“พี่ไม่ได้จะขโมยผลงานของเราหรอกใช่ไหมคะ” แต่แล้วอยู่ ๆ เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นกลางวงสนทนาและต้อนรับผู้จัดการคนใหม่ ดูเหมือนเธอมีแผลในใจ เนื่องจากผู้จัดการคนเก่านอกจากโดนข้อหาฉ้อโกงแล้ว เขายังขโมยผลงานของเด็ก ๆ ในร้านไปด้วย
“เรื่องนี้ขอให้ทุกคนวางใจได้เลยค่ะ ฉันไม่จำเป็นต้องขโมยผลงานของใคร เพราะโดยปกติเงินเดือนและคอมมิชชันของผู้จัดการ ก็ได้รับส่วนแบ่งจากผลงานยอดขายในร้านอยู่แล้ว” เว่ยจิงจิงกล่าวอย่างจริงจัง พร้อมกวาดตามองไปรอบ ๆ
“อีกอย่างฉันขอเอาฐานะของยอดนักขายแห่งปีที่ได้สองปีซ้อนเป็นประกัน นอกจากจะไม่แย่งผลงานใครแล้ว ฉันยังจะช่วยเทรนด์ทุกคนและแบ่งปันวิธีขายของฉันให้กับทุกคนได้เรียนรู้โดยไม่หวงเลยแม้แต่น้อย พวกเราจะทำให้ยอดขายของร้านเติบโตไปด้วยกัน!” ว่าแล้วก็กำมือแล้วชูขึ้น ส่งผลให้คนในร้านรู้สึกฮึกเหิมตามไปด้วย จึงส่งเสียงร้องเฮ่! แล้วชูมือขึ้นตาม ๆ กัน
ในร้านใหม่นี้มีหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ เนื่องจากห้างสรรพสินค้ากงโม่นอกจากรองรับลูกค้ามีเงินแล้ว ยังมีส่วนร้านใหญ่ที่รองรับลูกค้าทั่วไป สินค้าหลากหลายกว่ามาก
ด้วยเหตุนี้จึงมีสองส่วนแยกจากกัน และมีผู้จัดการคนเดียวที่ต้องดูแลทำให้วุ่นวายมากขึ้น
เว่ยจิงจิงทำงานจนหัวหมุนในช่วงสองสามวันแรก แต่เมื่อเงินเดือนออกก็ดีใจอย่างยิ่ง รีบไปกดเงินเพื่อเอาไปดาวน์ห้องชุดทันที หลังจากกดเงินมาหญิงสาวก็เดินอย่างระแวดระวัง ตอนนั้นเองโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นสายจากเจ้าของห้องนั่นเอง
“สวัสดีค่ะ คุณถึงไหนแล้วคะ”
“อยู่ที่ห้องแล้วใช่ไหมคะ ฉันกำลังไปค่ะ” หญิงสาวยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุข มือก็ลูบกระเป๋าข้างไปด้วย ในที่สุดเธอก็กำลังจะมีบ้านเป็นของตัวเอง และต่อไปชีวิตก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ
เธอคาดหวังอย่างนั้นโดยไม่คิดเผื่อใจเลยว่า บางครั้งชีวิตก็โหดร้ายและไม่แน่ไม่นอน
ขณะกำลังเดินผ่านตรอกมืดแห่งหนึ่งริมถนนก็ถูกโจรดักปล้น ชายคนนั้นสวมชุดสีดำหลัง เห็นว่าหญิงสาวมุ่งหน้าไปทางไหนหลังจากกดเงิน ก็ไปดักหน้าและรอเวลามานานแล้ว
เว่ยจิงจิงจึงไม่ทันตั้งตัวเมื่อเขาใช้มีดจี้แล้วบังคับให้หล่อนปล่อยมือจากกระเป๋า ในนั้นมีเงินที่หามาตลอดการทำงานสองปีเธอจะยอมได้อย่างไร
หญิงสาวสะบัดตัวเพื่อขัดขืนและคิดจะเอากระเป๋าฟาดหน้าคนร้าย แต่ปลายมีดแหลมก็แทงเข้ามาไม่ยั้งเมื่อเห็นว่าเธอขัดขืน
ความรู้สึกเจ็บปวดแทรกเข้ามาในร่างกาย เจ็บจนกลายเป็นชา กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ลมหายใจขาดห้วง มือหลุดออกจากสายสะพาย ปล่อยให้เงินถูกฉกชิงไปได้สำเร็จ
“บ้าน…แค่อยาก…มีบ้าน…”
เธอแค่อยากมีบ้านเท่านั้นเอง ทำไมต้องโดนโจรปล้นแล้วตายอยู่ข้างถนนแบบนี้ด้วย
ความนึกคิดสุดท้ายของเว่ยจิงจิงดับวูบไป เธอคิดว่าตนเองตายไปแล้ว
แต่…หญิงสาวดันฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในฐานะสาวน้อยเว่ยซิ่วอิง ที่แซ่เดียวกับเธอ ทว่าร่างนี้ดันอยู่ในยุค 70 อีกด้วย!
หญิงสาวรู้สึกปวดหัวหนึบตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลืมตาขึ้น ร่างกระตุกเล็กน้อยด้วยสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด แต่กลับรู้สึกว่าทุกอย่างไม่ได้อย่างใจ ร่างกายหนักอึ้ง
‘เกิดอะไรขึ้น’ เธอคิดเพียงเท่านั้น ก่อนเสียงของใครบางคนจะดังขึ้น
“อิงอิงตื่นแล้วเหรอลูก อิงอิง”
‘อิงอิงคือใคร หรือเราถูกส่งมาโรงพยาบาลแล้วได้อยู่ในห้องรวมงั้นเหรอ’
“อิงอิง ฮึก...ฮือ อย่าจากแม่ไปนะลูก รีบฟื้นเร็วเข้า”
“อิงอิง ลูกเป็นเด็กดี เป็นคนเก่ง ต้องฟื้นให้ได้นะลูก”
เสียงของชายและหญิงที่ดังอยู่ข้างหู ดูเหมือนจะไม่ได้มาจากเตียงข้าง ๆ ขณะที่ดวงตาของเธอค่อย ๆ เปิดกว้างออก แสงสว่างทำให้ต้องรีบหลับตาลง
ทันใดนั้นอยู่ ๆ เหมือนมีความทรงจำมากมายถาโถมเข้ามาในสมอง ยากที่จะปะติดปะต่อได้ ความเจ็บปวดแล่นจี๊ดจากก้านสมองสู่ท้ายทอยจนร่างกระตุกเบา ๆ
“อิงอิง ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า”
แต่ที่แน่ ๆ ความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามาในสมองเหล่านี้ ทำให้นึกถึงเรื่องราวในละคร ในนิยายที่เคยอ่าน ‘ไม่มีทาง ฉันอยู่ในร่างของเด็กที่ชื่อเว่ยซิ่วอิงงั้นเหรอ’
พรึ่บ! ตาทั้งสองข้างลืมขึ้นกะทันหัน ทำให้เว่ยตงกับเหม่ยฟางที่เฝ้าอยู่ด้านข้างตกตะลึง ก่อนรีบเข้ามาดูบุตรสาว “อิงอิง ลูกเป็นยังไงบ้าง”
จิงจิงเมินเสียงของหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง ยกมือขึ้นมอง มือที่หยาบกร้านมีรอยแตกรอยดำบ่งบอกว่าทำงานหนักมาตลอดชีวิต ร่างกายที่เจ็บปวดไปทั่วตัวเพราะพิษไข้ นอกจากนี้ยังมีความทรงจำแปลก ๆ ที่เป็นของร่างนี้อีก
เมื่อมองไปยังสภาพโดยรวมของสถานที่ซึ่งไม่คุ้นตา เตียงตั่งแบบโบราณ ห้องเล็ก ๆ อับทึบผนังเป็นดินและไม้ ประตูเป็นช่องแสงเดียวที่ส่องเข้ามา นอกจากนี้ยังไม่มีเครื่องเรือนอะไรนอกจากหีบห่อเสื้อผ้าที่วางอยู่ในมุม แล้วยังมีอีกหลายส่วนวางไว้บริเวณปลายเตียง ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลอย่างแน่นอน!
พอมองไปที่ด้านข้างเตียง เห็นหญิงสาวที่ดูชรากว่าอายุจริง ผอมแห้งจนเหมือนมีเพียงหนังหุ้มกระดูกเพราะใช้ชีวิตผิด ๆ มาตลอดช่วงอายุที่ผ่านมา
“แม่...”
เมื่อสายตามองถัดไปไม่ไกล มีร่างสูงใหญ่ดำคล้ำของชายวัยกลางคน ซึ่งดูไม่แก่ชราแม้จะผ่ายผอมแต่ก็เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ไม่ต่างจากคนที่ใช้แรงงานมาทั้งชีวิต
“อิงอิง ลูกเป็นยังไงบ้าง รู้สึกยังไง ดีขึ้นบ้างหรือเปล่า”
“พ่อ…”
เด็กสาวเอ่ยถึงทั้งสองคนตรงหน้าคล้ายยืนยันว่า ความทรงจำที่เข้ามาในหัวนี้คือของจริง ร่างกายที่อยู่ในตอนนี้ก็เป็นเว่ยซิ่วอิง
‘เป็นไปไม่ได้ ฉันต้องฝันไปแน่ ๆ’ จิงจิงไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองได้ เธอพยายามลุกขึ้นเพื่อออกไปสำรวจรอบ ๆ
แต่ร่างกายนี้อ่อนแรงเกินไป แค่พยายามจะลุกก็หายใจไม่ทันแล้ว เลยโดนผู้เป็นมารดาอย่างเหม่ยฟางพยุงพากลับมานอนเหมือนเดิม
“อิงอิงพักก่อนลูก จะไปไหน”
“ใช่ พักก่อนเถอะ ไว้หายดีค่อยออกไปทำงานต่อ”
“แต่…” เธอแค่อยากจะยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง
“หิวไหมลูก เดี๋ยวพ่อเอาอาหารมาให้” ด้วยความเป็นห่วงลูกสาวกลัวว่าฟื้นขึ้นมาแล้วจะหิว จึงเอ่ยถามด้วยความกังวล แต่ผู้เป็นพ่อไม่คิดที่จะรอคำตอบ จากนั้นก็หมุนร่างใหญ่ของตนเองหายออกไปจากห้องทันที
จิงจิงมองตามหลังชายที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของร่างนี้จนลับสายตา และรู้สึกสับสนเลยไม่ได้พูดหรือสนทนาใด ๆ กับผู้เป็นแม่ เด็กสาวล้มตัวนอนก่อนจะแกล้งทำเป็นหลับ เธอคิดว่าตัวเองแค่ฝัน และอาจเป็นฝันซ้อนฝันได้หลายครั้ง นี่น่าจะเป็นผลที่เกิดจากการบาดเจ็บหรืออยู่ในอาการโคม่า จึงเริ่มสร้างโลกขึ้นมาในสมองตัวเองหรือเปล่า
“อาหารมาแล้วลูก” ไม่นานประตูห้องก็เปิดออก ผู้เป็นพ่อแทรกตัวเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ เหม่ยฟางพยุงลูกสาวให้ลุกขึ้นนั่ง แม้สีหน้าของเว่ยซิ่วอิงดูไม่ได้สดชื่นแต่ก็ไม่คิดว่าผิดปกติเนื่องจากเด็กสาวเพิ่งผ่านพ้นความเป็นความตายมา
