“หารือ? เรื่องอะไร…ครับ”
ไป๋จื้อหยางคิดว่าเสียงพูดของเขาออกจะห้วนสั้นไปหน่อย จึงเติมครับต่อท้ายไม่เต็มเสียง ฉือเหว่ยเฉิงทำปากขมุบขมิบล้อเลียนจึงโดนขึงตาคาดโทษใส่ “พวกนายรออยู่นี่ก่อน” หลินลู่เสียนเดินเข้าห้องไปรื้อกระเป๋าได้เบาะรองนั่งมา 2 อัน เดินมาวางบนพื้นห้องให้สองหนุ่ม “เฮ้ย! สหายหลินไม่ต้อง ๆ พวกผมนั่งบนพื้นได้นี่ก็สะอาดอยู่” “โทษทีนะ เก้าอี้มันมีแค่ 2 ตัว เรื่องที่คุยน่าจะนาน พวกนายนั่งเถอะ” หลินลู่เสียนคะยั้นคะยอ คำที่ใช้เรียกก็แสดงการตีสนิทระดับหนึ่ง เหมือนคุยกับคนคุ้นเคยทั่วไป ไป๋จื้อหยางคิดแปบหนึ่งก็ยอมรับน้ำใจ “ว่าแต่จะบอกได้หรือยัง” “ทุกคนก็เห็นแล้วใช่ไหม แค่พวกเราที่เป็นยุวชนใหม่มาก็โดนคนคิดเอาเปรียบแล้ว ฉันอยากให้เรารวมกลุ่มกันไว้ มีอะไรจะได้รักษาผลประโยชน์ของพวกเรากันเอง” หลินลู่เสียนมองหน้าทุกคนนิ่ง ๆ เอ่ยข้อเสนอแนะจริงจัง ชีวิตก่อนพวกเขาใช้ชีวิตใครชีวิตมัน ไม่สนใจคบค้าสนิทสนมกับใคร พอโดนคนวางแผนร้ายจึงไม่มีหูตาคอยช่วยสอดส่อง ชีวิตนี้เธอจะไม่ทำผิดพลาดแบบนั้นอีก “ผมพูดตรง ๆ นะ เป็นพวกผู้หญิงอย่างคุณมากกว่าที่ต้องพึ่งพาแรงผู้ชายอย่างพวกผมสองคน” ไป๋จื่อหยางเองเป็นคนเปิดเผยพูดตรง ปกติก็ไม่ค่อยรักษาน้ำใจใครอยู่แล้ว ประโยคนี้ออกจะกระด้างอยู่บ้าง เลยได้สายตากลมตวัดมองจนเกือบสะดุ้ง “ฮึ…อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจ เอางี้นายให้เพื่อนนายเดินไปบ้านหัวหน้าฉาง แล้วขอจดรายการเสบียงปันส่วนที่พวกเราต้องได้มาไว้” หลินลู่เสียนไม่ได้ดูสลด ที่ถูกปรามาสว่าต้องพึ่งพาผู้ชาย เอ้า…ก็เรื่องจริง งานใช้แรงเธอไม่คิดจะทำหรอกนะ คนสวย ฉลาดและรวยมากแบบเธอมีวิธีอื่นแก้ปัญหาสารพัด ที่เสนอให้รวมกลุ่มส่วนหนึ่งก็เหตุผลตามที่บอก แต่ส่วนสำคัญคือ จะได้มีโอกาสเต๊าะเด็กต่างหากเล่า เต๊าะก็เป็นคำที่ลูกสาวใช้เล่าให้ฟังหน้าหลุมศพ “สหายหลินคิดว่าพวกนั้นจะกล้าโกงเสบียงเราหน้าด้าน ๆ ต่อหน้าต่อตานี่นะ?” ฉือเหว่ยเฉิงขมวดคิ้วทพหน้าเหลือเชื่อ “พวกเราแค่ไปถามเอากับหัวหน้าฉางก็รู้อล้วไม่ใช่เหรอว่าได้ครบหรือเปล่า” ไป๋จื้อหยางก็พูดเสริมเพื่อนอีกแรง “แล้วพวกนายมีใครคิดจะไปถามหรือเปล่าล่ะ?!” หลินลู่เสียนสะบัดเสียงตอบสองหนุ่ม ยังไม่ทันอ้าปากตอบเธอก็ตอบแทนให้เอง “ถ้าฉันไม่พูดขึ้นมา อย่างดีนายก็รับของที่ฟานเกอหมิงจะเอามาให้ไม่คิดอะไรมาก แล้วก็โดนปิดหูปิดตาเอาเปรียบไม่รู้ตัวว่าเสียรู้ด้วยซ้ำ” ไป๋จื้อหยางกับฉือเหว่ยเฉิงหุบปากฉับ ซุนลี่จวนก็นั่งนิ่งมองคนโน้นทีคนนี้ที “เดี๋ยวผมรีบไปหาหัวหน้าฉางก่อนครับ” ฉือเหว่ยเฉิงหาโอกาสชิ่งหนีสายตาเชือดเฉือน ไม่รู้ทำไมเขาคิดว่าสหายหลินคนนี้น่าเกรงขามกว่าแม่แก่นี่บ้านเขาเสียอีก “อันที่จริงนายก็พูดถูก เรี่ยวแรงผู้หญิงสู้ผู้ชายไม่ได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่แข็งแรงมากแบบนาย ขอบใจนะที่ช่วยยกของมาให้” หลินลู่เสียนทั้งชมอย่างจริงใจยกยิ้มบางจนดวงหน้าหวานดูอ่อนโยนขึ้น คนได้รับคำชมก็รู้สึกดีไม่น้อยได้แต่ยิ้มโง่งมตอบ … “นายชื่อไป๋จื้อหยางใช่ไหม อายุเราเท่ากัน นายเกิดเดือนไหนเหรอ” “ผมเกิดเดือนสามน่ะ” ไป๋จื้อหยางตอบแม้จะไม่เข้าใจว่าเธอถามทำไม “หืม…ฉันเกิดเดือนสิบ นายก็มากกว่าฉันน่ะสิ” เธอปูทางไว้ต่อไปพอสนิทกันมากขึ้น เรียกเขาพี่หยางจะได้มีข้ออ้างว่ารู้เดือนเกิดเพราะเขาบอกเอง … ซุนลี่จวนที่นั่งบนเก้าอี้อีกตัวรู้สึกว่าตัวเธอราวกับเป็นอากาศธาตุ จึงพยายามนั่งนิ่งไม่ส่งเสียง “ผมกลับมาแล้ว หัวหน้าฉางบอกว่าพวกเราจะได้ข้าวขาว 10 จิน ข้าวฟ่าง 20 จิน ธัญพืชหยาบอีก 25 จิน ต่อคน ต่อไปส่วนแบ่งมากน้อยจะขึ้นอยู่กับแต้มงานในการลงแปลงนา” ฉือเหว่ยเฉิงกลับมาพร้อมข้อมูลที่ไปถามมา สภาพเหงื่อท่วมแสเงว่าคงรีบวิ่งไปกลับ “ขอบใจที่เป็นธุระให้ค่ะสหายฉือ พวกนายจะเอาไงต่อ?” หลินลู่เสียนหันไปถามความคิดเห็นของไป๋จื้อหยาง เธอจะเสนอให้ไปทวงของเลยย่อมได้ แต่เราควรปล่อยให้ผู้ชายของเราได้มีโอกาสเป็นผู้นำบ้าง อีกอย่างเธอรู้จักนิสัยเขาดี เขาไม่ทนรอแน่… “เราไปขอรับเสบียงให้รู้กันไปเลยดีกว่า ไม่ต้องรอตอนเย็นหรอก” ไป๋จื้อหยางรีบลุกขึ้น ตัวเขาก็อยากรู้ว่ามีคนกล้าคิดเอาเปรียบอยู่ใต้จมูกเขาจริงหรือเปล่า ดวงตาดอกท้อทอประกายแข็งกร้าวอย่างไม่ยอมคน มือเรียวยาวดัดไปมาจนกระดูกลั่น พวกเขาสี่คนเดินไปทางบ้านพักยุวชนชายหลังใหญ่หลังเดียว