“นังเด็กเสียเงินคนนี้ นอกจากสำออยทำเป็นป่วยมาหลายวัน ในที่สุดก็หางโผล่ออกมาแล้วใช่ไหม หายดีแล้วทำไมหล่อนไม่ตามนังเหม่ยฟางไปทำงานที่ทุ่งฮะ! แล้วไหนเมื่อวานยังทำให้เจ้าเว่ยตงไม่ไปช่วยงานจนเสียคะแนนอีก นังเด็กเสียเงิน แกมันคนไร้ประโยชน์จริง ๆ”
“พ่อไปหาข้าวมาให้ฉัน เพราะที่บ้านไม่มีข้าวให้ครอบครัวเรากิน ส่วนแม่ก็ทำงานงก ๆ อยู่ในทุ่งเพื่อให้บ้านมีแต้มแลกข้าวมาเยอะ ๆ แต่เราไม่เคยกินกันจนอิ่มเลย”
“นังเด็กคนนี้ นี่กล้าขึ้นเสียงกับผู้ใหญ่งั้นเหรอ ดี! นังสะใภ้คนนี้เลี้ยงไม่เชื่องอย่างที่ฉันคิดจริง ๆ ถึงขนาดเสี้ยมสอนลูกสาวเลว ๆ แบบนี้ออกมาได้”
นางหวังซื่อโมโหจนตัวสั่นไปหมด ชี้หน้าด่าเว่ยซิ่วอิงจนนิ้วแทบทิ่มตา
“แล้วที่ฉันพูดมันผิดตรงไหน เราทั้งสามคนทำงานงก ๆ เลี้ยงคนทั้งครอบครัว นี่มันมีความยุติธรรมตรงไหนกัน นอกจากนี้พอพ่อไม่ยอมให้ฉันแต่งงานกับคนที่คุณหามา ก็มาว่าเราไร้ประโยชน์ มันก็แค่คุณไม่ได้อย่างใจเท่านั้นแหละ”
“นัง! นังเด็กเสียของ” หวังซื่อไม่คิดว่าจะโดนเด็กรุ่นหลังพูดถอนหงอกตนขนาดนี้ รีบยกมือขึ้นหวังใช้ไม้ทุบเด็กสาวตรงหน้าให้ตาย ๆ ไปเสีย
อย่างไรมันก็ไร้ประโยชน์ พ่อแม่ไม่ยอมให้แต่งงานกับชายม่ายฟง อย่างนั้นเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้ฟาดให้ตาย ๆ ไปเสียดีกว่า
ไม้ใหญ่เท่าแขนยกขึ้นหวังฟาดลงที่หัวคนเต็ม ๆ
“อิงอิง!” ขณะนั้นร่างของนางเหม่ยฟางก็วิ่งโผมาจากอีกฝั่งกอดบุตรสาวหลบไม้มาได้อย่างฉิวเฉียด
“ช่วยกันดีนักใช่ไหมนังตัวดี ดูซิลูกสาวตัวดีของหล่อนสั่งสอนมายังไงถึงกล้าขึ้นเสียงกับผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านอย่างนี้” นางหวังซื่อเห็นอย่างนั้นก็เคาะไม้กับพื้นสองสามครั้งอย่างข่มขู่
หากเป็นไปได้ก็ไม่ได้อยากทุบตีคน มันขาดงานไปสองสามวันกลัวว่าจะรอบหน้าจะได้เงินน้อย
“ก็ถ้าผู้เฒ่าผู้แก่มันน่าเคารพ เด็กก็ต้องเคารพอยู่แล้ว แต่นี่อะไรวัน ๆ เอาแต่ตีแต่ด่า แต่ไม่เคยให้ความยุติธรรม ไม่เคยที่จะมีเมตตาต่อพวกเราบ้างเลย แล้วจะให้เอาอะไรไปนับถือ”
นางเหม่ยฟางที่กำลังจะหันไปขอโทษแม่สามี ได้ยินบุตรสาวตะโกนด่าย่าตัวเองปาว ๆ ก็ตกใจจนหัวใจหล่นลงไปที่ตาตุ่ม รีบหันไปมองลูกสาวอย่างไม่อยากเชื่อ
“อิงอิง!” ว่าแล้วมือบางก็ฟาดลงที่แขนบุตรสาว
“ใครสั่งใครสอนให้พูดกับผู้ใหญ่แบบนั้น เด็กคนนี้ไม่ตีสักครั้งไม่ได้เลยใช่ไหม แม่ฉันตีอิงอิงแล้ว ยกโทษให้เด็กมันด้วยนะคะ อย่าทำอะไรหลานอีกเลย ฉันจะสั่งสอนลูกดี ๆ ครั้งนี้ยกโทษให้อิงอิงเถอะนะคะ”
นางเหม่ยฟางตัวสั่นงันงก มองแม่สามีที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงเป็นตับหมูด้วยหัวใจที่ค้างเติ่ง มองไม้ในมือด้วยเหงื่อไหลซ่ก กลัวว่าแม่สามีจะบันดาลโทสะ
“นี่…นี่…” จิงจิงที่เงียบไปพยายามสะบัดตัวออกจากมารดา เพราะตกใจมากที่ตัวเองรู้สึกเจ็บ
เธอลืมคิดเรื่องนี้ไปได้อย่างไร มีวิธีทดสอบว่าฝันหรือไม่ฝันอยู่นั่นคือความเจ็บปวด เพราะในฝันแม้จะหลั่งสารอะไรออกมาเราก็ไม่เจ็บปวด อย่างมากก็เพียงชาบ้างเท่านั้น
“เฮอะ นังเด็กนี่มันสำนึกซะที่ไหน ดูมันทำหน้าทำตาเข้า อย่างกับเห็นผี มันจะสำนึกว่าฉันเป็นย่าของมันที่ไหนกัน อย่างนี้มันต้องตีให้รู้จักเข็ดหลาบ ลูกสะใภ้รองไปจับนังเหม่ยฟางเอาไว้!”
