“พ่อคะ แม่คะ” ซิ่วอิงลุกขึ้นนั่งดี ๆ มองพวกท่านด้วยความเห็นใจ น่าสงสารทั้งคู่ที่ต้องเสียลูกสาวไป แต่หลังจากนี้เธอจะเป็นลูกสาวและกตัญญูต่อพวกเขาแทนเจ้าของร่างเดิมเอง
“จริง ๆ แล้วอิงอิงรู้สึกเหมือนฝันเลยที่ได้ตื่นขึ้นมาพบหน้าพ่อกับแม่อีกครั้ง”
“โถ อิงอิงลูกแม่ พูดอะไรก็ไม่รู้ ลูกต้องตื่นขึ้นมาเห็นพ่อกับแม่อยู่แล้ว ทำไมจะไม่เห็นล่ะ” เหม่ยฟางลูบหัวลูกสาวด้วยความอ่อนโยน
“ใช่ อย่าคิดมากเลย ยังไงลูกก็ผ่านเรื่องแย่ ๆ มาได้แล้ว ต่อไปคงจะมีแต่เรื่องดี ๆ” เว่ยตงปลอบลูกสาว เขาไม่ได้เหมือนผู้ชายจากครอบครัวอื่นที่ทำตัวขึงขังและทำเหมือนผู้ชายอยู่เหนือผู้หญิง แต่เขาใช้คำพูดปลอบโยนภรรยาและบุตรสาวมานานจนเคยชินไปแล้ว
“จริง ๆ นะคะ อิงอิงเกือบจะไม่ได้ฟื้นขึ้นมาเห็นพ่อกับแม่อีกครั้งแล้ว”
“นี่…ลูกพูดจริงเหรออิงอิง” เหม่ยฟางตกใจ ดวงตาเบิกกว้างมองลูกสาว เว่ยตงเองก็มีอาการไม่ได้ต่างกันนัก
“ลูกหมายความว่ายังไง ซิ่วอิง…ลูกเล่าเรื่องที่ฝันให้พ่อแม่ฟังได้ไหม” เว่ยตงถามลูกสาว พยายามทำใจเย็นทั้งที่หัวใจเต้นแรงจนเจ็บหนึบ นี่เขาเกือบจะสูญเสียลูกสาวไปจริง ๆ เหรอ
หากลูกสาวตายจากไปจริง ๆ เหม่ยฟางภรรยาของตนย่อมทนไม่ไหวอีกต่อไป ส่วนตัวเขาก็คงจะเลือกตายตามลูกและภรรยาไปเช่นกัน สุดท้ายแล้วโลกใบนี้โหดร้ายเกินไปสำหรับพวกเราสามคนพ่อแม่ลูก
แต่เพราะยังมีกันอยู่ ทั้งสามจึงช่วยให้กำลังใจกันและกัน จนไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็พร้อมฝ่าฟันและกัดฟันอดทนสู้ต่อ
หากลูกสาวเสียชีวิตจริง ๆ…
“พ่อแม่ใจเย็น ๆ ก่อนค่ะ อิงอิงยังอยู่ตรงนี้” ซิ่วอิงจับมือพวกท่านเอาไว้ มือของทั้งสองเย็นเฉียบเหงื่อซึมออกมา บ่งบอกว่าหวาดกลัวมากจริง ๆ
น่าสงสาร พวกเขาไม่รู้ว่าเว่ยซิ่วอิงตายไปแล้วจริง ๆ และเว่ยจิงจิงคนใหม่ได้มาแทนที่ แต่อย่างที่เธอได้ปฏิญาณเอาไว้ในใจ ไม่ว่าอย่างไรนี่ถือว่าเป็นพ่อแม่ของเธอแล้ว เธอจะดูแลพวกเขาให้ดี
“พ่อกับแม่พร้อมจะฟังอิงอิงหรือยังคะ มันเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก แต่อิงอิงสามารถพิสูจน์ได้ว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง”
“ได้ พ่อกับแม่จะฟังลูก เล่ามาเถอะอิงอิง”
“ตอนที่หลับไปเพราะพิษไข้ อิงอิงได้เจอกับชายชราเขามอบของวิเศษให้อิงอิงค่ะ”
“จริงเหรอ?” พ่อกับแม่มองลูกสาวอย่างไม่อยากเชื่อเท่าไร
“ของที่พ่อเห็นเมื่อเช้า ก็คือของวิเศษเหมือนกัน”
เว่ยตงได้ยินอย่างนั้นก็เบิกตากว้างหันมองภรรยา วันนี้ตอนทำงานเขาแอบกระซิบเล่าเรื่องนี้ให้ภรรยาฟังแล้ว ดังนั้นทั้งคู่จึงเข้าใจตรงกัน
“นี่มันจริงเหรอ ซิ่วอิง ลูกบอกว่าเก็บมันได้จากในป่า”
“นั่นเพราะอิงอิงไม่แน่ใจว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่อิงอิงรู้แล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง นี่ไงคะ สิ่งนี้ เท่านี้ก็สามารถยืนยันว่าอิงอิงพูดเรื่องจริงได้แล้วใช่ไหม”
พึ่บ!
กองเครื่องสำอางชุดตัวอย่างทดลองหลายชนิดหลายรูปแบบมาปรากฏตรงหน้าพ่อกับแม่เว่ย พวกเขาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าจู่ ๆ จะมีอะไรโผล่มาจากในอากาศ
ทันใดนั้นพ่อเว่ยตงก็รีบดึงผ้าห่มมาคลุมของพวกนั้นเอาไว้ เก็บไว้ในหีบอย่างระมัดระวัง
“ซิ่วอิง พ่อเชื่อลูกแล้ว อย่าทำแบบนี้อีกเข้าใจไหม” ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดจริงจัง
เพราะความลับนี้ของซิ่วอิงทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกกังวล เขากลัวว่าย่าเว่ยจะรู้เรื่องนี้และหาว่าลูกสาวของเขาเป็นภูตผีปีศาจ
ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าแม่ของเขาจะทำอะไรซิ่วอิงบ้าง บางทีอาจแจ้งทหารแดง ซิ่วอิงโดนจับไปเผาหรือถ่วงน้ำ แบบนั้นไม่ก็ไม่ได้ต่างจากการบังคับให้ครอบครัวของเขาไปสู่ความตายเลย
เว่ยตงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เขาจะต้องปกป้องลูกสาวเอาไว้ให้ได้
“ซิ่วอิง ลูกต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เหม่ยฟางเองก็เหมือนกัน เราจะออกไปกินข้าวกันก่อน แล้วหลังจากนี้ค่อยคุยกับคุณพ่อ”
“พี่…พี่จะทำอะไรคะ อิงอิงลูกอย่าเพิ่งทำอะไรทั้งนั้นนะ รอก่อนให้พ่อเขาจัดการเอง ลูกจะไม่เป็นอะไรไม่ต้องกลัว”
ซิ่วอิงมองพ่อกับแม่ในชีวิตนี้ด้วยสายตาซาบซึ้ง พวกเขาเป็นคนดีเหมือนในความทรงจำจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เธอคิดไว้ก็ไม่ได้ผิดพลาดเสียทีเดียว
แค่ต้องรอดูว่าคนเป็นพ่อจะทำอะไรต่อไป
“พ่อตัดสินใจแล้ว…”
“เราออกไปกินข้าวกันก่อนเถอะ ได้เวลาข้าวเย็นแล้ว” เว่ยตงบอกกับลูกและภรรยา เขาดูเปลี่ยนไปมากหลังจากคิดตก ความสับสนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันมานี้สงบลง
“เดี๋ยวก่อนค่ะ พ่อแม่กินนี่รองท้องก่อนดีกว่า ถึงออกไปกินข้าวข้างนอกก็คงไม่ได้กินอะไรอร่อย ๆ อยู่ดี” ว่าแล้วซิ่วอิงก็สะบัดมือเบา ๆ อาหารที่เธอซื้อมาจากตลาดมืดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพ่อแม่
“ตกลง ครั้งนี้เราจะกิน แต่คราวหน้าลูกต้องสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น ตกลงไหม” เว่ยตงกล่าวกับบุตรสาว เขาหยิบอาหารขึ้นกินอย่างไม่อิดออด
เห็นอย่างนั้นเหม่ยฟางก็เอาด้วย ทั้งคู่ยังช่วยกันคะยั้นคะยอให้ซิ่วอิงกินมากขึ้น เมื่ออิ่มท้องแล้วครอบครัวสามคนจึงออกจากห้อง หลังจากทำลายหลักฐานเรียบร้อย
“เฮอะ! สำออยเหลือเกิน งานการไม่ต้องทำแล้วยังได้กินข้าวสบาย ๆ นี่บ้านเราเลี้ยงหมูไปรอเชือดหรือยังไง” เสียงพูดกระทบกระเทียบดังมาจากฝั่งบ้านรอง ย่าเว่ยนั่งอยู่ตรงนั้น ยังมีปู่ที่นั่งเงียบ ๆ ดูเหมือนพวกเขากินข้าวอิ่มแล้วและกำลังนั่งคุยกันเหมือนปกติ
“เราจะรีบกิน” เว่ยตงพูดแค่นั้น ก่อนพาลูกและภรรยาไปนั่งโต๊ะเล็กที่อยู่ไม่ไกล บนนั้นมีชามข้าวต้มสามชามและผักต้มวางอยู่ อาหารของบ้านใหญ่เว่ยก็มีแค่นี้มาโดยตลอด
“...” สามคนพ่อแม่ลูกรู้สึกกินน้ำข้าวใส ๆ ตรงหน้าแล้วขัดคอมาก เพราะเพิ่งกินอาหารดี ๆ มาจนอิ่ม
อย่างที่มีคนได้กล่าวไว้ หากไม่มีข้อเปรียบเทียบ ก็ไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อมีสิ่งมาเปรียบ ยิ่งส่งผลให้เห็นบางอย่างได้แจ่มชัดขึ้น
สีหน้าของเว่ยตงจึงไม่ดีนัก ขณะที่สองแม่ลูกมีเพียงท่าทางเหมือนไม่อยากกินข้าวตรงหน้าเท่านั้น
“แหม ๆ ๆ ทำหน้าเหมือนไม่เคยกินของพวกนั้นมาก่อน คนไม่ทำงานได้กินข้าวแค่นั้นก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“หวังซื่อ” เสียงปรามของผู้เป็นปู่ดังขึ้น นี่เป็นปกติ แต่มีหรือย่าเว่ยจะสนใจ แม้จะเงียบไปสักพักแต่เมื่อเห็นคนบ้านใหญ่ทำอะไรก็จะสอดปากพูดจาไม่ดีขึ้นมาอีก
“คุณปู่ วันนี้ผมสอบได้คะแนนดีมาก ดูสิ” เว่ยจุนช่วยย่าเบี่ยงประเด็นออกไป ทำให้ความสนใจของบ้านรองไปตกอยู่ที่เด็กชาย
ครอบครัวซิ่วอิงก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก อย่างไรก็กินข้าวมาจนอิ่มแล้ว ข้าวที่อยู่บนโต๊ะก็ราวกับไม่ใช่อาหารคน ไม่รู้พวกตนทนกินมาได้อย่างไรเป็นสิบปี
คิดแล้วซิ่วอิงก็ช่วยแม่เก็บสำรับ ขณะนั้นเสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้นอย่างฉุนเฉียว
“ดูสิ คนบ้านใหญ่นี่ดีจริง ๆ เพราะมีลุงใหญ่ทำงานหนัก วันนี้ถึงกับกล้ากินทิ้งกินขว้างแล้ว นี่บ้านเราร่ำรวยถึงขนาดนั้นแล้วเหรอครับ” เว่ยหยางเป็นหลานชายคนโต เขาถือตนเป็นคนสำคัญเสมอ
เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาต้องหาเงินแต่งงานเพิ่ม ย่าสัญญาว่าจะขายนังเด็กไร้ประโยชน์ซิ่วอิงให้กับพ่อม่ายแก่ ใครจะคิดว่านังเด็กนั่นจะปฏิเสธ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมไป
ตอนนี้ตระกูลหวังเร่งรัดมาแล้ว หากยังไม่ได้สินสอดตามคาด การหมั้นหมายคงต้องจบลง เป็นอย่างนี้จะไม่ให้เขาเกลียดนังซิ่วอิงกับแม่มันได้อย่างไร มีหน้าตาสวย ๆ เสียเปล่า กลับไม่ยอมใช้ให้เป็นประโยชน์อะไรเลย
จนเขาลืมคิดไปว่า แม้ซิ่วอิงอยากจะใช้หน้าตาร่างกายให้เป็นประโยชน์ แล้วทำไมต้องทำเพื่อประโยชน์ของคนอื่นแล้วโยนตัวเองลงนรกด้วยล่ะ?
