“นี่ฉัน…นี่ฉันทะลุมิติมาทั้งร่างซิ่วอิงงั้นเหรอ” จิงจิงใช้มือลูบใบหน้าตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ เธอแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
แต่หลังจากสังเกตรอบร้านดี ๆ ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอเดินไปทางเคาน์เตอร์คิดเงินซึ่งควรจะเป็นประตูหน้าร้าน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผนังสีขาวพร้อมบรรยากาศที่คุ้นตาเป็นภาพฉายอยู่บนนั้น
“นี่มัน…ห้องนอนของซิ่วอิงและพ่อแม่นี่นา”
สมองของจิงจิงเต็มไปด้วยความมึนงง ตอนนี้เธอคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น ทำได้เพียงหมุนตัวรอบ ๆ เพื่อมองร้านนี้ให้ชัดอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งเข้าไปหยุดยืนหน้ากระจกเต็มตัวตรงหน้า
“ปวดหัวจริง ๆ…ดูสิหัวโนปูดใหญ่แบบนี้ เว่ยซิ่วอิงอาจตายเพราะเลือดคั่งในสมอง อาจเป็นอาการเลือดออกในสมองอย่างช้า ๆ”
จิงจิงจับจุดที่ยังปูดออกมาราวกับลูกมะนาว เธอหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยายามสังเกตอาการตัวเอง ตอนนี้เธออยู่ในร่างของเว่ยซิ่วอิง หากทุกอย่างนี้ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง จิงจิงก็ยังต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป!
“ไม่มีทางเลือกแล้ว ฉันน่าจะทะลุมิติมาอยู่ในร่างของเว่ยซิ่วอิง ฉันต้องดูแลร่างกายนี้ให้ดีถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่” ว่าแล้วก็รีบหาทางตรวจสอบ
ทันใดนั้นขณะที่กำลังเฝ้ามองหัวที่ปูดเป็นมะนาวนั้น ก็รู้สึกเหมือนลูกมะนาวดูเล็กลงเรื่อย ๆ
“นี่…นี่หรือเป็นเพราะเราอยู่ในร่างของเว่ยซิ่วอิง แล้วทำให้ร่างกายนี้ที่ตายไปค่อย ๆ ฟื้นคืนหรือเปล่า?”
จิงจิงไม่แน่ใจแต่ความเวียนหัวคลื่นไส้จากตอนแรกค่อย ๆ หายไป เธอจึงลองเดินสำรวจร้านค้านี้
“บางทีนี่อาจเป็นนิ้วทองของคนที่ทะลุมิติหรือเปล่า” หญิงสาวเดินดูทุกสิ่งโดยรอบ เครื่องสำอางต่าง ๆ ถูกจัดวางเอาไว้ที่เดิมที่เคยเห็นในร้านค้าสาขา
นอกจากนี้เนื่องจากสาขาห้างสรรพสินค้ากงโม่เป็นร้านใหญ่ระดับภูมิภาคทำให้มีหลากหลายส่วน นอกจากเครื่องสำอางเพื่อความสวยความงามแล้ว ยังมีประเภทของน้ำหอม เครื่องอาบน้ำสระผม รวมถึงส่วนของร้านขายยา ‘เภสัชกร’ ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนเวชภัณฑ์ของบริษัทอีกด้วย
“นี่เท่ากับว่าฉันมีของพวกนี้ใช้งั้นเหรอ” จิงจิงตื่นเต้นมาก เดินไปหยิบเอายาล้างแผล ยาทาแก้ช้ำทั้งหลายจากในร้านขายยามา
“โอ๊ย ซี้ด เจ็บจริง ๆ” หญิงสาวนั่งทายาให้ตัวเองอยู่หน้ากระจก ตาก็จ้องมองรอยบวมช้ำที่หัวไปด้วย หัวปูดโนหายไปแล้วจริง ๆ
“ค่อยยังชั่ว คิดว่าฉันจะต้องตายเพราะอาการแทรกซ้อนเหมือนกับเว่ยซิ่วอิงตัวจริงซะแล้ว” เว่ยจิงจิงถอนหายใจโล่งอก
หลังจากครุ่นคิดดีแล้ว หากนี่เป็นร่างจริงที่สามารถเข้าออกมิตินี้ได้ ถ้าอย่างนั้น…
ก๊อก ๆ แอ๊ด~ เสียงเคาะก่อนเปิดประตูทำให้หญิงสาวหันไปดู ทันใดนั้นก็รู้สึกตัวเบาโหวงวูบหนึ่งคล้ายหน้าจะทิ่มกับพื้น
เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็มาปรากฏตัวอยู่นอกมิติเสียแล้ว
“ซิ่วอิง พ่อมาแล้ว มานี่เถอะพ่อเอาข้าวมาให้”
“พ่อ”
จิงจิงสะดุ้งมองไปที่ประตู ก่อนหันมองรอบตัวอย่างสับสน ความมึนหัวค่อย ๆ หายไป หญิงสาวรีบยกมือขึ้นจับจุดที่เคยปูดบวม เมื่อพบว่ามันหายไปแล้วก็พรูลมหายใจออกมา
จากนั้นก็ยกแขนขึ้นเพื่อดูว่ามีรอยใส่ยาหรือไม่ หลังจากเห็นว่ามียาแก้ฟกช้ำถูกป้ายเอาไว้บาง ๆ ก็ค่อยเบาใจ ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่เห็นจะเป็นเรื่องจริง
ก่อนจะทันได้คิดอะไรเสียงบิดาก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“คราวนี้พ่อเอาผัดผักที่เจ้าชอบมาให้ด้วย กินเยอะ ๆ นะอาซิ่วอิง” เว่ยตงมองบุตรสาวด้วยความรักและรู้สึกผิด