ว่าแล้วคุณย่าเว่ยก็สั่งให้ลูกสะใภ้รองที่ยืนดูความสนุกอยู่ไม่ไกลให้จับเหม่ยฟางออกจากทาง
“แม่ แม่อย่าทำอะไรอิงอิงเลยนะคะ อิงอิงเพิ่งหายไข้ เลยยังฟั่นเฟือนไปบ้าง”
“มันสำออยเพื่อไม่ต้องไปทำงานมากกว่า เมื่อกี้ยังมีแรงเถียงกับฉันอยู่เลย” หวังซื่อว่าแล้วก็เริ่มยกไม้ขึ้นตีไปยังเด็กสาว
“แกหายแล้วก็ออกไปทำงานซะ นังเด็กไร้ประโยชน์ นังตัวดี กล้าด่าฉันเรอะ ฉันเป็นย่าของแก ขนาดพ่อแกยังเคารพฉัน แล้วแกมันเป็นใครกล้าดียังไงถึงด่าฉันฉอด ๆ ๆ”
“โอ๊ย!!” จิงจิงที่ตกใจพยายามขยับหนีแต่เท้าพันกันจนสะดุดล้ม
เมื่อกี้โดนแม่ฟาดแขนเบา ๆ ก็แล้วไปเถอะ ยังถกแขนเสื้อก้มลงมองว่ามีรอยแดงขึ้นอยู่เลย แต่ตอนนี้เมื่อเจอไม้ฟาดหลังดังปั้ก ๆ มีหรือจะทนไหว
“โอ๊ย เจ็บ ฉันเจ็บ”
“อิงอิง ๆ อย่าตีลูก อย่าตีหลานเลยค่ะแม่ ฮือ~”
เสียงเอะอะโวยวาย ทำให้ได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน
ในที่สุดเว่ยตงก็กลับมาจากหาผักป่า พลันได้ยินเสียงกรีดร้องของภรรยารวมกับเสียงก่นด่าของมารดาตน ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ทิ้งตะกร้าในมือจนผักป่าหล่นกระจาย รีบวิ่งกลับไปที่ห้องเล็กของตนทันที
“แม่ แม่หยุดนะครับ” เว่ยตงรีบเอาตัวเข้าไปรับไม้แทนลูกสาว กอดหล่อนไว้ในอก
เห็นเลือดไหลออกมาจากหน้าผากของลูกสาวแล้วได้แต่ปวดใจ เมื่อก้มลงมองก็พบว่าลูกสาวตนก็กำลังก้มมองท่อนแขน
ทันใดนั้นเว่ยตงก็ชะงักไป เขาไม่ได้สนใจแรงตีจากมารดาที่ด้านหลังอีก เห็นเพียงท่อนแขนบอบบางของเด็กสาวซึ่งเต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำเป็นทางยาวบ้าง เป็นจ้ำบ้าง มีทั้งรอยเก่ารอยใหม่
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” เสียงดังดั่งกัมปนาทดังขึ้นจากเฒ่าเว่ยผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว พร้อมกับลูกชายคนรอง หลานชาย และหลานสาวจากห้องรองเดินออกมาจากภายในตัวบ้าน
เว่ยตงดวงตาแดงก่ำมองไปทางบิดาของตน ตอนนี้เขาสับสนมากจริง ๆ สับสนจนพูดไม่ออก
“ก็นังเด็กนี่มันไม่ยอมไปทำงาน แล้วพ่อแม่มันยังแอบเอาข้าวไปให้กินอีก บ้านเราเลี้ยงคนไร้ประโยชน์ได้ที่ไหนกัน ไหนจะค่าเรียนของหยางเอ๋อร์ จุนเอ๋อร์”
“ซิ่วอิงยังไม่หายป่วย อย่าเพิ่งให้ไปทำงานเลยนะคะ” นางเหม่ยฟางกรีดร้องออกมา แม้ถูกสะใภ้คนรองจับตัวเอาไว้ก็ตาม พยายามขอความเห็นใจจากพ่อสามี รู้ดีว่ามีเพียงเขาที่พูดแล้วแม่สามีจึงจะยอมหยุด
“นี่มันอะไรเว่ยตง”
“พ่อ อาซิ่วอิงป่วยจนเกือบตายไปรอบหนึ่ง เมื่อวานเพิ่งฟื้นมา วันนี้ยังไม่ดีขึ้น ผมขอให้ลูกได้พักจนกว่าจะหายดีได้ไหมครับ”
“เฮอะ ก็แค่มันสำออย แกก็เชื่อมันไปหมดแล้ว มันก็สำออยเหมือนแม่มันนั่นแหละ ทำอะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้เลย” หวังซื่ออดไม่ได้ที่จะสอดแทรก
“พ่อครับ พ่อก็เห็นสภาพ…ลูกผมแล้ว” เว่ยตงนำตัวบุตรสาวออกมายืนตรงหน้า ดูเหมือนซิ่วอิงจะตกใจมากและไม่เงยหน้าขึ้นมาอีกเลย
นี่ทำให้เฒ่าเว่ยรู้สึกสงสารเด็กสาวนิดหน่อย อย่างไรหน้ามือหลังมือก็เป็นเลือดเนื้อตัวเอง ยิ่งเห็นเด็กสาวที่ว่าง่ายนิสัยดี ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ตอนนี้กลับมีเลือดไหลที่หน้าผากก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้
