"นายท่าน นายท่านเจ้าคะ" ถิงถิงวิ่งหน้าตั้ง กล่าวละล่ำละลัก ทั่วใบหน้าของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเขม่าดินดำและรอยน้ำตาเขรอะเสียจนดูไม่ได้
ผู้คนที่คลาคล่ำภายในห้องโถงใหญ่ต่างฝ่ายต่างอยู่ในอาการตื่นตระหนก จวนของเศรษฐีโม่เกิดเพลิงไหม้กะทันหันได้อย่างไร หรือว่ามีคนจงใจสร้างเรื่องก่อความวุ่นวายเพื่อดักปล้นผ้าทอล้ำค่าเหล่านี้กันเล่า
"ถิงถิง ใจเย็นก่อน แล้วนี่ไฉนจึงมอมแมมเช่นนี้รึ คุณหนูเจ้าไปอยู่ที่ใด" หลี่จิ้งตงตระหนกไม่แพ้กัน เขากวาดสายตามองหาบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนให้ทั่วทว่ากลับไม่พบกระทั่งเงาของนาง
"คะ...คุณหนู คุณหนูหลานซินติดอยู่ในกองเพลิงเจ้าค่ะ!"
"หา!..." หลี่จิ้งตงโพล่งเสียงดัง
เจียงห่ายกวงซึ่งยืนอยู่ใกล้บริเวณนั้นหูผึ่ง เขารีบถลันกายเข้าหาเพื่อสอบถามทันที "ถิงถิง เจ้าว่าอย่างไนนะ!?"
ถิงถิงหน้าซีดเผือด กล่าวเสียงอ้อมแอ้ม "คุณหนูหลานซินติดอยู่ในกองเพลิงเจ้าค่ะ"
หลี่จิ้งตงได้ยินอีกคราแทบเกิดลมจับ โชคดียังมีบรรดาผู้คนบริเวณนั้นช่วยกันประคองไว้ได้ ไม่เช่นนั้นร่างอ้วนท้วนนี้คงได้ล้มหงายท้องตึงหมดสติแล้วเป็นแน่
เจียงห่ายกวงขมวดคิ้ว "เมื่อสักครู่ข้าเห็นหลานซินอยู่ตรงนี้ คลาดสายตาเพียงประเดี๋ยวนางไปติดอยู่ในกองเพลิงได้เช่นไร!"
ถิงถิงหายใจติดขัด นางรู้สึกประหม่าแทบวางแขนขาไม่ถูก "เอ่อ..."
นางไม่รู้จะแก้ต่างอย่างไรแล้วจริง ๆ "คุณชายเจียงเจ้าคะ คือว่า..."
"ช่างเถอะ…!" เจียงห่ายกวงผละกายจากไปเดี๋ยวนั้น
หลี่จิ้งตงตั้งสติและพละกำลังได้แล้วเขาพลันออกวิ่งอาด ๆ ตามหลังคนร่างสูงไปด้วยความเร่งร้อน กระนั้นยังมิวายเหลียวหลังมองสาวใช้คนสนิทของบุตรสาวตนอย่างนึกคาดโทษ
หลี่หลานซินซุกซน เอาแต่ใจตั้งแต่เด็ก หนำซ้ำเรื่องเข้าครัวมิต้องเอ่ยถึง คนเช่นนางหรือคิดเหยียบย่างเข้าสถานที่ซึ่งมากด้วยกลิ่นอาหารตีปนกันไปหมด เกรงว่าบุตรสาวตัวดีของเขาคงก่อเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วหนา
ถิงถิงเห็นแววตาแคลงใจของหลี่จิ้งตงนางถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลาย นัยน์ตาไหวระริกซ่อนเร้นบางสิ่งหลุบลงทันควัน ครั้นได้สตินางจึงก้าวเท้าเนิบนาบ แล้วจึงแปรผันเป็นรวดเร็วตามหลังผู้เป็นนายออกไปด้วยอาการหวาดหวั่น
บุคคลทั้งสามมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่เกิดเหตุ ทันได้สวนกับคุณชายตระกูลโม่เข้าพอดี ชายร่างสูงกำลังอุ้มสตรีซึ่งนอนไร้สติอยู่บนอ้อมแขน แววตาของเขาแหลมคมดุดันยิ่งนัก
"พวกท่านจะไปที่ใด" โม่จ้าวหยวนกล่าวถาม
"เจ้าช่วยคน ไฉนช่วยเพียงผู้เดียว แล้วคุณหนูหลานซินเล่า" เจียงห่ายกวงเอ่ยตำหนิ
โม่จ้าวหยวนขมวดคิ้ว "คุณหนูหลานซิน ข้าไม่เห็นนาง นางไม่ได้อยู่ที่นั่น หรือหากอยู่ นางก็คงไม่ถูกไฟคลอกหรอกกระมัง"
"นี่เจ้า! โม่จ้าวหยวน กล่าววาจาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หากคุณหนูหลานซินเป็นอะไรไป ตระกูลโม่จะต้องรับผิดชอบ" เจียงห่ายกวงกัดฟันกรอด
เขาทราบดีว่าคุณชายโม่ผู้นี้ไม่ชอบหน้าของหลี่หลานซินนัก เพียงเพราะนางชื่นชอบในตัวของเขา ซ้ำยังคอยตามตอแยโม่จ้าวหยวนอยู่ไม่ห่าง ถึงกระนั้นหลี่หลานซินทำไปเพราะมีใจสิเน่หาต่อบุรุษผู้นี้ไม่ใช่หรือ นางอาจชอบกลั่นแกล้งคุณหนูจูจื่ออี๋บ้าง ทว่าคงมิอาจเล่นกันถึงตายหรอกกระมัง ถึงอย่างไรการช่วยเหลือคนก็ไม่ควรลำเอียงเพียงนี้หรือไม่
"เหตุใดตระกูลโม่ต้องรับผิดชอบด้วยเล่า แล้วถ้าหากคุณหนูจื่ออี๋เป็นอันใดไปตระกูลเจียงจะรับผิดชอบหรือไม่" โม่จ้าวหยวนกล่าวเสียงแข็ง
"นั่นเกี่ยวสิ่งใดกับตระกูลข้า"
"อ้อ...แล้วเกี่ยวสิ่งใดกับตระกูลข้ารึ มิใช่ว่าคุณหนูหลานซินทำตัวเองหรอกหรือ นางเสียมากกว่าที่ต้องชดใช้ให้กับตระกูลโม่!"
