“สำออยอะไรกัน โดนไม้กวาดแค่นี้ ยังไม่รีบเข้าไปทำอาหารเย็นอีก คนรอกินข้าวอยู่ทั้งบ้านไม่รู้หรือยังไง” ไม่พูดเปล่า ยังใช้ไม้ตีเข้าไปที่ผนังห้องครัวหลายครั้งจนฝุ่นกระจายฟุ้งไปทั่ว
“อืดอาดยืดยาดไม่รู้จักเวล่ำเวลา หรือจะให้ฉันต้องตีพวกแกกระตุ้นอีกฮะ! เป็นวัวเป็นควายหรือยังไง”
คำขู่ของหญิงชราทำให้เว่ยตงพร้อมทั้งลูกและภรรยาอึ้งไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าแม่ของตนหรือย่าแท้ ๆ ของตนจะคิดเช่นนั้น วัวควายกินหญ้าและมีไว้ให้คนจูงจมูกไปทั่ว ยังไม่ถูกตีหนักเท่าพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกเลยด้วยซ้ำ
แต่พอมีคนมาตอกย้ำแบบนี้ก็ยิ่งทำให้นึกย้อนกลับไป ดูเหมือนพวกตนมีชีวิตที่แย่ยิ่งกว่าวัวควายเสียอีก
“ย่าใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ อย่าโมโหเลยค่ะจะกระทบต่อสุขภาพนะ” เว่ยหนานหลานรักที่ยืนนิ่งมาตลอดเอ่ยปากขึ้น คล้ายรู้ว่าย่ารอคอยที่จะปล่อยให้ตัวเองเดินเข้าไปประคองด้วยคำพูดออดอ้อนเอาใจ
“หึ! ไม่มีใครห่วงฉันเท่าอาหนานแล้ว พวกแกมันไม่ได้เรื่อง ทำให้ฉันโมโหได้ทุกวี่ทุกวัน คิดจะให้ยายแก่เช่นฉันอกแตกตายหรืออย่างไร!” นางหวังซื่อยังไม่หายโมโห ฟาดไม้กวาดลงหลังลูกชายคนโตเบา ๆ อย่างเคยชิน
เวลาที่โมโหหรืออารมณ์ไม่ดี ก็มีเพียงครอบครัวของลูกชายคนโตคอยรองรับเป็นที่ระบายอารมณ์ วันนี้โชคร้ายที่นางหวังซื่อเพิ่งได้ข่าวร้ายจากลูกชายคนรอง ว่าฝ่ายคู่หมั้นของหลานชายคนสำคัญต้องการเรียกสินสอดเพิ่ม วันนี้จึงอารมณ์ไม่ดีมากกว่าปกติ
บ้านนี้จะมีเงินที่ไหนมากขนาดนั้นกันล่ะ ไอ้พวกไม่ได้เรื่องพวกนี้ก็หาเงินเข้าบ้านได้น้อยเหลือเกิน รายจ่ายก็มีมารออยู่เยอะแยะ แค่คิดนางหวังซื่อก็โมโหจนอยากจะฟาดหัวนังเด็กไร้ประโยชน์เว่ยซิ่วอิงแรง ๆ อีกสักครั้ง
ความจริงแล้วนางหวังซื่อคิดจะขายเว่ยซิ่วอิงให้แต่งงานออกไปเร็ว ๆ เพื่อหาเงินมาแต่งมาหมั้นหลานสะใภ้ แต่ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะโดนตาเฒ่าขัดใจให้เห็นแก่หน้าลูกชายคนโต ดังนั้นจึงยิ่งเกลียดครอบครัวนี้มากขึ้นไปอีก
“พวกตัวไร้ประโยชน์ วัวควายยังรู้จักไถนา แค่ทำกับข้าวยังชักช้าขนาดนี้ ไร้ประโยชน์สิ้นดี ยังไม่รีบเข้าครัวไปอีก!”
“...” เว่ยตงกำมือแน่น มองศีรษะของลูกสาวที่บวมปูดขึ้นมาด้วยดวงตาแดงก่ำ แต่เขาทำอะไรไม่ได้เลย คำว่ากตัญญูเหมือนค้ำคออยู่และไม่สามารถที่จะตอบโต้ได้
อีกทั้งเว่ยตงยังถูกสั่งสอนมา ว่าพี่ชายคนโตต้องดูแลครอบครัว ตั้งแต่เล็กจึงมักใช้แรงกายเพื่อดูแลครอบครัวมาตลอด คิดว่าต่อไปพ่อแม่ก็คงต้องอยู่กับตนตามธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมายาวนาน
แต่แม่ของเขาโหดร้ายต่อครอบครัวเล็ก ๆ นี้ขึ้นทุกที ไม่ว่าจะรังเกียจลูกสะใภ้ที่ไม่สามารถให้บุตรชายได้ รังเกียจหลานสาวที่ไม่ได้ดั่งใจ สุดท้ายก็เป็นลูกชายอย่างเขาที่ไม่เอาไหน
บางทีเว่ยตงเองก็อยากจะถามผู้เป็นแม่สักครั้ง ว่าหากเขาไม่เอาไหนขนาดนั้น ทำไมไม่ทิ้งเขาไปเสียเลยล่ะ จะเก็บเขาไว้ทำไม
“ยังไม่รีบไปทำอาหารอีก!” เสียงของผู้เป็นแม่ปลุกสติของเว่ยตง พร้อมกับความอบอุ่นจากมือเล็กของลูกสาวที่ลูบแขนตนเบา ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ อิงอิงไม่เป็นไร” คำพูดของลูกสาวทำให้เว่ยตงเจ็บปวดใจจนกัดปากตนเองแตก รู้สึกถึงกลิ่นสนิมในปากทันควัน
“ผมจะพาลูกเมียเข้าไปทำครัวเอง คนในบ้านก็นั่ง ๆ นอน ๆ รอกินเถอะ วางใจได้!”
