หลินลู่เสียนออกหน้าถามยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ฟานเกอหมิงก็ไม่ใช่คนโง่ พอถูกถามย้ำเขาก็เริ่มรู้ตัวว่าตนโดนเปิดโปง
ปัญหาคือฟานเกอหมิงจะทำยังไง? เสบียงถ้ายังไม่เอาไปแบ่งให้สหายสาวทั้งสอง ก็แค่เดินเข้าครัวไปเอามาเติมให้ครบ แต่ถ้าแบ่งกระจายไปแล้ว จะเลือกเอาของตัวเองมาโปะก็เจ็บหนัก แต่ถ้าเดินไปเอามาจากคงฮุ่ยฉิงและโจวอิงไท่ นั่นเท่ากับเปิดเผยตัวเอง ‘ละล้าละลังแบบนี้ แบ่งยัยสองคนนั้นไปแล้วสินะ' หลินลู่เสียนแสยะยิ้ม ครึ้มใจที่เห็นผู้อื่นโชคร้าย เธอไม่ใช่คนใจดี โดยเฉพาะกับพวกเอารัดเอาเปรียบเธอก่อน “สหายฟานตอนพวกเราเดินทางมา หัวหน้าฉางบอกอะไรพวกเราหลายอย่างที่เราควรรู้” หลินลู่เสียนปดหน้าตาย สรุปง่าย ๆ ถ้าคุณไม่รีบคายของออกมาเรื่องใหญ่แน่ “เดี๋ยวผมขอไปตรวจสอบตัวเลขที่แน่ชัดกับสหายหญิงก่อนครับ ผมอาจจะดูผิดพวกเธอเป็นคนจดไว้” ฟานเกอหมิงพูดไปวิ่งไปตัวคนพุ่งไปทางบ้านพักยุวชนหญิงหลังเก่า หลินลู่เสียนหันมองไป๋จื้อหยางดูว่าเขาจะเอาไง เด็กหนุ่มหน้าเข้มชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นแล้วตวัดมือลง เห็นสัญลักษณ์จู่โจม นั่นคือให้รีบตามไปสิ… พวกเราสี่คนเร่งเดินแกมวิ่งตามฟานเกอหมิงไปติด ๆ และบังเอิญป้าเถาฮุ่ยอันที่เธอเพิ่งปะทะคารมตอนมาถึง กำลังผ่านมา จากหางตาเธอเห็นยัยป้าปากสว่างรีบตามมาดู ‘บ่ายนี้รู้กันทั่วหมู่บ้านแน่…ดี!’ ข้อเสียใหญ่ของบ้านพักยุวชนคือรั้วเตี้ย ตอนนี้กลายเป็นข้อดีชั่วคราว ป้าเถาเลยตามส่องได้ง่าย “อิงไท่เปิดประตูหน่อย ผมเองเกอหมิง” ผู้ดูแลยุวชนรีบเคาะเรียก ร้อนใจจนต่องคอยหันหลังมอง “เกอหมิงมีอะ…” ปัง! “ไปเอาพวกเสบียงที่เราตัดแบ่งจากกองยุวชนใหม่มาเร็ว พวกนั้นรู้จำนวนจากหัวหน้าฉางกำลังตามมาเอา ผมแกล้งบอกไปว่าจำตัวเลขไม่ได้ถึงวิ่งมาถาม” เข้าบ้านมาเขารีบปิดประตู พูดสถานการณ์ให้คนในบ้านฟังเสียงต่ำรวดเดียว โจวอิงไท่หน้าเผือดสี ปากล่างยื่นเล็กน้อย ดวงตาลดมองต่ำปกปิดแววไม่ชอบใจ ‘ไอ้คนไร้ประโยชน์ เรื่องง่าย ๆ ยังทำได้ไม่ดี’ “ทำไงดี พวกนั้นไม่ได้แจ้งหัวหน้าฉางใช่ไหม?” คงฮุ่ยฉิงแตกตื่นเสียงที่ถามจึงแหลมดัง “ชู่...เบาหน่อย กลัวพวกนั้นไม่รู้รึไง เดี๋ยวพวกเขามาถึงผมจัดการเอง ฮุ่ยฉิงอย่าพูดมาก อิงไท่คอยเออออตามที่ผมพูดเป็นพอ” ทางด้านนอกบ้านพักยุวชนหญิง ป้าเถาเดินตามมาทันซุนลี่จวนก็ถือวิสาสะดึงแขนเด็กสาวจนคนเกือบล้ม “มีเรื่องอะไรกันเหรอยัยหนูยุวชนซุน” นอกจากไม่ขอโทษแล้วยังถามหน้าตาเฉย มือก็ยังกำแน่นจนซุนลี่จวนนิ่วหน้า ตาล่อกแล่กอยากรู้เต็มที แหม แหม..มาถึงกันวันแรกก็มีเรื่องสนุกเสียแล้ว “หนูไม่รู้ค่ะ แค่ตามพวกพี่ ๆ มา” “ฮี่ย! ไม่ได้เรื่อง!” ป้าเถาสะบัดแขนทิ้งแล้วกระแทกเสียงใส่ “ป้าเดินตามเข้ามาทำไมคะ นี่มันในเขตรั้วบ้านพวกเราบุกรุกเข้ามาแบบนี้เกิดมีของหายป้าจะซวยนะ” หลินลู่เสียนหันไปจัดการป้าเถาก่อน เธอปล่อยให้มาเก็บข้อมูลได้ แต่ไม่ใช่วุ่นวายจนเสียเรื่อง “นังเด็กนี่อย่ามากล่าวหาส่งเดช!!! ว่าแต่…มีปัญหาอะไรกัน” เถาฮุ่ยอันเท้าเอวทำท่าจะเปิดปากด่า แต่พอคิดว่ายังมีเรื่องให้ถามเสียงถึงเบาลง “ไม่มีอะไรค่ะ เดินตามมาเอาเสบียง สหายฟานเขาลืมว่าหัวหน้าฉางแบ่งมาให้พวกเราเท่าไหร่ เลยเดินมาถามจำนวนกับสหายโจว” เธอทำเป็นพูดไม่มีอะไร แต่บอกเล่าเรื่องครบถ้วน เล่าแบบกั๊ก ให้คิดจินตนาการต่อเอง “คนไปเอาเสบียงเป็นฟานเกอหมิง ทำไมต้องมาถามคนอื่น หรือเสบียงหายใช่ไหม” ดูถูกสมองช่างนินทาของป้าสะใภ้ในชนบทไม่ได้เลย เรื่องชาวบ้านนี่หัวไว จินตนาการไปสุด หลินลู่เสียนไม่ตอบ แต่แอบยกยิ้มสมใจ ส่วนป้าเถาพออยากรู้จนคันยุบยิบแต่ดันไม่ถูกเกา