“เลิกตีซิ่วอิงเถอะ ยิ่งตีคนก็ยิ่งป่วยหนักกว่าเดิม จะให้ลุกไปทำงานยังไงไหว”
ยิ่งมองท่อนแขนที่มีรอยช้ำทั้งเก่าและใหม่ ก็รู้สึกเหมือนตนตามใจภรรยามากเกินไปจริง ๆ จึงอดพูดขึ้นมาสักคำสองคำไม่ได้
“แต่นี่มันหลายวันแล้ว นอกจากนี้ยังทำให้ลูกใหญ่ที่ไม่เคยทำอะไรไม่ดี ถึงขนาดมาลักเล็กขโมยน้อยอีก นี่มันไม่ทำให้ครอบครัวเราวุ่นวายกว่าเดิมเหรอคะ” หวังซื่อเอ่ยปากพูดกับสามี
อยู่ด้วยกันมาหลายปีย่อมรู้ดีว่าเขาห่วงอะไรที่สุด จึงรีบพูดแทรกก่อนที่เว่ยตงจะได้อ้าปากพูดมากไปกว่านี้
“นอกจากนี้ตอนนี้ฉันยังเป็นห่วงเรื่องสินสอดของอาหยาง บ้านมีค่าใช้จ่ายเยอะแยะพอแล้ว ตอนนี้ทุกคนมีหน้าที่ตัวเอง มีแค่เด็ก…เว่ยซิ่วอิงที่ไม่ทำอะไรเลย ฉันก็แค่อยากจะช่วยหลานชายคนโตของเราเท่านั้นเอง”
และแน่นอนว่าจี้ถูกจุด เมื่อเว่ยถงผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวคิดถึงหลานชายคนโตที่จะมาสืบทอดธูปของตน ก็พลันรู้สึกเอนเอียงไปข้างนั้นอีกรอบ
“ในเมื่อทำอะไรก็ไม่ได้ อยู่บ้านก็กินเปล่า ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่สู้ให้รีบ ๆ แต่งงานออกไปไม่ดีกว่าเหรอ”
“เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยพูดเถอะ” แม้จะเอนเอียง แต่สิ่งที่เคยรับปากกับลูกชายคนโตไว้ก็ไม่กล้าผิดสัญญา เพราะแค่ตอนนี้ก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว
“นี่…” นางหวังซื่อต้องการจะคัดค้าน
“เอาตามนั้น เว่ยตง เหม่ยฟาง พาลูกเข้าไปพัก เอาเป็นให้พักอีกสองสามวันแล้วค่อยไปทำงานเถอะ”
“ขอบคุณครับคุณพ่อ”
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ”
ทั้งสองรีบขอบคุณเว่ยถงทันทีก่อนพาลูกสาวหนีเข้าห้องไป
“ดู๊ดู…ดูนังเด็กคนนี้ไม่มีมารยาทจะเอ่ยปากขอบคุณปู่สักหน่อยก็ไม่ได้” เสียงนางเว่ยดังตามหลังมา
ขณะที่เว่ยจิงจิงตอนนี้กลับสับสนอย่างมากจนพูดไม่ออก ราวกับถูกกดปุ่มหยุดเอาไว้ชั่วคราว ทั้งร่างแข็งทื่อทำได้เพียงขยับตามแรงบังคับของบิดามารดาเท่านั้น
“นี่มัน…ไม่ใช่ความฝันเหรอเนี่ย”
บทที่ 1 ไม่เป็นที่รักใคร่ปิตาธิปไตยหรือการชอบลูกชายมากกว่าลูกสาวนั้นมีมาตั้งแต่ในอดีต โดยเฉพาะในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ซึ่งลูกชายได้แต้มเยอะกว่าลูกสาวเมื่อทำงานในคอมมูน หรือหน่วยการผลิตทางการเกษตร ที่สามารถนำแต้มเหล่านั้นมาแลกเปลี่ยนเป็นอาหาร เพื่อเลี้ยงดูปากท้องตนเองและคนในครอบครัว เพราะแบบนั้นอย่างไรล่ะ จึงทำให้การมีลูกชายเป็นที่นิยมมากกว่าลูกสาว จนมีคำติดปากที่กล่าวว่า ‘ลูกสาวเสียเงินเปล่า’และนี่ยังไม่รวมกับความเชื่อที่มีมาตั้งแต่โบราณ ที่ว่าการมีลูกสาวนั้นก็เหมือนมีกระโถนตั้งอยู่หน้าบ้าน เหมือนน้ำที่สาดออกไป เพราะเมื่อโตขึ้นก็ต้องแต่งออกไปและกลายเป็นคนของตระกูลอื่นอยู่ดี นั่นจึงทำให้ลูกสาวไม่เป็นที่พอใจ หรือไม่เป็นที่ต้องการของคนในครอบครัวที่มีความคิดหัวโบราณแบบนั้นเช่นเดียวกับ ‘เว่ยซิ่วอิง’ เด็กสาวที่โชคร้ายผู้เกิดมาในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง หากผู้คนในปัจจุบันรับรู้คงได้แต่คิดว่านั่นเป็นค่านิยมเก่า ๆ ที่ไม่ควรมีอีกแล้ว เนื่องจากชายหรือหญิง ล้วนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน!!แต่ในตอนนี้ยุค 70 คือ ยุคปัจจุบันของเว่ยซิ่วอิง นั่นทำให้แม้จะเป็นลูกจากบุตรชายคนโต แต่กลับไม่เป็นที่พอใจของคนในบ้า