พวกเขาลอบมองหน้ากันใจหายวูบ มีครู่หนึ่งที่บุตรสาวหยุดหายใจไป ทั้งสองคิดว่าต้องสูญเสียบุตรสาวคนเดียวของตนไปเสียแล้ว แค่คิดก็หวาดกลัวจนหัวใจหนาวเหน็บ
“นี่…” แต่เมื่อเหม่ยฟางเห็นชามข้าวตรงหน้า ก็เผยสีหน้าหม่นหมองออกมา เว่ยตงเห็นอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น เม้มปาก ส่ายหน้าน้อย ๆ ให้ภรรยา
บ่งบอกว่าเขาพยายามแล้วแต่เอาอาหารมาได้เท่านี้ เห็นอย่างนั้นเหม่ยฟางก็ก้มหน้าดวงตาแดงก่ำและกลั้นน้ำตาที่ไหลลงอาบหน้าจากสายตาของลูก ยังพยายามที่จะป้อนข้าวในชาม ซึ่งดูจะไม่มีข้าวเลยแม้สักเม็ดเดียว
“นี่คืออะไร…คะ” จิงจิงเอ่ยถามพร้อมกับสายตามองชามน้ำสีขาวขุ่นตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
“พ่อเอาอาหารมาให้แล้ว ซิ่วอิงลูกกินรองท้องก่อน แล้วพ่อจะลองขึ้นเขาไปหาผักป่ามาต้มให้ลูกกินเพิ่ม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปเอง พี่ไปช่วยดูบ้านหนิวเถอะ ได้ยินว่าจะล้มหมู”
“ไม่เป็นไร เรื่องนั้นให้พี่รองไปแล้ว”
“แต่…” เหม่ยฟางมีสีหน้ากังวลใจ
ส่วนจิงจิงมองทั้งสองกลับไปกลับมาราวกับไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดถึง ต้องบอกว่าตอนนี้แม้เธออยากจะทำความเข้าใจ สมองของร่างนี้ก็เบลอเกินกว่าจะประมวลผลได้
บทที่ 6 ไม่ใช่ความฝัน“ซิ่วอิง ลูกกินอาหารให้หมดก่อน ดื่มยา แล้วนอน พ่อสัญญาว่าตื่นขึ้นมาลูกจะมีของกินเยอะกว่านี้”จิงจิงเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาสับสน ทำไมพ่อในความฝันช่างใจดีเหลือเกิน เธอเองก็อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นแบบนี้น่าเสียดายที่ครอบครัวแสนอบอุ่นนี้กลับมีมารผจญเป็นย่าแท้ ๆ ของเจ้าของร่างถ้าหากนี่เป็นความฝันและทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมา จิงจิงคงรู้สึกดีจนไม่อยากจะตื่นเลย ยิ่งหากกำจัดครอบครัวชั่วร้ายของเจ้าของร่างเดิมได้ ก็จะยิ่งดี“ไม่ต้องห่วงนะอิงอิงลูกรัก พ่อกับแม่จะไปหาข้าวมาให้ลูกกินเพิ่ม”“แค่นี้…ก็กินได้ค่ะ” จิงจิงก้มหน้าลงขณะพูดความฝันนี้เหมือนจริงเหลือเกินกระทั่งน้ำข้าวในช้อนยังจืดเย็นชืดจนแทบกลืนไม่ลง เธอยอมกินสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าข้าวด้วยความกล้ำกลืนหากตนมาอยู่ในร่างของเด็กสาวคนนี้ ซึ่งอยู่ในยุค 70 ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ เช่นนั้นก็แสดงว่าต้องใช้ชีวิตไปก่อนจนกว่าจะตื่นจากฝันอย่างนั้นเหรอทั้ง ๆ ที่กำลังจะซื้อบ้านได้แล้วแท้ ๆไม่รู้ว่าเจ้าโจรที่ขโมยไปจะถูกตามตัวพบหรือไม่จิงจิงรู้ดีว่าเคสที่โจรขโมยเงินสดแบบนี้เอากลับคืนมายากมาก ดูเหมือนเมื่อฟื้นขึ้นสิ่งแรกที
บทที่ 7 ย่ามหาภัย“นังเด็กเสียเงินคนนี้ นอกจากสำออยทำเป็นป่วยมาหลายวัน ในที่สุดก็หางโผล่ออกมาแล้วใช่ไหม หายดีแล้วทำไมหล่อนไม่ตามนังเหม่ยฟางไปทำงานที่ทุ่งฮะ! แล้วไหนเมื่อวานยังทำให้เจ้าเว่ยตงไม่ไปช่วยงานจนเสียคะแนนอีก นังเด็กเสียเงิน แกมันคนไร้ประโยชน์จริง ๆ”“พ่อไปหาข้าวมาให้ฉัน เพราะที่บ้านไม่มีข้าวให้ครอบครัวเรากิน ส่วนแม่ก็ทำงานงก ๆ อยู่ในทุ่งเพื่อให้บ้านมีแต้มแลกข้าวมาเยอะ ๆ แต่เราไม่เคยกินกันจนอิ่มเลย”“นังเด็กคนนี้ นี่กล้าขึ้นเสียงกับผู้ใหญ่งั้นเหรอ ดี! นังสะใภ้คนนี้เลี้ยงไม่เชื่องอย่างที่ฉันคิดจริง ๆ ถึงขนาดเสี้ยมสอนลูกสาวเลว ๆ แบบนี้ออกมาได้”นางหวังซื่อโมโหจนตัวสั่นไปหมด ชี้หน้าด่าเว่ยซิ่วอิงจนนิ้วแทบทิ่มตา“แล้วที่ฉันพูดมันผิดตรงไหน เราทั้งสามคนทำงานงก ๆ เลี้ยงคนทั้งครอบครัว นี่มันมีความยุติธรรมตรงไหนกัน นอกจากนี้พอพ่อไม่ยอมให้ฉันแต่งงานกับคนที่คุณหามา ก็มาว่าเราไร้ประโยชน์ มันก็แค่คุณไม่ได้อย่างใจเท่านั้นแหละ”“นัง! นังเด็กเสียของ” หวังซื่อไม่คิดว่าจะโดนเด็กรุ่นหลังพูดถอนหงอกตนขนาดนี้ รีบยกมือขึ้นหวังใช้ไม้ทุบเด็กสาวตรงหน้าให้ตาย ๆ ไปเสียอย่างไรมันก็ไร้ประโยชน์ พ่อแม่ไม่ยอ