"กล่าววาจาส่งเดช! ฝากไว้ก่อนเถิด" เจียงห่ายกวงกัดฟันกรอด ท่อนขายาวพลันวิ่งรี่จากไปทันควัน
โม่จ้าวหยวนซึ่งยังคงอุ้มกายของจูจื่ออี๋อยู่ลดดวงตามองคนในอ้อมแขนด้วยสีหน้าเป็นกังวล ทว่าอีกใจก็อยากรู้เช่นเดียวกันว่าคุณหนูหลี่หลานซินติดอยู่ในกองเพลิงจริงหรือไม่ เขาแน่ใจว่าเมื่อสักครู่ที่ตนเข้าไปช่วยจูจื่ออี๋นั้นพบเพียงนางผู้เดียวจริง ๆ ตนเป็นบุรุษต่อให้ไม่ชอบสตรีนางนั้นเพียงใด ยามช่วยเหลือคน ไหนเลยจะมีใจคิดลำเอียง อีกอย่างหางตาของเขาเหมือนเห็นผู้สวมอาภรณ์สตรีวิ่งลับตาไปทางสระน้ำอยู่ไว ๆ เขาจึงส่งบ่าวไพร่ออกติดตาม คนผู้นั้นคล้ายนางยิ่งนัก แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่หลี่หลานซินเองก็ติดอยู่ด้านในเช่นเดียวกัน
ผู้คนในห้องโถงต่างเดินกระทบไหล่กันให้จ้าละหวั่นราวผึ้งแตกรัง ฮูหยินโม่จึงทำได้เพียงร้องเตือนให้อยู่ในความสงบ
"ทุกท่านอย่าได้แตกตื่นไป เพลานี้ทางจวนของเราระงับเปลวเพลิงไว้ได้แล้ว ไม่มีทางลุกลามหรือเป็นอันตรายมาจนถึงที่นี่อย่างแน่นอน"
หลายคนได้ยินเช่นนั้นใจที่หวาดหวั่นพลันรู้สึกดีขึ้นอีกหลายส่วน
"นี่คุณหนูจูจื่ออี๋มิใช่หรือ ไฉนนางจึงอยู่ในสภาพเช่นนี้เล่า" เสียงสตรีนางหนึ่งโพล่งขึ้น
สาวใช้ของจูจื่ออี๋สาวเท้าฉับ ๆ เข้ามาด้วยอาการร้อนรน บิดาและมารดาของจูจื่ออี๋เช่นเดียวกัน
ใต้เท้าจูกล่าวละล่ำละลัก "คุณชายโม่ นี่จื่ออี๋เป็นอันใดไปเล่า"
"ใต้เท้าอย่าได้ร้อนใจ นางไม่เป็นอันใดมาก น่าจะตื่นตกใจเล็กน้อย เพลานี้คุณหนูตระกูลหลี่ติดอยู่ด้านในเช่นกัน ประเดี๋ยวข้าจะให้หมอมาตรวจดูอาการคุณหนูจื่ออี๋ แล้วจะรีบไปช่วยทางด้านนั้นอีกครา ท่านวางใจเถิด"
ใต้เท้าจูพยักหน้าหงึกหงัก เดินตามหลังโม่จ้าวหยวนไปติด ๆ ครั้นมาถึงหอพักรับรองของตระกูลโม่เรียบร้อยแล้ว โม่จ้าวหยวนจึงฝากฝังให้สาวใช้ไปตามหมอ แล้วจึงกล่าวขอตัวชั่วคราว
"ใต้เท้า ข้าต้องกลับไปช่วยคนอีก ข้าฝากเด็กในจวนช่วยดูแลแล้ว หากท่านขาดเหลือสิ่งใดบอกพวกนางได้ทันที"
"ขอบคุณท่าน คุณชายโม่"
โม่จ้าวหยวนพยักหน้า เขาเร่งผละกายออกไปเดี๋ยวนั้น ภายในใจของเขาเต้นดังกระหน่ำ แม้ขากำลังก้าวพรวดพราดราวพายุหอบหนึ่ง ทว่าจิตใจของเขาถึงห้องครัวซึ่งแทบเหลือเพียงเสาราวตอตะโกไปเสียตั้งนานแล้ว
"คุณหนูหลานซินเช่นนั้นหรือ คุณหนูตัวดี อย่านึกว่าเทพไม่รู้ผีไม่เห็นเล่า นี่มันฝีมือของเจ้า ยังกล้าเสแสร้งเช่นนั้นหรือ" โม่จ้าวหยวนกัดฟันกรอด
โม่จ้าวหยวนมาถึงสถานที่เกิดเหตุแล้ว หลี่หลานซินอยู่ด้านในจริง ๆ ดูเหมือนคุณชายเจียงห่ายกวงนั้นช่วยเหลือนางสำเร็จ หลี่หลานซินขดกายอยู่ในอ้อมแขนของเจียงห่ายกวงพลางกระแอมไอเสียยกใหญ่ จากใบหน้าเกลี้ยงเกลางดงามกลับเปื้อนเขรอะไปด้วยคราบเขม่าจนดูไม่จืด โม่จ้าวหยวนหรี่นัยน์ตา ลอบสังเกตความผิดปกติอยู่ชั่วครู่อาภรณ์สีมรกตตัวนี้คล้ายกับสตรีต้องสงสัยไม่ผิดเพี้ยน นางแอบย้อนกลับมาสร้างเรื่องให้ตนเองต้องเจ็บตัวอย่างนั้นหรือ บ้าระห่ำเกินไปหน่อยหรือไม่ โม่จ้าวหยวนสาวเท้าเข้าใกล้พวกเขา พลางลดดวงตาจ้องหลี่หลานซินเขม็งเกร็งหลี่หยางหงในร่างของหลี่หลานซินช้อนดวงตาขึ้นทันได้ประสานเข้ากับนัยน์ตาคมปลาบพอดิบพอดี นางรีบหลุบเปลือกตาลงเดี๋ยวนั้น หัวใจกระเพื่อมไหว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก แล้วจึงแสร้งไอเพื่อกลบเกลื่อนแค่ก แค่กชะ...ใช่หมอนี่หรือเปล่า โม่จ้าวหยวน หน้าตาและท่าทางดูเหมือนจะใช่นะหลี่หยางหงตบตีกับความคิดตนอยู่ในใจ ต่อไปนี้นางจะใช้นามของหลี่หยางหงไม่ได้อีกต่อไป คงต้องเปลี่ยนมาใช้หลี่หลานซินเต็มตัวหลี่หยางหงเป็นนักเขียนถ่ายทอดอารมณ์และลักษณะของตัวละครผ่านตัวอักษรเท่านั้น ใช่นางสามารถมองออกในปราดเดียวว่าผู้