บทที่ 2 โดนทำร้าย“สำออยอะไรกัน โดนไม้กวาดแค่นี้ ยังไม่รีบเข้าไปทำอาหารเย็นอีก คนรอกินข้าวอยู่ทั้งบ้านไม่รู้หรือยังไง” ไม่พูดเปล่า ยังใช้ไม้ตีเข้าไปที่ผนังห้องครัวหลายครั้งจนฝุ่นกระจายฟุ้งไปทั่ว“อืดอาดยืดยาดไม่รู้จักเวล่ำเวลา หรือจะให้ฉันต้องตีพวกแกกระตุ้นอีกฮะ! เป็นวัวเป็นควายหรือยังไง”คำขู่ของหญิงชราทำให้เว่ยตงพร้อมทั้งลูกและภรรยาอึ้งไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าแม่ของตนหรือย่าแท้ ๆ ของตนจะคิดเช่นนั้น วัวควายกินหญ้าและมีไว้ให้คนจูงจมูกไปทั่ว ยังไม่ถูกตีหนักเท่าพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกเลยด้วยซ้ำแต่พอมีคนมาตอกย้ำแบบนี้ก็ยิ่งทำให้นึกย้อนกลับไป ดูเหมือนพวกตนมีชีวิตที่แย่ยิ่งกว่าวัวควายเสียอีก“ย่าใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ อย่าโมโหเลยค่ะจะกระทบต่อสุขภาพนะ” เว่ยหนานหลานรักที่ยืนนิ่งมาตลอดเอ่ยปากขึ้น คล้ายรู้ว่าย่ารอคอยที่จะปล่อยให้ตัวเองเดินเข้าไปประคองด้วยคำพูดออดอ้อนเอาใจ “หึ! ไม่มีใครห่วงฉันเท่าอาหนานแล้ว พวกแกมันไม่ได้เรื่อง ทำให้ฉันโมโหได้ทุกวี่ทุกวัน คิดจะให้ยายแก่เช่นฉันอกแตกตายหรืออย่างไร!” นางหวังซื่อยังไม่หายโมโห ฟาดไม้กวาดลงหลังลูกชายคนโตเบา ๆ อย่างเคยชินเวลาที่โมโหหรืออารมณ์ไม่ดี ก็มีเพียง
บทที่ 3 ล้มป่วย“สำออย! นอนกินบ้านกินเมือง ให้มันได้อย่างนี้สิ ไม่สู้ให้นังเด็กไร้ประโยชน์นี่แต่งงานออกไปยังทำประโยชน์ได้กว่านี้อีกมาก”“แม่คะ อย่าตีเลยค่ะ อิงอิงลูก ตื่นเร็วเข้า” คนเป็นแม่พยายามปลุกลูกสาวให้ตื่นขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือสีหน้าเป็นกังวลของคนเป็นแม่ ถัดไปด้านหลังหน้าประตูห้องเล็ก ๆ มีร่างท้วมของผู้เป็นย่ายืนอยู่“แม่ครับ อิงอิงไม่สบายจริง ๆ สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะโดนตีเข้าที่หัวเมื่อวาน ให้แกพักผ่อนหน่อยเถอะครับ” เว่ยตงพยายามพูดกับแม่ดี ๆ แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ฟังแม้แต่น้อย ซ้ำยังจับคำพูดเขาไปบิดเบือนได้อีกเป็นกระบุง“หน็อย! นี่แกพูดว่าที่มันไม่ยอมลุกมาทำงานทำการแบบนี้ เป็นเพราะฉันงั้นเหรอ ฉันคิดว่านังเด็กเสียเงินนี่ขี้เกียจตัวเป็นขน เลยสำออยไม่อยากลุกเองนั่นแหละ”“แม่ครับ!” เว่ยตงขวางมารดาตนเองไว้ เมื่อโดนลูกชายที่ตัวใหญ่กว่าขวางไว้ทำให้นางหวังซื่อเข้ามาในห้องไม่ได้ จึงฮึดฮัดอยู่หน้าห้องอย่างขัดใจ“ยังไม่เตรียมตัวไปทำงานกันอีก! จะมากเกินไปแล้วนะ ถ้าจะไม่ทำอะไรแบบนี้ก็ให้มันแต่งออกจากบ้านไปเดี๋ยวนี้เลย บ้านหลังนี้ไม่ต้องการตัวขี้เกียจ”เว่ยซิ่วอิงมองทะลุผ่านช่องเล็กระห