บทที่ 8 ทำใจยอมรับวาสนาชีวิตที่อาภัพยิ่งนักหลังจากพ่อแม่ทำแผลให้ด้วยความรู้สึกผิดแล้วก็ปล่อยให้เด็กสาวนั่งทื่ออยู่บนเตียงเพียงลำพัง เพราะพวกเขาต้องรีบไปขออาหารแบ่งมาให้บุตรสาวอีกครั้งจิงจิงจึงได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง แต่ก็ดีเพราะตอนนี้หญิงสาวสับสนเหลือเกิน เธอยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากก่อนจะร้องซี้ดออกมาด้วยความเจ็บปวด“โอ๊ย นี่มันเจ็บจริง ๆ แปลว่าเราไม่ได้ฝันไป แต่นี่คือความจริงงั้นเหรอ” จิงจิงไม่อยากจะเชื่อว่าทุกอย่างนี้จะเป็นความจริงโลกใบนี้ ยุค 70 ที่แสนแร้นแค้น ชาวบ้านต้องทำงานในกลุ่มคอมมูนเพื่อแลกแต้ม หากแต้มไม่พอก็ไม่มีข้าวให้กินหญิงสาวจากยุคที่เทคโนโลยีเจริญรุ่งเรืองจะอดทนอยู่ในสภาพไร้เครื่องใช้ไฟฟ้าว่าแย่แล้ว แต่นี่ยังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง ผู้คนอดอยากหิวโหย แล้วเธอจะทนอยู่ได้อย่างไรนอกจากนี้ร่างเด็กสาว ‘เว่ยซิ่วอิง’ ยังมีวาสนาชีวิตที่อาภัพยิ่งนักหากจะให้เปรียบก็ราวกับว่าเว่ยซิ่วอิงเป็นนางเอกที่ต้องโดนกดขี่ข่มเหงจนผงาดขึ้นในช่วงท้ายนั่นแหละ บังเอิญว่าจิงจิงผู้มาใหม่ต้องรับบทบาทนั้นแทนเสียแล้ว เพราะเว่ยซิ่วอิงคนเดิมทนแรงข่มเหงไม่ไหวจนจากไป ทิ้งไว้เพียงร่างให้อยู่กับ
บทที่ 9 มิติที่ตามมา“นี่ฉัน…นี่ฉันทะลุมิติมาทั้งร่างซิ่วอิงงั้นเหรอ” จิงจิงใช้มือลูบใบหน้าตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ เธอแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจแต่หลังจากสังเกตรอบร้านดี ๆ ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอเดินไปทางเคาน์เตอร์คิดเงินซึ่งควรจะเป็นประตูหน้าร้าน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผนังสีขาวพร้อมบรรยากาศที่คุ้นตาเป็นภาพฉายอยู่บนนั้น“นี่มัน…ห้องนอนของซิ่วอิงและพ่อแม่นี่นา”สมองของจิงจิงเต็มไปด้วยความมึนงง ตอนนี้เธอคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น ทำได้เพียงหมุนตัวรอบ ๆ เพื่อมองร้านนี้ให้ชัดอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งเข้าไปหยุดยืนหน้ากระจกเต็มตัวตรงหน้า“ปวดหัวจริง ๆ…ดูสิหัวโนปูดใหญ่แบบนี้ เว่ยซิ่วอิงอาจตายเพราะเลือดคั่งในสมอง อาจเป็นอาการเลือดออกในสมองอย่างช้า ๆ”จิงจิงจับจุดที่ยังปูดออกมาราวกับลูกมะนาว เธอหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยายามสังเกตอาการตัวเอง ตอนนี้เธออยู่ในร่างของเว่ยซิ่วอิง หากทุกอย่างนี้ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง จิงจิงก็ยังต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป!“ไม่มีทางเลือกแล้ว ฉันน่าจะทะลุมิติมาอยู่ในร่างของเว่ยซิ่วอิง ฉันต้องดูแลร่างกายนี้ให้ดีถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่” ว่าแล้วก็รีบหาทางตรวจสอบทันใดนั้
บทที่ 10 สำรวจมิติอีกครั้งจิงจิงลองอีกครั้งด้วยการเทแอลกอฮอล์ล้างแผลทิ้งขยะข้างเคาน์เตอร์ วางขวดไว้บนโต๊ะ แล้วจึงออกไปจากที่นี่ โดยการคิดว่าอยากออกไปที่โลกภายนอกทันใดนั้นก็รู้สึกวูบโหวงอีกครั้งแต่อาการไม่ได้แย่เหมือนช่วงแรก ๆ นี่ทำให้หญิงสาวตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นก็ลองคิดเข้าไปด้านในอีก คราวนี้มาโผล่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ยาทันทีขวดแอลกอฮอล์ล้างแผลหายไปแล้ว บนชั้นมีเติมจนเต็มไม่มีขวดที่เหลือครึ่งหนึ่งอยู่ตรงไหนเลย บ่งบอกว่าของบนชั้นจะใช้ไปเท่าไรก็ถูกเติมจนเต็มเมื่อเข้ามาใหม่อยู่ดี“แบบนี้ถ้าเอาออกไปข้างนอกล่ะ” เว่ยอิงเริ่มพบปัญหาเล็กน้อย เมื่อบรรจุภัณฑ์ของบริษัทค่อนข้างทันสมัย โดยเฉพาะในเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ทั้งหลายหญิงสาวหยิบตลับแป้งที่ถือติดมือไปแล้วเดินกลับไปที่ชั้นวางที่หยิบมา ก่อนจะพบว่าบนชั้นมีตลับแป้งวางเต็มอีกครั้ง“นี่มัน…แล้วที่อยู่ในมือฉันล่ะ” จิงจิงรู้สึกว่ามิติของเธอน่าอัศจรรย์อย่างมาก สามารถเติมของที่ถูกนำออกจากมิติไปได้ด้วย“ทำไมในร้านยังมีคอมพิวเตอร์คิดเงิน คงต้องลองดูก่อนเผื่อจะใช้งานได้” ซิ่วอิงเดินไปที่เคาน์เตอร์ พบว่ามีระบบจัดการร้านค้าเพิ่มเข้ามา ซึ่ง