เรื่องเพลิงไหม้ในวันนั้นไม่สามารถจับมือผู้ใดดมได้ บรรดาบ่าวรับใช้ในห้องครัวต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเกิดจากอุบัติเหตุ ดูเหมือนคุณหนูหลานซินและคุณหนูจื่ออี๋ประสงค์ดีอยากช่วยแบ่งเบา จึงขันอาสาจัดแจงของว่างอยู่ในครัว คาดไม่ถึงว่าคุณหนูทั้งสองไม่มีผู้ใดชำนาญการทำอาหารสักนาง เพียงหยิบโน่นจับนี่ทุกอย่างก็แทบวอดวาย โดยเฉพาะคุณหนูหลานซิน นางไม่สันทัดเรื่องละเอียดอ่อนทำนองนี้เอาเสียเลย ทว่าอุตริอยากออกหน้าเพียงเพราะเห็นคุณหนูจื่ออี๋เข้ามาก็เพียงเท่านั้น อุบัติเหตุจึงบังเกิดขึ้นไม่ทันตั้งตัว เมื่อคุณหนูหลานซินและคุณหนูจื่ออี๋แย่งน้ำมันกัน ทำให้ของเหลวหกเลอะพื้น บ่าวรับใช้ที่อยู่ในนั้นไม่กี่คนต่างตกใจจนหน้าถอดสี บางคนปลีกตัวออกมาเพื่อไปรายงานผู้เป็นนายยังห้องโถงใหญ่ ทว่าบางคนออกหาอุปกรณ์เพื่อทำความสะอาด ผู้ใดจะทันคาดคิด เมื่อหวนมายังห้องครัว เปลวเพลิงกลับลุกลามไปทั่วทั้งห้องจนเกินเยียวยาเสียแล้ว ซ้ำร้ายคุณหนูทั้งสองยังติดอยู่ด้านในอีกด้วยคำให้การของบ่าวรับใช้ทั้งจวนล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้โม่จ้าวหยวนไม่อาจปรักปรำผู้อื่นส่งเดช ทุกอย่างกระจ่างชัด คำตัดสินถูกปัดให้กลายเป็นอุบัติเหตุอย
ถิงถิงจำใจหย่อนกายลงนั่งอย่างเชื่อฟัง หลี่หลานซินเริ่มเล่าเรื่องราวของคุณชายโม่ไปต่าง ๆ นานา นางรู้จักชาติตระกูล อุปนิสัยใจคอ รวมถึงรากเหง้าของโม่จ้าวหยวนดีเลยทีเดียว ในเมื่อนางเป็นคนเขียนขึ้นมาเองกับมือ เดิมทีคุณชายโม่เป็นบุรุษเสเพลไม่เอาไหน เห็นว่าบ้านตัวเองรวยเข้าหน่อยเลยไม่เคยสนใจช่วยกิจการพ่อแม่ เที่ยวเตร่ไปวัน ๆ เขาเป็นผู้เป็นคนได้ก็ช่วงที่ได้รู้จักกับคุณหนูจูจื่ออี๋ ซึ่งเป็นนางเอกของเรื่องอย่างไรเล่า"ถิงถิง แท้จริงข้าไม่ได้ชอบเขาเลย แต่จะบอกอย่างไรดี เรื่องนั้นช่างเถอะ ๆ"สิ่งที่นางจะบอกก็คือหลี่หลานซินคนเดิมต่างหากที่ชอบคุณชายโม่จนโงหัวไม่ขึ้น ส่วนนางเป็นเพียงผู้สร้างตัวละครเท่านั้น อธิบายไปถิงถิงคงไม่เข้าใจ"หมอนั่น...เอ่อ...แฮ่ม คุณชายโม่เป็นพวกประเภทเสาะบุปผาหาต้นหลิว [1] เพลบอยจะตาย""พะ..เพน บ่อย คืออะไรเจ้าคะ" ถิงถิงกะพริบดวงตาถี่ มองหลี่หลานซินตาใสแป๋วหลี่หลานซินขำพรืด "เอาล่ะ ข้าขอโทษ เอาใหม่นะ" นางกระแอมหนหนึ่งแล้วจึงเล่าต่อ "เพลบอยก็คือ ผู้ชายเสเพล เกี้ยวผู้หญิงไปเรื่อยซ้ำยังชอบเล่นสนุกไปวัน ๆ ไม่เอาการเอางานอย่างไรเล่า มีแต่เพียงรูปลักษณ์ อย่างอื่นล้วนไม่ได้เรื่อง
หลี่หยางหงติดอยู่ในร่างของหลี่หลานซินเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว นางรู้สึกถอดใจเรื่องหาหนทางกลับไปยังโลกของตน ดูเหมือนมิติอีกด้านคงผลักนางเข้ามาเพื่อให้เนื้อเรื่องในบทสุดท้ายของนิยายได้ดำเนินต่อไปจนถึงตอนจบ หลังจากนี้ควรทำเช่นไรดีเล่าในเมื่อนางเข้ามาเปลี่ยนชะตาตั้งแต่วันที่เกิดเพลิงไหม้แล้ว เช่นนั้นมิสู้ใช้ชีวิต ณ ที่แห่งนี้ไปตามครรลองของมันด้วยจิตใจอันนึกปลดปลงเสียเลยดีกว่า เดิมทีหลี่หลานซินต้องถูกจับได้ ทว่าด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด หลี่หยางหงที่อยู่ในร่างของนางร้ายกลับพลิกสถานการณ์ให้หลี่หลานซินรอดพ้นจากง้าวปีศาจห่าธนูไปอย่างหวุดหวิด "ตอนจบ ไม่ให้นางร้ายมีอันเป็นไป ถ้าแบบนี้จะทำยังไงดีนะ เข้ามาแล้วก็เหมือนเขียนตอนจบใหม่ ทว่าหมากกระดานนี้มันยากเกินไปแล้ว พระเอกกับนางเอกรักกันหรือยัง ทำไมที่ผ่านมาความสัมพันธ์มันเชื่องช้านักล่ะ" หลี่หลานซินกอดอก มืออีกด้านเกาคางครุ่นคิด หัวคิ้วเริ่มเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม ขาเรียวเยื้องย่างเดินวนไปมา ตระหนักอย่างไรก็นึกไม่ตก นางอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว ทว่ากลับรู้สึกว่าตนกำลังมุ่งสู่ทางตันอีกตามเคยก๊อก ก๊อก "คุณหนู เรียบร้อยหรือยังเจ้าคะ" หลี่หลานซินส
"ว้าว...สวยจัง"หลี่หลานซินเบิกตากว้าง ดีใจราวลิงโลดกับภาพโคมไฟห้อยระย้าประดับเรียงรายตลอดทางจนสุดลูกหูลูกตา พลางแหงนมองโคมไฟที่ลอยอยู่ท่ามกลางท้องนภาช่วยขับเน้นให้ราตรีนี้ดูน่าชมนัก"ชอบหรือ" เจียงห่ายกวงกล่าวยิ้ม ๆหลี่หลานซินพยักหน้าหงึกหงัก คลี่ยิ้มละไมเสียจนคนมองต้องหน้าแดงหูแดงใจเต้นกระหน่ำ "ชอบเจ้าค่ะ"ผู้ติดตามทั้งสองต่างชอบอกชอบใจ เจียงห่ายกวงเหลียวหน้ามองลู่หาน ทั้งสองสบดวงตาราวกับรู้ใจ ลู่หานจึงเอื้อมมือจับข้อมือของถิงถิงถิงถิงตกใจสะดุ้งโหยง "ทะ...ทำอะไรเจ้าคะ""ชู่ว..." ลู่หานยกนิ้วชี้ปรามเสียงของอีกฝ่าย แล้วจึงลากกายของถิงถิงจากไปเดี๋ยวนั้นหลี่หลานซินกำลังให้ความสนใจต่อโคมลอยบนท้องฟ้าจนลืมสังเกตไปว่าบ่าวรับใช้ตนหายไปเสียแล้ว หันมาอีกทีกลับพบเพียงเจียงห่ายกวงยืนอมยิ้มมองตนด้วยแววตาอบอุ่น"ถิงถิง" หลี่หลานซินกะพริบดวงตาถี่ พยายามกวาดมองโดยรอบ"ถิงถิงได้แค่เดินตามพวกเราคงเบื่อแย่แล้ว ข้าเลยให้ลู่หานพาไปเที่ยวชมในงานเสียหน่อย" มุมปากของเขามีรอยยิ้มผุดขึ้นจาง ๆ"อ้อ...เช่นนั้นหรือ" หลี่หลานซินพยักหน้าเข้าใจ ทว่าหัวใจของนางกลับโครมครามขึ้นทันควันต้องอยู่กับเขาสองคนหรอกเหรอ ห
หลี่หลานซินจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ไม่รู้เช่นกันว่าเขาทราบสิ่งที่นางเคยกล่าวได้อย่างไร ในเมื่อวันนี้โม่จ้าวหยวนอยากดวลกับนางผู้ซึ่งเขียนนิยายขึ้นเองกับมือ เช่นนั้นหลี่หลานซินยินดีสั่งสอนพ่อพระเอก ให้รู้สำนึกเสียใจที่คิดพิเรนทร์เอามือแหย่รังแตนทั้งสองปะทะสายตากันอยู่ชั่วครู่ เรียกได้ว่าแทบไม่กะพริบ หากเป็นปลากัดต้องมีคนท้องโย้ขึ้นเป็นแน่เชียว ผู้คนซึ่งยืนล้อมวงต่างตั้งหน้าตั้งตารอชมอย่างใจจดใจจ่อ บุรุษผู้หนึ่งโพล่งขึ้นเมื่อพบว่าศึกชิงโคมไฟครานี้ประวิงเวลาไม่เริ่มเสียที"ตกลงแล้วพวกท่านจะเอาเช่นไร หากไม่ทายก็หลบไป ผู้อื่นเขาจะได้เข้ามาเล่นแทน" บรรดาชาวบ้านซึ่งกำลังมุงดูอยู่จึงต่างร้องแรกแหกกระเชอ เออออห่อหมกไปตาม ๆ กัน เมื่อเรื่องเริ่มวุ่นวายเถ้าแก่ร้านจึงเอ่ยปรามขึ้น "เอาล่ะ เอาล่ะ ทุกท่าน ดูเหมือนคุณชายกับคุณหนูผู้นี้ต้องการทายปริศนาโคมไฟจริง ๆ พวกท่านก็รอเขาสักประเดี๋ยวเถิด" "เถ้าแก่วันนี้ข้าจะเอาโคมไฟแมวน้อยนั่นกลับบ้านให้ได้ ท่านทายมาเลยว่ามีปริศนาใด" หลี่หลานซินเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี นัยน์ตาเขม็งเกร็งไม่คิดละจากคนตัวสูงเบื้องหน้าแม้เพียงกระผีกริ้น โม่จ้าวหยวนคลี่ยิ้มเยือกเย็นราวต้อง