บทที่ 4 นักขายมือทอง“แม่ครับ ถ้าอย่างนั้นให้อาเหม่ยหยุดงานดูลูกที่บ้านสักวันนะครับ จนกว่าซิ่วอิงจะดีขึ้น ผมจะได้วางใจ”“ไม่มีทาง ลูกแกก็คนหนึ่งแล้ว จะให้เมียแกหยุดอีกเหรอ แล้วแบบนี้บ้านเราจะเอาอะไรกินกันล่ะ”“ก็ให้น้องรอง…” เว่ยตงกำลังจะสวนกลับบอกให้น้องรองทำงานเพิ่มสักหน่อย ส่วนเขาก็จะทำเพิ่มเหมือนกัน แต่กลับโดนมารดาหยุดเอาไว้“ไม่รู้แหละ อย่างไรเมียแกก็ต้องไปทำงานในทุ่ง พักเที่ยงค่อยกลับมาดูแลก็ได้ เรื่องมากจริง ๆ เลย”“...” เว่ยตงได้แต่ก้มหน้ายอมรับ ก่อนจะเดินกลับห้องโดยไม่พูดอะไรอีก เมื่อเขากลับมาถึงห้องเห็นภรรยาที่เพิ่งกลับมาถึงเหมือนกันได้ส่ายหน้าให้ บ่งบอกว่าขอยืมเงินญาติไม่ได้เช่นกัน เวลานี้สองสามีภรรยาเป็นทุกข์ยิ่งนัก ที่ไม่สามารถพาลูกไปหาหมอในเมืองได้อย่างที่ต้องการ“อิงอิง แม่กับพ่อขอโทษที่ช่วยลูกไม่ได้”“อือ พ่อ…แม่”สองคนพ่อแม่ทำได้เพียงอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ มองดูลูกสาวทรมานเพราะพิษไข้อยู่อย่างนั้นจากนั้นจึงกล้ำกลืนฝืนใจตนเองออกไปทำงานในทุ่ง เพราะเกรงว่าคนเป็นย่าจะโทษหลานสาวที่น่าชังคนนี้อีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงบ้านเห็นลูกสาวตัวเย็นลงก็เบาใจ ให้ดื่มยาสมุนไพรเพิ่มเข้าไปอีก
บทที่ 5 วิญญาณเข้าร่าง“พี่ไม่ได้จะขโมยผลงานของเราหรอกใช่ไหมคะ” แต่แล้วอยู่ ๆ เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นกลางวงสนทนาและต้อนรับผู้จัดการคนใหม่ ดูเหมือนเธอมีแผลในใจ เนื่องจากผู้จัดการคนเก่านอกจากโดนข้อหาฉ้อโกงแล้ว เขายังขโมยผลงานของเด็ก ๆ ในร้านไปด้วย“เรื่องนี้ขอให้ทุกคนวางใจได้เลยค่ะ ฉันไม่จำเป็นต้องขโมยผลงานของใคร เพราะโดยปกติเงินเดือนและคอมมิชชันของผู้จัดการ ก็ได้รับส่วนแบ่งจากผลงานยอดขายในร้านอยู่แล้ว” เว่ยจิงจิงกล่าวอย่างจริงจัง พร้อมกวาดตามองไปรอบ ๆ“อีกอย่างฉันขอเอาฐานะของยอดนักขายแห่งปีที่ได้สองปีซ้อนเป็นประกัน นอกจากจะไม่แย่งผลงานใครแล้ว ฉันยังจะช่วยเทรนด์ทุกคนและแบ่งปันวิธีขายของฉันให้กับทุกคนได้เรียนรู้โดยไม่หวงเลยแม้แต่น้อย พวกเราจะทำให้ยอดขายของร้านเติบโตไปด้วยกัน!” ว่าแล้วก็กำมือแล้วชูขึ้น ส่งผลให้คนในร้านรู้สึกฮึกเหิมตามไปด้วย จึงส่งเสียงร้องเฮ่! แล้วชูมือขึ้นตาม ๆ กัน ในร้านใหม่นี้มีหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ เนื่องจากห้างสรรพสินค้ากงโม่นอกจากรองรับลูกค้ามีเงินแล้ว ยังมีส่วนร้านใหญ่ที่รองรับลูกค้าทั่วไป สินค้าหลากหลายกว่ามาก ด้วยเหตุนี้จึงมีสองส่วนแยกจากกัน และมีผู้จัดก
บทที่ 6 ไม่ใช่ความฝัน“ซิ่วอิง ลูกกินอาหารให้หมดก่อน ดื่มยา แล้วนอน พ่อสัญญาว่าตื่นขึ้นมาลูกจะมีของกินเยอะกว่านี้”จิงจิงเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาสับสน ทำไมพ่อในความฝันช่างใจดีเหลือเกิน เธอเองก็อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นแบบนี้น่าเสียดายที่ครอบครัวแสนอบอุ่นนี้กลับมีมารผจญเป็นย่าแท้ ๆ ของเจ้าของร่างถ้าหากนี่เป็นความฝันและทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมา จิงจิงคงรู้สึกดีจนไม่อยากจะตื่นเลย ยิ่งหากกำจัดครอบครัวชั่วร้ายของเจ้าของร่างเดิมได้ ก็จะยิ่งดี“ไม่ต้องห่วงนะอิงอิงลูกรัก พ่อกับแม่จะไปหาข้าวมาให้ลูกกินเพิ่ม”“แค่นี้…ก็กินได้ค่ะ” จิงจิงก้มหน้าลงขณะพูดความฝันนี้เหมือนจริงเหลือเกินกระทั่งน้ำข้าวในช้อนยังจืดเย็นชืดจนแทบกลืนไม่ลง เธอยอมกินสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าข้าวด้วยความกล้ำกลืนหากตนมาอยู่ในร่างของเด็กสาวคนนี้ ซึ่งอยู่ในยุค 70 ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ เช่นนั้นก็แสดงว่าต้องใช้ชีวิตไปก่อนจนกว่าจะตื่นจากฝันอย่างนั้นเหรอทั้ง ๆ ที่กำลังจะซื้อบ้านได้แล้วแท้ ๆไม่รู้ว่าเจ้าโจรที่ขโมยไปจะถูกตามตัวพบหรือไม่จิงจิงรู้ดีว่าเคสที่โจรขโมยเงินสดแบบนี้เอากลับคืนมายากมาก ดูเหมือนเมื่อฟื้นขึ้นสิ่งแรกที