“ไอ้ลูกคนนี้ แกกล้าประชดฉันเหรอ”
“แม่เข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้ประชด จะเข้าไปทำครัวเดี๋ยวนี้แหละ” เว่ยตงเพียงแค่หันหลังต้อนภรรยาและลูกสาวเข้าครัวไป ก่อนปิดประตูเงียบอยู่ภายใน
เมื่ออยู่เพียงลำพังสามคนในครัวเล็ก ๆ นี้แล้ว เว่ยตงก็อดที่จะปลอบลูกสาวและภรรยาไม่ได้
“พ่อขอโทษนะลูก เหม่ยฟางพี่ขอโทษ”
“ไม่เลย พี่ไม่ผิด นั่นก็พ่อแม่ของพี่ ฉันเข้าใจ”
“อิงอิงก็เข้าใจพ่อค่ะ”
เว่ยตงกัดฟันเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาเริ่มมีแผนการในใจที่ต้องการให้ลูกเมียไม่ต้องอดทนอีกต่อไป แต่คงไม่นึกว่าแผนการนั้นยังไม่ทันได้เริ่ม…ลูกสาวของเขาก็อยู่รอไม่ไหวเสียแล้ว
เช้าวันนี้ชีวิตของเว่ยซิ่วอิงก็ยังคงเหมือนเดิมไม่ได้ต่างไปจากวันอื่น ๆ เธอสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโวยวายลั่นบ้านของย่า ก็พบว่าตัวเองตื่นสาย
“ไม่เป็นไรอิงอิง ลูกนอนต่อเถอะ แม่ทำอาหารไว้หมดแล้ว”
“แต่ย่าจะว่าอิงอิงกับแม่ได้” เว่ยซิ่วอิงจับมือที่หยาบกร้านของแม่อย่างสงสาร รู้สึกผิดที่ตื่นสายจนทำให้แม่ต้องทำงานหนักมากขึ้น
“ไม่เป็นไร วันนี้พ่อไปแบกน้ำมาแล้ว ลูกไม่ต้องทำ” ผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ซึ่งถูกแบ่งให้พวกเขาสามคน ใช้หลังมือวัดไข้ลูกสาวพบว่ายังตัวรุม ๆ อยู่ก็ร้อนใจ
“ไปหาหมอดีไหมลูก”
“แต่เราไม่มีเงินนะคะ” เว่ยซิ่วอิงมองพ่อด้วยดวงตาใสกระจ่าง ตั้งแต่เกิดจนโตไม่เคยได้ใช้เงินไปหาหมอสักครั้ง
ย่ามักจะบอกว่าเด็กผู้หญิงอย่างเธอเสียเงินเปล่า เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่เคยยอมให้พาไปหาหมอ มีครั้งหนึ่งตอนอายุห้าหกขวบหญิงสาวป่วยหนัก แม่ถึงขนาดต้องไปขอยืมเงินจากญาติฝั่งแม่เพื่อพาไปโรงพยาบาล
ความลำเอียงของคนเป็นย่าทำให้ทั้งครอบครัวรู้สึกอึดอัด แต่จนถึงตอนนี้ก็กลายเป็นชินชาไปเสียแล้ว
“เดี๋ยวแม่จะไปขอยืมป้าจาง เราลาไปตอนบ่ายกันก็ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ อิงอิงไม่เป็นไร” เว่ยซิ่วอิงรู้สึกผิดต่อพ่อแม่ที่ทำให้พวกท่านลำบาก เธอไม่กล้าสร้างปัญหามากขึ้นไปอีก
“ถ้าลูกไม่ไหวให้บอกพ่อนะ วันนี้ลูกทำนาได้แต้มเท่าไรก็ช่างเถอะ พ่อจะคุยกับปู่เอง” เว่ยตงเอ่ยปลอบลูกสาว เขารู้ว่าแม้บิดาจะไม่สามารถออกหน้าแทนตนเอง แต่อย่างน้อยท่านก็ยังช่วยพูดกับมารดาได้
“ไม่เป็นไรค่ะ พ่อแม่รีบออกไปกินข้าวเถอะ”
“โธ่ อิงอิงลูก” คนเป็นพ่ออดที่จะโอดครวญไม่ได้ เพราะวันนี้ลูกสาวตื่นสาย เป็นธรรมดาที่จะโดนลงโทษไม่ให้ดื่มน้ำกินข้าวในบ้านหลังนี้
เว่ยตงรู้สึกสงสารลูกสาวจนหัวใจเจ็บ เขาคิดว่าคงต้องลองไปปรึกษาหัวหน้าหมู่บ้านดูในเรื่องที่ตนคิด แต่ไม่รู้ว่าบิดาจะเห็นด้วยหรือไม่
ด้านนางหวังซื่อมารดาของเขา ย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอนในการแยกบ้าน อย่างน้อยหากดูแลเพียงพ่อแม่เว่ยตงคิดว่าสถานการณ์ในบ้านจะดีขึ้นมา ซึ่งเขาเคยเสนอให้มีการแยกบ้านนานแล้ว
แต่ตอนนั้นโดนปัดตกเนื่องจากภรรยาของเขาเหม่ยฟางไม่สามารถตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายออกมาได้ มีบุตรสาวเพียงคนเดียวจุดธูป ไร้ทายาทสืบทอด มารดาอย่างหวังซื่อจึงใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการไม่ปล่อยให้มีการแยกบ้าน
ซึ่งเว่ยตงทุ่มเทให้บ้านนี้ก็แล้วไปเถอะอย่างไรนั่นก็พ่อแม่พี่น้องตน แต่ทั้งลูกสาวและภรรยาต้องมาลำบากด้วย ซ้ำยังเกือบถูกย่าแท้ ๆ ขายให้พ่อม่ายที่อายุมากกว่าเขาเสียอีก มีหรือเว่ยตงจะทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป
“พ่อแม่ออกไปกินข้าวเถอะค่ะ อิงอิงขอเวลานอนพักอีกสักนิด กินอิ่มแล้วมาปลุกอิงอิงนะคะ”
“ได้ลูก นอนพักเถอะ แม่จะแอบแบ่งแป้งย่างกลับมาให้ลูกสักแผ่น”
“พ่อด้วย นอนเถอะซิ่วอิง”