เจียงห่ายกวงรีบปล่อยมือทันควัน จูจื่ออี๋ตื่นตกใจไม่ต่างกัน ร่างบางเซถลาเล็กน้อย ทว่าพวกเขาไม่มีเวลาให้อึ้งงันนานนัก เนื่องจากโจรภูเขาราวห้าหกคนกำลังดาหน้าจวนประชิดตัวอยู่รอมร่อเจียงห่ายกวงจึงรีบดึงมืออีกฝ่ายให้ออกวิ่งตามมาติด ๆ ถึงไม่ใช่ผู้ที่ตนต้องการพามาด้วยอย่างไรทั้งคู่ล้วนลงเรือลำเดียวกันแล้ว หลังจากหลุดพ้นไว้ค่อยคิดหนทางตามหาหลี่หลานซินคงนับว่ายังไม่สาย ทว่าอยู่ ๆ จูจื่ออี๋กลับหยุดวิ่งอีกครา"คุณหนูจื่ออี๋ เราไม่มีเวลามากแล้ว เจ้ามัวยืนบื้ออยู่ตรงนี้ให้ถูกจับไปหรืออย่างไร!?"จูจื่ออี๋ช้อนดวงตามองตอบเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใด "คุณชายทิ้งข้าไว้เถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว""วิ่งไม่ไหว ไฉนจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า จะให้ข้าทิ้งสตรีได้อย่างไร" เจียงห่ายกวงรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก เขาพ่นลมหายใจอ่อนเขาไม่ได้ต้องการลากคุณหนูอ่อนแอผู้นี้ให้ตามมาเสียหน่อย เพียงแต่ดันคว้าผิดคน ทั้งที่คิดว่ามองดีแล้วแท้ ๆ ยิ่งหงุดหงิดเส้นเลือดบนขมับก็ยิ่งปวดตื้อขึ้นมา"คือว่า... คุณชาย ข้าข้อเท้าแพลงเจ้าค่ะ" จูจื่ออี๋เอ่ยด้วยความประหม่า นางเองมิได้อยากเป็นภาระผู้อื่นเช่นกัน"หา...ขะ...ข้อเท้าแพลง!?" เจียงห
หลี่หลานซินจูงมือโม่จ้าวหยวนออกวิ่งไม่คิดชีวิต ด้านหน้ามีเพียงความมืดมนอนธการประดุจคนตามืดบอดคลำทางสะเปะสะปะเมื่อสักครู่นางซัดฝุ่นผงออกไปใช่ว่าตนไม่โดน ทำให้นัยน์ตาของหลี่หลานซินแอบระคายเคืองเช่นเดียวกันขณะกำลังโผทะยานสับฝีเท้าอยู่ดี ๆ เจ้าของร่างบอบบางเกือบล้มหน้าคะมำ มือที่ดึงคนเบื้องหลังเอาไว้พลอยลื่นพรืด ทว่าโม่จ้าวหยวนนั้นพลิกฝ่ามือของตนกลับ เปลี่ยนเป็นฝ่ายรั้งหลี่หลานซินบ้าง นางจึงหมุนถลาสู่อ้อมแขนของเขา แต่เนื่องจากความอ่อนล้าในการวิ่งติดกันเป็นระยะเวลานานทำให้การทรงตัวมิได้มั่นคงนัก กระทั่งหลี่หลานซินโถมกายเข้าหาร่างสูงทั้งตัวพวกเขาจึงอยู่ในท่วงท่ากอดกันกลม ทิ้งกายม้วนตลบลงพื้นแสนสกปรกไปเดี๋ยวนั้น"โอ๊ย!" โม่จ้าวหยวนร้องเสียงหลงเมื่อต้นแขนของเขากระแทกเข้ากับบางอย่างซึ่งมีลักษณะแข็งกระด้างทั้งคู่กลิ้งหลุน ๆ เข้าใกล้ริมหน้าผา นับว่าโชคยังเข้าข้าง เพราะโม่จ้าวหยวนสามารถคว้าเอาขอบเหวไว้ได้ทันการณ์ ทว่าอ้อมแขนอีกด้านของเขากลับยังต้องประคองเอวของสตรีเอาไว้ จึงทำให้เรี่ยวแรงซึ่งหลงเหลือกะพร่องกะแพร่งลดลงอีกหลายส่วนหากเขาหมดกำลังเมื่อใดนา
หลังจากหอบทองได้หนึ่งกำมือ เมื่อเห็นว่าหลี่หลานซินเดินลับตาไปแล้ว ส่วนโม่จ้าวหยวนก็มัวแต่ยืนนิ่งจังงัง สตรีนางนั้นจึงรีบพุ่งตัวออกทางบานประตูด้วยความรวดเร็วปานพายุหอบหนึ่ง"หยุดนะ!" เจียฮ่าวตะโกนเสียงดังเขาตั้งท่าออกวิ่งตามนางทว่าโม่จ้าวหยวนกลับร้องปรามขึ้น"เจียฮ่าว ปล่อยนางไป""แต่ว่า... หากปล่อยนางไปแล้วหาตัวนางไม่พบ ฮูหยินน้อยคงไม่มีทางให้อภัยท่าน""ข้ารู้แล้วว่าควรไปพบผู้ใด เตรียมม้าให้ข้า" เจ้าของใบหน้าคมสันเคร่งขรึม เขาพยายามระงับอารามร้อนรนซึ่งปะทุอยู่ภายในใจกลับลงไป เรื่องอลหม่านกระจ่างเมื่อใดเขาจะรีบกลับมาปรับความเข้าใจกับนางทันที"ขอรับ"เจียฮ่าวค้อมศีรษะ พลันสับเท้าไว ๆ ออกไปเดี๋ยวนั้นค่ำคืนนี้เขาไม่อาจข่มตานอนหรือคิดพักผ่อนได้จริง ๆ เรื่องเข้าใจผิดไม่ควรประวิงเวลาจำต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว ขณะเดียวกันโม่จ้าวหยวนกลับไม่รู้เลยว่า ห้องนอนล้วนว่างเปล่าประดุจสถานที่เปลี่ยวร้างไปเสียแล้ว ภรรยาของเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น นางกำลังหอบจิตใจอันบอบช้ำกลับตระกูลของตน