บทที่ 11 เริ่มหาเงินเข้ากระเป๋าเว่ยซิ่วอิงหยิบผ้าคลุมผืนใหญ่ที่พ่อแม่ซ่อนไว้ให้เธอใช้ในยามฤดูหนาวเพื่อนำมาห่มคลุมกายไม่ให้ใครเห็น เธอเดินเนียน ๆ ไม่ได้ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แม้จะสวมผ้าคลุมกันแดดไว้ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าใครที่เดินผ่านไปจนกระทั่งมาถึงจุดขึ้นรถหรือเกวียน มีรถเข้าเมืองแค่วันละสองเที่ยวไปและกลับซึ่งไม่ทันแล้ว แต่เกวียนจากหมู่บ้านใกล้ ๆ ขับอยู่ทั้งวันรอไม่นานก็มาถึง“ไปเมืองค่ะลุง”“สามเฟิน” คนขับเกวียนเหลือบมองแล้วบอกราคาเมื่อเห็นว่าเป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อยเม่ยซิ่วอิงคนเดิมไม่กล้าแอบเก็บเงินมีหรือจะมีเงินจ่าย โชคยังดีที่พ่อมอบเงินให้เป็นของขวัญอยู่ไม่กี่เฟินในช่วงหลายปี และเว่ยซิ่วอิงก็ยืมมาใช้ทั้งหมดแม้จะมีคุณค่าทางจิตใจจนอยากเก็บเอาไว้ แต่ความเป็นอยู่ของบ้านขึ้นอยู่กับการเดินทางครั้งนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องจ่ายไปก่อนซิ่วอิงขอโทษผีเจ้าของร่างเดิมอยู่ในใจนั่งเกวียนไม่นานก็มาถึงเมือง แต่กระโดดลงจากเกวียนก็เซแทบล้ม ก้นก็เหน็บกิน อีกทั้งยังวิงเวียนกลิ่นข้าวของผสมกลิ่นเหงื่อชาวบ้านบนเกวียนอีกด้วย“ไหวไหมเนี่ยนังอิงอิง” ป้าที่นั่งข้าง ๆ มาตลอดเอ่ยถาม“ไหวค่ะ ขอบคุณป้า”“ไหวก็ดีแล้
บทที่ 12 วางแผนแยกบ้านหลังจากซื้อของเสร็จแล้วก็รีบกลับบ้าน โดยอาศัยเกวียนเทียมคันใหม่ที่จะผ่านหมู่บ้าน อาจเพราะขากลับไม่ใช่เวลาที่คนจะกลับกันจึงมีคนบนเกวียนเทียมน้อยมากซิ่วอิงแอบฟังที่ลุง ๆ ป้า ๆ นินทาเรื่องต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูลไปด้วย ไม่แน่อาจมีประโยชน์ต่อตัวเองในอนาคต หลังลงจากเกวียนมาก็รีบเดินลัดเลาะไปตามชายป่าเพื่อกลับบ้านสกุลเว่ยกลับมาถึงบ้านโชคดีที่ไม่มีใครเห็น เพราะอย่างที่กล่าวเอาไว้คนบ้านรองนั้นชอบขลุกศึกษาหนังสืออยู่ในห้อง ส่วนย่าเว่ยก็ยังไม่กลับมาจากไปฝอยอยู่บ้านอื่นเว่ยซิ่วอิงมองซ้ายมองขวาแล้วแอบเดินเข้าห้องเล็กของครอบครัวตัวเองไป ปิดประตูลงตามหลังแล้วจึงพรูลมหายใจออกจากปาก“โชคดีที่ไม่มีใครเห็นนะ ดูเหมือนจะแอบออกไปบ่อย ๆ ไม่ได้ แต่ภายในหนึ่งอาทิตย์นี้ต้องหาทางออกจากบ้านสกุลเว่ยอีกให้ได้!”ตอนนี้เว่ยจิงจิงอยู่ในร่างของเว่ยซิ่วอิงแล้ว และต้องใช้ชีวิตในฐานะเว่ยซิ่วอิงต่อไป นี่คือโอกาสมีชีวิตอีกครั้ง เธอไม่ยอมปล่อยมือไปง่าย ๆ และจะทำให้มันดียิ่งขึ้นกลับเข้ามาในห้อง เธอเงี่ยหูฟังเสียงคนในบ้าน เมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีใครมาหาเรื่องก็เอนหลังลงบนที่นอนวูบ~ทันใดนั้นทั้งร่างก็มา
บทที่ 13 บอกความจริงพ่อแม่“พ่อคะ แม่คะ” ซิ่วอิงลุกขึ้นนั่งดี ๆ มองพวกท่านด้วยความเห็นใจ น่าสงสารทั้งคู่ที่ต้องเสียลูกสาวไป แต่หลังจากนี้เธอจะเป็นลูกสาวและกตัญญูต่อพวกเขาแทนเจ้าของร่างเดิมเอง “จริง ๆ แล้วอิงอิงรู้สึกเหมือนฝันเลยที่ได้ตื่นขึ้นมาพบหน้าพ่อกับแม่อีกครั้ง”“โถ อิงอิงลูกแม่ พูดอะไรก็ไม่รู้ ลูกต้องตื่นขึ้นมาเห็นพ่อกับแม่อยู่แล้ว ทำไมจะไม่เห็นล่ะ” เหม่ยฟางลูบหัวลูกสาวด้วยความอ่อนโยน“ใช่ อย่าคิดมากเลย ยังไงลูกก็ผ่านเรื่องแย่ ๆ มาได้แล้ว ต่อไปคงจะมีแต่เรื่องดี ๆ” เว่ยตงปลอบลูกสาว เขาไม่ได้เหมือนผู้ชายจากครอบครัวอื่นที่ทำตัวขึงขังและทำเหมือนผู้ชายอยู่เหนือผู้หญิง แต่เขาใช้คำพูดปลอบโยนภรรยาและบุตรสาวมานานจนเคยชินไปแล้ว“จริง ๆ นะคะ อิงอิงเกือบจะไม่ได้ฟื้นขึ้นมาเห็นพ่อกับแม่อีกครั้งแล้ว”“นี่…ลูกพูดจริงเหรออิงอิง” เหม่ยฟางตกใจ ดวงตาเบิกกว้างมองลูกสาว เว่ยตงเองก็มีอาการไม่ได้ต่างกันนัก“ลูกหมายความว่ายังไง ซิ่วอิง…ลูกเล่าเรื่องที่ฝันให้พ่อแม่ฟังได้ไหม” เว่ยตงถามลูกสาว พยายามทำใจเย็นทั้งที่หัวใจเต้นแรงจนเจ็บหนึบ นี่เขาเกือบจะสูญเสียลูกสาวไปจริง ๆ เหรอหากลูกสาวตายจากไปจริง ๆ เหม่