บทที่ 7 ย่ามหาภัย“นังเด็กเสียเงินคนนี้ นอกจากสำออยทำเป็นป่วยมาหลายวัน ในที่สุดก็หางโผล่ออกมาแล้วใช่ไหม หายดีแล้วทำไมหล่อนไม่ตามนังเหม่ยฟางไปทำงานที่ทุ่งฮะ! แล้วไหนเมื่อวานยังทำให้เจ้าเว่ยตงไม่ไปช่วยงานจนเสียคะแนนอีก นังเด็กเสียเงิน แกมันคนไร้ประโยชน์จริง ๆ”“พ่อไปหาข้าวมาให้ฉัน เพราะที่บ้านไม่มีข้าวให้ครอบครัวเรากิน ส่วนแม่ก็ทำงานงก ๆ อยู่ในทุ่งเพื่อให้บ้านมีแต้มแลกข้าวมาเยอะ ๆ แต่เราไม่เคยกินกันจนอิ่มเลย”“นังเด็กคนนี้ นี่กล้าขึ้นเสียงกับผู้ใหญ่งั้นเหรอ ดี! นังสะใภ้คนนี้เลี้ยงไม่เชื่องอย่างที่ฉันคิดจริง ๆ ถึงขนาดเสี้ยมสอนลูกสาวเลว ๆ แบบนี้ออกมาได้”นางหวังซื่อโมโหจนตัวสั่นไปหมด ชี้หน้าด่าเว่ยซิ่วอิงจนนิ้วแทบทิ่มตา“แล้วที่ฉันพูดมันผิดตรงไหน เราทั้งสามคนทำงานงก ๆ เลี้ยงคนทั้งครอบครัว นี่มันมีความยุติธรรมตรงไหนกัน นอกจากนี้พอพ่อไม่ยอมให้ฉันแต่งงานกับคนที่คุณหามา ก็มาว่าเราไร้ประโยชน์ มันก็แค่คุณไม่ได้อย่างใจเท่านั้นแหละ”“นัง! นังเด็กเสียของ” หวังซื่อไม่คิดว่าจะโดนเด็กรุ่นหลังพูดถอนหงอกตนขนาดนี้ รีบยกมือขึ้นหวังใช้ไม้ทุบเด็กสาวตรงหน้าให้ตาย ๆ ไปเสียอย่างไรมันก็ไร้ประโยชน์ พ่อแม่ไม่ยอ
บทที่ 6 ไม่ใช่ความฝัน“ซิ่วอิง ลูกกินอาหารให้หมดก่อน ดื่มยา แล้วนอน พ่อสัญญาว่าตื่นขึ้นมาลูกจะมีของกินเยอะกว่านี้”จิงจิงเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาสับสน ทำไมพ่อในความฝันช่างใจดีเหลือเกิน เธอเองก็อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นแบบนี้น่าเสียดายที่ครอบครัวแสนอบอุ่นนี้กลับมีมารผจญเป็นย่าแท้ ๆ ของเจ้าของร่างถ้าหากนี่เป็นความฝันและทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมา จิงจิงคงรู้สึกดีจนไม่อยากจะตื่นเลย ยิ่งหากกำจัดครอบครัวชั่วร้ายของเจ้าของร่างเดิมได้ ก็จะยิ่งดี“ไม่ต้องห่วงนะอิงอิงลูกรัก พ่อกับแม่จะไปหาข้าวมาให้ลูกกินเพิ่ม”“แค่นี้…ก็กินได้ค่ะ” จิงจิงก้มหน้าลงขณะพูดความฝันนี้เหมือนจริงเหลือเกินกระทั่งน้ำข้าวในช้อนยังจืดเย็นชืดจนแทบกลืนไม่ลง เธอยอมกินสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าข้าวด้วยความกล้ำกลืนหากตนมาอยู่ในร่างของเด็กสาวคนนี้ ซึ่งอยู่ในยุค 70 ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ เช่นนั้นก็แสดงว่าต้องใช้ชีวิตไปก่อนจนกว่าจะตื่นจากฝันอย่างนั้นเหรอทั้ง ๆ ที่กำลังจะซื้อบ้านได้แล้วแท้ ๆไม่รู้ว่าเจ้าโจรที่ขโมยไปจะถูกตามตัวพบหรือไม่จิงจิงรู้ดีว่าเคสที่โจรขโมยเงินสดแบบนี้เอากลับคืนมายากมาก ดูเหมือนเมื่อฟื้นขึ้นสิ่งแรกที