เมื่อพ่อแม่ออกไปแล้ว เว่ยซิ่วอิงแบมือที่กำแน่นออก เมื่อครู่เธอรู้สึกเจ็บหนึบที่ศีรษะและวิงเวียนเล็กน้อย โชคดีที่พวกท่านไม่ทันสังเกตเห็น มือเล็กยกขึ้นลูบหัวป้อย ๆ
“นอนพักสักหน่อยน่าจะดี” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เด็กสาวหวังเพียงว่าตื่นมาแล้วจะไม่ต้องเจอกับย่าใจร้ายอีกต่อไป น่าเสียดายที่เสียงโวยวายปลุกเธอขึ้นมาในอีกไม่กี่นาทีถัดมา
บทที่ 3 ล้มป่วย“สำออย! นอนกินบ้านกินเมือง ให้มันได้อย่างนี้สิ ไม่สู้ให้นังเด็กไร้ประโยชน์นี่แต่งงานออกไปยังทำประโยชน์ได้กว่านี้อีกมาก”“แม่คะ อย่าตีเลยค่ะ อิงอิงลูก ตื่นเร็วเข้า” คนเป็นแม่พยายามปลุกลูกสาวให้ตื่นขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือสีหน้าเป็นกังวลของคนเป็นแม่ ถัดไปด้านหลังหน้าประตูห้องเล็ก ๆ มีร่างท้วมของผู้เป็นย่ายืนอยู่“แม่ครับ อิงอิงไม่สบายจริง ๆ สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะโดนตีเข้าที่หัวเมื่อวาน ให้แกพักผ่อนหน่อยเถอะครับ” เว่ยตงพยายามพูดกับแม่ดี ๆ แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ฟังแม้แต่น้อย ซ้ำยังจับคำพูดเขาไปบิดเบือนได้อีกเป็นกระบุง“หน็อย! นี่แกพูดว่าที่มันไม่ยอมลุกมาทำงานทำการแบบนี้ เป็นเพราะฉันงั้นเหรอ ฉันคิดว่านังเด็กเสียเงินนี่ขี้เกียจตัวเป็นขน เลยสำออยไม่อยากลุกเองนั่นแหละ”“แม่ครับ!” เว่ยตงขวางมารดาตนเองไว้ เมื่อโดนลูกชายที่ตัวใหญ่กว่าขวางไว้ทำให้นางหวังซื่อเข้ามาในห้องไม่ได้ จึงฮึดฮัดอยู่หน้าห้องอย่างขัดใจ“ยังไม่เตรียมตัวไปทำงานกันอีก! จะมากเกินไปแล้วนะ ถ้าจะไม่ทำอะไรแบบนี้ก็ให้มันแต่งออกจากบ้านไปเดี๋ยวนี้เลย บ้านหลังนี้ไม่ต้องการตัวขี้เกียจ”เว่ยซิ่วอิงมองทะลุผ่านช่องเล็กระห
บทที่ 4 นักขายมือทอง“แม่ครับ ถ้าอย่างนั้นให้อาเหม่ยหยุดงานดูลูกที่บ้านสักวันนะครับ จนกว่าซิ่วอิงจะดีขึ้น ผมจะได้วางใจ”“ไม่มีทาง ลูกแกก็คนหนึ่งแล้ว จะให้เมียแกหยุดอีกเหรอ แล้วแบบนี้บ้านเราจะเอาอะไรกินกันล่ะ”“ก็ให้น้องรอง…” เว่ยตงกำลังจะสวนกลับบอกให้น้องรองทำงานเพิ่มสักหน่อย ส่วนเขาก็จะทำเพิ่มเหมือนกัน แต่กลับโดนมารดาหยุดเอาไว้“ไม่รู้แหละ อย่างไรเมียแกก็ต้องไปทำงานในทุ่ง พักเที่ยงค่อยกลับมาดูแลก็ได้ เรื่องมากจริง ๆ เลย”“...” เว่ยตงได้แต่ก้มหน้ายอมรับ ก่อนจะเดินกลับห้องโดยไม่พูดอะไรอีก เมื่อเขากลับมาถึงห้องเห็นภรรยาที่เพิ่งกลับมาถึงเหมือนกันได้ส่ายหน้าให้ บ่งบอกว่าขอยืมเงินญาติไม่ได้เช่นกัน เวลานี้สองสามีภรรยาเป็นทุกข์ยิ่งนัก ที่ไม่สามารถพาลูกไปหาหมอในเมืองได้อย่างที่ต้องการ“อิงอิง แม่กับพ่อขอโทษที่ช่วยลูกไม่ได้”“อือ พ่อ…แม่”สองคนพ่อแม่ทำได้เพียงอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ มองดูลูกสาวทรมานเพราะพิษไข้อยู่อย่างนั้นจากนั้นจึงกล้ำกลืนฝืนใจตนเองออกไปทำงานในทุ่ง เพราะเกรงว่าคนเป็นย่าจะโทษหลานสาวที่น่าชังคนนี้อีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงบ้านเห็นลูกสาวตัวเย็นลงก็เบาใจ ให้ดื่มยาสมุนไพรเพิ่มเข้าไปอีก
บทที่ 5 วิญญาณเข้าร่าง“พี่ไม่ได้จะขโมยผลงานของเราหรอกใช่ไหมคะ” แต่แล้วอยู่ ๆ เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นกลางวงสนทนาและต้อนรับผู้จัดการคนใหม่ ดูเหมือนเธอมีแผลในใจ เนื่องจากผู้จัดการคนเก่านอกจากโดนข้อหาฉ้อโกงแล้ว เขายังขโมยผลงานของเด็ก ๆ ในร้านไปด้วย“เรื่องนี้ขอให้ทุกคนวางใจได้เลยค่ะ ฉันไม่จำเป็นต้องขโมยผลงานของใคร เพราะโดยปกติเงินเดือนและคอมมิชชันของผู้จัดการ ก็ได้รับส่วนแบ่งจากผลงานยอดขายในร้านอยู่แล้ว” เว่ยจิงจิงกล่าวอย่างจริงจัง พร้อมกวาดตามองไปรอบ ๆ“อีกอย่างฉันขอเอาฐานะของยอดนักขายแห่งปีที่ได้สองปีซ้อนเป็นประกัน นอกจากจะไม่แย่งผลงานใครแล้ว ฉันยังจะช่วยเทรนด์ทุกคนและแบ่งปันวิธีขายของฉันให้กับทุกคนได้เรียนรู้โดยไม่หวงเลยแม้แต่น้อย พวกเราจะทำให้ยอดขายของร้านเติบโตไปด้วยกัน!” ว่าแล้วก็กำมือแล้วชูขึ้น ส่งผลให้คนในร้านรู้สึกฮึกเหิมตามไปด้วย จึงส่งเสียงร้องเฮ่! แล้วชูมือขึ้นตาม ๆ กัน ในร้านใหม่นี้มีหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้ เนื่องจากห้างสรรพสินค้ากงโม่นอกจากรองรับลูกค้ามีเงินแล้ว ยังมีส่วนร้านใหญ่ที่รองรับลูกค้าทั่วไป สินค้าหลากหลายกว่ามาก ด้วยเหตุนี้จึงมีสองส่วนแยกจากกัน และมีผู้จัดก