ตอนพิเศษ 4 ตลอดไปชีวิตของซิ่วอิงตอนนี้มีความสุขมาก ความจริงเธอก็มีความสุขตลอดมาอยู่แล้ว แต่เมื่อคิดว่ามีเด็กตัวเล็ก ๆ กำลังอาศัยอยู่ภายในร่างกายตัวเองและเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน มันเป็นความสุขที่แตกต่างออกไปจริง ๆ“อีกสิบวันก็จะได้เจอหน้ากันแล้วนะลูก” หญิงสาวใช้มือลูบหน้าท้องที่ใหญ่ไม่ต่างจากลูกแตงโมของตนเอง นี่ก็ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว ทำให้เมื่อสามีออกไปทำงาน หลันถังกับเหม่ยฟางผู้เป็นแม่ก็จะแบ่งเวลามาอยู่เป็นเพื่อนเสมอถึงตอนนี้หลันเซียงฮั่นจะย้ายมาประจำการอยู่ใกล้ ๆ แต่เขายังคงต้องเดินทางไปทำงานต่างเมืองเมื่อได้รับมอบหมายภารกิจ และคราวนี้ก็เช่นกันในตอนแรกเซียงฮั่นไม่คิดจากภรรยาไปจนกว่าเธอจะคลอดลูกและปลอดภัย เขากลัวว่าซิ่วอิงจะหวาดกลัวหากตนเองไม่ได้อยู่เคียงข้างตอนคลอดลูก จึงคิดปฏิเสธภารกิจในครั้งนี้และขอลาหยุดสักเดือนแต่เป็นซิ่วอิงที่คะยั้นคะยอให้ชายหนุ่มไปทำงานเพราะเหลือเวลาอีกสองอาทิตย์ก่อนถึงกำหนดคลอด อย่างไรเขาก็กลับมาทันอยู่แล้วเธอจึงนั่งอยู่ในสวนสวยเฝ้ามองหน้าประตูเป็นระยะด้วยใจคิดถึงสามีบ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกคิดทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาเล่นเสียมากกว่า ไม่ได้อยู่บ้า
ตอนพิเศษ 3 ภรรยาท้องแล้ว“อิงอิง ลุกมากินของอร่อยเถอะลูก วันนี้แม่ของอิงอิงเอาอาหารอร่อยมาฝากแม่ไว้ตั้งเยอะ”“อิงอิงยังเพลีย ๆ อยู่เลยค่ะ สงสัยเพราะช่วงนี้ทำงานหนักเกินไป ขอนอนอีกหน่อยนะคะแม่” ซิ่วอิงบอกกับแม่สามีเนื่องจากสองบ้านปรองดองกันดีมาก ซิ่วอิงใช้เงินเพื่อซื้อบ้านที่อยู่ตรงข้ามให้กับพ่อแม่ ขณะที่ตนเองเลือกจะมาอยู่บ้านแม่สามีเวลาที่คุณพ่อสามีและหลันเซียงฮั่นที่เป็นสามีไปทำงานต่างจังหวัดพร้อมกันโดยมีบ้านของตัวเองที่ใช้อยู่กับสามีต่างหากอีกหลังหนึ่ง และใช้อยู่เมื่อสามีกลับมาหาเท่านั้น แต่ปกติแล้วซิ่วอิงจะสลับไปมาระหว่างบ้านพ่อแม่ตัวเองและพ่อแม่สามีเสียมากกว่าตอนนี้เธอก็มาอยู่บ้านหลัน เพราะทั้งคุณพ่อและสามีล้วนออกไปทำงาน ส่วนเซียงฮั่นนั้นจะกลับมาในวันพรุ่งนี้“อิงอิงไม่ต้องทนนะ ไปหาหมอเลยดีกว่า บ้านเราขาดเงินทองซะที่ไหนกัน หรือแม่ซื้อโรงพยาบาลไว้ให้ก็ได้” หลันถังยังคงใจป้ำเหมือนเดิม เมื่อได้ลูกสะใภ้คนนี้มาชีวิตเธอก็มีความสุขขึ้น จนรู้สึกรักเอ็นดูซิ่วอิงเหมือนเป็นลูกของตัวเองไปอีกคน เผลอ ๆ รักมากกว่าลูกตัวเองเสียอีก“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ อิงอิงไปหาหมอเฉย ๆ ดีกว่า” ซิ่วอิงยิ้มแหยให้
ตอนพิเศษ 2 สามีที่ดีแม้ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี แต่อย่างไรในชีวิตก็ต้องมีบางสิ่งมากระทบกระทั่ง สุดท้ายแล้วซิ่วอิงและครอบครัวก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์ช่วงนี้ซิ่วอิงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย หลังสามีกลับมาจากทำงานครั้งล่าสุด เธอได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงติดมาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน เขาจะเบื่อเธอและหาเรื่องเข้าบ้านแล้วจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?มีหรือหลันเซียงฮั่นจะไม่รู้ว่าภรรยามีความกังวลอะไรบางอย่างในใจ เขาหันมองไปรอบตัวก่อนจะจับลูกน้องที่มีภรรยาแล้วมาสอบถาม“ภรรยาฉันเป็นอะไรไป” เซียงฮั่นเป็นผู้บัญชาการที่เก่งกาจ เขายังดูแลเอาใจใส่ภรรยาจนลูกน้องแอบเรียกลับหลังว่าสามีแห่งชาติ แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาชายหนุ่มก็ยังเป็นเพียงคนที่เพิ่งเคยมีความรัก“คุณผู้หญิงมีท่าทางยังไงครับ”“ช่วงนี้ไม่ค่อยให้ฉันเข้าใกล้ เวลานอนก็หันหลังให้” เซียงฮั่นนึกถึงท่าทางของภรรยาแล้วก็ปวดใจ เขาไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือเปล่า แต่พอถามแล้วเธอก็บอกว่าเปล่าและฝืนยิ้ม เก็บเรื่องราวไว้ในใจคนเดียว คิดว่าเขามองไม่เห็นอย่างนั้นเหรอ“ถ้าอย่างนั้นนายท่านไปทำอะไรมาหรือเปล่าครับ” ทหารคนสนิทมองหน้าเจ้านายอายุน