“ค่ะ” จิงจิงรับคำงึมงำ มองผัดผักที่ว่าด้วยสีหน้านิ่งเรียบ เพราะมันแทบไม่ต่างจากผักต้มธรรมดา นอกจากนี้กลิ่นเหม็นเขียวที่ตีขึ้นจมูกทำให้รับรู้ว่านี่ไม่ใช่ผัดผักแต่เป็นผักป่าต้มน้ำเท่านั้น
แน่นอนแหละ ย่าเว่ยจะยอมให้เหม่ยฟางใช้น้ำมันได้อย่างไร ขณะที่โต๊ะใหญ่ได้กินน้ำมันหมูแทบทุกมื้อ แต่ครอบครัวของเธอได้กินแค่ของที่เก็บมาเอง หรือหากอยากกินเยอะก็ทำได้แค่เอาผักมาผัดน้ำเพิ่มเท่านั้น จะเติมเกลือสักนิดยังไม่ได้เลย
“รีบกินเถอะ” เว่ยตงชะงักไปมองค้างอยู่ที่มือของผู้เป็นลูกสาว
จิงจิงรู้สึกสงสัยสายตาของพ่อจึงก้มลงมองเช่นกัน ก่อนต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าตนเองเผลอหยิบอะไรติดมือมาด้วย เมื่อครู่มัวสนใจพ่อเลยไม่ทันได้มองเห็น
“นี่…นี่มันอะไร” เขามองของประหลาดในมือลูกสาวด้วยความแปลกใจแล้วถามขึ้น
“ซิ่วอิงลูกเอาของนี่มาจากไหน นี่ดูเป็นของแพงมาก ๆ ลูกไปเอามาจากห้องของเว่ยหนานหรือเปล่า” ผู้เป็นพ่อไม่อยากมองลูกสาวในแง่ร้าย แต่ก็อดคิดไม่ได้ ในใจเขายังเจ็บปวดเมื่อคิดว่ามีเพียงเว่ยหนานที่สามารถมีของแบบนี้ได้ ขณะที่ลูกสาวของเขาไร้ซึ่งของสวยงามอย่างนั้นในครอบครอง
เว่ยตงไม่มีความคิดที่จะเอาผิดลูกสาว เพียงแต่รู้ดีถึงฐานะของครอบครัวตน และการปฏิบัติที่ได้รับจากปู่ย่า เว่ยซิ่วอิงไม่มีทางมีของแบบนั้นในครอบครองได้อย่างแน่นอน
“ลูกไปเอามาจากไหน ซิ่วอิง บอกพ่อมาเถอะ” เว่ยตงมองลูกสาวอย่างเป็นห่วง หากหล่อนเผลอไปหยิบมาจากห้องของเว่ยหนาน หรืออยากได้จริง ๆ ก็อาจจะหาทางอื่นที่ไม่ใช่การลักขโมยแบบนี้
เพราะนี่ไม่เท่ากับการเพิ่มปัญหาหรือ
หากมารดาของตนรู้ว่าเว่ยซิ่วอิงหยิบของมาจากห้องของเว่ยหนาน ลูกของเขาต้องถูกตีตายแน่นอน
“ซิ่วอิง…”
เสียงเรียกของพ่อทำให้ซิ่วอิงได้สติ เมื่อครู่เธอตกตะลึงจนพูดไม่ออก แม้จะยืนยันแล้วว่าเป็นเรื่องจริง แต่ไม่คิดว่าจะสามารถนำเครื่องสำอางในร้านออกมาในโลกความจริงได้ด้วย คิดว่ามีให้เข้าไปใช้ได้อย่างเดียวเสียอีก
“พ่อคะ อิงอิงบังเอิญเก็บได้เมื่อหลายวันก่อนค่ะ” ซิ่วอิงพยายามขุดความทรงจำ
เพราะทุกครั้งที่ออกจากบ้านมักมีพ่อหรือแม่ติดตามไปด้วยเสมอ แต่มีเพียงเวลาเข้าป่าหาของป่าเท่านั้นที่จะมีช่วงเวลาได้อยู่เพียงลำพังบ้าง และรอบล่าสุดคือเมื่อห้าวันก่อน
“ตอนนั้นพ่อยังจับกระต่ายได้ด้วย” จิงจิงเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นบิดาด้วยรอยยิ้มกว้าง “อิงอิงยังได้กินหูกระต่ายเลย อร่อยมาก”
ที่จริงในความทรงจำคือมันรสชาติแย่มากเลยทีเดียว เพราะไม่สามารถแย่งเนื้อส่วนอื่นมาจากโต๊ะใหญ่ได้ ครอบครัวเธอจึงได้รับเพียงเศษเนื้อ แถมยังต้องแยกทำเพราะย่าเว่ยหวงน้ำมันกับเครื่องปรุง
สุดท้ายแล้วอาหารอร่อย ๆ ขึ้นโต๊ะของผู้ชายและคนสำคัญในบ้าน ขณะที่โต๊ะบ้านเว่ยซิ่วอิงนั้นมีเพียงเนื้อกระต่ายรวนไฟ กับต้มผักป่าที่ถูกเรียกปลอบใจว่าผัดผัก
“วันนั้นเอง” เว่ยตงพยักหน้าเข้าใจ จึงไม่เซ้าซี้อีก เขาจดจำวันนั้นได้ดี ดูเหมือนลูกสาวคงเก็บมาได้จากในป่าจริง ๆ
“แต่ถ้ามีคนมาถามลูกก็ควรให้เขาคืนไปนะ อย่าเก็บเอาไว้เลย จะเป็นปัญหาซะเปล่า ๆ”
“ได้ค่ะ” จิงจิงตอบรับอย่างแข็งขัน ถ้ามันเป็นปัญหาก็หลีกเลี่ยงก่อน แต่ถ้าคนมาถามเป็นปัญหาละก็เธอไม่ปล่อยไว้แน่
“เอาละ ลูกกินข้าวเถอะ พ่อกับแม่ต้องไปทำงานแล้ว นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ กินยาแล้วค่อยนอนนะลูกรัก”
“ได้ค่ะพ่อ อิงอิงจะนอนเยอะ ๆ” จิงจิงตอบรับด้วยความว่าง่าย เมื่อพ่อออกไปโดยงับประตูไว้อย่างดี เธอจึงหันมามองตลับแป้งในมือ
นี่เป็นตลับแป้งที่หยิบติดมือมาพร้อมกับอุปกรณ์ทำแผล เธอยังลองใช้ทาบาง ๆ บนใบหน้าเพราะเนื้อแป้งเป็นแบบบางเบาใช้แล้วไม่หนาเตอะ
นอกจากนี้โชคดีที่บรรจุภัณฑ์เป็นแบบวินเทจและไม่ใช่ลายสวยงามอย่างบางรุ่น ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะปกปิดจากบิดา
“เอาของออกมาได้จริง ๆ งั้นเหรอ” จิงจิงเปิดแป้งดูพบว่ามันยังปกติทุกอย่าง สามารถใช้ได้ตามที่ต้องการ หญิงสาวอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
“แบบนี้ก็ดีสิ ไหนดูซิ…” หญิงสาวลองนึกถึงที่ทำงานเหมือนที่ทำก่อนหน้านี้ อยู่ ๆ ก็รู้สึกเบาโหวงในช่องท้อง แล้วก็มาโผล่อยู่ในร้านอีกครั้ง
ร้านเครื่องสำอางยังคงอยู่ที่เดิม ที่ประหลาดคืออุปกรณ์ทำแผลที่จิงจิงวางทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว ดูเหมือนมันจะถูกเก็บกลับเข้าที่
หญิงสาวเดินไปที่เคาน์เตอร์ยา พบว่าแอลกอฮอล์ล้างแผลถูกเติมจนเต็มอีกครั้ง เมื่อหยิบขวดด้านหน้าออกมาก็พบว่ายังไม่ถูกเปิด
บทที่ 10 สำรวจมิติอีกครั้งจิงจิงลองอีกครั้งด้วยการเทแอลกอฮอล์ล้างแผลทิ้งขยะข้างเคาน์เตอร์ วางขวดไว้บนโต๊ะ แล้วจึงออกไปจากที่นี่ โดยการคิดว่าอยากออกไปที่โลกภายนอกทันใดนั้นก็รู้สึกวูบโหวงอีกครั้งแต่อาการไม่ได้แย่เหมือนช่วงแรก ๆ นี่ทำให้หญิงสาวตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นก็ลองคิดเข้าไปด้านในอีก คราวนี้มาโผล่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ยาทันทีขวดแอลกอฮอล์ล้างแผลหายไปแล้ว บนชั้นมีเติมจนเต็มไม่มีขวดที่เหลือครึ่งหนึ่งอยู่ตรงไหนเลย บ่งบอกว่าของบนชั้นจะใช้ไปเท่าไรก็ถูกเติมจนเต็มเมื่อเข้ามาใหม่อยู่ดี“แบบนี้ถ้าเอาออกไปข้างนอกล่ะ” เว่ยอิงเริ่มพบปัญหาเล็กน้อย เมื่อบรรจุภัณฑ์ของบริษัทค่อนข้างทันสมัย โดยเฉพาะในเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ทั้งหลายหญิงสาวหยิบตลับแป้งที่ถือติดมือไปแล้วเดินกลับไปที่ชั้นวางที่หยิบมา ก่อนจะพบว่าบนชั้นมีตลับแป้งวางเต็มอีกครั้ง“นี่มัน…แล้วที่อยู่ในมือฉันล่ะ” จิงจิงรู้สึกว่ามิติของเธอน่าอัศจรรย์อย่างมาก สามารถเติมของที่ถูกนำออกจากมิติไปได้ด้วย“ทำไมในร้านยังมีคอมพิวเตอร์คิดเงิน คงต้องลองดูก่อนเผื่อจะใช้งานได้” ซิ่วอิงเดินไปที่เคาน์เตอร์ พบว่ามีระบบจัดการร้านค้าเพิ่มเข้ามา ซึ่ง
บทที่ 11 เริ่มหาเงินเข้ากระเป๋าเว่ยซิ่วอิงหยิบผ้าคลุมผืนใหญ่ที่พ่อแม่ซ่อนไว้ให้เธอใช้ในยามฤดูหนาวเพื่อนำมาห่มคลุมกายไม่ให้ใครเห็น เธอเดินเนียน ๆ ไม่ได้ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แม้จะสวมผ้าคลุมกันแดดไว้ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าใครที่เดินผ่านไปจนกระทั่งมาถึงจุดขึ้นรถหรือเกวียน มีรถเข้าเมืองแค่วันละสองเที่ยวไปและกลับซึ่งไม่ทันแล้ว แต่เกวียนจากหมู่บ้านใกล้ ๆ ขับอยู่ทั้งวันรอไม่นานก็มาถึง“ไปเมืองค่ะลุง”“สามเฟิน” คนขับเกวียนเหลือบมองแล้วบอกราคาเมื่อเห็นว่าเป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อยเม่ยซิ่วอิงคนเดิมไม่กล้าแอบเก็บเงินมีหรือจะมีเงินจ่าย โชคยังดีที่พ่อมอบเงินให้เป็นของขวัญอยู่ไม่กี่เฟินในช่วงหลายปี และเว่ยซิ่วอิงก็ยืมมาใช้ทั้งหมดแม้จะมีคุณค่าทางจิตใจจนอยากเก็บเอาไว้ แต่ความเป็นอยู่ของบ้านขึ้นอยู่กับการเดินทางครั้งนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องจ่ายไปก่อนซิ่วอิงขอโทษผีเจ้าของร่างเดิมอยู่ในใจนั่งเกวียนไม่นานก็มาถึงเมือง แต่กระโดดลงจากเกวียนก็เซแทบล้ม ก้นก็เหน็บกิน อีกทั้งยังวิงเวียนกลิ่นข้าวของผสมกลิ่นเหงื่อชาวบ้านบนเกวียนอีกด้วย“ไหวไหมเนี่ยนังอิงอิง” ป้าที่นั่งข้าง ๆ มาตลอดเอ่ยถาม“ไหวค่ะ ขอบคุณป้า”“ไหวก็ดีแล้
บทที่ 12 วางแผนแยกบ้านหลังจากซื้อของเสร็จแล้วก็รีบกลับบ้าน โดยอาศัยเกวียนเทียมคันใหม่ที่จะผ่านหมู่บ้าน อาจเพราะขากลับไม่ใช่เวลาที่คนจะกลับกันจึงมีคนบนเกวียนเทียมน้อยมากซิ่วอิงแอบฟังที่ลุง ๆ ป้า ๆ นินทาเรื่องต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูลไปด้วย ไม่แน่อาจมีประโยชน์ต่อตัวเองในอนาคต หลังลงจากเกวียนมาก็รีบเดินลัดเลาะไปตามชายป่าเพื่อกลับบ้านสกุลเว่ยกลับมาถึงบ้านโชคดีที่ไม่มีใครเห็น เพราะอย่างที่กล่าวเอาไว้คนบ้านรองนั้นชอบขลุกศึกษาหนังสืออยู่ในห้อง ส่วนย่าเว่ยก็ยังไม่กลับมาจากไปฝอยอยู่บ้านอื่นเว่ยซิ่วอิงมองซ้ายมองขวาแล้วแอบเดินเข้าห้องเล็กของครอบครัวตัวเองไป ปิดประตูลงตามหลังแล้วจึงพรูลมหายใจออกจากปาก“โชคดีที่ไม่มีใครเห็นนะ ดูเหมือนจะแอบออกไปบ่อย ๆ ไม่ได้ แต่ภายในหนึ่งอาทิตย์นี้ต้องหาทางออกจากบ้านสกุลเว่ยอีกให้ได้!”