ก็แทบจะดิ้นพล่านอยู่ไม่สุข ไป๋จื้อหยางเห็นป้าเถาถูกหลินลู่เสียนจับหมุนเล่นบนฝ่ามือแทบจะหัวเราะเสียงดังแล้วยกนิ้วโป้งให้ ดูก็รู้ว่านี่ตัวกระจายข่าวชั้นดีในหมู่บ้าน เขาพอจะรู้แล้วว่านี่คือวิธีที่เธอจัดการพวกยุวชนรุ่นพี่ ถ้าชาวบ้านรู้เรื่องยักยอกเสบียง หรือเรียกง่าย ๆ ว่าขโมยเสบียงต่อให้วันนี้พวกนั้นเฉไฉไปรอด แต่ชื่อเสียงก็ป่นปี้ไม่เหลือ ‘ในอนาคตพวกนั้นจะเล่นกลอะไร คนก็ติดภาพจำไม่ดีไปแล้ว' “สหายฟานว่าไงครับ” ฉือเหว่ยเฉิงเป็นคนเคาะประตูเรียกคนที่ผลุบหายเข้าบ้านดิน ไม่โผล่หัวออกมาสักที “เป็นผมจำตัวเลขผิดไปจริง ๆ ครับ ลองทวนจำนวนที่ฝากอิงไท่จดมาก็พบว่าขาดไปนิดหน่อย โชคดีที่ผมเก็บแยกไว้ไม่ได้หายไปไหน” ฟานเกอหมิงเดินนำออกมาในอ้อมแขนแบกกระสอบไว้ 2 อัน มีโจวเองไท่เดินอุ้มอีกกระสอบที่เล็กกว่าตามหลังมา “พวกฉันแค่รับฝากจากเกอหมิง ยังไม่ได้เปิดถุงดูนะคะ ไม่ต้องห่วงน้ำหนักไม่ขาดแน่นอน” โจวอิงไท่พูดจาดูน่าเชื่อถือ ใบหน้าจริงใจใสซื่อ “แยกเก็บทำไม หัวหน้าฉางชั่งแยกกระสอบของแต่ละคนไว้ แค่แบกของที่ได้มาส่งต่อจะยุ่งยากอะไร” ป้าเถาทนเงียบไม่ไหวต้องสอดปาก ตัวผอมของหญิงกลางคนมุดมาด้านหน้า ดึงกระสอบจากมือโจวอิงไท่ไปเปิดดู “จุ๊ ๆ นี่เหมือนตักแบ่งออกจากกระสอบใหญ่ พวกเธอขโมยของใช่ไหม!!! ไม่ได้แล้วต้องไปแจ้งหัวหน้าฉาง” ป้าเถาหอบของเตรียมวิ่งออกไปแต่ถูกดักทางไว้ก่อน “ป้าอย่ามาเนียน ส่งกระสอบคืนมาด้วย!” ไป๋จื้อหยางกระชากคอเสื้อด้านหลังเต็มแรง คอเสื้อด้านหน้ารั้งลำคอจนป้าเถาหายใจลำบาก “แค่ก…เจ้าข้าเอ๊ย! ฆ่าคนแล้ว ยุวชนพวกนี้จะฆ่าคน” ป้าเถาลงไปนั่งบนพื้นตบขาตีตัวฟูมฟายเสียงแหลมดังแสบหู “อะไร เกิดอะไรขึ้นยังเถา!” “มาเร็ว มาตัดสินให้ฉันด้วย ยุวชนพวกนี้มันรวมหัวกันทำร้ายฉัน” ป้าเถารีบหาพวกอย่างนางไฉ่จี ชาวบ้านรีบเดินออกมาดูตามเสียงเถาฮุ่ยอัน บางคนไม่กล้าเข้าใกล้เพราะรู้ฝีปากป้าเถากันดี บางคนก็แนบหน้าดูผ่านรั้วไม้ “เอะอะอะไรกันอีกแล้วนางเถา” มีเด็กวิ่งไปตามหัวหน้าฉางที่บ้านเขาจึงรีบมาพร้อมซ่งหย่งเหลียง เลขากองพลที่กำลังหารือเรื่องการแบ่งงานของปีนี้ “หัวหน้าฉาง ยุวชนพวกนี้ไม่มีตัวดีสักคน กลุ่มเก่าก็เป็นหัวขโมย พวกที่มาใหม่ก็ทำตัวอันธพาลทำร้ายคน หัวหน้าต้องตัดสินให้ฉัน! ส่งพวกมันไปใช้แรงงาน!” ป้าเถารีบฟูมฟายไร้น้ำตาฟ้องความก่อน แถมตัดสินโทษให้พร้อม หันไปยิ้มเยาะใส่หลินลู่เสียน คิดว่ายังไงหัวหน้าฉางกับเลขาต้องเข้าข้างคนในหมู่บ้าน “ข้อหาจะพูดส่งเดชไม่ได้นะนางเถา! ฝั่งยุวชนมีอะไรจะเล่าหรือเปล่าครับ” หัวหน้าฉางขู่ป้าเถาให้เงียบ แล้วมองไปทางฟานเกอหมิง “พวกผมมีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยครับ กำลังคุยกันอยู่ป้าเถาก็บุกรุกเข้ามาโวยวายแล้วฉวยกระสอบข้าวฟ่างจะวิ่งหนีไป สหายไป๋รีบจับเสื้อไว้ ป้าเถาคงเจ็บเลยนั่งลงร้องไห้โวยวายครับ” ผู้ดูแลยุวชนปัดทุกอย่างให้พ้นตัวทำราวกับเรื่องไม่ได้เริ่มจากพวกเขา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน หลินลู่เสียนยังอดนับถือความไร้ยางอายนี้ไม่ได้ “หุบปากนะไอ้หัวขโมย! แกคิดว่าเล่นลิ้นแล้วจะรอดตัวไปได้หรือไง เฮอะ!” คำพูดฟานเกอหมิงไม่เข้าหู ป้าเถาลุกขึ้นมาชี้หน้าตวาดคำก็ขโมยสองคำก็ขโมย “นอกจากอันธพาลแล้วยังขโมยอะไรอีก!!!” หัวหน้าฉางตะโกนใส่ป้าเถาที่เสียงดัง เขาเหลืออดกับนางคนนี้แล้ว ถ้ากองพลของเขามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ที่ทำมาทั้งปีเพื่อผลงานหมู่บ้านดีเด่นก็หายวับไปกับตา หลินลู่เสียนรู้เรื่องนี้ จึงไม่ได้แจ้งหัวหน้าฉางเรื่องเสบียง