ตอนพิเศษ 1 ชีวิตที่ใฝ่หามานานตอนนี้ชีวิตใหม่ของเว่ยซิ่วอิงลงตัวอย่างมาก ได้ก่อตั้งธุรกิจในยุคแรกเริ่ม อนาคตมีแต่จะรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไม่ต้องพึ่งพามิติร้านเครื่องสำอางก็ตามนอกจากนี้ยังมีสามีคอยเอาอกเอาใจ แม่สามีแสนดีที่ไม่มีการกดขี่ลูกสะใภ้เลยสักนิด ครอบครัวของเธอก็คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเสมอซิ่วอิงคิดว่าแค่นี้เธอก็ประสบความสำเร็จมากแล้วในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ลำพังเกิดมามีแม่สามีดีอย่างหลันถัง ก็คงมีคนสงสัยว่าเธอทำบุญกู้ชาติมาในชาติก่อนแน่ ๆ ถึงได้มีชีวิตที่ดีขนาดนี้แค่ถึงอย่างไรคนเก่งก็มีปัญหาของคนเก่ง เพราะสามีต้องไปทำงานต่างเมืองบ่อย ๆ เธอเลยใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับงานในร้านกระทั่งสามีกลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว เธอก็ยังวุ่นวายอยู่กับร้านค้าโชคดีที่เซียงฮั่นเข้าใจแล้วยังสนับสนุนภรรยาให้ทำตามใจปรารถนาได้เต็มที่ เมื่อเขาได้พักเพิ่มสักหนึ่งหรือสองวัน ก็มักจะพาซิ่วอิงไปที่ร้านเสมอเพื่อเอาอกเอาใจหากพาไปร้านอาหารแบบคนหนุ่มสาวก็แล้วไป เขากลับพาเธอเข้าร้านตัวเองเพื่อให้หญิงสาวหาเงินที่เธอชอบนักหนา และแน่นอนว่าซิ่วอิงชอบการแสดงความรักของสามีแบบนี้มากกว่า“มีอะไรหรือเปล่า” ขณะที่นั่งก
บทส่งท้าย คุณคือคนที่อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตรถยนต์สีดำขับไปตามทางที่คุ้นเคยไม่นานก็มาถึงกำแพงบ้านหลัน ทหารเฝ้ายามเปิดประตูต้อนรับด้วยความยินดี เมื่อรถจอดเทียบขาเรียวก็ก้าวออกมา“อิงอิง มาแล้วเหรอจ๊ะ” ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้คือป้าหลัน พร้อมทั้งเหม่ยฟางผู้เป็นมารดาของตนเอง ซิ่วอิงไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตอะไรเพียงยื่นมือไปหาพวกท่านอย่างเป็นธรรมชาติ“ป้าหลันสบายดีไหมคะ วันนี้แอบเข้าครัวกับแม่อีกแล้วหรือเปล่า” ซิ่วอิงสนอกสนใจดูมือของผู้ใหญ่ตรงหน้า ขณะที่ท่านจับจูงเธอเดินทะลุตัวบ้านไปยังสวนด้านหลัง“ป้าเข้าครัวไปก็รกครัวเปล่า ๆ ไม่เข้าไปรบกวนเหม่ยฟางหรอกนะ”“อิงอิงลูกเงยหน้าขึ้นก่อน” เสียงอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ดังขึ้น เมื่อรู้ตัวซิ่วอิงก็มาอยู่ในสวนหลังบ้านของสกุลหลันแล้วหญิงสาวเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย สิ่งแรกที่เห็นคือร่างสูงของชายหนุ่มที่เธอคิดถึงมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาและติดต่อกันทางโทรศัพท์ไม่กี่นาทีต่อเดือนเท่านั้นตอนนี้เขายังสวมชุดทหารเต็มยศ ในมือมีช่อดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ล้อมรอบไปด้วยแสงเทียนและซุ้มดอกไม้ที่ถูกตั้งใจตกแต่งเอาไว้อย่างดีจนทั่วทั้งสวน“พี่เซียงฮั่น” ซิ่วอิงยิ้มออกมาด้วย
บทที่ 44 หาเรื่องใส่ตัว“แม่คะ เราไป…” ก่อนที่คุณหนูลู่จะพูดจบ มารดาของหล่อนก็เดินลิ่ว ๆ เข้าไปในวงสนทนาที่เว่ยซิ่วอิงอยู่ก่อนแล้ว เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้คุณหนูลู่พึงพอใจที่ไม่ต้องทำอะไรเอง“นี่มันแม่ค้าขายเครื่องสำอางนี่นา มาตรฐานงานเลี้ยงของกองทัพตกต่ำลงถึงขนาดเชิญพ่อค้าแม่ค้าข้างถนนมาร่วมงานแล้วอย่างนั้นเหรอเนี่ย” คุณนายลู่ไม่พอใจเว่ยซิ่วอิงอยู่แล้วจากงานเลี้ยงน้ำชาที่บ้านของคุณนายหลัน ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังไปได้ดีก็รู้สึกว่าต้องเข้ามาทำลายและลากคนคนนี้ลงมาให้ได้“สวัสดีค่ะ คุณนายลู่” เว่ยซิ่วอิงไม่ดิ้นเต้นไปตามอารมณ์ของคน เธอทักทายอีกฝ่ายด้วยความเคารพและมีมารยาทเพียงเท่านี้สายตาที่ทุกคนมองมาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็มองซิ่วอิงอย่างชื่นชม ขณะที่มองคุณนายลู่เหมือนนางร้ายเกรดต่ำคนหนึ่ง“โอ้ นี่ใครกัน ไม่ใช่คุณชายหลันเซียงฮั่นลูกรักของคุณนายหลันถังหรอกเหรอคะ”“สวัสดี คุณนายลู่” เซียงฮั่นจำต้องทักทายด้วยสีหน้าไม่ดีนัก เขารู้ว่าใครไม่ถูกกับมารดา และต้องหลีกหนีเสมอเมื่อเข้าสังคม แต่คราวนี้ดูเหมือนคนข้างกายจะไม่ยอมหลีกหนีง่าย ๆ ชายหนุ่มทำได้เพียงยืนปักหลักและเป็น