ตอนนี้เว่ยจิงจิงอยู่ในร่างของเว่ยซิ่วอิงแล้ว และต้องใช้ชีวิตในฐานะเว่ยซิ่วอิงต่อไป นี่คือโอกาสมีชีวิตอีกครั้ง เธอไม่ยอมปล่อยมือไปง่าย ๆ และจะทำให้มันดียิ่งขึ้นกลับเข้ามาในห้อง เธอเงี่ยหูฟังเสียงคนในบ้าน เมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีใครมาหาเรื่องก็เอนหลังลงบนที่นอนวูบ~ทันใดนั้นทั้งร่างก็มา
บทที่ 13 บอกความจริงพ่อแม่“พ่อคะ แม่คะ” ซิ่วอิงลุกขึ้นนั่งดี ๆ มองพวกท่านด้วยความเห็นใจ น่าสงสารทั้งคู่ที่ต้องเสียลูกสาวไป แต่หลังจากนี้เธอจะเป็นลูกสาวและกตัญญูต่อพวกเขาแทนเจ้าของร่างเดิมเอง “จริง ๆ แล้วอิงอิงรู้สึกเหมือนฝันเลยที่ได้ตื่นขึ้นมาพบหน้าพ่อกับแม่อีกครั้ง”“โถ อิงอิงลูกแม่ พูดอะไรก็ไม่รู้ ลูกต้องตื่นขึ้นมาเห็นพ่อกับแม่อยู่แล้ว ทำไมจะไม่เห็นล่ะ” เหม่ยฟางลูบหัวลูกสาวด้วยความอ่อนโยน“ใช่ อย่าคิดมากเลย ยังไงลูกก็ผ่านเรื่องแย่ ๆ มาได้แล้ว ต่อไปคงจะมีแต่เรื่องดี ๆ” เว่ยตงปลอบลูกสาว เขาไม่ได้เหมือนผู้ชายจากครอบครัวอื่นที่ทำตัวขึงขังและทำเหมือนผู้ชายอยู่เหนือผู้หญิง แต่เขาใช้คำพูดปลอบโยนภรรยาและบุตรสาวมานานจนเคยชินไปแล้ว“จริง ๆ นะคะ อิงอิงเกือบจะไม่ได้ฟื้นขึ้นมาเห็นพ่อกับแม่อีกครั้งแล้ว”“นี่…ลูกพูดจริงเหรออิงอิง” เหม่ยฟางตกใจ ดวงตาเบิกกว้างมองลูกสาว เว่ยตงเองก็มีอาการไม่ได้ต่างกันนัก“ลูกหมายความว่ายังไง ซิ่วอิง…ลูกเล่าเรื่องที่ฝันให้พ่อแม่ฟังได้ไหม” เว่ยตงถามลูกสาว พยายามทำใจเย็นทั้งที่หัวใจเต้นแรงจนเจ็บหนึบ นี่เขาเกือบจะสูญเสียลูกสาวไปจริง ๆ เหรอหากลูกสาวตายจากไปจริง ๆ เหม่
บทที่ 14 ตัดสินใจแยกบ้าน“นั่นสิ พี่สาวเพิ่งหายป่วยแต่ทำไมกินน้อยจังเลย นี่ต้องเป็นเพราะพี่สาวไม่ยอมกิน คุณลุงกับป้าสะใภ้ก็เลยไม่ยอมกินไปด้วยเลย พี่สาวจะทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้ไม่ได้นะ ยังไงพี่ก็โตแล้ว” เป็นเว่ยหนานที่ร้องรับเธอเกลียดใบหน้าสวย ๆ ของเว่ยซิ่วอิงกับแม่มัน เกลียดที่ต้องถูกเปรียบเทียบกับทั้งสองตั้งแต่ยังเด็ก แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อสุดท้ายทุกคนก็กลับมาเข้าข้างเธออยู่ดี ทั้งคุณย่า เพื่อน ๆ รุ่นพี่ที่โรงเรียน คนในครอบครัว ทุกคนอยู่ข้างอาหนานที่น่ารัก ใจดี อ่อนไหวง่ายกันทั้งนั้น ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ที่หยาบกระด้าง ไร้การศึกษาอย่างเว่ยซิ่วอิง“ครอบครัวลุงใหญ่ทำแบบนี้ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา บ้านเราคงโดนครหาแย่” เว่ยจุนแค่เข้าข้างครอบครัวตัวเองเท่านั้น และต้องการชี้ให้เห็นถึงความชอบธรรมแต่ความชอบธรรมนั้นเป็นจริงหรือ? ในเมื่อเขาก็ยังเข้าข้างครอบครัวตนเองอยู่เลย“นั่นสิ พวกแกกินทิ้งกินขว้างแบบนั้น แล้วพอออกไปทำงานก็ทำได้น้อย ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาก็มาโทษที่บ้านอีก หน็อย~ อย่านึกว่าฉันไม่รู้แผนร้ายของพวกแกนะ” หวังซื่อกัดฟันกรอดด้วยความโมโหยิ่งมีคนจากบ้านรองช่วยกันพูดยุยง ก็ยิ่งรู้สึกว่าคนบ้า
บทที่ 15 ความจริงที่แสนเจ็บปวดเว่ยถงเองก็เบื่อจะฟังเสียงบ่นน่ารำคาญของภรรยา บ้านนี้ร้อนมาตลอดตั้งแต่ซิ่วอิงไม่ยอมแต่งงาน เว่ยหยางเองก็เติบโตพอแล้ว และกำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่ปี ให้เว่ยตงออกไปใช้ชีวิตกับครอบครัวก็จะดีกว่า“เอาเป็นว่า…” ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก ย่าเว่ยก็เอ่ยแทรกขึ้นมา“ได้ยังไง จะแยกบ้านได้ยังไง ฉันกับพ่อแกยังไม่ตายเลย นี่แกแช่งให้พวกเราตายหรือยังไง!”