เพราะถ้าพวกเธอก่อเรื่องตั้งแต่วันแรก ไม่เป็นผลดีกับการขอความช่วยเหลือจากผู้มีอำนาจสูงสุดในชุมชนภายหลัง ในเมื่อป้าเถาเสนอตัวเป็นหนังหน้าไฟ เธอก็รับด้วยความยินดี เท่านี้พวกเธอก็ไม่ใช่คนก่อเรื่อง แถมยังดูเป็นเหยื่อ เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว “มีใครอธิบายให้ละเอียดหน่อยได้ไหม?” หัวหน้าฉางกราดสายตาเข้มงวดมองไปทางกลุ่มยุวชน หลินลู่เสียนรีบขึ้นหน้าเสนอตัว เพราะเธอรอโอกาสนี้อยู่ “ฉันขอเล่าตั้งแต่ต้นแล้วกันค่ะ”“เรื่องเริ่มจากเสบียงที่หมู่บ้านปันมาให้พวกเรา”หลินลู่เสียนหยุดเล่าปรายตามองไปทางโจวอิงไท่ที่ทำหน้าตาอ้อนวอนอย่างน่าสงสารส่งไปให้ไป๋จื้อหยาง‘เหอะ! นังชาเขียว ทำหน้าให้ใครดูกัน'“เรามาแวะเอาเสบียงที่ผู้ดูแลฟาน แต่น้ำหนักเสบียงไม่ตรงกับของหัวหน้าฉาง เลยเดินมาดูน้ำหนักที่โจวอิงไท่จดไว้ตามคำบอกของสหายฟานบังเอิญป้าสะใภ้ท่านนี้บุกรุกเข้ามาในเขตเรือน แล้วจู่ ๆ ก็เข้าไปดึงของออกจากมือสหายโจว โวยวายว่าสหายฟานและพวกขโมย จากนั้นก็หอบของจะชิ่งหนี สหายไป๋กลัวของหายถึงได้รีบร้อนจับคอเสื้อ แล้วคุณป้าก็ร้องโวยวายตามที่เห็นกันนี่ล่ะค่ะ” หลินลู่เสียนเล่าแบบเป็นกลางไม่ตกหล่นทั้งมีรายละเอียดครบ หัวหน้าฉางค่อนข้างพอใจนิสัยตรงไปตรงมาไม่เล่นลิ้นนี้ชาวบ้านจับความผิดปกติได้เสบียงน้ำหนักไม่ตรงกัน เป็นไปได้ยังไง!หมู่บ้านมีการประชุมชัดเจนว่าจะปันเสบียงสำรองของหมู่บ้านให้ยุวชนใหม่เท่าไหร่ แถมยังนำมาชั่งต่อหน้าลูกบ้านแล้วปิดถุง ถ้าไม่มีการเปิดนำออกน้ำหนักไม่มีทางขาด“หัวหน้าฉางเป็นความผิดของผมเองครับ ไม่ทันดูให้ดีหยิบเสบียงส่วนของพวกผมสลับกับของยุวชนใหม่ มารู้ตัวตอนเปิดกระสอบไปแล้ว ผมเขินในความผิดพลาดเล็กน้อ
สองหนุ่มยุวชนใหม่เดินกลับบ้านพัก“อาเฉิงเราเดินสำรวจหมู่บ้านกันสักรอบ จะได้รู้ทางหนีทีไล่” ไป๋จื้อหยางเก็บเอาคำพูดทั้งหมดที่ได้ยินจากหลินลู่เสียนมาคิด เขาคงต้องเตรียมตัวอะไรไว้บ้าง ดีกว่าอยู่ไปแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้“ดีเหมือนกันนะพี่” ฉือเหว่ยเฉิงเห็นด้วยอย่างยิ่งหมู่บ้านทงจิวเป็นหมู่บ้านที่เน้นทางด้านเกษตรกรรมเหมือนกับหมู่บ้านอื่น ผลผลิตในแต่ละปีก็พอเพียงให้คนในหมู่บ้านพอกินไม่ถึงกับอดอยากทางเข้าหมู่บ้านเป็นถนนดินขนาดกว้างให้เกวียนวัวสวนกันได้ มีรถแทรกเตอร์ของกองพลซึ่งดีกว่าหลายหมู่บ้าน การลงแปลงนาก็อาศัยรถนี่ในการพลิกหน้าดินแหล่งน้ำของหมู่บ้านอยู่เยื้องไปทางเหนือของแปลงนารวม เป็นธารน้ำที่ไหลมาจากภูเขา“ทางเดินหมู่บ้านทำไว้รอบแปลงนารวม ส่วนบ้านคนก็อยู่อีกฟากของทางเดิน” ไป๋จื้อหยางนั่งขีดเส้นบนพื้นด้วยกิ่งไม้ เป็นแผนที่คร่าว ๆ ว่าอะไรอยู่ตรงไหน“ทางเดินเข้าหมู่บ้านด้านหน้าฝั่งหนึ่งเป็นป่าหญ้าขึ้นสูง”“อือ…ตรงนี้เป็นทางขึ้นเขา พวกร้านสหกรณ์หมู่บ้าน ตึกอำนวยการราชการจะอยู่ทางเข้าหมู่บ้าน แล้วก็บ้านหัวหน้าฉาง”“เราจะลงมือคืนนี้เลยหรือเปล่าพี่” ฉือเหว่ยเฉิงวงกลมบนดิน 2 จุด ที่เขาคิดว่าลง
7 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น“ยุวชนหลิน ยุวชนซุน ตื่นหรือยังครับ” หัวหน้าฉางที่นัด แนะเวลากันไว้มาตรงเวลา เขามาพร้อมชายชาวบ้านหลากหลายอายุทั้งหมดสิบคน“สวัสดีค่ะ น้าเขย ผู้อาวุโสทุกคน เข้ามาเลยค่ะ มาดื่มน้ำก่อนแล้วค่อยเริ่มงานนะคะ” หลินลู่เสียนทักทุกคนสุภาพแม้ไม่ได้ทำตัวสนิทสนมแต่ก็ไม่ได้เชิดใส่ซุนลี่จวนยื่นแก้วสังกะสีที่เติมน้ำต้มอุ่น ๆ ให้เวียนกันดื่มอบอุ่นร่างกายทีละคน“ไปเริ่มกันเลย จะให้ล้อมจากตรงไหนครับ”“หัวหน้าฉางคะ ล้อมในส่วนที่เป็นเขตของบ้านพวกฉันกับบ้านหลังเก่าน่ะค่ะ ฉันก็ไม่แน่ใจพื้นที่รบกวนหัวหน้าชี้จุดแบ่งเขตให้ดูหน่อยได้ไหมคะ”“ในพื้นที่บ้านพักยุวชนไม่ได้แบ่งเขตชัดเจนหรอกครับ งั้นเอาเป็นตรงกลางระหว่างบ้านยุวชนโจวกับหลังนี้แล้วกันครับ” บ้านที่สร้างให้ยุวชนอยู่ก็แบ่งพื้นที่ของส่วนกลางหมู่บ้านมา มันเลยไม่มีจุดแบ่งเขต เขาจึงชี้ ๆ ไปตรงกลางระหว่างสองหลัง“เอาตามนั้นได้เลยค่ะ” หลินลู่เสียนก็ไม่เรื่องมากหรือคิดอยากได้ที่เพิ่ม“สหายหลินต้องสร้างรั้วกั้นกันชัดเจนเลยเหรอคะ ทำแบบนี้เหมือนรังเกียจพวกเราเลยนะคะ?” โจวอิงไท่เปิดประตูหลังข้าง ๆ ออกมากัดปากหน้าตาซีดเซียวดูไม่สบายใจชาวบ้านที่ม
หลินลู่เสียนถูกป้าสะใภ้ลากมาถึงบ้านพักยุวชน เรียกว่าลากคงไม่ถูกเธอเต็มใจที่จะตามมาต่างหาก มาที่หมู่บ้านสองวัน เกิดเหตุไม่เว้นสามเวลาถ้ามาร้องทุกข์เองมีหวังโดนเขม่น“เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว วุ่นวายกันเสียจริง” หัวหน้าฉางที่กำลังคุมงานสร้างรั้วดูจะเริ่มอารมณ์ไม่ดี“ยัยหนูยุวชนถูกถังหู่ทำตัวอันธพาลใส่ เรื่องนี้ไม่ใช่เล่น ๆ นะหัวหน้าฉาง” ฉีเหยียนเหมยออกหน้าหน้าตาคร่ำเครียด“ห๊า! เป็นไงมาไงเล่ามาให้หมดสิ” หัวหน้าฉางเริ่มตกใจ ปกติถังหู่แม้ไม่เป็นโล้เป็นพาย เกียจคร้านการงาน มีเรื่องขัดใจกับคนในหมู่บ้าน แต่ยังไม่ถึงขั้นทำเรื่องร้ายแรงมาก่อน“ฉันไม่รู้ว่าเป็นใครนะคะ ตอนเดินสำรวจหมู่บ้านเขามาดักหน้า พูดจา…” หลินลู่เสียนเล่าเหตุการณ์อีกรอบ พอดีกับที่ไป๋จื้อหยางและฉือเหว่ยเฉิงเดินมาเพื่อกินมื้อเช้าได้ยินเข้าพอดีสองหนุ่มท่าทางโกรธเกรี้ยว…ยุวชนรุ่นเก่าก็เปิดประตูรับฟัง เธอแอบเห็นคงฮุ่ยฉิงกับโจวอิงไท่แอบทำหน้าเสียดายที่เธอไม่เป็นไร“พี่ลู่เสียน! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ซุนลี่จวนตกใจหน้าซีดรีบจับตัวเธอหมุนไปมา“ถังหู่นี่ชักจะหนักข้อขึ้นทุกวัน ใครมีลูกสาวต้องให้รเสียงตัวไว้บ้าง”“หัวหน้าฉางจะเอาไง ครั้งนี้
ไป๋จื้อหยางมองชายที่ซุกตัวหลบในห้องปล่อยให้คนในบ้านออกหน้าแทนด้วยสายตาดูถูก“แก…ถ้าไม่รีบออกไปได้เจอดีแน่!”ถังหู่ทำท่าดุร้ายเมื่อเห็นคนเข้ามาเป็นเพียงเด็กหนุ่มยุวชนแค่คนเดียว‘ฮึ! ก็แค่ไอ้เด็กหน้าขาวจากในเมือง'“ฉันออกแน่ แต่แกก็ต้องออกไปด้วย”ไป๋จื้อหยางยิ้มเหี้ยม เอื้อมมือไปจับไหล่ถังหู่กดไว้ น้ำหนักมือทำอีกฝ่ายตกตะลึงรีบปัดป้อง ส่งหมัดหวังจะซัดหน้าหล่อคมของเด็กหนุ่มยุวชน ไป๋จื้อหยางโยกเพียงท่อนบนก็หลบพ้น เขาที่ฝึกการต่อสู้กับทหารปลดประจำการมาตั้งแต่เด็ก ไม่เห็นหมัดของอันธพาลประจำหมู่บ้านอยู่ในสายตาปลายศอกพับแล้วกระแทกเข้าลิ้นปี่ ถังหู่จุกจนสำรอกน้ำย่อยปนน้ำลายหนืด ตัวงอเป็นกุ้งแต่ไม่ทันได้หายเจ็บก็ถูกไป๋จื้อหยางลากคอไปโยนกลางลานบ้านที่ชุลมุน“ปล่อยนะ! ปล่อยสิวะ!” ถังหู่ด้วยความจุกจึงไม่มีแรงพอจะดิ้นให้หลุดฉือเหว่ยเฉิงยกนิ้วให้สหายรัก เรื่องใช้แรงและการต่อสู้ไป๋จื้อหยางแทบไม่เคยเสียเปรียบ“ถังหู่ออกมาแล้ว ทุกคนหยุดมือ!” ไป๋จื้อหยางตะโกนเสียงดังแล้วเดินไปยืนข้างหลินลู่เสียน“ยุวชนหลินมาดูหน่อยครับว่าใช่คนนี้หรือเปล่า” หัวหน้าฉางรีบมองหาคนแล้วเอ่ยเร่ง“คนนี้แหละค่ะ ที่มาดักหน้าฉัน