โม่จ้าวหยวนวางหน้าแทบไม่ถูก เขามองผ่านหลี่หลานซินไปเบื้องหลัง ขึงสายตามองถิงถิง เมื่ออีกฝ่ายประจันเข้ากับแววตาดุจพญามัจจุราชนางจึงรีบหลุบเปลือกตาลง ร่างกายสั่นระริกโม่จ้าวหยวนระบายลมหายใจด้วยความรู้สึกปลดปลง "หลานซินเจ้ามาได้อย่างไร"ดวงตากระจ่างใสของนางเต็มไปด้วยไฟโทสะ ยิ่งคิดก็ยิ่งฝืนความเจ็บปวดนี้ไม่ไหว"ข้ามาได้อย่างไรหรือ ท่านคิดว่าห้องของเราห่างจากโถงนี้มากหรืออย่างไร!""หลานซิน เจ้าสงบใจก่อน ข้าอธิบายได้" โม่จ้าวหยวนสาวเท้าไปเบื้องหน้า ทว่าหลี่หลานซินกลับถอยร่นไปเบื้องหลัง เจ้าของร่างสูงจึงหยุดฝีเท้าไว้เพียงเท่านั้น"นี่คือฮูหยินท่านหรือ" เสียงสตรีกล่าวตัดบท ท่าทีของนางกลับไม่อนาทรร้อนใจ ซ้ำยังแสดงสีหน้าชวนโมโห"หุบปาก!" โม่จ้าวหยวนตวาดลั่น เขาปรายตามองสตรีที่แอบอ้างว่าตั้งท้องกับตนอย่างเคืองขุ่นโม่จ้าวหยวนรู้สึกคุ้นหน้านางอยู่บ้าง นางใช่คนที่มู่ซือเฉิงเรียกมาปรนนิบัติตนในคืนนั้นหรือไม่ หากเป็นวันดังกล่าวจริง เช่นนั้นเขาคงเมามากจนไร้สติ แล้วกระทำเรื่องน่าอายลงไปน่ะหรือหลี่
โม่จ้าวหยวนกวาดสายตามองใบหน้าหวาน ริมฝีปากสีกุหลาบบวมเจ่ออย่างเห็นได้ชัด เขาลอบยิ้มอย่างนึกเอ็นดู หลี่หลานซินเริ่มขยับตัวแล้ว เปลือกตาบางเปิดปรือเนิบนาบ ดวงตากลมโตช้อนขึ้นเล็กน้อยจึงทันสบประสานเข้ากับนัยน์ตาคมเข้มซึ่งกำลังจับจ้องตนอยู่หลี่หลานซินรีบหลุบลงแก้เขินเพียงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ใบหน้าเนียนพลันระบายสีชมพูระเรื่อเสียงทุ้มยิ้มขัน ฝ่ามือหยาบระคายช้อนเชยปลายค้างโค้งมนแผ่วเบา ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมมองตอบเขา"เป็นอะไรหรือ ไฉนไม่ยอมมองหน้าสามีเล่า"แก้มของนางแดงปลั่งจนทำอันใดไม่ถูก "ปะ…เปล่าเจ้าค่ะ"โม่จ้าวหยวนยิ้มบาง เขารู้ดีว่าเมื่อคืนเป็นครั้งแรกของนาง ริมฝีปากได้รูปจรดลงหน้าผากนูนเด่นด้วยความทะนุถนอม เอ่ยถามเสียงแผ่ว "เจ็บหรือไม่"ยิ่งได้ยินวาจาเป็นห่วงเป็นใย ความขวยเขินยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทบทวีถามอะไรเนี่ย น่าอายชะมัดหลี่หลานซินส่ายหน้าเป็นพัลวัน ดูเหมือนโม่จ้าวหยวนไม่อยากปักใจเชื่อเท่าใด เขารั้งกายของอีกฝ่ายมาสวมกอด เพลานี้เข้าสู่ยามซื่อ
หลี่หลานซินรู้สึกประหม่า ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนเกิดอาการห้อเลือด "คือ อันที่จริง ท่านไม่ได้ชอบข้าไม่ใช่หรือ"โม่จ้าวหยวนหัวเราะขัน "เจ้าคิดเช่นนั้นจริง ๆ หรือ นับจากวันนั้นข้าก็เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเจ้า เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือ""เดิมทีข้าไม่ควรเป็นฮูหยินของท่าน..." หลี่หลานซินกล่าวอู้อี้นางจะบอกเช่นไรว่าคู่แท้ของโม่จ้าวหยวนคือจูจื่ออี๋ ในเมื่ออีกฝ่ายดันชิงวิวาห์และตั้งครรภ์ไปก่อนแล้ว หลี่หลานซินจึงทำได้เพียงกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไปเสียโม่จ้าวหยวนขมวดคิ้ว "ทำไมจึงพูดเช่นนั้นเล่า""ช่างมันเถิด" หลี่หลานซินตัดบททันควัน