“แม่ครับ ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลย แต่แม่บอกเองว่าบ้านเราไม่มีประโยชน์อยู่ไปก็ผลาญข้าวผลาญน้ำของบ้านเปล่า ๆ ไม่ใช่เหรอ”“พี่จะแยกบ้านทำไม ซิ่วอิงแต่งงานออกไปแล้วพวกพี่จะอยู่กันยังไงไม่มีเด็ก ๆ ดูแล อาหยางอาจุนก็จะได้ช่วยกตัญญูสืบธูปของพวกพี่” เว่ยจงกล่าว เขาเป็นน้องชายที่เว่ยตงเคยเชื่อ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าน้องชายคนนี้เจ้าเล่ห์คำพูดนี้ถูกใช้เพื่อล่อลวงให้บ้านใหญ่เว่ยเป็นทาสของคนในบ้านหลังนี้เท่านั้น เว่ยหยาง เว่ยจุนไม่เคยเคารพและเห็นเว่ยตงอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ แม้จะเรียกว่าลุงแต่ก็ไม่เคยให้ความเคารพราวกับว่าเขาเป็นเพียงคนรับใช้เมื่อตาเปิดกว้างแล้วเว่ยตงก็พบความจริงหลายข้อที่ตนไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนตลอดหลายสิบปี“ไม่ว่ายังไงผม
บทที่ 16 แยกบ้านปัง! เว่ยตงได้ยินอย่างนั้นก็ผลักประตูเข้าไป มองหน้าพ่อที่ตกตะลึงอย่างไม่อยากเชื่อ“ที่พูดเมื่อกี้ จริงเหรอครับพ่อ”เว่ยตงคิดมาตลอดว่าที่ผ่านมา การที่เขาถูกรังเกียจเพราะแม่รักน้องมากกว่าตนเอง แต่สุดท้ายพ่อแม่อย่างไรก็ต้องอยู่กับตนเองยามแก่เฒ่าแต่เมื่อรู้ว่าตนเป็นเพียงลูกภรรยาเก่า ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทุกสิ่งที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นมาหลอกตัวเอง นางหวังซื่อไม่เก็บงำความเกลียดชังต่อเว่ยตงแม้แต่น้อย ทั้งยังไปลงที่ลูกกับเมียของเขาอีกด้วย“อาตง…” เว่ยถงไม่คิดว่าลูกชายจะมาได้ยินแบบนี้ เขาคิดทันทีว่านี่อาจเป็นโชคชะตา“มันจริงเหรอครับพ่อ!” เว่ยตงเอ่ยถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงดังขึ้น“แกจะตะโกนใส่พ่อแบบนี้ไม่ได้ แกยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า จะเข้ามาก็หัดเคาะประตูก่อน ไม่มีมารยาทจริง ๆ แกโตแล้วนะเว่ยตง อย่ามาทำตัวเหมือนกุ๊ยข้างถนนที่ไม่มีใครสั่งสอนแบบนี้ในบ้านฉัน!”นางหวังซื่อมีหรือจะยอมเงียบปาก หันมาด่าเว่ยตงโดยไม่ตกใจสักนิด แม้ความลับที่เก็บมานานหลายสิบปีจะถูกเปิดเผยแบบนี้นางยิ่งโมโหที่ไม่สามารถขัดใจตาเฒ่าได้ เพียงคิดว่าเงินเก็บของตนต้องร่อยหรอลงใจของหญิงชราก็เจ็
บทที่ 17 หายใจสะดวกขึ้น“เว่ยจงหาเงินได้เฉลี่ยเดือนละสามสิบหยวน แบ่งหนึ่งในสามเพื่อกตัญญูจะอยู่ที่สิบหยวน แบ่งให้พ่อและแม่คนละห้าหยวน แสดงว่าเว่ยตงต้องจ่ายค่ากตัญญูต่อบิดามารดาทุกเดือน หกหยวนเจ็ดเหมา มีใครต้องการคัดค้านหรือไม่”“นี่มันน้อยเกินไป ฉันเลี้ยงเว่ยตงมาเหมือนกันแต่ได้เงินแค่นี้เนี่ยนะ อีกอย่างเว่ยตงทำงานเดือนหนึ่งก็ได้มากกว่าสามสิบหยวน บางเดือนได้ห้าสิบหยวน ยังมีสองคนนั่นอีก ได้เดือนหนึ่งรวมกันก็ห้าสิบหกสิบหยวน แต่ฉันได้เงินแค่หกหยวนเนี่ยนะ”“นี่…” เว่ยถงหันมองภรรยาอย่างไม่อยากเชื่อ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยนับกระเป๋าเงินเข้าออกของบ้าน และเข้าใจมาตลอดว่าหลานสาวป่วยจนต้องใช้เงินบ่อย ๆ ทำให้ภรรยาตนไม่ชอบหลานสาวคนโตเท่าไรแต่ไม่คิดเลยว่าทั้งหมดจะเป็นคำพูดโกหก ที่จริงแล้วคนที่กินเงินต่างข้าวก็คือภรรยาของเขานี่เองแต่เมื่อเหลือบมองคนนอกทั้งสองที่มีหน้ามีตาในสังคมก็รู้สึกอายเกินกว่าจะพูดออกมาในตอนนี้ จึงเลือกที่จะเงียบเอาไว้เท่านั้น“ในเมื่อเว่ยจงเป็นคนเลี้ยงดูพ่อแม่ต่อก็ต้องคำนึงจากรายรับและเงินกตัญญูของเขาเป็นหลัก เราจะทำแบบนั้นไม่ได้ อย่างมากก็เพิ่มได้ไม่กี่หยวน เว่ยตงเธอมีความคิดเห็น