บทที่ 14 ตัดสินใจแยกบ้าน“นั่นสิ พี่สาวเพิ่งหายป่วยแต่ทำไมกินน้อยจังเลย นี่ต้องเป็นเพราะพี่สาวไม่ยอมกิน คุณลุงกับป้าสะใภ้ก็เลยไม่ยอมกินไปด้วยเลย พี่สาวจะทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้ไม่ได้นะ ยังไงพี่ก็โตแล้ว” เป็นเว่ยหนานที่ร้องรับเธอเกลียดใบหน้าสวย ๆ ของเว่ยซิ่วอิงกับแม่มัน เกลียดที่ต้องถูกเปรียบเทียบกับทั้งสองตั้งแต่ยังเด็ก แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อสุดท้ายทุกคนก็กลับมาเข้าข้างเธออยู่ดี ทั้งคุณย่า เพื่อน ๆ รุ่นพี่ที่โรงเรียน คนในครอบครัว ทุกคนอยู่ข้างอาหนานที่น่ารัก ใจดี อ่อนไหวง่ายกันทั้งนั้น ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ที่หยาบกระด้าง ไร้การศึกษาอย่างเว่ยซิ่วอิง“ครอบครัวลุงใหญ่ทำแบบนี้ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา บ้านเราคงโดนครหาแย่” เว่ยจุนแค่เข้าข้างครอบครัวตัวเองเท่านั้น และต้องการชี้ให้เห็นถึงความชอบธรรมแต่ความชอบธรรมนั้นเป็นจริงหรือ? ในเมื่อเขาก็ยังเข้าข้างครอบครัวตนเองอยู่เลย“นั่นสิ พวกแกกินทิ้งกินขว้างแบบนั้น แล้วพอออกไปทำงานก็ทำได้น้อย ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาก็มาโทษที่บ้านอีก หน็อย~ อย่านึกว่าฉันไม่รู้แผนร้ายของพวกแกนะ” หวังซื่อกัดฟันกรอดด้วยความโมโหยิ่งมีคนจากบ้านรองช่วยกันพูดยุยง ก็ยิ่งรู้สึกว่าคนบ้า
บทที่ 15 ความจริงที่แสนเจ็บปวดเว่ยถงเองก็เบื่อจะฟังเสียงบ่นน่ารำคาญของภรรยา บ้านนี้ร้อนมาตลอดตั้งแต่ซิ่วอิงไม่ยอมแต่งงาน เว่ยหยางเองก็เติบโตพอแล้ว และกำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่ปี ให้เว่ยตงออกไปใช้ชีวิตกับครอบครัวก็จะดีกว่า“เอาเป็นว่า…” ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก ย่าเว่ยก็เอ่ยแทรกขึ้นมา“ได้ยังไง จะแยกบ้านได้ยังไง ฉันกับพ่อแกยังไม่ตายเลย นี่แกแช่งให้พวกเราตายหรือยังไง!”“แม่ครับ ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลย แต่แม่บอกเองว่าบ้านเราไม่มีประโยชน์อยู่ไปก็ผลาญข้าวผลาญน้ำของบ้านเปล่า ๆ ไม่ใช่เหรอ”“พี่จะแยกบ้านทำไม ซิ่วอิงแต่งงานออกไปแล้วพวกพี่จะอยู่กันยังไงไม่มีเด็ก ๆ ดูแล อาหยางอาจุนก็จะได้ช่วยกตัญญูสืบธูปของพวกพี่” เว่ยจงกล่าว เขาเป็นน้องชายที่เว่ยตงเคยเชื่อ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าน้องชายคนนี้เจ้าเล่ห์คำพูดนี้ถูกใช้เพื่อล่อลวงให้บ้านใหญ่เว่ยเป็นทาสของคนในบ้านหลังนี้เท่านั้น เว่ยหยาง เว่ยจุนไม่เคยเคารพและเห็นเว่ยตงอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ แม้จะเรียกว่าลุงแต่ก็ไม่เคยให้ความเคารพราวกับว่าเขาเป็นเพียงคนรับใช้เมื่อตาเปิดกว้างแล้วเว่ยตงก็พบความจริงหลายข้อที่ตนไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนตลอดหลายสิบปี“ไม่ว่ายังไงผม
บทที่ 16 แยกบ้านปัง! เว่ยตงได้ยินอย่างนั้นก็ผลักประตูเข้าไป มองหน้าพ่อที่ตกตะลึงอย่างไม่อยากเชื่อ“ที่พูดเมื่อกี้ จริงเหรอครับพ่อ”เว่ยตงคิดมาตลอดว่าที่ผ่านมา การที่เขาถูกรังเกียจเพราะแม่รักน้องมากกว่าตนเอง แต่สุดท้ายพ่อแม่อย่างไรก็ต้องอยู่กับตนเองยามแก่เฒ่าแต่เมื่อรู้ว่าตนเป็นเพียงลูกภรรยาเก่า ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทุกสิ่งที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นมาหลอกตัวเอง นางหวังซื่อไม่เก็บงำความเกลียดชังต่อเว่ยตงแม้แต่น้อย ทั้งยังไปลงที่ลูกกับเมียของเขาอีกด้วย“อาตง…” เว่ยถงไม่คิดว่าลูกชายจะมาได้ยินแบบนี้ เขาคิดทันทีว่านี่อาจเป็นโชคชะตา“มันจริงเหรอครับพ่อ!” เว่ยตงเอ่ยถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงดังขึ้น“แกจะตะโกนใส่พ่อแบบนี้ไม่ได้ แกยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า จะเข้ามาก็หัดเคาะประตูก่อน ไม่มีมารยาทจริง ๆ แกโตแล้วนะเว่ยตง อย่ามาทำตัวเหมือนกุ๊ยข้างถนนที่ไม่มีใครสั่งสอนแบบนี้ในบ้านฉัน!”นางหวังซื่อมีหรือจะยอมเงียบปาก หันมาด่าเว่ยตงโดยไม่ตกใจสักนิด แม้ความลับที่เก็บมานานหลายสิบปีจะถูกเปิดเผยแบบนี้นางยิ่งโมโหที่ไม่สามารถขัดใจตาเฒ่าได้ เพียงคิดว่าเงินเก็บของตนต้องร่อยหรอลงใจของหญิงชราก็เจ็