นางไม่อยากร่ำไรแล้ว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ถึงอย่างไรนางก็เป็นภรรยาของเขาอยู่วันยังค่ำ รอดพ้นหนนี้ใช่ว่าสามารถบ่ายเบี่ยงตลอดไป"ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นฮูหยินข้าก็ไม่เลวทีเดียว การค้าก็เก่ง... ปากหรือก็เก่งด้วยหนา" โม่จ้าวหยวนกล่าวยิ้ม ๆหลี่หลานซินจับน้ำเสียงหยอกล้อขบขันนั้นได้ใบหน้างามจึงแดงระเรื่อขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะความโมโหหรือกระดากอายกันแน่ยามขวยเขินแฝงอารมณ์โกรธเคืองกลับเพิ่มความน่าเอ็นดูยิ่ง โม่จ้าวหยวนโน้ม
หลังรอดพ้นจากเหตุการณ์ในครานั้น หลี่หลานซินและโม่จ้าวหยวนดูเข้าอกเข้าใจกันจนน่าประหลาดฮูหยินโม่ก็พลอยปลื้มปริ่มที่ลูกสะใภ้และลูกชายของตนรักใคร่กลมเกลียวกันได้เสียทีวันนี้ทุกคนจึงได้รับประทานอาหารอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา"จ้าวหยวน ซินเอ๋อร์ แม่เห็นว่าพวกเจ้าแต่งงานกันมานานมากแล้ว ได้ข่าวว่าคุณชายเจียงและคุณหนูจื่ออี๋กำลังจะมีทายาท""หา..." หลี่หลานซินถือตะเกียบค้าง อาหารเต็มปากจนแก้มตุ่ย ดวงตากลมโตเบิกกว้าง"ตกใจใดเล่า" โม่จ้าวหยวนแสดงสีหน้าบอกบุญไม่รับหลี่หลานซินยิ้มแหย "ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ"หลี่หลานซินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เหตุใดนางเอกชิงท้องกับพระรองไปแล้ว เช่นนั้นเรื่องหย่าควรทำอย่างไร กระนั้นตอนนี้คุณชายโม่กลับปฏิบัติต่อนางจากหลังมือเป็นหน้ามือ ปณิธานอันแรงกล้าเคยคิดว่ามั่นคงไม่มีวันสั่นคลอนก็พลอยไม่เชื่อฟังเข้าทุกที"เช่นนั้นพวกเจ้าก็มีหลานให้แม่และท่านพ่อสักคนเถิดนะ"แค่ก แค่กหลี่หลานซินเกิดสำลักอาหารเสียจนหน้าแดงหน้าดำ โม่จ้าวหยวนจึงรีบยื่นน้ำให้นางด้วยความห่วงใย&
หลี่หลานซินนอนไร้สติราวสองวัน โม่จ้าวหยวนจึงส่งจดหมายกลับไปยังจวนเพื่อแจ้งข่าว เพียงทุกฝ่ายรับรู้ว่านางยังปลอดภัยก็ต่างคลายความกังวล แม้ฮูหยินโม่ยืนยันจะส่งรถม้ามารับ ทว่าโม่จ้าวหยวนกลับบอกปฏิเสธ เขายังไม่อยากให้เร่งเดินทางเพลานี้ เกรงว่าบาดแผลของหลี่หลานซินอาจได้รับการกระทบกระเทือน จึงไม่มีผู้ใดคัดค้านอีก รอเพียงพวกเขากลับมาอย่างปลอดภัยไม่บุบสลายใดก็ดียิ่งแล้วเหตุใดชีวิตพวกเขาทั้งสองจึงราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัดผ่านเรื่องคอขาดบาดตายมาได้หมาด ๆ เพียงชั่วประเดี๋ยวก็ถูกเหตุการณ์เฉกเช่นเดิมกระหน่ำซ้ำหลบพายุแล้วยังเจอฝนครั้งแล้วครั้งเล่าแค่ก แค่ก"นะ...น้ำ"โม่จ้าวหยวนทอดสายตาเหม่อมองออกไปนอกบานหน้าต่าง รีบผินหน้ากลับทันควัน เจ้าของร่างสูงถลันกายเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าหล่อเหลาประดับไปด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจ"หลานซิน"โม่จ้าวหยวนยอบกายลง อ้อมแขนแกร่งโอบประคองหลี่หลานซินให้ลุกขึ้นพิงแผงอกของตน พลางเอื้อมมือยกป้านชาขึ้นรินน้ำอุ่น ๆ ลงไปยังถ้วยชาใบเล็ก ก่อนยื่นป้อนเข้าไปใกล้ริมฝีปากอันซีดเผือดไร้เลือดฝาด