หลินลู่เสียนกับซุนลี่จวนเดินถือห่อผ้าไปทางเขตบ้านเรือนของชุมชน มากันสองคนจึงไม่ได้ให้พวกไป๋จื้อหยางตามมา ยิ่งมีเรื่องถังหู่ที่คนทั้งหมู่บ้านคงรู้กันหมดแล้วคงไม่มีใครกล้าทำอะไรในช่วงนี้ยุวชนหญิงทั้งสองที่กำลังเดินข้ามสะพานไม้ไปทางฝั่งบ้านเรือนชุมชน มีชาวบ้านมองตามทั้งแบบตั้งใจและแบบลอบมอง“คนนั้นใช่ไหมที่เพิ่งมาก็มีแต่เรื่อง”“อยู่ให้ห่าง ๆ เข้าไว้ เธอไม่ลงแปลงนา”“จริงเหรอ! ไม่มีแต้มจะเอาอะไรไปแลกข้าวแลกคูปอง”ป้าสะใภ้ที่นั่งซักผ้าริมลำธารหันมองอย่างรู้กัน สายตามีแววดูถูกดูแคลน“ตัวขาวนุ่มนิ่มแบบนี้ มือไม้อ่อนทำงานหนักไม่ไหวแน่”“ก็คงหาผู้ชายพึ่งพานั่นล่ะ บ้านไหนมีลูกชายระวังให้ดีจะมีปลิงมาเกาะ”“แต่ฉันได้ยินว่าเขากินข้าวหม้อรวมกับยุวชนชายที่มาใหม่อีก 2 คนนะ” มีคนแย้งออกมาบ้างสิ่งที่ป้าสะใภ้พวกนี้สุมหัวนินทาหลินลู่เสียนไม่ได้ยิน พอเดินข้ามสะพานไป เจอกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านกำลังเล่นกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ก็ไม่เชิงเล่น…เด็กบางคนหาเก็บผักตามริมน้ำ แต่ละคนมีตะกร้าสานสะพายหลัง“พวกเธอ มีใครรู้จักบ้านป้าฉีไหม” หลินลู่เสียนมุ่งตรงไปถามเด็ก ๆ ส่วนใหญ่หันมองเธอระแวดระวัง แล้วเดินหนีไปให้ห่างจากเธ
‘ลูก? มองเห็นแม่' วิญญาณโปร่งแสงของหลินลู่เสียนหันเหมาจากชายวัยกลางคนที่เป็นสามีของเธอ ที่ตายจากกันนานกว่า 20 ปี มองไปยังบุตรสาวที่ไม่เคยได้เลี้ยงดูเติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามเข้มแข็ง ‘พี่หยาง…ถิงเออร์’ ความปวดร้าวเสียใจราวกับวิญญาณถูกฉีกกระชากถาโถมเข้ามา สองแขนโปร่งแสงพยายามเอื้อมออกไปรั้งกอดสามีและลูก มีแต่ความว่างเปล่าในอ้อมแขน หลินลู่เสียนร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ แต่ไร้เสียงให้ใครได้ยิน พอเริ่มทำใจได้รู้ว่าลูกสาวมีความพิเศษสามารถมองเห็นพลังงานวิญญาณได้จากหยกจักรพรรดิ์สีแดงที่เธอสวมให้ก่อนตายตอนคลอดลูก “แม่คะหนูไม่ได้ยินเสียง แต่หนูสามารถอ่านปากได้ แม่มีอะไรจะพูดกับพ่อไหมคะ” ‘พี่หยางคิดถึงพี่จัง ที่รัก ไหนดูสิยิ่งอายุมากยิ่งคมสันหล่อเหลาสมเป็นสามีฉันจริง ๆ’ นิ้วชี้เรียวโปร่งแสงยื่นออกไปปัดผ่านปลายคางของสามี ยื่นหน้าไปหอมแก้มซ้ายขวา ไม่ได้สนใจสายตาบุตรสาวที่มองตาค้าง หลินลู่เสียนยักไหล่ข้างหนึ่ง ‘ช่วยไม่ได้นะ แม่คิดถึงพ่อ ไม่ได้เจอกันตั้ง 22 ปี ลูกก็ทนเอาหน่อย' จากนั้นความเกรงใจก็ไม่มีอยู่ในคำศัพท์ของเธอ ใช้ลูกสาวเป็นสื่อในการป้อยอสามี สลับกับให้ลูกสาวเล่าประสบการณ์ชีวิตหลังจากเ
“ยินดีต้อนรับ ยุวชนปัญญาชนทุกคนครับ” ฉางจุนจี้หัวหน้ากองพลน้อยชุมชนหมู่บ้านทงจิว หรือที่ทุกคนในหมู่บ้านเรียกหัวหน้าฉาง กำลังยืนยิ้มกล่าวต้อนรับยุวชนปัญญาชนกลุ่มใหม่ 4 คน ที่ถูกส่งมา อันที่จริงเขาไม่อยากรับมาหรอก ยุวชนแต่ละคนที่มานำพาปัญหาและความปวดหัวมาให้ไม่หยุด กลุ่มเดิม 5 คน นี่มีคนใหม่มาอีก 4 คน “เฮ้อ! เจ็บทั้งมือเจ็บทั้งขา จะขนของกลับไปยังไงเนี่ย หรือว่าจ้างคนช่วยขนของดี” หลินลู่เสียนบ่นไปก็นวดข้อมือที่แดง ฝ่ามือมีรอยแดงจากการค้ำลงบนพื้นรถไฟ เธอใช้เสียงที่ดังพอให้คนรอบข้างได้ยิน ไป๋จื้อหยางขมวดคิ้วมองเด็กสาวทางด้านหน้า เห็นมือแดงเถือกก็รู้สึกผิดนิดหน่อย นิดเดียวเท่านั้นนะ จริง ๆ “เดี๋ยวผมกับเพื่อนช่วยถือแล้วกัน ไถ่โทษที่ชนคุณเข้า” เด็กหนุ่มเสนอตัวผิดวิสัยเจ้าตัว ที่ใช่ว่าจะมีน้ำใจกับคนไปทั่ว ฉือเหว่ยเฉิงรีบหันไปมองอย่างจับผิด หรี่ตาล้อ ๆ “พี่จื้อหยาง ปกติไม่ได้ใจดีแบบนี้นี่” ปึก…โดนเพื่อนเปิดโปงจึงใช้ฝ่ามือใหญ่ผลักหัวคนข้าง ๆ เกือบคมำ“พูดมาก ไปยกของไป ช่วยยกของเด็กอีกคนนั่นด้วย” ไป๋จื้อหยางยกกระสอบของขึ้นแบกบนบ่า กระเป๋าที่น่าจะใส่ผ้าสะพายไหล่ยังมีกระสอบอีกใบหนีบไว้