บทที่ 17 หายใจสะดวกขึ้น“เว่ยจงหาเงินได้เฉลี่ยเดือนละสามสิบหยวน แบ่งหนึ่งในสามเพื่อกตัญญูจะอยู่ที่สิบหยวน แบ่งให้พ่อและแม่คนละห้าหยวน แสดงว่าเว่ยตงต้องจ่ายค่ากตัญญูต่อบิดามารดาทุกเดือน หกหยวนเจ็ดเหมา มีใครต้องการคัดค้านหรือไม่”“นี่มันน้อยเกินไป ฉันเลี้ยงเว่ยตงมาเหมือนกันแต่ได้เงินแค่นี้เนี่ยนะ อีกอย่างเว่ยตงทำงานเดือนหนึ่งก็ได้มากกว่าสามสิบหยวน บางเดือนได้ห้าสิบหยวน ยังมีสองคนนั่นอีก ได้เดือนหนึ่งรวมกันก็ห้าสิบหกสิบหยวน แต่ฉันได้เงินแค่หกหยวนเนี่ยนะ”“นี่…” เว่ยถงหันมองภรรยาอย่างไม่อยากเชื่อ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยนับกระเป๋าเงินเข้าออกของบ้าน และเข้าใจมาตลอดว่าหลานสาวป่วยจนต้องใช้เงินบ่อย ๆ ทำให้ภรรยาตนไม่ชอบหลานสาวคนโตเท่าไรแต่ไม่คิดเลยว่าทั้งหมดจะเป็นคำพูดโกหก ที่จริงแล้วคนที่กินเงินต่างข้าวก็คือภรรยาของเขานี่เองแต่เมื่อเหลือบมองคนนอกทั้งสองที่มีหน้ามีตาในสังคมก็รู้สึกอายเกินกว่าจะพูดออกมาในตอนนี้ จึงเลือกที่จะเงียบเอาไว้เท่านั้น“ในเมื่อเว่ยจงเป็นคนเลี้ยงดูพ่อแม่ต่อก็ต้องคำนึงจากรายรับและเงินกตัญญูของเขาเป็นหลัก เราจะทำแบบนั้นไม่ได้ อย่างมากก็เพิ่มได้ไม่กี่หยวน เว่ยตงเธอมีความคิดเห็น
บทที่ 18 เงินไหลมาไม่หยุด“หลังจากนี้ลูกไม่ต้องไปทำงานในทุ่งแล้ว พ่อกับแม่คุยกันแล้ว ถึงวัยที่ลูกต้องเตรียมตัวแต่งงานได้แล้ว”“พ่อคะ แม่คะ อิงอิงยังไม่อยากแต่งงาน เราเพิ่งย้ายออกจากบ้านหลังนั้นมาได้ อิงอิงยังอยากใช้ชีวิตอิสระ” ซิ่วอิงมองพ่อแม่ด้วยน้ำตาคลอ เธอไม่อยากแต่งงานจริง ๆ แต่ยุคนี้การแต่งงานยังต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ การคลุมถุงชนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ“ไม่อยากแต่งก็ต้องแต่ง ไม่อย่างนั้นต่อไปลูกจะอยู่ยังไง พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่กับลูกไปตลอดชีวิต ซิ่วอิงลูกต้องมีครอบครัวเป็นของตัวเอง” เหม่ยฟางกล่าวสอนลูกสาว“ถึงอย่างนั้นอิงอิงก็ยังไม่อยากแต่งงานอยู่ดี เราเพิ่งมีอิสระ อิงอิงยังไม่ได้ทำอะไรเพื่อพ่อแม่เลย”“...” ทั้งพ่อและแม่มองหน้ากัน พวกเขาไม่คิดว่าลูกสาวจะกตัญญูและน่ารักขนาดนี้ แม้ปกติจะน่ารักอยู่แล้วก็เถอะ“ไม่แต่งไม่ได้” เว่ยตงกล่าวอย่างเด็ดขาด “พ่อจะเริ่มมองชายหนุ่มในหมู่บ้านว่ามีใครที่เหมาะสมบ้าง พ่อไม่อยากให้ลูกเป็นเหมือนกับพวกเราที่ผ่านมา”“แต่พ่อคะ อิงอิงยังมีของวิเศษ เราไม่มีทางเป็นเหมือนที่ผ่านมา อิงอิงอยากใช้ของวิเศษนี้ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราดีขึ้นก่อน แล้วค่อยคิด
บทที่ 19 พบขาทองคำเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ เข้ามาไม่กี่ครั้งก็เดินทั่วแล้ว หลังจากนำของมาขายหลายรอบ ซื้อวัตถุดิบทำอาหารและของหลาย ๆ อย่างเพื่อนำกลับไปเติมเต็มบ้านที่ว่างเปล่าหลายครั้ง แน่นอนว่าต้องมีการทำความรู้จักและเส้นสายเล็ก ๆ น้อย ๆ “พี่ชาย วันนี้ก็ทำงานหนักอีกแล้วนะ” มือเล็กยื่นถุงกระดาษสองถุงให้กับชายผู้เฝ้าประตูเอาไว้คนละถุงตอนแรก ๆ หลายพวกพยายามตามหาแต่สุดท้ายก็คลาดกันกับสาวน้อยคนนี้ตลอด แถมเธอยังสวมผ้าคลุมไว้ยากจะดูว่าหน้าตาจริง ๆ เป็นอย่างไร บางคนถึงกับบอกว่าเธอเป็นจอมยุทธ์แบบคนโบราณแต่การกระทำที่พยายามเป็นมิตรกับคนเฝ้าประตูตลาดมืดของเว่ยซิ่วอิงก็ไม่ได้สูญเปล่า ขณะที่เธอหนีการตามล่าของคนกลุ่มไหนก็ไม่รู้ ลุงคนลาดตระเวนที่เคยเป็นคนเฝ้าประตูและได้รับของติดสินบนจากเธอก็ช่วยบอกทางหนีให้ ทำให้ซิ่วอิงได้รู้ทิศทางหนีในตลาดมืดมากขึ้นหลังจากโดนตามล่าหลายครั้งเข้า ไม่นานทุกคนก็เลิกราไปเองและคาดเดาว่าพลังอำนาจเบื้องหลังสาวน้อยขายครีมอาจเป็นเจ้าของตลาดมืดแห่งนี้แต่มันเป็นแบบนั้นเสียที่ไหนกันล่ะ เพราะเจ้าของตลาดมืดคือกลุ่มแรกที่ตามล่าเธอต่างหาก หลังพวกเขาพบว่าไม่สามารถทำอะไรเธอได้เลยตั