ตอนพิเศษ 4 ตลอดไปชีวิตของซิ่วอิงตอนนี้มีความสุขมาก ความจริงเธอก็มีความสุขตลอดมาอยู่แล้ว แต่เมื่อคิดว่ามีเด็กตัวเล็ก ๆ กำลังอาศัยอยู่ภายในร่างกายตัวเองและเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน มันเป็นความสุขที่แตกต่างออกไปจริง ๆ“อีกสิบวันก็จะได้เจอหน้ากันแล้วนะลูก” หญิงสาวใช้มือลูบหน้าท้องที่ใหญ่ไม่ต่างจากลูกแตงโมของตนเอง นี่ก็ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว ทำให้เมื่อสามีออกไปทำงาน หลันถังกับเหม่ยฟางผู้เป็นแม่ก็จะแบ่งเวลามาอยู่เป็นเพื่อนเสมอถึงตอนนี้หลันเซียงฮั่นจะย้ายมาประจำการอยู่ใกล้ ๆ แต่เขายังคงต้องเดินทางไปทำงานต่างเมืองเมื่อได้รับมอบหมายภารกิจ และคราวนี้ก็เช่นกันในตอนแรกเซียงฮั่นไม่คิดจากภรรยาไปจนกว่าเธอจะคลอดลูกและปลอดภัย เขากลัวว่าซิ่วอิงจะหวาดกลัวหากตนเองไม่ได้อยู่เคียงข้างตอนคลอดลูก จึงคิดปฏิเสธภารกิจในครั้งนี้และขอลาหยุดสักเดือนแต่เป็นซิ่วอิงที่คะยั้นคะยอให้ชายหนุ่มไปทำงานเพราะเหลือเวลาอีกสองอาทิตย์ก่อนถึงกำหนดคลอด อย่างไรเขาก็กลับมาทันอยู่แล้วเธอจึงนั่งอยู่ในสวนสวยเฝ้ามองหน้าประตูเป็นระยะด้วยใจคิดถึงสามีบ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกคิดทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาเล่นเสียมากกว่า ไม่ได้อยู่บ้า
ตอนพิเศษ 3 ภรรยาท้องแล้ว“อิงอิง ลุกมากินของอร่อยเถอะลูก วันนี้แม่ของอิงอิงเอาอาหารอร่อยมาฝากแม่ไว้ตั้งเยอะ”“อิงอิงยังเพลีย ๆ อยู่เลยค่ะ สงสัยเพราะช่วงนี้ทำงานหนักเกินไป ขอนอนอีกหน่อยนะคะแม่” ซิ่วอิงบอกกับแม่สามีเนื่องจากสองบ้านปรองดองกันดีมาก ซิ่วอิงใช้เงินเพื่อซื้อบ้านที่อยู่ตรงข้ามให้กับพ่อแม่ ขณะที่ตนเองเลือกจะมาอยู่บ้านแม่สามีเวลาที่คุณพ่อสามีและหลันเซียงฮั่นที่เป็นสามีไปทำงานต่างจังหวัดพร้อมกันโดยมีบ้านของตัวเองที่ใช้อยู่กับสามีต่างหากอีกหลังหนึ่ง และใช้อยู่เมื่อสามีกลับมาหาเท่านั้น แต่ปกติแล้วซิ่วอิงจะสลับไปมาระหว่างบ้านพ่อแม่ตัวเองและพ่อแม่สามีเสียมากกว่าตอนนี้เธอก็มาอยู่บ้านหลัน เพราะทั้งคุณพ่อและสามีล้วนออกไปทำงาน ส่วนเซียงฮั่นนั้นจะกลับมาในวันพรุ่งนี้“อิงอิงไม่ต้องทนนะ ไปหาหมอเลยดีกว่า บ้านเราขาดเงินทองซะที่ไหนกัน หรือแม่ซื้อโรงพยาบาลไว้ให้ก็ได้” หลันถังยังคงใจป้ำเหมือนเดิม เมื่อได้ลูกสะใภ้คนนี้มาชีวิตเธอก็มีความสุขขึ้น จนรู้สึกรักเอ็นดูซิ่วอิงเหมือนเป็นลูกของตัวเองไปอีกคน เผลอ ๆ รักมากกว่าลูกตัวเองเสียอีก“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ อิงอิงไปหาหมอเฉย ๆ ดีกว่า” ซิ่วอิงยิ้มแหยให้
ตอนพิเศษ 2 สามีที่ดีแม้ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี แต่อย่างไรในชีวิตก็ต้องมีบางสิ่งมากระทบกระทั่ง สุดท้ายแล้วซิ่วอิงและครอบครัวก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์ช่วงนี้ซิ่วอิงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย หลังสามีกลับมาจากทำงานครั้งล่าสุด เธอได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงติดมาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน เขาจะเบื่อเธอและหาเรื่องเข้าบ้านแล้วจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?มีหรือหลันเซียงฮั่นจะไม่รู้ว่าภรรยามีความกังวลอะไรบางอย่างในใจ เขาหันมองไปรอบตัวก่อนจะจับลูกน้องที่มีภรรยาแล้วมาสอบถาม“ภรรยาฉันเป็นอะไรไป” เซียงฮั่นเป็นผู้บัญชาการที่เก่งกาจ เขายังดูแลเอาใจใส่ภรรยาจนลูกน้องแอบเรียกลับหลังว่าสามีแห่งชาติ แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาชายหนุ่มก็ยังเป็นเพียงคนที่เพิ่งเคยมีความรัก“คุณผู้หญิงมีท่าทางยังไงครับ”“ช่วงนี้ไม่ค่อยให้ฉันเข้าใกล้ เวลานอนก็หันหลังให้” เซียงฮั่นนึกถึงท่าทางของภรรยาแล้วก็ปวดใจ เขาไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือเปล่า แต่พอถามแล้วเธอก็บอกว่าเปล่าและฝืนยิ้ม เก็บเรื่องราวไว้ในใจคนเดียว คิดว่าเขามองไม่เห็นอย่างนั้นเหรอ“ถ้าอย่างนั้นนายท่านไปทำอะไรมาหรือเปล่าครับ” ทหารคนสนิทมองหน้าเจ้านายอายุน