บทที่ 6 ไม่ใช่ความฝัน“ซิ่วอิง ลูกกินอาหารให้หมดก่อน ดื่มยา แล้วนอน พ่อสัญญาว่าตื่นขึ้นมาลูกจะมีของกินเยอะกว่านี้”จิงจิงเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาสับสน ทำไมพ่อในความฝันช่างใจดีเหลือเกิน เธอเองก็อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นแบบนี้น่าเสียดายที่ครอบครัวแสนอบอุ่นนี้กลับมีมารผจญเป็นย่าแท้ ๆ ของเจ้าของร่างถ้าหากนี่เป็นความฝันและทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมา จิงจิงคงรู้สึกดีจนไม่อยากจะตื่นเลย ยิ่งหากกำจัดครอบครัวชั่วร้ายของเจ้าของร่างเดิมได้ ก็จะยิ่งดี“ไม่ต้องห่วงนะอิงอิงลูกรัก พ่อกับแม่จะไปหาข้าวมาให้ลูกกินเพิ่ม”“แค่นี้…ก็กินได้ค่ะ” จิงจิงก้มหน้าลงขณะพูดความฝันนี้เหมือนจริงเหลือเกินกระทั่งน้ำข้าวในช้อนยังจืดเย็นชืดจนแทบกลืนไม่ลง เธอยอมกินสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าข้าวด้วยความกล้ำกลืนหากตนมาอยู่ในร่างของเด็กสาวคนนี้ ซึ่งอยู่ในยุค 70 ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ เช่นนั้นก็แสดงว่าต้องใช้ชีวิตไปก่อนจนกว่าจะตื่นจากฝันอย่างนั้นเหรอทั้ง ๆ ที่กำลังจะซื้อบ้านได้แล้วแท้ ๆไม่รู้ว่าเจ้าโจรที่ขโมยไปจะถูกตามตัวพบหรือไม่จิงจิงรู้ดีว่าเคสที่โจรขโมยเงินสดแบบนี้เอากลับคืนมายากมาก ดูเหมือนเมื่อฟื้นขึ้นสิ่งแรกที
บทที่ 7 ย่ามหาภัย“นังเด็กเสียเงินคนนี้ นอกจากสำออยทำเป็นป่วยมาหลายวัน ในที่สุดก็หางโผล่ออกมาแล้วใช่ไหม หายดีแล้วทำไมหล่อนไม่ตามนังเหม่ยฟางไปทำงานที่ทุ่งฮะ! แล้วไหนเมื่อวานยังทำให้เจ้าเว่ยตงไม่ไปช่วยงานจนเสียคะแนนอีก นังเด็กเสียเงิน แกมันคนไร้ประโยชน์จริง ๆ”“พ่อไปหาข้าวมาให้ฉัน เพราะที่บ้านไม่มีข้าวให้ครอบครัวเรากิน ส่วนแม่ก็ทำงานงก ๆ อยู่ในทุ่งเพื่อให้บ้านมีแต้มแลกข้าวมาเยอะ ๆ แต่เราไม่เคยกินกันจนอิ่มเลย”“นังเด็กคนนี้ นี่กล้าขึ้นเสียงกับผู้ใหญ่งั้นเหรอ ดี! นังสะใภ้คนนี้เลี้ยงไม่เชื่องอย่างที่ฉันคิดจริง ๆ ถึงขนาดเสี้ยมสอนลูกสาวเลว ๆ แบบนี้ออกมาได้”นางหวังซื่อโมโหจนตัวสั่นไปหมด ชี้หน้าด่าเว่ยซิ่วอิงจนนิ้วแทบทิ่มตา“แล้วที่ฉันพูดมันผิดตรงไหน เราทั้งสามคนทำงานงก ๆ เลี้ยงคนทั้งครอบครัว นี่มันมีความยุติธรรมตรงไหนกัน นอกจากนี้พอพ่อไม่ยอมให้ฉันแต่งงานกับคนที่คุณหามา ก็มาว่าเราไร้ประโยชน์ มันก็แค่คุณไม่ได้อย่างใจเท่านั้นแหละ”“นัง! นังเด็กเสียของ” หวังซื่อไม่คิดว่าจะโดนเด็กรุ่นหลังพูดถอนหงอกตนขนาดนี้ รีบยกมือขึ้นหวังใช้ไม้ทุบเด็กสาวตรงหน้าให้ตาย ๆ ไปเสียอย่างไรมันก็ไร้ประโยชน์ พ่อแม่ไม่ยอ
บทที่ 8 ทำใจยอมรับวาสนาชีวิตที่อาภัพยิ่งนักหลังจากพ่อแม่ทำแผลให้ด้วยความรู้สึกผิดแล้วก็ปล่อยให้เด็กสาวนั่งทื่ออยู่บนเตียงเพียงลำพัง เพราะพวกเขาต้องรีบไปขออาหารแบ่งมาให้บุตรสาวอีกครั้งจิงจิงจึงได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง แต่ก็ดีเพราะตอนนี้หญิงสาวสับสนเหลือเกิน เธอยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากก่อนจะร้องซี้ดออกมาด้วยความเจ็บปวด“โอ๊ย นี่มันเจ็บจริง ๆ แปลว่าเราไม่ได้ฝันไป แต่นี่คือความจริงงั้นเหรอ” จิงจิงไม่อยากจะเชื่อว่าทุกอย่างนี้จะเป็นความจริงโลกใบนี้ ยุค 70 ที่แสนแร้นแค้น ชาวบ้านต้องทำงานในกลุ่มคอมมูนเพื่อแลกแต้ม หากแต้มไม่พอก็ไม่มีข้าวให้กินหญิงสาวจากยุคที่เทคโนโลยีเจริญรุ่งเรืองจะอดทนอยู่ในสภาพไร้เครื่องใช้ไฟฟ้าว่าแย่แล้ว แต่นี่ยังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง ผู้คนอดอยากหิวโหย แล้วเธอจะทนอยู่ได้อย่างไรนอกจากนี้ร่างเด็กสาว ‘เว่ยซิ่วอิง’ ยังมีวาสนาชีวิตที่อาภัพยิ่งนักหากจะให้เปรียบก็ราวกับว่าเว่ยซิ่วอิงเป็นนางเอกที่ต้องโดนกดขี่ข่มเหงจนผงาดขึ้นในช่วงท้ายนั่นแหละ บังเอิญว่าจิงจิงผู้มาใหม่ต้องรับบทบาทนั้นแทนเสียแล้ว เพราะเว่ยซิ่วอิงคนเดิมทนแรงข่มเหงไม่ไหวจนจากไป ทิ้งไว้เพียงร่างให้อยู่กับ