บทที่ 20 คุณนายหลัน“คุณผู้หญิงกลับมาแล้ว คุณไม่ควรไปตลาดมืดด้วยตัวเองเลย ถ้านายท่านรู้เข้า…” หญิงชราท่าทางร้อนใจเดินเข้าหา ‘หลันถัง’ ที่เพิ่งลงจากรถ“ยังไงนายพลหลันก็ต้องรู้อยู่แล้ว ลูกน้องเขาก็ออกไปกับฉัน เขาไม่ว่าหรอกน่า” หลันถังกล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน สั่งให้คนของสามียกของเข้าบ้าน ขณะที่ตัวเองหยิบชุดเครื่องสำอางที่ซื้อมาจากซิ่วอิงเข้าไปในบ้านด้วยตัวเอง“โธ่ คุณผู้หญิง” แม่นมของหลันถังได้แต่โอดครวญ นายหญิงของเธอเติบโตและกลายเป็นภริยาของท่านนายพล แต่ทำไมถึงได้ดื้อรั้นราวกับเด็กสาวแรกแย้มแต่ก็เป็นข้อดี เพราะความดื้อรั้นเล็ก ๆ น้อย ๆ ของหล่อน ทำให้ท่านนายพลรักเดียวใจเดียวไม่ว่อกแว่ก แตกต่างจากนายพลคนอื่น ๆ ที่มีเล็กมีน้อยจนหลังบ้านวุ่นวายทุกวันนี่จึงเรียกว่าโชคของคนโง่เขลาหรือเปล่า ขณะที่แม่นมของตนเองกำลังโอดครวญและคิดแทนไปต่าง ๆ นานา หลันถังไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นและอดไม่ได้ที่จะลองแต่งหน้าตามที่ซิ่วอิงสอนมาหญิงสาวขึ้นไปบนห้องนอนและขังตัวเองอยู่นานสองนาน กระทั่งถึงเวลาอาหารเย็นจึงได้ลงมากินข้าว“คุณกลับมาแล้วเหรอคะ” เสียงหวานทำให้ท่านนายพลหลันหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นภรรยาสาวแสนสวยของตน
บทที่ 21 หลันเซียงฮั่น“กลับแล้วเหรอคะคุณ” แม่นมหลันที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องโถงเอ่ยถามซิ่วอิงไม่รู้หรอกว่าเด็กสาวบ้านนอกคนนี้ทำอะไรถึงไปถูกตาต้องใจคุณนายหลันเข้า แต่เมื่อเป็นแบบนี้อนาคตของเด็กผู้หญิงคนนี้จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง“กลับแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะสำหรับน้ำหวาน น้ำชา และขนมพวกนั้น มันอร่อยมาก ๆ เลยค่ะ” ซิ่วอิงสังเกตว่า ในบรรดาคนรับใช้ มีแม่นมคนสนิทของนายหญิงหลันคนเดียวที่ให้ความสำคัญกับตัวเองนี่เป็นเรื่องปกติ ในตระกูลใหญ่แบบนี้ คนรับใช้มีหน้ามีตามากกว่าชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง บางคนจึงเย่อหยิ่งเสียยิ่งกว่าเจ้านายของพวกเขาเสียอีกคนรับใช้สกุลหลันบางคนก็เป็นแบบนั้นแต่แม่นมแตกต่าง ฉลาดกว่าทุกคน และคาดเดาได้ว่าการที่ซิ่วอิงกล้ามาขายของถึงบ้านแบบนี้ก็ต้องมีเบื้องหลังคอยช่วยเหลือไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่ต่างจากแมงเม่าบินเข้ากองไฟด้วยตัวเองและแม่นมคิดผิด ซิ่วอิงเป็นแมงเม่าที่ถูกล่อโดยกองไฟจริง ๆ เพียงแต่เธอเป็นแมงเม่าทองคำ มีมิติวิเศษรับรองความปลอดภัย ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ตกลงมาอย่างง่ายดายแปลว่าการคาดเดาของแม่นมหลันนั้นถูกอยู่ครึ่งหนึ่ง“คุณอิงอิงคงต้องมาอีกหลายครั้ง ดูเหมือนนายหญิงจะชอบคุ
ตอนพิเศษ 4 ตลอดไปชีวิตของซิ่วอิงตอนนี้มีความสุขมาก ความจริงเธอก็มีความสุขตลอดมาอยู่แล้ว แต่เมื่อคิดว่ามีเด็กตัวเล็ก ๆ กำลังอาศัยอยู่ภายในร่างกายตัวเองและเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน มันเป็นความสุขที่แตกต่างออกไปจริง ๆ“อีกสิบวันก็จะได้เจอหน้ากันแล้วนะลูก” หญิงสาวใช้มือลูบหน้าท้องที่ใหญ่ไม่ต่างจากลูกแตงโมของตนเอง นี่ก็ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว ทำให้เมื่อสามีออกไปทำงาน หลันถังกับเหม่ยฟางผู้เป็นแม่ก็จะแบ่งเวลามาอยู่เป็นเพื่อนเสมอถึงตอนนี้หลันเซียงฮั่นจะย้ายมาประจำการอยู่ใกล้ ๆ แต่เขายังคงต้องเดินทางไปทำงานต่างเมืองเมื่อได้รับมอบหมายภารกิจ และคราวนี้ก็เช่นกันในตอนแรกเซียงฮั่นไม่คิดจากภรรยาไปจนกว่าเธอจะคลอดลูกและปลอดภัย เขากลัวว่าซิ่วอิงจะหวาดกลัวหากตนเองไม่ได้อยู่เคียงข้างตอนคลอดลูก จึงคิดปฏิเสธภารกิจในครั้งนี้และขอลาหยุดสักเดือนแต่เป็นซิ่วอิงที่คะยั้นคะยอให้ชายหนุ่มไปทำงานเพราะเหลือเวลาอีกสองอาทิตย์ก่อนถึงกำหนดคลอด อย่างไรเขาก็กลับมาทันอยู่แล้วเธอจึงนั่งอยู่ในสวนสวยเฝ้ามองหน้าประตูเป็นระยะด้วยใจคิดถึงสามีบ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกคิดทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาเล่นเสียมากกว่า ไม่ได้อยู่บ้า
ตอนพิเศษ 3 ภรรยาท้องแล้ว“อิงอิง ลุกมากินของอร่อยเถอะลูก วันนี้แม่ของอิงอิงเอาอาหารอร่อยมาฝากแม่ไว้ตั้งเยอะ”“อิงอิงยังเพลีย ๆ อยู่เลยค่ะ สงสัยเพราะช่วงนี้ทำงานหนักเกินไป ขอนอนอีกหน่อยนะคะแม่” ซิ่วอิงบอกกับแม่สามีเนื่องจากสองบ้านปรองดองกันดีมาก ซิ่วอิงใช้เงินเพื่อซื้อบ้านที่อยู่ตรงข้ามให้กับพ่อแม่ ขณะที่ตนเองเลือกจะมาอยู่บ้านแม่สามีเวลาที่คุณพ่อสามีและหลันเซียงฮั่นที่เป็นสามีไปทำงานต่างจังหวัดพร้อมกันโดยมีบ้านของตัวเองที่ใช้อยู่กับสามีต่างหากอีกหลังหนึ่ง และใช้อยู่เมื่อสามีกลับมาหาเท่านั้น แต่ปกติแล้วซิ่วอิงจะสลับไปมาระหว่างบ้านพ่อแม่ตัวเองและพ่อแม่สามีเสียมากกว่าตอนนี้เธอก็มาอยู่บ้านหลัน เพราะทั้งคุณพ่อและสามีล้วนออกไปทำงาน ส่วนเซียงฮั่นนั้นจะกลับมาในวันพรุ่งนี้“อิงอิงไม่ต้องทนนะ ไปหาหมอเลยดีกว่า บ้านเราขาดเงินทองซะที่ไหนกัน หรือแม่ซื้อโรงพยาบาลไว้ให้ก็ได้” หลันถังยังคงใจป้ำเหมือนเดิม เมื่อได้ลูกสะใภ้คนนี้มาชีวิตเธอก็มีความสุขขึ้น จนรู้สึกรักเอ็นดูซิ่วอิงเหมือนเป็นลูกของตัวเองไปอีกคน เผลอ ๆ รักมากกว่าลูกตัวเองเสียอีก“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ อิงอิงไปหาหมอเฉย ๆ ดีกว่า” ซิ่วอิงยิ้มแหยให้
ตอนพิเศษ 2 สามีที่ดีแม้ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี แต่อย่างไรในชีวิตก็ต้องมีบางสิ่งมากระทบกระทั่ง สุดท้ายแล้วซิ่วอิงและครอบครัวก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์ช่วงนี้ซิ่วอิงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย หลังสามีกลับมาจากทำงานครั้งล่าสุด เธอได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงติดมาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน เขาจะเบื่อเธอและหาเรื่องเข้าบ้านแล้วจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?มีหรือหลันเซียงฮั่นจะไม่รู้ว่าภรรยามีความกังวลอะไรบางอย่างในใจ เขาหันมองไปรอบตัวก่อนจะจับลูกน้องที่มีภรรยาแล้วมาสอบถาม“ภรรยาฉันเป็นอะไรไป” เซียงฮั่นเป็นผู้บัญชาการที่เก่งกาจ เขายังดูแลเอาใจใส่ภรรยาจนลูกน้องแอบเรียกลับหลังว่าสามีแห่งชาติ แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาชายหนุ่มก็ยังเป็นเพียงคนที่เพิ่งเคยมีความรัก“คุณผู้หญิงมีท่าทางยังไงครับ”“ช่วงนี้ไม่ค่อยให้ฉันเข้าใกล้ เวลานอนก็หันหลังให้” เซียงฮั่นนึกถึงท่าทางของภรรยาแล้วก็ปวดใจ เขาไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือเปล่า แต่พอถามแล้วเธอก็บอกว่าเปล่าและฝืนยิ้ม เก็บเรื่องราวไว้ในใจคนเดียว คิดว่าเขามองไม่เห็นอย่างนั้นเหรอ“ถ้าอย่างนั้นนายท่านไปทำอะไรมาหรือเปล่าครับ” ทหารคนสนิทมองหน้าเจ้านายอายุน