หลินลู่เสียนกับซุนลี่จวนเดินถือห่อผ้าไปทางเขตบ้านเรือนของชุมชน มากันสองคนจึงไม่ได้ให้พวกไป๋จื้อหยางตามมา ยิ่งมีเรื่องถังหู่ที่คนทั้งหมู่บ้านคงรู้กันหมดแล้วคงไม่มีใครกล้าทำอะไรในช่วงนี้ยุวชนหญิงทั้งสองที่กำลังเดินข้ามสะพานไม้ไปทางฝั่งบ้านเรือนชุมชน มีชาวบ้านมองตามทั้งแบบตั้งใจและแบบลอบมอง“คนนั้นใช่ไหมที่เพิ่งมาก็มีแต่เรื่อง”“อยู่ให้ห่าง ๆ เข้าไว้ เธอไม่ลงแปลงนา”“จริงเหรอ! ไม่มีแต้มจะเอาอะไรไปแลกข้าวแลกคูปอง”ป้าสะใภ้ที่นั่งซักผ้าริมลำธารหันมองอย่างรู้กัน สายตามีแววดูถูกดูแคลน“ตัวขาวนุ่มนิ่มแบบนี้ มือไม้อ่อนทำงานหนักไม่ไหวแน่”“ก็คงหาผู้ชายพึ่งพานั่นล่ะ บ้านไหนมีลูกชายระวังให้ดีจะมีปลิงมาเกาะ”“แต่ฉันได้ยินว่าเขากินข้าวหม้อรวมกับยุวชนชายที่มาใหม่อีก 2 คนนะ” มีคนแย้งออกมาบ้างสิ่งที่ป้าสะใภ้พวกนี้สุมหัวนินทาหลินลู่เสียนไม่ได้ยิน พอเดินข้ามสะพานไป เจอกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านกำลังเล่นกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ก็ไม่เชิงเล่น…เด็กบางคนหาเก็บผักตามริมน้ำ แต่ละคนมีตะกร้าสานสะพายหลัง“พวกเธอ มีใครรู้จักบ้านป้าฉีไหม” หลินลู่เสียนมุ่งตรงไปถามเด็ก ๆ ส่วนใหญ่หันมองเธอระแวดระวัง แล้วเดินหนีไปให้ห่างจากเธ
ไป๋จื้อหยางมองชายที่ซุกตัวหลบในห้องปล่อยให้คนในบ้านออกหน้าแทนด้วยสายตาดูถูก“แก…ถ้าไม่รีบออกไปได้เจอดีแน่!”ถังหู่ทำท่าดุร้ายเมื่อเห็นคนเข้ามาเป็นเพียงเด็กหนุ่มยุวชนแค่คนเดียว‘ฮึ! ก็แค่ไอ้เด็กหน้าขาวจากในเมือง'“ฉันออกแน่ แต่แกก็ต้องออกไปด้วย”ไป๋จื้อหยางยิ้มเหี้ยม เอื้อมมือไปจับไหล่ถังหู่กดไว้ น้ำหนักมือทำอีกฝ่ายตกตะลึงรีบปัดป้อง ส่งหมัดหวังจะซัดหน้าหล่อคมของเด็กหนุ่มยุวชน ไป๋จื้อหยางโยกเพียงท่อนบนก็หลบพ้น เขาที่ฝึกการต่อสู้กับทหารปลดประจำการมาตั้งแต่เด็ก ไม่เห็นหมัดของอันธพาลประจำหมู่บ้านอยู่ในสายตาปลายศอกพับแล้วกระแทกเข้าลิ้นปี่ ถังหู่จุกจนสำรอกน้ำย่อยปนน้ำลายหนืด ตัวงอเป็นกุ้งแต่ไม่ทันได้หายเจ็บก็ถูกไป๋จื้อหยางลากคอไปโยนกลางลานบ้านที่ชุลมุน“ปล่อยนะ! ปล่อยสิวะ!” ถังหู่ด้วยความจุกจึงไม่มีแรงพอจะดิ้นให้หลุดฉือเหว่ยเฉิงยกนิ้วให้สหายรัก เรื่องใช้แรงและการต่อสู้ไป๋จื้อหยางแทบไม่เคยเสียเปรียบ“ถังหู่ออกมาแล้ว ทุกคนหยุดมือ!” ไป๋จื้อหยางตะโกนเสียงดังแล้วเดินไปยืนข้างหลินลู่เสียน“ยุวชนหลินมาดูหน่อยครับว่าใช่คนนี้หรือเปล่า” หัวหน้าฉางรีบมองหาคนแล้วเอ่ยเร่ง“คนนี้แหละค่ะ ที่มาดักหน้าฉัน
หลินลู่เสียนถูกป้าสะใภ้ลากมาถึงบ้านพักยุวชน เรียกว่าลากคงไม่ถูกเธอเต็มใจที่จะตามมาต่างหาก มาที่หมู่บ้านสองวัน เกิดเหตุไม่เว้นสามเวลาถ้ามาร้องทุกข์เองมีหวังโดนเขม่น“เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว วุ่นวายกันเสียจริง” หัวหน้าฉางที่กำลังคุมงานสร้างรั้วดูจะเริ่มอารมณ์ไม่ดี“ยัยหนูยุวชนถูกถังหู่ทำตัวอันธพาลใส่ เรื่องนี้ไม่ใช่เล่น ๆ นะหัวหน้าฉาง” ฉีเหยียนเหมยออกหน้าหน้าตาคร่ำเครียด“ห๊า! เป็นไงมาไงเล่ามาให้หมดสิ” หัวหน้าฉางเริ่มตกใจ ปกติถังหู่แม้ไม่เป็นโล้เป็นพาย เกียจคร้านการงาน มีเรื่องขัดใจกับคนในหมู่บ้าน แต่ยังไม่ถึงขั้นทำเรื่องร้ายแรงมาก่อน“ฉันไม่รู้ว่าเป็นใครนะคะ ตอนเดินสำรวจหมู่บ้านเขามาดักหน้า พูดจา…” หลินลู่เสียนเล่าเหตุการณ์อีกรอบ พอดีกับที่ไป๋จื้อหยางและฉือเหว่ยเฉิงเดินมาเพื่อกินมื้อเช้าได้ยินเข้าพอดีสองหนุ่มท่าทางโกรธเกรี้ยว…ยุวชนรุ่นเก่าก็เปิดประตูรับฟัง เธอแอบเห็นคงฮุ่ยฉิงกับโจวอิงไท่แอบทำหน้าเสียดายที่เธอไม่เป็นไร“พี่ลู่เสียน! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ซุนลี่จวนตกใจหน้าซีดรีบจับตัวเธอหมุนไปมา“ถังหู่นี่ชักจะหนักข้อขึ้นทุกวัน ใครมีลูกสาวต้องให้รเสียงตัวไว้บ้าง”“หัวหน้าฉางจะเอาไง ครั้งนี้