ตอนพิเศษ 1 ชีวิตที่ใฝ่หามานานตอนนี้ชีวิตใหม่ของเว่ยซิ่วอิงลงตัวอย่างมาก ได้ก่อตั้งธุรกิจในยุคแรกเริ่ม อนาคตมีแต่จะรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไม่ต้องพึ่งพามิติร้านเครื่องสำอางก็ตามนอกจากนี้ยังมีสามีคอยเอาอกเอาใจ แม่สามีแสนดีที่ไม่มีการกดขี่ลูกสะใภ้เลยสักนิด ครอบครัวของเธอก็คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเสมอซิ่วอิงคิดว่าแค่นี้เธอก็ประสบความสำเร็จมากแล้วในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ลำพังเกิดมามีแม่สามีดีอย่างหลันถัง ก็คงมีคนสงสัยว่าเธอทำบุญกู้ชาติมาในชาติก่อนแน่ ๆ ถึงได้มีชีวิตที่ดีขนาดนี้แค่ถึงอย่างไรคนเก่งก็มีปัญหาของคนเก่ง เพราะสามีต้องไปทำงานต่างเมืองบ่อย ๆ เธอเลยใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับงานในร้านกระทั่งสามีกลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว เธอก็ยังวุ่นวายอยู่กับร้านค้าโชคดีที่เซียงฮั่นเข้าใจแล้วยังสนับสนุนภรรยาให้ทำตามใจปรารถนาได้เต็มที่ เมื่อเขาได้พักเพิ่มสักหนึ่งหรือสองวัน ก็มักจะพาซิ่วอิงไปที่ร้านเสมอเพื่อเอาอกเอาใจหากพาไปร้านอาหารแบบคนหนุ่มสาวก็แล้วไป เขากลับพาเธอเข้าร้านตัวเองเพื่อให้หญิงสาวหาเงินที่เธอชอบนักหนา และแน่นอนว่าซิ่วอิงชอบการแสดงความรักของสามีแบบนี้มากกว่า“มีอะไรหรือเปล่า” ขณะที่นั่งก
บทส่งท้าย คุณคือคนที่อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตรถยนต์สีดำขับไปตามทางที่คุ้นเคยไม่นานก็มาถึงกำแพงบ้านหลัน ทหารเฝ้ายามเปิดประตูต้อนรับด้วยความยินดี เมื่อรถจอดเทียบขาเรียวก็ก้าวออกมา“อิงอิง มาแล้วเหรอจ๊ะ” ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้คือป้าหลัน พร้อมทั้งเหม่ยฟางผู้เป็นมารดาของตนเอง ซิ่วอิงไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตอะไรเพียงยื่นมือไปหาพวกท่านอย่างเป็นธรรมชาติ“ป้าหลันสบายดีไหมคะ วันนี้แอบเข้าครัวกับแม่อีกแล้วหรือเปล่า” ซิ่วอิงสนอกสนใจดูมือของผู้ใหญ่ตรงหน้า ขณะที่ท่านจับจูงเธอเดินทะลุตัวบ้านไปยังสวนด้านหลัง“ป้าเข้าครัวไปก็รกครัวเปล่า ๆ ไม่เข้าไปรบกวนเหม่ยฟางหรอกนะ”“อิงอิงลูกเงยหน้าขึ้นก่อน” เสียงอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ดังขึ้น เมื่อรู้ตัวซิ่วอิงก็มาอยู่ในสวนหลังบ้านของสกุลหลันแล้วหญิงสาวเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย สิ่งแรกที่เห็นคือร่างสูงของชายหนุ่มที่เธอคิดถึงมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาและติดต่อกันทางโทรศัพท์ไม่กี่นาทีต่อเดือนเท่านั้นตอนนี้เขายังสวมชุดทหารเต็มยศ ในมือมีช่อดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ล้อมรอบไปด้วยแสงเทียนและซุ้มดอกไม้ที่ถูกตั้งใจตกแต่งเอาไว้อย่างดีจนทั่วทั้งสวน“พี่เซียงฮั่น” ซิ่วอิงยิ้มออกมาด้วย
บทที่ 44 หาเรื่องใส่ตัว“แม่คะ เราไป…” ก่อนที่คุณหนูลู่จะพูดจบ มารดาของหล่อนก็เดินลิ่ว ๆ เข้าไปในวงสนทนาที่เว่ยซิ่วอิงอยู่ก่อนแล้ว เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้คุณหนูลู่พึงพอใจที่ไม่ต้องทำอะไรเอง“นี่มันแม่ค้าขายเครื่องสำอางนี่นา มาตรฐานงานเลี้ยงของกองทัพตกต่ำลงถึงขนาดเชิญพ่อค้าแม่ค้าข้างถนนมาร่วมงานแล้วอย่างนั้นเหรอเนี่ย” คุณนายลู่ไม่พอใจเว่ยซิ่วอิงอยู่แล้วจากงานเลี้ยงน้ำชาที่บ้านของคุณนายหลัน ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังไปได้ดีก็รู้สึกว่าต้องเข้ามาทำลายและลากคนคนนี้ลงมาให้ได้“สวัสดีค่ะ คุณนายลู่” เว่ยซิ่วอิงไม่ดิ้นเต้นไปตามอารมณ์ของคน เธอทักทายอีกฝ่ายด้วยความเคารพและมีมารยาทเพียงเท่านี้สายตาที่ทุกคนมองมาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็มองซิ่วอิงอย่างชื่นชม ขณะที่มองคุณนายลู่เหมือนนางร้ายเกรดต่ำคนหนึ่ง“โอ้ นี่ใครกัน ไม่ใช่คุณชายหลันเซียงฮั่นลูกรักของคุณนายหลันถังหรอกเหรอคะ”“สวัสดี คุณนายลู่” เซียงฮั่นจำต้องทักทายด้วยสีหน้าไม่ดีนัก เขารู้ว่าใครไม่ถูกกับมารดา และต้องหลีกหนีเสมอเมื่อเข้าสังคม แต่คราวนี้ดูเหมือนคนข้างกายจะไม่ยอมหลีกหนีง่าย ๆ ชายหนุ่มทำได้เพียงยืนปักหลักและเป็น