ตอนพิเศษ 1 ชีวิตที่ใฝ่หามานานตอนนี้ชีวิตใหม่ของเว่ยซิ่วอิงลงตัวอย่างมาก ได้ก่อตั้งธุรกิจในยุคแรกเริ่ม อนาคตมีแต่จะรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไม่ต้องพึ่งพามิติร้านเครื่องสำอางก็ตามนอกจากนี้ยังมีสามีคอยเอาอกเอาใจ แม่สามีแสนดีที่ไม่มีการกดขี่ลูกสะใภ้เลยสักนิด ครอบครัวของเธอก็คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเสมอซิ่วอิงคิดว่าแค่นี้เธอก็ประสบความสำเร็จมากแล้วในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ลำพังเกิดมามีแม่สามีดีอย่างหลันถัง ก็คงมีคนสงสัยว่าเธอทำบุญกู้ชาติมาในชาติก่อนแน่ ๆ ถึงได้มีชีวิตที่ดีขนาดนี้แค่ถึงอย่างไรคนเก่งก็มีปัญหาของคนเก่ง เพราะสามีต้องไปทำงานต่างเมืองบ่อย ๆ เธอเลยใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับงานในร้านกระทั่งสามีกลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว เธอก็ยังวุ่นวายอยู่กับร้านค้าโชคดีที่เซียงฮั่นเข้าใจแล้วยังสนับสนุนภรรยาให้ทำตามใจปรารถนาได้เต็มที่ เมื่อเขาได้พักเพิ่มสักหนึ่งหรือสองวัน ก็มักจะพาซิ่วอิงไปที่ร้านเสมอเพื่อเอาอกเอาใจหากพาไปร้านอาหารแบบคนหนุ่มสาวก็แล้วไป เขากลับพาเธอเข้าร้านตัวเองเพื่อให้หญิงสาวหาเงินที่เธอชอบนักหนา และแน่นอนว่าซิ่วอิงชอบการแสดงความรักของสามีแบบนี้มากกว่า“มีอะไรหรือเปล่า” ขณะที่นั่งก
บทส่งท้าย คุณคือคนที่อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตรถยนต์สีดำขับไปตามทางที่คุ้นเคยไม่นานก็มาถึงกำแพงบ้านหลัน ทหารเฝ้ายามเปิดประตูต้อนรับด้วยความยินดี เมื่อรถจอดเทียบขาเรียวก็ก้าวออกมา“อิงอิง มาแล้วเหรอจ๊ะ” ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้คือป้าหลัน พร้อมทั้งเหม่ยฟางผู้เป็นมารดาของตนเอง ซิ่วอิงไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตอะไรเพียงยื่นมือไปหาพวกท่านอย่างเป็นธรรมชาติ“ป้าหลันสบายดีไหมคะ วันนี้แอบเข้าครัวกับแม่อีกแล้วหรือเปล่า” ซิ่วอิงสนอกสนใจดูมือของผู้ใหญ่ตรงหน้า ขณะที่ท่านจับจูงเธอเดินทะลุตัวบ้านไปยังสวนด้านหลัง“ป้าเข้าครัวไปก็รกครัวเปล่า ๆ ไม่เข้าไปรบกวนเหม่ยฟางหรอกนะ”“อิงอิงลูกเงยหน้าขึ้นก่อน” เสียงอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ดังขึ้น เมื่อรู้ตัวซิ่วอิงก็มาอยู่ในสวนหลังบ้านของสกุลหลันแล้วหญิงสาวเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย สิ่งแรกที่เห็นคือร่างสูงของชายหนุ่มที่เธอคิดถึงมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาและติดต่อกันทางโทรศัพท์ไม่กี่นาทีต่อเดือนเท่านั้นตอนนี้เขายังสวมชุดทหารเต็มยศ ในมือมีช่อดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ล้อมรอบไปด้วยแสงเทียนและซุ้มดอกไม้ที่ถูกตั้งใจตกแต่งเอาไว้อย่างดีจนทั่วทั้งสวน“พี่เซียงฮั่น” ซิ่วอิงยิ้มออกมาด้วย
บทที่ 44 หาเรื่องใส่ตัว“แม่คะ เราไป…” ก่อนที่คุณหนูลู่จะพูดจบ มารดาของหล่อนก็เดินลิ่ว ๆ เข้าไปในวงสนทนาที่เว่ยซิ่วอิงอยู่ก่อนแล้ว เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้คุณหนูลู่พึงพอใจที่ไม่ต้องทำอะไรเอง“นี่มันแม่ค้าขายเครื่องสำอางนี่นา มาตรฐานงานเลี้ยงของกองทัพตกต่ำลงถึงขนาดเชิญพ่อค้าแม่ค้าข้างถนนมาร่วมงานแล้วอย่างนั้นเหรอเนี่ย” คุณนายลู่ไม่พอใจเว่ยซิ่วอิงอยู่แล้วจากงานเลี้ยงน้ำชาที่บ้านของคุณนายหลัน ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังไปได้ดีก็รู้สึกว่าต้องเข้ามาทำลายและลากคนคนนี้ลงมาให้ได้“สวัสดีค่ะ คุณนายลู่” เว่ยซิ่วอิงไม่ดิ้นเต้นไปตามอารมณ์ของคน เธอทักทายอีกฝ่ายด้วยความเคารพและมีมารยาทเพียงเท่านี้สายตาที่ทุกคนมองมาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็มองซิ่วอิงอย่างชื่นชม ขณะที่มองคุณนายลู่เหมือนนางร้ายเกรดต่ำคนหนึ่ง“โอ้ นี่ใครกัน ไม่ใช่คุณชายหลันเซียงฮั่นลูกรักของคุณนายหลันถังหรอกเหรอคะ”“สวัสดี คุณนายลู่” เซียงฮั่นจำต้องทักทายด้วยสีหน้าไม่ดีนัก เขารู้ว่าใครไม่ถูกกับมารดา และต้องหลีกหนีเสมอเมื่อเข้าสังคม แต่คราวนี้ดูเหมือนคนข้างกายจะไม่ยอมหลีกหนีง่าย ๆ ชายหนุ่มทำได้เพียงยืนปักหลักและเป็น