7 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น“ยุวชนหลิน ยุวชนซุน ตื่นหรือยังครับ” หัวหน้าฉางที่นัด แนะเวลากันไว้มาตรงเวลา เขามาพร้อมชายชาวบ้านหลากหลายอายุทั้งหมดสิบคน“สวัสดีค่ะ น้าเขย ผู้อาวุโสทุกคน เข้ามาเลยค่ะ มาดื่มน้ำก่อนแล้วค่อยเริ่มงานนะคะ” หลินลู่เสียนทักทุกคนสุภาพแม้ไม่ได้ทำตัวสนิทสนมแต่ก็ไม่ได้เชิดใส่ซุนลี่จวนยื่นแก้วสังกะสีที่เติมน้ำต้มอุ่น ๆ ให้เวียนกันดื่มอบอุ่นร่างกายทีละคน“ไปเริ่มกันเลย จะให้ล้อมจากตรงไหนครับ”“หัวหน้าฉางคะ ล้อมในส่วนที่เป็นเขตของบ้านพวกฉันกับบ้านหลังเก่าน่ะค่ะ ฉันก็ไม่แน่ใจพื้นที่รบกวนหัวหน้าชี้จุดแบ่งเขตให้ดูหน่อยได้ไหมคะ”“ในพื้นที่บ้านพักยุวชนไม่ได้แบ่งเขตชัดเจนหรอกครับ งั้นเอาเป็นตรงกลางระหว่างบ้านยุวชนโจวกับหลังนี้แล้วกันครับ” บ้านที่สร้างให้ยุวชนอยู่ก็แบ่งพื้นที่ของส่วนกลางหมู่บ้านมา มันเลยไม่มีจุดแบ่งเขต เขาจึงชี้ ๆ ไปตรงกลางระหว่างสองหลัง“เอาตามนั้นได้เลยค่ะ” หลินลู่เสียนก็ไม่เรื่องมากหรือคิดอยากได้ที่เพิ่ม“สหายหลินต้องสร้างรั้วกั้นกันชัดเจนเลยเหรอคะ ทำแบบนี้เหมือนรังเกียจพวกเราเลยนะคะ?” โจวอิงไท่เปิดประตูหลังข้าง ๆ ออกมากัดปากหน้าตาซีดเซียวดูไม่สบายใจชาวบ้านที่ม
สองหนุ่มยุวชนใหม่เดินกลับบ้านพัก“อาเฉิงเราเดินสำรวจหมู่บ้านกันสักรอบ จะได้รู้ทางหนีทีไล่” ไป๋จื้อหยางเก็บเอาคำพูดทั้งหมดที่ได้ยินจากหลินลู่เสียนมาคิด เขาคงต้องเตรียมตัวอะไรไว้บ้าง ดีกว่าอยู่ไปแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้“ดีเหมือนกันนะพี่” ฉือเหว่ยเฉิงเห็นด้วยอย่างยิ่งหมู่บ้านทงจิวเป็นหมู่บ้านที่เน้นทางด้านเกษตรกรรมเหมือนกับหมู่บ้านอื่น ผลผลิตในแต่ละปีก็พอเพียงให้คนในหมู่บ้านพอกินไม่ถึงกับอดอยากทางเข้าหมู่บ้านเป็นถนนดินขนาดกว้างให้เกวียนวัวสวนกันได้ มีรถแทรกเตอร์ของกองพลซึ่งดีกว่าหลายหมู่บ้าน การลงแปลงนาก็อาศัยรถนี่ในการพลิกหน้าดินแหล่งน้ำของหมู่บ้านอยู่เยื้องไปทางเหนือของแปลงนารวม เป็นธารน้ำที่ไหลมาจากภูเขา“ทางเดินหมู่บ้านทำไว้รอบแปลงนารวม ส่วนบ้านคนก็อยู่อีกฟากของทางเดิน” ไป๋จื้อหยางนั่งขีดเส้นบนพื้นด้วยกิ่งไม้ เป็นแผนที่คร่าว ๆ ว่าอะไรอยู่ตรงไหน“ทางเดินเข้าหมู่บ้านด้านหน้าฝั่งหนึ่งเป็นป่าหญ้าขึ้นสูง”“อือ…ตรงนี้เป็นทางขึ้นเขา พวกร้านสหกรณ์หมู่บ้าน ตึกอำนวยการราชการจะอยู่ทางเข้าหมู่บ้าน แล้วก็บ้านหัวหน้าฉาง”“เราจะลงมือคืนนี้เลยหรือเปล่าพี่” ฉือเหว่ยเฉิงวงกลมบนดิน 2 จุด ที่เขาคิดว่าลง
“เรื่องเริ่มจากเสบียงที่หมู่บ้านปันมาให้พวกเรา”หลินลู่เสียนหยุดเล่าปรายตามองไปทางโจวอิงไท่ที่ทำหน้าตาอ้อนวอนอย่างน่าสงสารส่งไปให้ไป๋จื้อหยาง‘เหอะ! นังชาเขียว ทำหน้าให้ใครดูกัน'“เรามาแวะเอาเสบียงที่ผู้ดูแลฟาน แต่น้ำหนักเสบียงไม่ตรงกับของหัวหน้าฉาง เลยเดินมาดูน้ำหนักที่โจวอิงไท่จดไว้ตามคำบอกของสหายฟานบังเอิญป้าสะใภ้ท่านนี้บุกรุกเข้ามาในเขตเรือน แล้วจู่ ๆ ก็เข้าไปดึงของออกจากมือสหายโจว โวยวายว่าสหายฟานและพวกขโมย จากนั้นก็หอบของจะชิ่งหนี สหายไป๋กลัวของหายถึงได้รีบร้อนจับคอเสื้อ แล้วคุณป้าก็ร้องโวยวายตามที่เห็นกันนี่ล่ะค่ะ” หลินลู่เสียนเล่าแบบเป็นกลางไม่ตกหล่นทั้งมีรายละเอียดครบ หัวหน้าฉางค่อนข้างพอใจนิสัยตรงไปตรงมาไม่เล่นลิ้นนี้ชาวบ้านจับความผิดปกติได้เสบียงน้ำหนักไม่ตรงกัน เป็นไปได้ยังไง!หมู่บ้านมีการประชุมชัดเจนว่าจะปันเสบียงสำรองของหมู่บ้านให้ยุวชนใหม่เท่าไหร่ แถมยังนำมาชั่งต่อหน้าลูกบ้านแล้วปิดถุง ถ้าไม่มีการเปิดนำออกน้ำหนักไม่มีทางขาด“หัวหน้าฉางเป็นความผิดของผมเองครับ ไม่ทันดูให้ดีหยิบเสบียงส่วนของพวกผมสลับกับของยุวชนใหม่ มารู้ตัวตอนเปิดกระสอบไปแล้ว ผมเขินในความผิดพลาดเล็กน้อ
