผมคว้าโดยไม่รีรอ เปิดฝาได้ก็กระดก อึก อึก“เบาแก เดี๋ยวสำลักตาย”“หิวอ่ะ ขอบใจเจ้ว่ะ”ผมปิดฝาแล้วหันไปยิ้มหล่อให้หนึ่งที เจ้ส่ายหน้าก่อนออกรถมุ่งหน้าสู่ไร่กรุณาธร ไร่อันเป็นบ้านเกิดของผม ไร่ที่มีพ่อกับแม่รอผมอยู่ใช้เวลาเดินทางสามสิบนาที รถของเจ้ก็เลี้ยวเข้าสู่ไร่กรุณาธร ผมชะเง้อมองดูความเปลี่ยนแปลงสิบเอ็ดปีที่ผมไปจากที่นี่ ตอ
ก๊อก ก๊อก“แก! ตื่นได้แล้ว เสียงไก่ของไร่เรามันไม่ดังพอใช่ไม๊” เจ้ดาวเรืองแหวใส่ประตูห้องผมแหม ผมเพิ่งจะกลับมา ขอพักสักวันสองวันไม่ได้รึไง อีกอย่างวันนี้ก็คิดว่าจะขอยืมรถเข้าเมืองไปดูอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มาติดตั้งในบ้าน รวมถึงสำรวจร้านคอมพิวเตอร์ในตัวอำเภอว่าพอจะดิวไว้เป็นเพื่อนเป็นซัพพลายให้ได้ไหม ซึ่งร้านเหล่านี้ไม่ได้เปิดเช้าซะหน่อย“ตื่นแล้วจ้า เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จจะรีบลงไปนะที่รัก”ผมตะโกนกลับพร้อมดีดตัวเองจากเตียงที่แสนนุ่มสบาย อากาศยามเช้าที่นี่ค่อนข้างเย็น เครื่องปรับอากาศที่เมื่อคืนช่วยคลายร้อน ตอนนี้กลับร้อนกว่าอากาศข้างนอก ปิดเพื่อประหยัดไฟ เป็นทางเลือกที่ดีผมปิดเครื่องปรับอากาศแล้วเดินไปเปิดม่าน ยกหน้าต่างขึ้นด้านบน“สดชื่นสุด ๆ ฮิ้วว” ผมโห่ร้องเมื่ออากาศแรกของภายนอกสัมผัสถูกหน้าของตัวเองความชุ่มชื่น อากาศปลอดโปร่งโล่งสบาย หายใจทั่วท้อง เป็นเอกลักษณ์ที่ไร่ของผมรวมถึงหมู่บ้านแถบนี้มีไว้ให้ฟรีโดยไม่คิดค่าบริการผมรีบอาบน้ำ เปลี่ยนชุดลำลองก่อนจะลงมาที่ห้องครัว“สวัสดีครับพ่อแม่” ผมยกมือไหว้เมื่อเจอท่านทั้งสองที่กำลังดำเนินกิจกรรมประจำวันของตัวท่านเองอยู่พ่อที่อยู่ในชุดเตรียมลงไ
“ไม่ไปได้ไหมเจ้” ผมอุทธรณ์“ไม่ได้ ฉันรับปากไปแล้ว” เจ้ดาวเรืองแหวใส่ผมแม่มองเจ้ดาวเรืองอย่างตำหนิ“ทำไมไม่ถามน้องก่อน”“แหมแม่ ก็คุ้นเคยกันอยู่แล้ว หายไปแค่สิบกว่าปี ไม่น่าจะมีผลนี่นา ทีเมื่อก่อน วิ่งเข้าไปถึงห้องนอนน้าสมชายก็ทำมาแล้วนี่แก”ประโยคหลัง ทำให้พ่อแม่หันมามองผมเป็นตาเดียว คือเอาจริงนะครับ เรื่องนี้มันก็นานมาแล้วตั้งแต่เด็ก เอามาเผาทำไมนี่เจ้“ลูกไปเล่นถึงในห้องนอนเขาเลยเหรอ” แม่เฟื่องฟ้าของผมเริ่มไม่สบอารมณ์“คุณ เด็ก ๆ มันเล่นกันใช่ไหม?” พ่อมงคลของผม เห็นนิ่ง ๆ แบบนี้ ช่วยผมตลอดแหละครับผมทำหน้าแหย มันเป็นเรื่องเก่ามาก ๆ จนผมเองยังแทบจะจำได้ไม่ได้ เจ้ดาวเรืองนี่“โอเคครับ ผมไปก็ได้ เย็นนี้นะ” ผมตัดบท เพราะดูท่าแม่ผมจะเริ่มไม่ชอบใจเท่าไร แม่เป็นคนที่ไม่ชอบให้คนในบ้านไปยุ่มย่ามอะไรในที่ของคนอื่น ไปเล่นไปคุยไปกินข้าวได้ แต่การเข้าไปถึงห้องนอน แม่ไม่ชอบครับแพลนของที่วางไว้หลังจากกลับมาบ้านคืออยากเข้าเมืองไปเซอร์เวย์ร้านคอมพิวเตอร์ทั่วไป จนถึงร้านแบรนด์ดัง ซึ่งแพลนนั้นคือวันนี้นี่แหละผมไปขอยืมกุญแจรถของพ่อ ซึ่งพ่อบอกว่าให้ไปขอแม่ เพราะ แม่เป็นผู้ดูแลรถทั้งหมด ผมยังไม่อยากข
บทที่ 1ไร่ของเราอยู่ติดกัน…แดดอ่อนทอแสงแรกผ่านม่านเขาสูง ส่งกระทบหยาดน้ำค้างที่พร่างพราวบนยอดหญ้า ความชุ่มชื้นจากพื้นที่อุ้มน้ำฝนไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เริ่มคลายตัวออกเนื่องจากแสงแดดที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ บรรดาสัตว์ตามธรรมชาติน้อยใหญ่ ต่างดำรงชีวิตกันไปตาม วัฏจักรแห่งชีวิตบนพื้นที่ไร่ทั้งสองนี้บ้านไร่จินตราและไร่กรุณาธรเป็นไร่ผลไม้ขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มกลางหุบเขา ไร่ทั้งสองนี้มีลักษณะที่คล้ายกัน กล่าวคือ มีภูเขายืนตระหง่านอยู่ด้านหลัง มีลำธารเล็ก ๆ จากทิวเขาด้านหลังไหลผ่าน ลำธารแห่งนี้มีสายน้ำไหลไม่เคยขาดแม้ว่าจะเป็นฤดูแล้งก็ตาม ในอดีตไร่ทั้งสองนี้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง เกิดจากเพื่อนรักสองเกลอ ที่เข้ามาบุกเบิกทำไร่ผลไม้ โดยเลือกที่จะปลูกให้เหมาะสมตามสภาพอากาศที่เป็นอยู่ และได้ขยายพื้นที่ออกไปจนสุดเชิงเขาทั้งสองด้าน สุดลูกหูลูกตาเป็นคำกล่าวของชาวบ้านในหมู่บ้านเล็ก ๆ เชิงเขาด้านหลังที่อยู่ถัดจากไร่ทั้งสองไปไม่ไกลนักเพื่อนรักทั้งสองต่างมีครอบครัว ดำเนินการของตนเองให้อยู่รอดมาจนถึงรุ่นลูก และกำลังจะส่งต่อให้กับรุ่นหลานของพวกเขาหลังจากเจเนอเรชันคุณปู่คุณตาผู้บุกเบิกผ่านพ้นไป
“ไม่ไปได้ไหมเจ้” ผมอุทธรณ์“ไม่ได้ ฉันรับปากไปแล้ว” เจ้ดาวเรืองแหวใส่ผมแม่มองเจ้ดาวเรืองอย่างตำหนิ“ทำไมไม่ถามน้องก่อน”“แหมแม่ ก็คุ้นเคยกันอยู่แล้ว หายไปแค่สิบกว่าปี ไม่น่าจะมีผลนี่นา ทีเมื่อก่อน วิ่งเข้าไปถึงห้องนอนน้าสมชายก็ทำมาแล้วนี่แก”ประโยคหลัง ทำให้พ่อแม่หันมามองผมเป็นตาเดียว คือเอาจริงนะครับ เรื่องนี้มันก็นานมาแล้วตั้งแต่เด็ก เอามาเผาทำไมนี่เจ้“ลูกไปเล่นถึงในห้องนอนเขาเลยเหรอ” แม่เฟื่องฟ้าของผมเริ่มไม่สบอารมณ์“คุณ เด็ก ๆ มันเล่นกันใช่ไหม?” พ่อมงคลของผม เห็นนิ่ง ๆ แบบนี้ ช่วยผมตลอดแหละครับผมทำหน้าแหย มันเป็นเรื่องเก่ามาก ๆ จนผมเองยังแทบจะจำได้ไม่ได้ เจ้ดาวเรืองนี่“โอเคครับ ผมไปก็ได้ เย็นนี้นะ” ผมตัดบท เพราะดูท่าแม่ผมจะเริ่มไม่ชอบใจเท่าไร แม่เป็นคนที่ไม่ชอบให้คนในบ้านไปยุ่มย่ามอะไรในที่ของคนอื่น ไปเล่นไปคุยไปกินข้าวได้ แต่การเข้าไปถึงห้องนอน แม่ไม่ชอบครับแพลนของที่วางไว้หลังจากกลับมาบ้านคืออยากเข้าเมืองไปเซอร์เวย์ร้านคอมพิวเตอร์ทั่วไป จนถึงร้านแบรนด์ดัง ซึ่งแพลนนั้นคือวันนี้นี่แหละผมไปขอยืมกุญแจรถของพ่อ ซึ่งพ่อบอกว่าให้ไปขอแม่ เพราะ แม่เป็นผู้ดูแลรถทั้งหมด ผมยังไม่อยากข
ก๊อก ก๊อก“แก! ตื่นได้แล้ว เสียงไก่ของไร่เรามันไม่ดังพอใช่ไม๊” เจ้ดาวเรืองแหวใส่ประตูห้องผมแหม ผมเพิ่งจะกลับมา ขอพักสักวันสองวันไม่ได้รึไง อีกอย่างวันนี้ก็คิดว่าจะขอยืมรถเข้าเมืองไปดูอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มาติดตั้งในบ้าน รวมถึงสำรวจร้านคอมพิวเตอร์ในตัวอำเภอว่าพอจะดิวไว้เป็นเพื่อนเป็นซัพพลายให้ได้ไหม ซึ่งร้านเหล่านี้ไม่ได้เปิดเช้าซะหน่อย“ตื่นแล้วจ้า เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จจะรีบลงไปนะที่รัก”ผมตะโกนกลับพร้อมดีดตัวเองจากเตียงที่แสนนุ่มสบาย อากาศยามเช้าที่นี่ค่อนข้างเย็น เครื่องปรับอากาศที่เมื่อคืนช่วยคลายร้อน ตอนนี้กลับร้อนกว่าอากาศข้างนอก ปิดเพื่อประหยัดไฟ เป็นทางเลือกที่ดีผมปิดเครื่องปรับอากาศแล้วเดินไปเปิดม่าน ยกหน้าต่างขึ้นด้านบน“สดชื่นสุด ๆ ฮิ้วว” ผมโห่ร้องเมื่ออากาศแรกของภายนอกสัมผัสถูกหน้าของตัวเองความชุ่มชื่น อากาศปลอดโปร่งโล่งสบาย หายใจทั่วท้อง เป็นเอกลักษณ์ที่ไร่ของผมรวมถึงหมู่บ้านแถบนี้มีไว้ให้ฟรีโดยไม่คิดค่าบริการผมรีบอาบน้ำ เปลี่ยนชุดลำลองก่อนจะลงมาที่ห้องครัว“สวัสดีครับพ่อแม่” ผมยกมือไหว้เมื่อเจอท่านทั้งสองที่กำลังดำเนินกิจกรรมประจำวันของตัวท่านเองอยู่พ่อที่อยู่ในชุดเตรียมลงไ
“ไม่มีใครอยู่ แกไม่เช็คก่อนมานี่ ย่าไปทอดผ้าป่ากะพวกญาติ ๆ ไม่มีใครอยู่หรอก”ผมได้ยินดังนั้นก็หน้าเหวอ จริงอย่างที่เจ้บอก ผมไม่ได้คอนเฟิร์มว่าจะเข้าไปนอนที่บ้านย่า เลยไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนแผนกันไปทอดผ้าป่าเป็นที่เรียบร้อย นี่ถ้าเจ้ดาวเรืองไม่ออกมารอรับ ผมคงต้องหาโรงแรมแถวนี้พักก่อนแน่ ๆ“เออ ขอบคุณเจ้ งั้นก็กลับบ้านเลย”“ก็ต้องงั้น”เจ้ดาวเรืองช่วยผมลากกระเป๋าไปใส่ท้ายรถเอสยูวีคันสูงที่จอดอยู่ไกลออกไปจากชานชาลารถ เวลานี้ พอมองไปรอบ ๆ ก็แอบวังเวงอยู่ไม่น้อย ผู้คนต่างพากันหายไปไหนหมดแล้ว เมื่อสักครู่ตอนลงจากรถยังเดินกันเต็มไปหมด“หิวไหม เอ้าน้ำเปล่า วางอยู่ในช่องด้านข้าง ประทังไปก่อน เดี๋ยวถึงบ้านค่อยว่ากัน” พี่สาวของผมรอบคอบเสมอ เธอส่งขวดน้ำขนาด ห้าร้อยมิลฯ มาให้ ผมคว้าโดยไม่รีรอ เปิดฝาได้ก็กระดก อึก อึก“เบาแก เดี๋ยวสำลักตาย”“หิวอ่ะ ขอบใจเจ้ว่ะ”ผมปิดฝาแล้วหันไปยิ้มหล่อให้หนึ่งที เจ้ส่ายหน้าก่อนออกรถมุ่งหน้าสู่ไร่กรุณาธร ไร่อันเป็นบ้านเกิดของผม ไร่ที่มีพ่อกับแม่รอผมอยู่ใช้เวลาเดินทางสามสิบนาที รถของเจ้ก็เลี้ยวเข้าสู่ไร่กรุณาธร ผมชะเง้อมองดูความเปลี่ยนแปลงสิบเอ็ดปีที่ผมไปจากที่นี่ ตอ
Part ทานตะวัน11 ปีผ่านไป[ฮาโหล เจ้][ใครเจ้แก ฉันไม่ได้มีเชื้อจีน ต้องเรียกฉันว่าพี่สิยะ][เอาน่า ติดปากแล้ว ขอนะ]ผมมักเรียกพี่ดาวเรืองว่า ‘เจ้’ จนติดปาก ถึงแม้ว่าตัวจริงของนางจะโคตรแมนก็ตามที สวัสดีครับ ผมชื่อทานตะวัน จะเรียกว่าตะวันเฉย ๆ ก็ได้ครับ ผมเพิ่งพบกับพ่อแม่และเจ้ดาวเรืองล่าสุดเมื่อ 5 วันก่อน ที่จริงมันเป็นวันที่พิเศษสุดของผมวันหนึ่งวันอะไรเหรอ?วันรับพระราชทานปริญญาบัตรไงครับ ผมเรียนจบปริญญาตรีเรียบร้อยแล้ว ตามที่ได้คุยกับทางบ้านไว้ว่า เมื่อเรียบจบผมจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดแต่ที่วันนี้ยังเอ้อระเหยโทรศัพท์คุยกับเจ้ดาวเรืองอยู่นี่ ก็เพราะเพื่อน ๆ ที่คณะขอให้อยู่ต่ออย่าเพิ่งกลับ ผมจึงขอพ่ออยู่ต่ออีก 5 วันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนะครับ บ้านที่กรุงเทพฯ ผมก็ยังไป ๆ มา ๆ ได้อยู่ คุณลุงใจดีกับผมมาก ท่านรักผมเหมือนลูก เพราะลุงไม่มีลูกเนอะผมอยู่ที่กรุงเทพฯ กับลุงตั้งแต่เริ่มชั้นมัธยมต้น ในทีแรกก็มีเหงาบ้าง แต่ลุงมักชวนผมทำกิจกรรมมากมายทั้งที่ชอบและไม่ชอบ จนเราสนิทกัน คุณน้าหลินก็ใจดีมากจนแทบจะเป็นแม่ผมอีกคนแล้วหลังจากร่ำลากับเพื่อนในคณะ และบอกพวกมันว่าสามารถแวะไปเที่ยวท