บทที่ 9 มิติที่ตามมา“นี่ฉัน…นี่ฉันทะลุมิติมาทั้งร่างซิ่วอิงงั้นเหรอ” จิงจิงใช้มือลูบใบหน้าตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ เธอแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจแต่หลังจากสังเกตรอบร้านดี ๆ ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอเดินไปทางเคาน์เตอร์คิดเงินซึ่งควรจะเป็นประตูหน้าร้าน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผนังสีขาวพร้อมบรรยากาศที่คุ้นตาเป็นภาพฉายอยู่บนนั้น“นี่มัน…ห้องนอนของซิ่วอิงและพ่อแม่นี่นา”สมองของจิงจิงเต็มไปด้วยความมึนงง ตอนนี้เธอคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น ทำได้เพียงหมุนตัวรอบ ๆ เพื่อมองร้านนี้ให้ชัดอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งเข้าไปหยุดยืนหน้ากระจกเต็มตัวตรงหน้า“ปวดหัวจริง ๆ…ดูสิหัวโนปูดใหญ่แบบนี้ เว่ยซิ่วอิงอาจตายเพราะเลือดคั่งในสมอง อาจเป็นอาการเลือดออกในสมองอย่างช้า ๆ”จิงจิงจับจุดที่ยังปูดออกมาราวกับลูกมะนาว เธอหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยายามสังเกตอาการตัวเอง ตอนนี้เธออยู่ในร่างของเว่ยซิ่วอิง หากทุกอย่างนี้ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง จิงจิงก็ยังต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป!“ไม่มีทางเลือกแล้ว ฉันน่าจะทะลุมิติมาอยู่ในร่างของเว่ยซิ่วอิง ฉันต้องดูแลร่างกายนี้ให้ดีถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่” ว่าแล้วก็รีบหาทางตรวจสอบทันใดนั้
บทที่ 10 สำรวจมิติอีกครั้งจิงจิงลองอีกครั้งด้วยการเทแอลกอฮอล์ล้างแผลทิ้งขยะข้างเคาน์เตอร์ วางขวดไว้บนโต๊ะ แล้วจึงออกไปจากที่นี่ โดยการคิดว่าอยากออกไปที่โลกภายนอกทันใดนั้นก็รู้สึกวูบโหวงอีกครั้งแต่อาการไม่ได้แย่เหมือนช่วงแรก ๆ นี่ทำให้หญิงสาวตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นก็ลองคิดเข้าไปด้านในอีก คราวนี้มาโผล่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ยาทันทีขวดแอลกอฮอล์ล้างแผลหายไปแล้ว บนชั้นมีเติมจนเต็มไม่มีขวดที่เหลือครึ่งหนึ่งอยู่ตรงไหนเลย บ่งบอกว่าของบนชั้นจะใช้ไปเท่าไรก็ถูกเติมจนเต็มเมื่อเข้ามาใหม่อยู่ดี“แบบนี้ถ้าเอาออกไปข้างนอกล่ะ” เว่ยอิงเริ่มพบปัญหาเล็กน้อย เมื่อบรรจุภัณฑ์ของบริษัทค่อนข้างทันสมัย โดยเฉพาะในเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ทั้งหลายหญิงสาวหยิบตลับแป้งที่ถือติดมือไปแล้วเดินกลับไปที่ชั้นวางที่หยิบมา ก่อนจะพบว่าบนชั้นมีตลับแป้งวางเต็มอีกครั้ง“นี่มัน…แล้วที่อยู่ในมือฉันล่ะ” จิงจิงรู้สึกว่ามิติของเธอน่าอัศจรรย์อย่างมาก สามารถเติมของที่ถูกนำออกจากมิติไปได้ด้วย“ทำไมในร้านยังมีคอมพิวเตอร์คิดเงิน คงต้องลองดูก่อนเผื่อจะใช้งานได้” ซิ่วอิงเดินไปที่เคาน์เตอร์ พบว่ามีระบบจัดการร้านค้าเพิ่มเข้ามา ซึ่ง