หลินลู่เสียนออกหน้าถามยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ฟานเกอหมิงก็ไม่ใช่คนโง่ พอถูกถามย้ำเขาก็เริ่มรู้ตัวว่าตนโดนเปิดโปงปัญหาคือฟานเกอหมิงจะทำยังไง?เสบียงถ้ายังไม่เอาไปแบ่งให้สหายสาวทั้งสอง ก็แค่เดินเข้าครัวไปเอามาเติมให้ครบ แต่ถ้าแบ่งกระจายไปแล้วจะเลือกเอาของตัวเองมาโปะก็เจ็บหนักแต่ถ้าเดินไปเอามาจากคงฮุ่ยฉิงและโจวอิงไท่ นั่นเท่ากับเปิดเผยตัวเอง‘ละล้าละลังแบบนี้ แบ่งยัยสองคนนั้นไปแล้วสินะ'หลินลู่เสียนแสยะยิ้ม ครึ้มใจที่เห็นผู้อื่นโชคร้าย เธอไม่ใช่คนใจดี โดยเฉพาะกับพวกเอารัดเอาเปรียบเธอก่อน“สหายฟานตอนพวกเราเดินทางมา หัวหน้าฉางบอกอะไรพวกเราหลายอย่างที่เราควรรู้” หลินลู่เสียนปดหน้าตายสรุปง่าย ๆ ถ้าคุณไม่รีบคายของออกมาเรื่องใหญ่แน่“เดี๋ยวผมขอไปตรวจสอบตัวเลขที่แน่ชัดกับสหายหญิงก่อนครับ ผมอาจจะดูผิดพวกเธอเป็นคนจดไว้” ฟานเกอหมิงพูดไปวิ่งไปตัวคนพุ่งไปทางบ้านพักยุวชนหญิงหลังเก่าหลินลู่เสียนหันมองไป๋จื้อหยางดูว่าเขาจะเอาไงเด็กหนุ่มหน้าเข้มชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นแล้วตวัดมือลง เห็นสัญลักษณ์จู่โจม นั่นคือให้รีบตามไปสิ…พวกเราสี่คนเร่งเดินแกมวิ่งตามฟานเกอหมิงไปติด ๆ และบังเอิญป้าเถาฮุ่ยอันที่เธอเพิ่งป
“หารือ? เรื่องอะไร…ครับ”ไป๋จื้อหยางคิดว่าเสียงพูดของเขาออกจะห้วนสั้นไปหน่อย จึงเติมครับต่อท้ายไม่เต็มเสียง ฉือเหว่ยเฉิงทำปากขมุบขมิบล้อเลียนจึงโดนขึงตาคาดโทษใส่“พวกนายรออยู่นี่ก่อน” หลินลู่เสียนเดินเข้าห้องไปรื้อกระเป๋าได้เบาะรองนั่งมา 2 อัน เดินมาวางบนพื้นห้องให้สองหนุ่ม“เฮ้ย! สหายหลินไม่ต้อง ๆ พวกผมนั่งบนพื้นได้นี่ก็สะอาดอยู่”“โทษทีนะ เก้าอี้มันมีแค่ 2 ตัว เรื่องที่คุยน่าจะนาน พวกนายนั่งเถอะ” หลินลู่เสียนคะยั้นคะยอ คำที่ใช้เรียกก็แสดงการตีสนิทระดับหนึ่ง เหมือนคุยกับคนคุ้นเคยทั่วไปไป๋จื้อหยางคิดแปบหนึ่งก็ยอมรับน้ำใจ“ว่าแต่จะบอกได้หรือยัง”“ทุกคนก็เห็นแล้วใช่ไหม แค่พวกเราที่เป็นยุวชนใหม่มาก็โดนคนคิดเอาเปรียบแล้ว ฉันอยากให้เรารวมกลุ่มกันไว้ มีอะไรจะได้รักษาผลประโยชน์ของพวกเรากันเอง” หลินลู่เสียนมองหน้าทุกคนนิ่ง ๆ เอ่ยข้อเสนอแนะจริงจังชีวิตก่อนพวกเขาใช้ชีวิตใครชีวิตมัน ไม่สนใจคบค้าสนิทสนมกับใคร พอโดนคนวางแผนร้ายจึงไม่มีหูตาคอยช่วยสอดส่องชีวิตนี้เธอจะไม่ทำผิดพลาดแบบนั้นอีก“ผมพูดตรง ๆ นะ เป็นพวกผู้หญิงอย่างคุณมากกว่าที่ต้องพึ่งพาแรงผู้ชายอย่างพวกผมสองคน” ไป๋จื่อหยางเองเป็นคนเปิดเ
“เดี๋ยวให้ฟานเกอหมิงพาไปบ้านพักรวมของยุวชนนะครับ พักผ่อนสัก 2 วันแล้วทางกองพลจะแบ่งงานที่ต้องลงแปลงนาให้”“สวัสดีครับ ผมฟานเกอหมิงรับหน้าที่ดูแลกลุ่มยุวชนของกองพลน้อยทงจิว ใครมีปัญหาติดขัดตรงไหนแวะมาคุยกันได้นะครับ” ชายหนุ่มร่างผอมผิวคล้ำแดด อายุ 20 กว่าปีเดินออกจากกลุ่มยุวชนรุ่นแรกมาแนะนำตัว ท่าทางเขาสงบสุภาพใบหน้ามีรอยยิ้มพอเหมาะหลินลู่เสียนพยักหน้ารับการทักทายแล้วหลุบเปลือกตาปิดบังแววตาเธอต้องสะสมพลังงานเตรียมพร้อมรบอีก…แค่คิดก็เหนื่อยหน่าย 100 วัน 1,000 เรื่องไม่เกินไปนักหรอก กับการใช้ชีวิตที่หมู่บ้านนี้ตอนนี้กลุ่มยุวชนรุ่นแรกเดินนำหน้า 4 คน เป็นชาย 2 คน หญิงสาว 2 คน สภาพแต่ละคนแม้สะอาดสะอ้านแต่ก็ผอมแห้งผิวคล้ำแดด ใบหน้าหยาบกร้าน สวมใส่เสื้อผ้าเก่าสีซีดมีรอยเย็บปะชุน“ในส่วนของบ้านพักยุวชนหญิงมีสองหลังใกล้กันนะครับ ส่วนผู้ชายนอนรวมกันในหลังใหญ่ มีเตียงเตา 2 เตียง ของผู้หญิงเอาข้าวของไปเก็บในห้องทางนั้นได้เลยครับ” ฟานเกอหมิงชี้นิ้วไปทางบ้านดินชั้นเดียวขนาดเล็กที่ดูเก่าโทรมกว่าอีกหลังที่อยู่ข้างกันยุวชนหญิงรุ่นก่อนคนหนึ่งยิ้มมีเลศนัยแล้วทำท่าจะเดินไปทางหลังที่ใหม่กว่า“เดี๋ยวค