เด็กชายทั้งสองถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาลในตัวอำเภอซึ่งอยู่ไม่ไกลจากไร่มากนักทั้งคู่ไป - กลับบ้านด้วยกันโดยรถรับส่งของโรงเรียน มีเพียงแค่เวลาเรียนที่พวกเขาจะเรียนคนละห้องกันเท่านั้น เมื่อขึ้นชั้นประถมทั้งสอง ยังคงอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่ไม่ได้เรียนห้องเดียวกันอีกเช่นเคย สาเหตุเป็นเพราะทานตะวันค่อนข้างมีผลการเรียนที่ดีกว่าออโต้ โดยเฉพาะวิชาคำนวณเมื่อกลับบ้านทั้งสองผลัดกันสอนการบ้านโดยไม่ต้องให้ดาวเรืองมา สอนอีก ออโต้มักจะขอความช่วยเหลือหากทำการบ้านวิชาคณิต ศาสตร์ไม่ได้ในขณะเดียวกันออโต้จะช่วยทานตะวันทำงานประดิษฐ์ หรือกิจกรรมที่ต้องใช้ฝีมือ จนกระทั่งจบชั้นประถม ความเปลี่ยนแปลงจึงเริ่มเกิดขึ้น “ตะวัน แม่เราบอกว่าตะวันจะไปเรียนกรุงเทพฯ เหรอ” ออโต้ถามทานตะวันขณะที่กำลังเดินเล่นในไร่องุ่นของบ้านไร่จินตรา ทานตะวันชะงัก เขาหันมามองหน้าออโต้“อืม ใช่ พ่อกับแม่ตะวันจะให้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ ”“แล้วไปนานไหม” ออโต้ถามด้วยความอยากรู้ ในความคิดของเขา ทานตะวันคงไปเรียนแค่ช่วงเปิดเทอม พอปิดเทอมก็คงกลับมา แต่“พ่อบอกว่าจะให้ย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ จนกว่าจะเรียนจบ แล้วค่อยว่ากันอีกที”ทานตะวันบ
บทที่ 1ไร่ของเราอยู่ติดกัน…แดดอ่อนทอแสงแรกผ่านม่านเขาสูง ส่งกระทบหยาดน้ำค้างที่พร่างพราวบนยอดหญ้า ความชุ่มชื้นจากพื้นที่อุ้มน้ำฝนไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เริ่มคลายตัวออกเนื่องจากแสงแดดที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ บรรดาสัตว์ตามธรรมชาติน้อยใหญ่ ต่างดำรงชีวิตกันไปตาม วัฏจักรแห่งชีวิตบนพื้นที่ไร่ทั้งสองนี้บ้านไร่จินตราและไร่กรุณาธรเป็นไร่ผลไม้ขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มกลางหุบเขา ไร่ทั้งสองนี้มีลักษณะที่คล้ายกัน กล่าวคือ มีภูเขายืนตระหง่านอยู่ด้านหลัง มีลำธารเล็ก ๆ จากทิวเขาด้านหลังไหลผ่าน ลำธารแห่งนี้มีสายน้ำไหลไม่เคยขาดแม้ว่าจะเป็นฤดูแล้งก็ตาม ในอดีตไร่ทั้งสองนี้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง เกิดจากเพื่อนรักสองเกลอ ที่เข้ามาบุกเบิกทำไร่ผลไม้ โดยเลือกที่จะปลูกให้เหมาะสมตามสภาพอากาศที่เป็นอยู่ และได้ขยายพื้นที่ออกไปจนสุดเชิงเขาทั้งสองด้าน สุดลูกหูลูกตาเป็นคำกล่าวของชาวบ้านในหมู่บ้านเล็ก ๆ เชิงเขาด้านหลังที่อยู่ถัดจากไร่ทั้งสองไปไม่ไกลนักเพื่อนรักทั้งสองต่างมีครอบครัว ดำเนินการของตนเองให้อยู่รอดมาจนถึงรุ่นลูก และกำลังจะส่งต่อให้กับรุ่นหลานของพวกเขาหลังจากเจเนอเรชันคุณปู่คุณตาผู้บุกเบิกผ่านพ้นไป