บทที่ 43 เหมาะสมกัน“แต่มีริ้วรอยพวกนี้ นอกจากนั้นฉันยังมีปัญหาใหญ่ในร่มผ้า หนูคิดว่าครีมนั่นจะช่วยได้ไหม”“รอยแผลเป็นเหรอคะ” ซิ่วอิงมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางเบา เธอไม่ได้ตัดสินและคิดไปก่อนว่าปัญหานั้นคืออะไร รวมถึงไม่ได้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจคุณปิงเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งสนใจในตัวหญิงสาวตรงหน้ามากขึ้น ปกติแล้วเมื่อคนรู้ว่าเธอมีแผลเป็นอยู่ใต้ร่มผ้ามักเกิดความเห็นใจขึ้นมาอัตโนมัติเป็นเรื่องธรรมดา เพราะผู้หญิงรูปร่างหน้าตานั้นสำคัญที่สุด โดยเฉพาะหญิงสาวชนชั้นสูงอย่างพวกหล่อนแต่ถึงแม้คุณปิงจะไม่มีปัญหาในเรื่องชีวิตคู่จากแผลเป็นเหล่านี้ แต่มันก็เป็นตราประทับที่เธออยากลบหากเป็นไปได้ เมื่อได้ยินว่าคุณลุงอิงสามารถลบรอยแผลเป็นได้เกือบสำเร็จแล้ว จึงแอบเดินทางมาเยี่ยมญาติในเมืองเล็ก ๆ นี้“นี่น่ะเหรอ คุณหนูหลันคนใหม่ อ๊ะ ไม่ใช่สิ ยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านหลันเลย จะกล้าเรียกตัวเองว่าคนของสกุลหลันได้ยังไง”“นั่นสิ หล่อนอยู่สกุลไหนนะ ว่าน? หวาย? อ้อ ๆ สกุลเว่ยที่เปิดร้านค้าเล็ก ๆ อยู่ในเมืองนั่นไง”เสียงเยาะเย้ยของกลุ่มคุณหนูที่อยู่ไม่ไกลดังขึ้นก่อนหน้านี้เพราะมีคนอยู่มากพวกหล่อนจึงไม่กล้าพูดอะไร ต
บทที่ 42 สนับสนุนคนรัก“ช่วงนี้คุณไม่ต้องทำงานเหรอคะ” เมื่อรถเริ่มแล่นไปตามจุดหมาย ซิ่วอิงหันไปถามคนรักด้านข้างช่วงนี้เขามาเทียวรับส่งหญิงสาวไปนู่นมานี่ แม้ว่าทุกอย่างจะง่ายขึ้นเมื่อมีเขาเดินตามหลังไปเจรจากับทางการหรือคู่ค้า แต่ซิ่วอิงยังอดที่จะเกรงใจไม่ได้“ทำอยู่ แต่อยากอยู่กับคุณมากกว่า” เมื่อชายหนุ่มพูดคำหวานออกมาหน้าตาเฉย น่าแปลกที่มันเขย่าหัวใจหญิงสาวได้มากกว่าปกติ“คุณพูดอะไรก็ไม่รู้”“ผมพูดความจริง…จากใจ”ท่าทางจริงจังของเขาทำให้หญิงสาวพอใจมาก เขาดูไม่เหมือนคนจะพูดเล่น ๆ ดังนั้นเมื่อเอ่ยคำหวานออกมาจึงน่าฟังมากกว่าชายหนุ่มที่พูดคำเหล่านั้นออกมาง่าย ๆ กับใครก็ได้นี่แหละตรงกับความชอบของเธอพอดี“ฉันดีใจมากเลยที่คุณอยากใช้เวลาด้วยกันมาก ๆ เอาเป็นว่าวันนี้เราแวะไปเที่ยวที่สวย ๆ ด้วยกันหลังทำงานเสร็จไหมคะ ฉันอยากมีความทรงจำดี ๆ ร่วมกับคุณ”“ยินดีครับ ผมก็อยากมีความทรงจำดี ๆ ร่วมกับคุณให้มาก ๆ ระหว่างที่ยังมีเวลา”ทั้งคู่พูดจาหวานหูโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าคนขับรถเหงื่อแตกพลั่กซิ่วอิงไปดูโรงงานและกลุ่มนักวิจัย เธอซื้อตัวพวกเขามาด้วยครีมระดับสูงและวัตถุดิบชั้นดีเท่าที่พอจะนำออกมาจากร้าน
บทที่ 41 กิจการดีขึ้นเรื่อย ๆดูเหมือนข่าวเรื่องการคบหาและขอหมั้นกะทันหันของคุณชายเซียงฮั่นจะเข้าหูผู้เป็นมารดาอย่างนางหลันถังเร็วมาก เพราะในวันถัดมาเมื่อซิ่วอิงตื่นเช้าขึ้น ก็พบว่ามีรถหรูมารับอยู่หน้าบ้านเสียแล้ว“แต่งตัวดี ๆ หน่อยนะลูก ป้าหลันฝากแม่มาบอกแบบนั้น” เหม่ยฟางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แม้เธอจะไม่ได้รู้เรื่องที่ลูกสาวคบหากับหลันเซียงฮั่นลูกชายของเพื่อนสนิทคนใหม่จากปากเจ้าตัว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะดีใจและภาคภูมิใจว่ากันว่าตระกูลหลันเป็นคนรักเดียวใจเดียว ว่าที่แม่สามียังดูชื่นชอบลูกสาวเธอไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเลยว่าชีวิตหลังแต่งงานของซิ่วอิงจะมีปัญหาเพียงแค่นี้ผู้เป็นแม่อย่างเหม่ยฟางก็วางใจแล้ว ขณะที่คนเป็นพ่อแม้จะกังวลแค่ไหนก็ต้องยอมปล่อยลูกสาวให้ออกจากอ้อมแขนไปในวันหนึ่งแม้ว่าเว่ยตงจะโวยวายลั่นว่าต้องการไปพูดคุยกันตระกูลหลันเร็ว ๆ ให้รู้เรื่องก็เถอะ“ชุดนี้ก็พอแล้วมั้งคะ”“เอาอย่างนี้ ลูกไม่รู้จะใส่ชุดไหนไป งั้นใส่ชุดที่ป้าหลันส่งมาให้สองสามรอบก่อนไปสิจ๊ะ” เหม่ยฟางเอ่ยปากแนะนำด้วยความที่เป็นคนจากชนบท ความรู้ด้านแฟชั่นไม่ได้มีมากเหมือนกับหลันถังที่อยู่ในเมืองมาตลอดชีวิต เธอท