บทที่ 5 วิญญาณเข้าร่าง“พี่ไม่ได้จะขโมยผลงานของเราหรอกใช่ไหมคะ” แต่แล้วอยู่ ๆ เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นกลางวงสนทนาและต้อนรับผู้จัดการคนใหม่ ดูเหมือนเธอมีแผลในใจ เนื่องจากผู้จัดการคนเก่านอกจากโดนข้อหาฉ้อโกงแล้ว เขายังขโมยผลงานของเด็ก ๆ ในร้านไปด้วย“เรื่องนี้ขอให้ทุกคนวางใจได้เลยค่ะ ฉันไม่จำเป็นต้องขโมยผลงานของใคร เพราะโดยปกติเงินเดือนและคอมมิชชันของผู้จัดการ ก็ได้รับส่วนแบ่งจากผลงานยอดขายในร้านอยู่แล้ว” เว่ยจิงจิงกล่าวอย่างจริงจัง พร้อมกวาดตามองไปรอบ ๆ“อีกอย่างฉันขอเอาฐานะของยอดนักขายแห่งปีที่ได้สองปีซ้อนเป็นประกัน นอกจากจะไม่แย่งผลงานใครแล้ว ฉันยังจะช่วยเทรนด์ทุกคนและแบ่งปันวิธีขายของฉันให้กับทุกคนได้เรียนรู้โดยไม่หวงเลยแม้แต่น้อย พวกเราจะทำให้ยอดขายของร้านเติบโตไปด้วยกัน!” ว่าแล้วก็กำมือแล้วชูขึ้น ส่งผลให้คนในร้านรู้สึกฮึกเหิมตามไปด้วย จึงส่งเสียงร้องเฮ่! แล้วชูมือขึ้นตาม ๆ กัน ในร้านใหม่นี้มีหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ เนื่องจากห้างสรรพสินค้ากงโม่นอกจากรองรับลูกค้ามีเงินแล้ว ยังมีส่วนร้านใหญ่ที่รองรับลูกค้าทั่วไป สินค้าหลากหลายกว่ามาก ด้วยเหตุนี้จึงมีสองส่วนแยกจากกัน และมีผู้จัดก
บทที่ 4 นักขายมือทอง“แม่ครับ ถ้าอย่างนั้นให้อาเหม่ยหยุดงานดูลูกที่บ้านสักวันนะครับ จนกว่าซิ่วอิงจะดีขึ้น ผมจะได้วางใจ”“ไม่มีทาง ลูกแกก็คนหนึ่งแล้ว จะให้เมียแกหยุดอีกเหรอ แล้วแบบนี้บ้านเราจะเอาอะไรกินกันล่ะ”“ก็ให้น้องรอง…” เว่ยตงกำลังจะสวนกลับบอกให้น้องรองทำงานเพิ่มสักหน่อย ส่วนเขาก็จะทำเพิ่มเหมือนกัน แต่กลับโดนมารดาหยุดเอาไว้“ไม่รู้แหละ อย่างไรเมียแกก็ต้องไปทำงานในทุ่ง พักเที่ยงค่อยกลับมาดูแลก็ได้ เรื่องมากจริง ๆ เลย”“...” เว่ยตงได้แต่ก้มหน้ายอมรับ ก่อนจะเดินกลับห้องโดยไม่พูดอะไรอีก เมื่อเขากลับมาถึงห้องเห็นภรรยาที่เพิ่งกลับมาถึงเหมือนกันได้ส่ายหน้าให้ บ่งบอกว่าขอยืมเงินญาติไม่ได้เช่นกัน เวลานี้สองสามีภรรยาเป็นทุกข์ยิ่งนัก ที่ไม่สามารถพาลูกไปหาหมอในเมืองได้อย่างที่ต้องการ“อิงอิง แม่กับพ่อขอโทษที่ช่วยลูกไม่ได้”“อือ พ่อ…แม่”สองคนพ่อแม่ทำได้เพียงอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ มองดูลูกสาวทรมานเพราะพิษไข้อยู่อย่างนั้นจากนั้นจึงกล้ำกลืนฝืนใจตนเองออกไปทำงานในทุ่ง เพราะเกรงว่าคนเป็นย่าจะโทษหลานสาวที่น่าชังคนนี้อีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงบ้านเห็นลูกสาวตัวเย็นลงก็เบาใจ ให้ดื่มยาสมุนไพรเพิ่มเข้าไปอีก
บทที่ 3 ล้มป่วย“สำออย! นอนกินบ้านกินเมือง ให้มันได้อย่างนี้สิ ไม่สู้ให้นังเด็กไร้ประโยชน์นี่แต่งงานออกไปยังทำประโยชน์ได้กว่านี้อีกมาก”“แม่คะ อย่าตีเลยค่ะ อิงอิงลูก ตื่นเร็วเข้า” คนเป็นแม่พยายามปลุกลูกสาวให้ตื่นขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือสีหน้าเป็นกังวลของคนเป็นแม่ ถัดไปด้านหลังหน้าประตูห้องเล็ก ๆ มีร่างท้วมของผู้เป็นย่ายืนอยู่“แม่ครับ อิงอิงไม่สบายจริง ๆ สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะโดนตีเข้าที่หัวเมื่อวาน ให้แกพักผ่อนหน่อยเถอะครับ” เว่ยตงพยายามพูดกับแม่ดี ๆ แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ฟังแม้แต่น้อย ซ้ำยังจับคำพูดเขาไปบิดเบือนได้อีกเป็นกระบุง“หน็อย! นี่แกพูดว่าที่มันไม่ยอมลุกมาทำงานทำการแบบนี้ เป็นเพราะฉันงั้นเหรอ ฉันคิดว่านังเด็กเสียเงินนี่ขี้เกียจตัวเป็นขน เลยสำออยไม่อยากลุกเองนั่นแหละ”“แม่ครับ!” เว่ยตงขวางมารดาตนเองไว้ เมื่อโดนลูกชายที่ตัวใหญ่กว่าขวางไว้ทำให้นางหวังซื่อเข้ามาในห้องไม่ได้ จึงฮึดฮัดอยู่หน้าห้องอย่างขัดใจ“ยังไม่เตรียมตัวไปทำงานกันอีก! จะมากเกินไปแล้วนะ ถ้าจะไม่ทำอะไรแบบนี้ก็ให้มันแต่งออกจากบ้านไปเดี๋ยวนี้เลย บ้านหลังนี้ไม่ต้องการตัวขี้เกียจ”เว่ยซิ่วอิงมองทะลุผ่านช่องเล็กระห
บทที่ 2 โดนทำร้าย“สำออยอะไรกัน โดนไม้กวาดแค่นี้ ยังไม่รีบเข้าไปทำอาหารเย็นอีก คนรอกินข้าวอยู่ทั้งบ้านไม่รู้หรือยังไง” ไม่พูดเปล่า ยังใช้ไม้ตีเข้าไปที่ผนังห้องครัวหลายครั้งจนฝุ่นกระจายฟุ้งไปทั่ว“อืดอาดยืดยาดไม่รู้จักเวล่ำเวลา หรือจะให้ฉันต้องตีพวกแกกระตุ้นอีกฮะ! เป็นวัวเป็นควายหรือยังไง”คำขู่ของหญิงชราทำให้เว่ยตงพร้อมทั้งลูกและภรรยาอึ้งไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าแม่ของตนหรือย่าแท้ ๆ ของตนจะคิดเช่นนั้น วัวควายกินหญ้าและมีไว้ให้คนจูงจมูกไปทั่ว ยังไม่ถูกตีหนักเท่าพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกเลยด้วยซ้ำแต่พอมีคนมาตอกย้ำแบบนี้ก็ยิ่งทำให้นึกย้อนกลับไป ดูเหมือนพวกตนมีชีวิตที่แย่ยิ่งกว่าวัวควายเสียอีก“ย่าใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ อย่าโมโหเลยค่ะจะกระทบต่อสุขภาพนะ” เว่ยหนานหลานรักที่ยืนนิ่งมาตลอดเอ่ยปากขึ้น คล้ายรู้ว่าย่ารอคอยที่จะปล่อยให้ตัวเองเดินเข้าไปประคองด้วยคำพูดออดอ้อนเอาใจ “หึ! ไม่มีใครห่วงฉันเท่าอาหนานแล้ว พวกแกมันไม่ได้เรื่อง ทำให้ฉันโมโหได้ทุกวี่ทุกวัน คิดจะให้ยายแก่เช่นฉันอกแตกตายหรืออย่างไร!” นางหวังซื่อยังไม่หายโมโห ฟาดไม้กวาดลงหลังลูกชายคนโตเบา ๆ อย่างเคยชินเวลาที่โมโหหรืออารมณ์ไม่ดี ก็มีเพียง
บทที่ 1 ไม่เป็นที่รักใคร่ปิตาธิปไตยหรือการชอบลูกชายมากกว่าลูกสาวนั้นมีมาตั้งแต่ในอดีต โดยเฉพาะในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ซึ่งลูกชายได้แต้มเยอะกว่าลูกสาวเมื่อทำงานในคอมมูน หรือหน่วยการผลิตทางการเกษตร ที่สามารถนำแต้มเหล่านั้นมาแลกเปลี่ยนเป็นอาหาร เพื่อเลี้ยงดูปากท้องตนเองและคนในครอบครัว เพราะแบบนั้นอย่างไรล่ะ จึงทำให้การมีลูกชายเป็นที่นิยมมากกว่าลูกสาว จนมีคำติดปากที่กล่าวว่า ‘ลูกสาวเสียเงินเปล่า’และนี่ยังไม่รวมกับความเชื่อที่มีมาตั้งแต่โบราณ ที่ว่าการมีลูกสาวนั้นก็เหมือนมีกระโถนตั้งอยู่หน้าบ้าน เหมือนน้ำที่สาดออกไป เพราะเมื่อโตขึ้นก็ต้องแต่งออกไปและกลายเป็นคนของตระกูลอื่นอยู่ดี นั่นจึงทำให้ลูกสาวไม่เป็นที่พอใจ หรือไม่เป็นที่ต้องการของคนในครอบครัวที่มีความคิดหัวโบราณแบบนั้นเช่นเดียวกับ ‘เว่ยซิ่วอิง’ เด็กสาวที่โชคร้ายผู้เกิดมาในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง หากผู้คนในปัจจุบันรับรู้คงได้แต่คิดว่านั่นเป็นค่านิยมเก่า ๆ ที่ไม่ควรมีอีกแล้ว เนื่องจากชายหรือหญิง ล้วนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน!!แต่ในตอนนี้ยุค 70 คือ ยุคปัจจุบันของเว่ยซิ่วอิง นั่นทำให้แม้จะเป็นลูกจากบุตรชายคนโต แต่กลับไม่เป็นที่พอใจของคนในบ้า