บทที่ 43 เหมาะสมกัน“แต่มีริ้วรอยพวกนี้ นอกจากนั้นฉันยังมีปัญหาใหญ่ในร่มผ้า หนูคิดว่าครีมนั่นจะช่วยได้ไหม”“รอยแผลเป็นเหรอคะ” ซิ่วอิงมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางเบา เธอไม่ได้ตัดสินและคิดไปก่อนว่าปัญหานั้นคืออะไร รวมถึงไม่ได้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจคุณปิงเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งสนใจในตัวหญิงสาวตรงหน้ามากขึ้น ปกติแล้วเมื่อคนรู้ว่าเธอมีแผลเป็นอยู่ใต้ร่มผ้ามักเกิดความเห็นใจขึ้นมาอัตโนมัติเป็นเรื่องธรรมดา เพราะผู้หญิงรูปร่างหน้าตานั้นสำคัญที่สุด โดยเฉพาะหญิงสาวชนชั้นสูงอย่างพวกหล่อนแต่ถึงแม้คุณปิงจะไม่มีปัญหาในเรื่องชีวิตคู่จากแผลเป็นเหล่านี้ แต่มันก็เป็นตราประทับที่เธออยากลบหากเป็นไปได้ เมื่อได้ยินว่าคุณลุงอิงสามารถลบรอยแผลเป็นได้เกือบสำเร็จแล้ว จึงแอบเดินทางมาเยี่ยมญาติในเมืองเล็ก ๆ นี้“นี่น่ะเหรอ คุณหนูหลันคนใหม่ อ๊ะ ไม่ใช่สิ ยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านหลันเลย จะกล้าเรียกตัวเองว่าคนของสกุลหลันได้ยังไง”“นั่นสิ หล่อนอยู่สกุลไหนนะ ว่าน? หวาย? อ้อ ๆ สกุลเว่ยที่เปิดร้านค้าเล็ก ๆ อยู่ในเมืองนั่นไง”เสียงเยาะเย้ยของกลุ่มคุณหนูที่อยู่ไม่ไกลดังขึ้นก่อนหน้านี้เพราะมีคนอยู่มากพวกหล่อนจึงไม่กล้าพูดอะไร ต
บทที่ 42 สนับสนุนคนรัก“ช่วงนี้คุณไม่ต้องทำงานเหรอคะ” เมื่อรถเริ่มแล่นไปตามจุดหมาย ซิ่วอิงหันไปถามคนรักด้านข้างช่วงนี้เขามาเทียวรับส่งหญิงสาวไปนู่นมานี่ แม้ว่าทุกอย่างจะง่ายขึ้นเมื่อมีเขาเดินตามหลังไปเจรจากับทางการหรือคู่ค้า แต่ซิ่วอิงยังอดที่จะเกรงใจไม่ได้“ทำอยู่ แต่อยากอยู่กับคุณมากกว่า” เมื่อชายหนุ่มพูดคำหวานออกมาหน้าตาเฉย น่าแปลกที่มันเขย่าหัวใจหญิงสาวได้มากกว่าปกติ“คุณพูดอะไรก็ไม่รู้”“ผมพูดความจริง…จากใจ”ท่าทางจริงจังของเขาทำให้หญิงสาวพอใจมาก เขาดูไม่เหมือนคนจะพูดเล่น ๆ ดังนั้นเมื่อเอ่ยคำหวานออกมาจึงน่าฟังมากกว่าชายหนุ่มที่พูดคำเหล่านั้นออกมาง่าย ๆ กับใครก็ได้นี่แหละตรงกับความชอบของเธอพอดี“ฉันดีใจมากเลยที่คุณอยากใช้เวลาด้วยกันมาก ๆ เอาเป็นว่าวันนี้เราแวะไปเที่ยวที่สวย ๆ ด้วยกันหลังทำงานเสร็จไหมคะ ฉันอยากมีความทรงจำดี ๆ ร่วมกับคุณ”“ยินดีครับ ผมก็อยากมีความทรงจำดี ๆ ร่วมกับคุณให้มาก ๆ ระหว่างที่ยังมีเวลา”ทั้งคู่พูดจาหวานหูโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าคนขับรถเหงื่อแตกพลั่กซิ่วอิงไปดูโรงงานและกลุ่มนักวิจัย เธอซื้อตัวพวกเขามาด้วยครีมระดับสูงและวัตถุดิบชั้นดีเท่าที่พอจะนำออกมาจากร้าน
บทที่ 41 กิจการดีขึ้นเรื่อย ๆดูเหมือนข่าวเรื่องการคบหาและขอหมั้นกะทันหันของคุณชายเซียงฮั่นจะเข้าหูผู้เป็นมารดาอย่างนางหลันถังเร็วมาก เพราะในวันถัดมาเมื่อซิ่วอิงตื่นเช้าขึ้น ก็พบว่ามีรถหรูมารับอยู่หน้าบ้านเสียแล้ว“แต่งตัวดี ๆ หน่อยนะลูก ป้าหลันฝากแม่มาบอกแบบนั้น” เหม่ยฟางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แม้เธอจะไม่ได้รู้เรื่องที่ลูกสาวคบหากับหลันเซียงฮั่นลูกชายของเพื่อนสนิทคนใหม่จากปากเจ้าตัว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะดีใจและภาคภูมิใจว่ากันว่าตระกูลหลันเป็นคนรักเดียวใจเดียว ว่าที่แม่สามียังดูชื่นชอบลูกสาวเธอไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเลยว่าชีวิตหลังแต่งงานของซิ่วอิงจะมีปัญหาเพียงแค่นี้ผู้เป็นแม่อย่างเหม่ยฟางก็วางใจแล้ว ขณะที่คนเป็นพ่อแม้จะกังวลแค่ไหนก็ต้องยอมปล่อยลูกสาวให้ออกจากอ้อมแขนไปในวันหนึ่งแม้ว่าเว่ยตงจะโวยวายลั่นว่าต้องการไปพูดคุยกันตระกูลหลันเร็ว ๆ ให้รู้เรื่องก็เถอะ“ชุดนี้ก็พอแล้วมั้งคะ”“เอาอย่างนี้ ลูกไม่รู้จะใส่ชุดไหนไป งั้นใส่ชุดที่ป้าหลันส่งมาให้สองสามรอบก่อนไปสิจ๊ะ” เหม่ยฟางเอ่ยปากแนะนำด้วยความที่เป็นคนจากชนบท ความรู้ด้านแฟชั่นไม่ได้มีมากเหมือนกับหลันถังที่อยู่ในเมืองมาตลอดชีวิต เธอท