ตอนพิเศษ 4 ตลอดไปชีวิตของซิ่วอิงตอนนี้มีความสุขมาก ความจริงเธอก็มีความสุขตลอดมาอยู่แล้ว แต่เมื่อคิดว่ามีเด็กตัวเล็ก ๆ กำลังอาศัยอยู่ภายในร่างกายตัวเองและเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน มันเป็นความสุขที่แตกต่างออกไปจริง ๆ“อีกสิบวันก็จะได้เจอหน้ากันแล้วนะลูก” หญิงสาวใช้มือลูบหน้าท้องที่ใหญ่ไม่ต่างจากลูกแตงโมของตนเอง นี่ก็ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว ทำให้เมื่อสามีออกไปทำงาน หลันถังกับเหม่ยฟางผู้เป็นแม่ก็จะแบ่งเวลามาอยู่เป็นเพื่อนเสมอถึงตอนนี้หลันเซียงฮั่นจะย้ายมาประจำการอยู่ใกล้ ๆ แต่เขายังคงต้องเดินทางไปทำงานต่างเมืองเมื่อได้รับมอบหมายภารกิจ และคราวนี้ก็เช่นกันในตอนแรกเซียงฮั่นไม่คิดจากภรรยาไปจนกว่าเธอจะคลอดลูกและปลอดภัย เขากลัวว่าซิ่วอิงจะหวาดกลัวหากตนเองไม่ได้อยู่เคียงข้างตอนคลอดลูก จึงคิดปฏิเสธภารกิจในครั้งนี้และขอลาหยุดสักเดือนแต่เป็นซิ่วอิงที่คะยั้นคะยอให้ชายหนุ่มไปทำงานเพราะเหลือเวลาอีกสองอาทิตย์ก่อนถึงกำหนดคลอด อย่างไรเขาก็กลับมาทันอยู่แล้วเธอจึงนั่งอยู่ในสวนสวยเฝ้ามองหน้าประตูเป็นระยะด้วยใจคิดถึงสามีบ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกคิดทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาเล่นเสียมากกว่า ไม่ได้อยู่บ้า
ตอนพิเศษ 3 ภรรยาท้องแล้ว“อิงอิง ลุกมากินของอร่อยเถอะลูก วันนี้แม่ของอิงอิงเอาอาหารอร่อยมาฝากแม่ไว้ตั้งเยอะ”“อิงอิงยังเพลีย ๆ อยู่เลยค่ะ สงสัยเพราะช่วงนี้ทำงานหนักเกินไป ขอนอนอีกหน่อยนะคะแม่” ซิ่วอิงบอกกับแม่สามีเนื่องจากสองบ้านปรองดองกันดีมาก ซิ่วอิงใช้เงินเพื่อซื้อบ้านที่อยู่ตรงข้ามให้กับพ่อแม่ ขณะที่ตนเองเลือกจะมาอยู่บ้านแม่สามีเวลาที่คุณพ่อสามีและหลันเซียงฮั่นที่เป็นสามีไปทำงานต่างจังหวัดพร้อมกันโดยมีบ้านของตัวเองที่ใช้อยู่กับสามีต่างหากอีกหลังหนึ่ง และใช้อยู่เมื่อสามีกลับมาหาเท่านั้น แต่ปกติแล้วซิ่วอิงจะสลับไปมาระหว่างบ้านพ่อแม่ตัวเองและพ่อแม่สามีเสียมากกว่าตอนนี้เธอก็มาอยู่บ้านหลัน เพราะทั้งคุณพ่อและสามีล้วนออกไปทำงาน ส่วนเซียงฮั่นนั้นจะกลับมาในวันพรุ่งนี้“อิงอิงไม่ต้องทนนะ ไปหาหมอเลยดีกว่า บ้านเราขาดเงินทองซะที่ไหนกัน หรือแม่ซื้อโรงพยาบาลไว้ให้ก็ได้” หลันถังยังคงใจป้ำเหมือนเดิม เมื่อได้ลูกสะใภ้คนนี้มาชีวิตเธอก็มีความสุขขึ้น จนรู้สึกรักเอ็นดูซิ่วอิงเหมือนเป็นลูกของตัวเองไปอีกคน เผลอ ๆ รักมากกว่าลูกตัวเองเสียอีก“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ อิงอิงไปหาหมอเฉย ๆ ดีกว่า” ซิ่วอิงยิ้มแหยให้
ตอนพิเศษ 2 สามีที่ดีแม้ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยดี แต่อย่างไรในชีวิตก็ต้องมีบางสิ่งมากระทบกระทั่ง สุดท้ายแล้วซิ่วอิงและครอบครัวก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์ช่วงนี้ซิ่วอิงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย หลังสามีกลับมาจากทำงานครั้งล่าสุด เธอได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงติดมาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน เขาจะเบื่อเธอและหาเรื่องเข้าบ้านแล้วจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?มีหรือหลันเซียงฮั่นจะไม่รู้ว่าภรรยามีความกังวลอะไรบางอย่างในใจ เขาหันมองไปรอบตัวก่อนจะจับลูกน้องที่มีภรรยาแล้วมาสอบถาม“ภรรยาฉันเป็นอะไรไป” เซียงฮั่นเป็นผู้บัญชาการที่เก่งกาจ เขายังดูแลเอาใจใส่ภรรยาจนลูกน้องแอบเรียกลับหลังว่าสามีแห่งชาติ แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาชายหนุ่มก็ยังเป็นเพียงคนที่เพิ่งเคยมีความรัก“คุณผู้หญิงมีท่าทางยังไงครับ”“ช่วงนี้ไม่ค่อยให้ฉันเข้าใกล้ เวลานอนก็หันหลังให้” เซียงฮั่นนึกถึงท่าทางของภรรยาแล้วก็ปวดใจ เขาไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือเปล่า แต่พอถามแล้วเธอก็บอกว่าเปล่าและฝืนยิ้ม เก็บเรื่องราวไว้ในใจคนเดียว คิดว่าเขามองไม่เห็นอย่างนั้นเหรอ“ถ้าอย่างนั้นนายท่านไปทำอะไรมาหรือเปล่าครับ” ทหารคนสนิทมองหน้าเจ้านายอายุน
ตอนพิเศษ 1 ชีวิตที่ใฝ่หามานานตอนนี้ชีวิตใหม่ของเว่ยซิ่วอิงลงตัวอย่างมาก ได้ก่อตั้งธุรกิจในยุคแรกเริ่ม อนาคตมีแต่จะรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไม่ต้องพึ่งพามิติร้านเครื่องสำอางก็ตามนอกจากนี้ยังมีสามีคอยเอาอกเอาใจ แม่สามีแสนดีที่ไม่มีการกดขี่ลูกสะใภ้เลยสักนิด ครอบครัวของเธอก็คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเสมอซิ่วอิงคิดว่าแค่นี้เธอก็ประสบความสำเร็จมากแล้วในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ลำพังเกิดมามีแม่สามีดีอย่างหลันถัง ก็คงมีคนสงสัยว่าเธอทำบุญกู้ชาติมาในชาติก่อนแน่ ๆ ถึงได้มีชีวิตที่ดีขนาดนี้แค่ถึงอย่างไรคนเก่งก็มีปัญหาของคนเก่ง เพราะสามีต้องไปทำงานต่างเมืองบ่อย ๆ เธอเลยใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับงานในร้านกระทั่งสามีกลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว เธอก็ยังวุ่นวายอยู่กับร้านค้าโชคดีที่เซียงฮั่นเข้าใจแล้วยังสนับสนุนภรรยาให้ทำตามใจปรารถนาได้เต็มที่ เมื่อเขาได้พักเพิ่มสักหนึ่งหรือสองวัน ก็มักจะพาซิ่วอิงไปที่ร้านเสมอเพื่อเอาอกเอาใจหากพาไปร้านอาหารแบบคนหนุ่มสาวก็แล้วไป เขากลับพาเธอเข้าร้านตัวเองเพื่อให้หญิงสาวหาเงินที่เธอชอบนักหนา และแน่นอนว่าซิ่วอิงชอบการแสดงความรักของสามีแบบนี้มากกว่า“มีอะไรหรือเปล่า” ขณะที่นั่งก
บทส่งท้าย คุณคือคนที่อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตรถยนต์สีดำขับไปตามทางที่คุ้นเคยไม่นานก็มาถึงกำแพงบ้านหลัน ทหารเฝ้ายามเปิดประตูต้อนรับด้วยความยินดี เมื่อรถจอดเทียบขาเรียวก็ก้าวออกมา“อิงอิง มาแล้วเหรอจ๊ะ” ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้คือป้าหลัน พร้อมทั้งเหม่ยฟางผู้เป็นมารดาของตนเอง ซิ่วอิงไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตอะไรเพียงยื่นมือไปหาพวกท่านอย่างเป็นธรรมชาติ“ป้าหลันสบายดีไหมคะ วันนี้แอบเข้าครัวกับแม่อีกแล้วหรือเปล่า” ซิ่วอิงสนอกสนใจดูมือของผู้ใหญ่ตรงหน้า ขณะที่ท่านจับจูงเธอเดินทะลุตัวบ้านไปยังสวนด้านหลัง“ป้าเข้าครัวไปก็รกครัวเปล่า ๆ ไม่เข้าไปรบกวนเหม่ยฟางหรอกนะ”“อิงอิงลูกเงยหน้าขึ้นก่อน” เสียงอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ดังขึ้น เมื่อรู้ตัวซิ่วอิงก็มาอยู่ในสวนหลังบ้านของสกุลหลันแล้วหญิงสาวเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย สิ่งแรกที่เห็นคือร่างสูงของชายหนุ่มที่เธอคิดถึงมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาและติดต่อกันทางโทรศัพท์ไม่กี่นาทีต่อเดือนเท่านั้นตอนนี้เขายังสวมชุดทหารเต็มยศ ในมือมีช่อดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ล้อมรอบไปด้วยแสงเทียนและซุ้มดอกไม้ที่ถูกตั้งใจตกแต่งเอาไว้อย่างดีจนทั่วทั้งสวน“พี่เซียงฮั่น” ซิ่วอิงยิ้มออกมาด้วย
บทที่ 44 หาเรื่องใส่ตัว“แม่คะ เราไป…” ก่อนที่คุณหนูลู่จะพูดจบ มารดาของหล่อนก็เดินลิ่ว ๆ เข้าไปในวงสนทนาที่เว่ยซิ่วอิงอยู่ก่อนแล้ว เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้คุณหนูลู่พึงพอใจที่ไม่ต้องทำอะไรเอง“นี่มันแม่ค้าขายเครื่องสำอางนี่นา มาตรฐานงานเลี้ยงของกองทัพตกต่ำลงถึงขนาดเชิญพ่อค้าแม่ค้าข้างถนนมาร่วมงานแล้วอย่างนั้นเหรอเนี่ย” คุณนายลู่ไม่พอใจเว่ยซิ่วอิงอยู่แล้วจากงานเลี้ยงน้ำชาที่บ้านของคุณนายหลัน ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังไปได้ดีก็รู้สึกว่าต้องเข้ามาทำลายและลากคนคนนี้ลงมาให้ได้“สวัสดีค่ะ คุณนายลู่” เว่ยซิ่วอิงไม่ดิ้นเต้นไปตามอารมณ์ของคน เธอทักทายอีกฝ่ายด้วยความเคารพและมีมารยาทเพียงเท่านี้สายตาที่ทุกคนมองมาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย อย่างน้อย ๆ พวกเขาก็มองซิ่วอิงอย่างชื่นชม ขณะที่มองคุณนายลู่เหมือนนางร้ายเกรดต่ำคนหนึ่ง“โอ้ นี่ใครกัน ไม่ใช่คุณชายหลันเซียงฮั่นลูกรักของคุณนายหลันถังหรอกเหรอคะ”“สวัสดี คุณนายลู่” เซียงฮั่นจำต้องทักทายด้วยสีหน้าไม่ดีนัก เขารู้ว่าใครไม่ถูกกับมารดา และต้องหลีกหนีเสมอเมื่อเข้าสังคม แต่คราวนี้ดูเหมือนคนข้างกายจะไม่ยอมหลีกหนีง่าย ๆ ชายหนุ่มทำได้เพียงยืนปักหลักและเป็น