การตะลุมบอนเริ่มขึ้น อีกฝ่ายอาวุธครบมือ ส่วนโม่จ้าวหยวนกลับสู้เพียงลำพังด้วยมือเปล่า หลี่หลานซินร้อนใจอยากเข้าช่วยเหลือ ทว่านางมิอาจฝ่าวงล้อมเข้าไปได้โจรเหล่านั้นช่างดูถูกฝีมือนางยิ่งนัก ชะล่าใจส่งเจ้าลูกสมุนตัวกระจ้อยร้อยมาจัดการหลี่หลานซินเพียงหนึ่งคน ริมฝีปากสีกุหลาบยกโค้งหนึ่งฝั่ง อาภรณ์ที่สวมใส่รุ่มร่ามเหลือแสน แม้นจะนับว่าเป็นอุปสรรค ทว่าการแสดงฝีไม้ลายมือคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของนักกีฬาเทควันโด้สายดำเท่าใด"คิดว่าข้ากลัวโจรกระจอกเช่นพวกเจ้าหรือ จะบอกให้ว่าโจรข้างตึกเก่าที่ดักปล้น ข้าก็จัดการมาแล้ว เข้ามาเลย"หลี่หลานซินตั้งท่าพร้อมจู่โจม นางลอบมองไปอีกด้านซึ่งกำลังซัดกันอุตลุดอกซ้ายพลอยกระตุกวูบด้วยความเป็นห่วงเขากำลังรับมือกับบุรุษร่างล่ำสันกว่าตนถึงห้าคน กระนั้นนับว่าคุณชายเสเพลมีวรยุทธ์อยู่บ้าง จึงยังไม่ถือว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบเท่าใดนัก หลี่หลานซินโล่งใจไปเปาะหนึ่ง เหงื่อเย็นเริ่มผุดซึมตามง่ามนิ้วชายหน้าบากตัวผอมเกร็งแสยะยิ้ม "ข้าไม่เคยเห็นสตรีงดงามทว่าปากดีใจกล้าเช่นนี้มาก่อนเลย มาให้ข้าจับเสียดี ๆ แม่นาง แล้วข้าจะ
เอ่ยยังไม่ทันจบก็ต้องปิดผ้าลงพรึบ เป็นดังเขาคาดไว้ไม่มีผิด นี่สิหนาถึงบอกว่าเป็นช่วงข้าวใหม่ปลามัน สถานที่ใดก็ไม่อาจขวางกั้นความรักหนุ่มสาวได้เลยจริง ๆชายด้านนอกลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ กล่าววาจาละล่ำละลัก "เอ่อ...คุณชายขอรับ รถม้าติดหล่ม เกรงว่าคงไปต่อไม่ได้..."ทั้งคู่ได้ยินเสียงดังจากด้านนอกสติจึงถูกเรียกกลับ เร่งผละกายออกจากกันโดยพร้อมเพรียง ต่างฝ่ายต่างปั้นหน้าไม่ถูก จะวางไม้วางมือไว้ที่ใดล้วนเกะกะเก้งก้างไปเสียหมดโม่จ้าวหยวนกระแอมเบา เขาค่อย ๆ เดินออกไปพลางลอบมองกิริยากระดากอายของหลี่หลานซิน ชายหนุ่มลอบยิ้มขัน เมื่อดวงตาคู่งามเผลอเบนหน้ามองคนตัวสูง ริมฝีปากจึงหุบลงฉับพลันหลี่หลานซินนิ่วหน้าฉงนเขายิ้มหรือหลี่หลานซินสลัดศีรษะไปมาเป็นพัลวัน มองตามแผ่นหลังกว้างหายลับตาไปไม่จริงหรอก คนเช่นเขาหรือจะยิ้มให้ แม้บอกว่าเป็นความฝันก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ ๆ เหตุการณ์ไม่คาดคิดดันเกิดขึ้น หลี่หลานซินได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากด้านนอก ดูเหมือนรถม้าที่ติดหล่มไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวแต่อย่างใด นางตัดสินใจตามออก
งานวิจารณ์หนังสือได้มาถึง แม้หลี่หลานซินไม่อยากไปเพียงใด ทว่าโม่จ้าวหยวนกลับลากนางออกมาด้วยจนได้ เกรงว่าสามีในนามของนางคงอยากกลั่นแกล้งเพื่อความสนุกแน่แล้ว ระหว่างทางเป็นไปอย่างเรียบเรื่อยและชวนอึดอัด ช่วงนี้โม่จ้าวหยวนแทบไม่ออกไปเที่ยวเตร่เช่นเคยหลี่หลานซินเองก็ช่วยกิจการของตระกูลโม่อย่างขะมักเขม้น ถึงนางเป็นนักเขียนแต่ก็เรียนจบบัญชีมา การทำงานจึงคล่องแคล่วเสียจนฮูหยินโม่เอ่ยชมไม่ขาดปากโม่จ้าวหยวนจึงมักติดสอยห้อยตามนางไปด้วยเสมอแท้จริงแล้วไม่ได้ต้องการช่วยแบ่งเบาแต่อย่างใด เขาเพียงจ้องจับผิดนางเพราะเกรงว่าหลี่หลานซินคิดจะปอกลอกตระกูลโม่เมื่อใดต่างหากรถม้าเคลื่อนไปเบื้องหน้าเรื่อย ๆ นับวันยิ่งอยู่ร่วมห้อง ยิ่งใกล้ชิดกันกลับทำให้หลี่หลานซินรู้สึกประดักประเดิด ดูเอาเถิดเล่นจ้องนางตาไม่กะพริบแทบทุกฝีก้าว แม้แต่กระดิกปลายนิ้วยังไม่กล้าเรื่องนอนร่วมห้องน่ะหรือ นางต้องยกเตียงนอนนุ่ม ๆ ให้กับเขา ช่วยไม่ได้ในเมื่อนางอาศัยชายคาบ้านคนอื่นอยู่เลยจำยอมเสียสละตนเอง อันตรทานเรือนร่างไปนอนบนตั่งไม้ขนาดกะทัดรัดซึ่งปูด้วยฟูกหยาบ ๆ ธรรมดาเท่านั้น เหตุใดสามีขอ