บทที่ 43 เหมาะสมกัน“แต่มีริ้วรอยพวกนี้ นอกจากนั้นฉันยังมีปัญหาใหญ่ในร่มผ้า หนูคิดว่าครีมนั่นจะช่วยได้ไหม”“รอยแผลเป็นเหรอคะ” ซิ่วอิงมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางเบา เธอไม่ได้ตัดสินและคิดไปก่อนว่าปัญหานั้นคืออะไร รวมถึงไม่ได้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจคุณปิงเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งสนใจในตัวหญิงสาวตรงหน้ามากขึ้น ปกติแล้วเมื่อคนรู้ว่าเธอมีแผลเป็นอยู่ใต้ร่มผ้ามักเกิดความเห็นใจขึ้นมาอัตโนมัติเป็นเรื่องธรรมดา เพราะผู้หญิงรูปร่างหน้าตานั้นสำคัญที่สุด โดยเฉพาะหญิงสาวชนชั้นสูงอย่างพวกหล่อนแต่ถึงแม้คุณปิงจะไม่มีปัญหาในเรื่องชีวิตคู่จากแผลเป็นเหล่านี้ แต่มันก็เป็นตราประทับที่เธออยากลบหากเป็นไปได้ เมื่อได้ยินว่าคุณลุงอิงสามารถลบรอยแผลเป็นได้เกือบสำเร็จแล้ว จึงแอบเดินทางมาเยี่ยมญาติในเมืองเล็ก ๆ นี้“นี่น่ะเหรอ คุณหนูหลันคนใหม่ อ๊ะ ไม่ใช่สิ ยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านหลันเลย จะกล้าเรียกตัวเองว่าคนของสกุลหลันได้ยังไง”“นั่นสิ หล่อนอยู่สกุลไหนนะ ว่าน? หวาย? อ้อ ๆ สกุลเว่ยที่เปิดร้านค้าเล็ก ๆ อยู่ในเมืองนั่นไง”เสียงเยาะเย้ยของกลุ่มคุณหนูที่อยู่ไม่ไกลดังขึ้นก่อนหน้านี้เพราะมีคนอยู่มากพวกหล่อนจึงไม่กล้าพูดอะไร ต
บทที่ 42 สนับสนุนคนรัก“ช่วงนี้คุณไม่ต้องทำงานเหรอคะ” เมื่อรถเริ่มแล่นไปตามจุดหมาย ซิ่วอิงหันไปถามคนรักด้านข้างช่วงนี้เขามาเทียวรับส่งหญิงสาวไปนู่นมานี่ แม้ว่าทุกอย่างจะง่ายขึ้นเมื่อมีเขาเดินตามหลังไปเจรจากับทางการหรือคู่ค้า แต่ซิ่วอิงยังอดที่จะเกรงใจไม่ได้“ทำอยู่ แต่อยากอยู่กับคุณมากกว่า” เมื่อชายหนุ่มพูดคำหวานออกมาหน้าตาเฉย น่าแปลกที่มันเขย่าหัวใจหญิงสาวได้มากกว่าปกติ“คุณพูดอะไรก็ไม่รู้”“ผมพูดความจริง…จากใจ”ท่าทางจริงจังของเขาทำให้หญิงสาวพอใจมาก เขาดูไม่เหมือนคนจะพูดเล่น ๆ ดังนั้นเมื่อเอ่ยคำหวานออกมาจึงน่าฟังมากกว่าชายหนุ่มที่พูดคำเหล่านั้นออกมาง่าย ๆ กับใครก็ได้นี่แหละตรงกับความชอบของเธอพอดี“ฉันดีใจมากเลยที่คุณอยากใช้เวลาด้วยกันมาก ๆ เอาเป็นว่าวันนี้เราแวะไปเที่ยวที่สวย ๆ ด้วยกันหลังทำงานเสร็จไหมคะ ฉันอยากมีความทรงจำดี ๆ ร่วมกับคุณ”“ยินดีครับ ผมก็อยากมีความทรงจำดี ๆ ร่วมกับคุณให้มาก ๆ ระหว่างที่ยังมีเวลา”ทั้งคู่พูดจาหวานหูโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าคนขับรถเหงื่อแตกพลั่กซิ่วอิงไปดูโรงงานและกลุ่มนักวิจัย เธอซื้อตัวพวกเขามาด้วยครีมระดับสูงและวัตถุดิบชั้นดีเท่าที่พอจะนำออกมาจากร้าน
บทที่ 41 กิจการดีขึ้นเรื่อย ๆดูเหมือนข่าวเรื่องการคบหาและขอหมั้นกะทันหันของคุณชายเซียงฮั่นจะเข้าหูผู้เป็นมารดาอย่างนางหลันถังเร็วมาก เพราะในวันถัดมาเมื่อซิ่วอิงตื่นเช้าขึ้น ก็พบว่ามีรถหรูมารับอยู่หน้าบ้านเสียแล้ว“แต่งตัวดี ๆ หน่อยนะลูก ป้าหลันฝากแม่มาบอกแบบนั้น” เหม่ยฟางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แม้เธอจะไม่ได้รู้เรื่องที่ลูกสาวคบหากับหลันเซียงฮั่นลูกชายของเพื่อนสนิทคนใหม่จากปากเจ้าตัว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะดีใจและภาคภูมิใจว่ากันว่าตระกูลหลันเป็นคนรักเดียวใจเดียว ว่าที่แม่สามียังดูชื่นชอบลูกสาวเธอไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเลยว่าชีวิตหลังแต่งงานของซิ่วอิงจะมีปัญหาเพียงแค่นี้ผู้เป็นแม่อย่างเหม่ยฟางก็วางใจแล้ว ขณะที่คนเป็นพ่อแม้จะกังวลแค่ไหนก็ต้องยอมปล่อยลูกสาวให้ออกจากอ้อมแขนไปในวันหนึ่งแม้ว่าเว่ยตงจะโวยวายลั่นว่าต้องการไปพูดคุยกันตระกูลหลันเร็ว ๆ ให้รู้เรื่องก็เถอะ“ชุดนี้ก็พอแล้วมั้งคะ”“เอาอย่างนี้ ลูกไม่รู้จะใส่ชุดไหนไป งั้นใส่ชุดที่ป้าหลันส่งมาให้สองสามรอบก่อนไปสิจ๊ะ” เหม่ยฟางเอ่ยปากแนะนำด้วยความที่เป็นคนจากชนบท ความรู้ด้านแฟชั่นไม่ได้มีมากเหมือนกับหลันถังที่อยู่ในเมืองมาตลอดชีวิต เธอท