บทที่ 43 เหมาะสมกัน“แต่มีริ้วรอยพวกนี้ นอกจากนั้นฉันยังมีปัญหาใหญ่ในร่มผ้า หนูคิดว่าครีมนั่นจะช่วยได้ไหม”“รอยแผลเป็นเหรอคะ” ซิ่วอิงมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบางเบา เธอไม่ได้ตัดสินและคิดไปก่อนว่าปัญหานั้นคืออะไร รวมถึงไม่ได้รู้สึกสงสารหรือเห็นใจคุณปิงเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งสนใจในตัวหญิงสาวตรงหน้ามากขึ้น ปกติแล้วเมื่อคนรู้ว่าเธอมีแผลเป็นอยู่ใต้ร่มผ้ามักเกิดความเห็นใจขึ้นมาอัตโนมัติเป็นเรื่องธรรมดา เพราะผู้หญิงรูปร่างหน้าตานั้นสำคัญที่สุด โดยเฉพาะหญิงสาวชนชั้นสูงอย่างพวกหล่อนแต่ถึงแม้คุณปิงจะไม่มีปัญหาในเรื่องชีวิตคู่จากแผลเป็นเหล่านี้ แต่มันก็เป็นตราประทับที่เธออยากลบหากเป็นไปได้ เมื่อได้ยินว่าคุณลุงอิงสามารถลบรอยแผลเป็นได้เกือบสำเร็จแล้ว จึงแอบเดินทางมาเยี่ยมญาติในเมืองเล็ก ๆ นี้“นี่น่ะเหรอ คุณหนูหลันคนใหม่ อ๊ะ ไม่ใช่สิ ยังไม่ได้แต่งเข้าบ้านหลันเลย จะกล้าเรียกตัวเองว่าคนของสกุลหลันได้ยังไง”“นั่นสิ หล่อนอยู่สกุลไหนนะ ว่าน? หวาย? อ้อ ๆ สกุลเว่ยที่เปิดร้านค้าเล็ก ๆ อยู่ในเมืองนั่นไง”เสียงเยาะเย้ยของกลุ่มคุณหนูที่อยู่ไม่ไกลดังขึ้นก่อนหน้านี้เพราะมีคนอยู่มากพวกหล่อนจึงไม่กล้าพูดอะไร ต
บทที่ 42 สนับสนุนคนรัก“ช่วงนี้คุณไม่ต้องทำงานเหรอคะ” เมื่อรถเริ่มแล่นไปตามจุดหมาย ซิ่วอิงหันไปถามคนรักด้านข้างช่วงนี้เขามาเทียวรับส่งหญิงสาวไปนู่นมานี่ แม้ว่าทุกอย่างจะง่ายขึ้นเมื่อมีเขาเดินตามหลังไปเจรจากับทางการหรือคู่ค้า แต่ซิ่วอิงยังอดที่จะเกรงใจไม่ได้“ทำอยู่ แต่อยากอยู่กับคุณมากกว่า” เมื่อชายหนุ่มพูดคำหวานออกมาหน้าตาเฉย น่าแปลกที่มันเขย่าหัวใจหญิงสาวได้มากกว่าปกติ“คุณพูดอะไรก็ไม่รู้”“ผมพูดความจริง…จากใจ”ท่าทางจริงจังของเขาทำให้หญิงสาวพอใจมาก เขาดูไม่เหมือนคนจะพูดเล่น ๆ ดังนั้นเมื่อเอ่ยคำหวานออกมาจึงน่าฟังมากกว่าชายหนุ่มที่พูดคำเหล่านั้นออกมาง่าย ๆ กับใครก็ได้นี่แหละตรงกับความชอบของเธอพอดี“ฉันดีใจมากเลยที่คุณอยากใช้เวลาด้วยกันมาก ๆ เอาเป็นว่าวันนี้เราแวะไปเที่ยวที่สวย ๆ ด้วยกันหลังทำงานเสร็จไหมคะ ฉันอยากมีความทรงจำดี ๆ ร่วมกับคุณ”“ยินดีครับ ผมก็อยากมีความทรงจำดี ๆ ร่วมกับคุณให้มาก ๆ ระหว่างที่ยังมีเวลา”ทั้งคู่พูดจาหวานหูโดยไม่ได้สังเกตเลยว่าคนขับรถเหงื่อแตกพลั่กซิ่วอิงไปดูโรงงานและกลุ่มนักวิจัย เธอซื้อตัวพวกเขามาด้วยครีมระดับสูงและวัตถุดิบชั้นดีเท่าที่พอจะนำออกมาจากร้าน
บทที่ 41 กิจการดีขึ้นเรื่อย ๆดูเหมือนข่าวเรื่องการคบหาและขอหมั้นกะทันหันของคุณชายเซียงฮั่นจะเข้าหูผู้เป็นมารดาอย่างนางหลันถังเร็วมาก เพราะในวันถัดมาเมื่อซิ่วอิงตื่นเช้าขึ้น ก็พบว่ามีรถหรูมารับอยู่หน้าบ้านเสียแล้ว“แต่งตัวดี ๆ หน่อยนะลูก ป้าหลันฝากแม่มาบอกแบบนั้น” เหม่ยฟางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แม้เธอจะไม่ได้รู้เรื่องที่ลูกสาวคบหากับหลันเซียงฮั่นลูกชายของเพื่อนสนิทคนใหม่จากปากเจ้าตัว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะดีใจและภาคภูมิใจว่ากันว่าตระกูลหลันเป็นคนรักเดียวใจเดียว ว่าที่แม่สามียังดูชื่นชอบลูกสาวเธอไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเลยว่าชีวิตหลังแต่งงานของซิ่วอิงจะมีปัญหาเพียงแค่นี้ผู้เป็นแม่อย่างเหม่ยฟางก็วางใจแล้ว ขณะที่คนเป็นพ่อแม้จะกังวลแค่ไหนก็ต้องยอมปล่อยลูกสาวให้ออกจากอ้อมแขนไปในวันหนึ่งแม้ว่าเว่ยตงจะโวยวายลั่นว่าต้องการไปพูดคุยกันตระกูลหลันเร็ว ๆ ให้รู้เรื่องก็เถอะ“ชุดนี้ก็พอแล้วมั้งคะ”“เอาอย่างนี้ ลูกไม่รู้จะใส่ชุดไหนไป งั้นใส่ชุดที่ป้าหลันส่งมาให้สองสามรอบก่อนไปสิจ๊ะ” เหม่ยฟางเอ่ยปากแนะนำด้วยความที่เป็นคนจากชนบท ความรู้ด้านแฟชั่นไม่ได้มีมากเหมือนกับหลันถังที่อยู่ในเมืองมาตลอดชีวิต เธอท