บ้านดินหลังนี้สร้างอย่างง่ายให้พวกผู้ชายอยู่รวมกัน มีห้องนอนขนาดใหญ่ 1 ห้องด้านในก่อคั่ง ไว้ 2 เตียง “สวัสดีครับ สหายไป๋กับสหายฉือใช้เตียงด้านในฝั่งซ้ายนะครับ อ้าว…สหายหลินกับสหายซุนก็มาด้วย มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” ฟานเกอหมิงเยี่ยมหน้าออกมาจากห้องครัวทักทายคนมาใหม่เหมือนก่อนหน้าไม่มีเรื่องผิดใจกันแต่อย่างใด “พวกเธอตามมาเอาเสบียงน่ะครับ ผมคิดว่าช่วยขนไปให้พวกเธอให้เสร็จจะได้แยกย้ายกันพักสักที” ไป๋จื้อหยางตอบอย่างห่างเหินไม่สนแววตาผูกมิตรของอีกฝ่าย “อ๋อ มาเพราะเรื่องเสบียงนี่เอง ตอนแรกผมคิดว่าจะขอยืมรถเข็นของกองพลมาขนไปให้ตอนเย็นน่ะ แต่ถ้าสหายไป๋กับสหายฉือจะช่วยขนไปให้ก็ดีเลย ตามเข้ามาเอาในห้องเก็บของได้เลย” ฟานเกอหมิงก็ไม่สนใจท่าทางหมางเมิน ยังกระตือรือร้นช่วยเหลือ ดูเป็นผู้ดูแลที่อุทิศตน แรงผู้ชายสามคนไม่นานก็ขนพวกกระสอบเสบียงมากองหน้าบ้านพักได้ครบ “ในส่วนของเสบียงที่ปันผลให้ของแต่ละคนผมแยกเป็นถุงติดชื่อไว้ให้แล้วนะครับ” “สหายฟานเขาแบ่งอะไรมาให้เราบ้างเหรอครับ” ฉือเหว่ยเฉงแกล้งเดินไปจับ ๆ กระสอบแต่ไม่ได้เปิดดูของด้านใน “ได้คนละไม่มากหรอกครับ ปีก่อนผลผลิตกองพลไม่ดีนักเพราะสภาพอากาศ พวกเสบียงสำรองนี่ก็ได้มาจากของสำรองของปีก่อน พวกข้าวขาวนิดหน่อย ส่วนใหญ่จะเป็นข้างฟ่างกับธัญพืชหยาบเสียมากกว่าครับ” หลินลู่เสียนยืนมองปล่อยให้เด็กหนุ่มที้งสองต้อนฟานเกอหมิง แต่จนแล้วจนรอดทางนั้นก็ไม่ยอมบอกตัวเลขเสียที ไป๋จื้อหยางส่งสายตามาเหมือนจะบอกว่าให้ช่วยกัน เพราะถ้าสองคนนั้นเปิดปากอีก จะดูไล่ต้อนเกินไป ฟานเกอหมิงอาจจะสงสัยจนเสียเรื่อง “ในกระสอบนี่คืออะไรเหรอคะ ฉันไม่เคยเห็น…หือ! หนักมาก หนักกี่จินคะเนี่ย” หลินลู่เสียนเดินไปยกกระสอบข้าวฟ่าง ทำหน้าตาไร้เดียงสาถามแบบคนไม่รู้ ใบหน้าหวานและมารยาหญิงเล็กน้อยมักทำให้คนลดการระวังตัว “อันนี้ข้าวฟ่าง 17 จินครับ ผู้หญิงพอยกไหว” ฟานเกอหมิงเห็นหลินลู่เสียนไม่ดุร้ายจึงคิดผูกมิตร เพราะดูจากหน้าตาผิวพรรณบ้านน่าจะมีฐานะดีมากแน่ “แล้วกระสอบใหญ่สุดนี่ล่ะค่ะ ธัญพืชหยาบเหรอ แสดงว่าถุงเล็กคือข้าวขาว ให้มากี่จินเหรอคะ มันดูน้อยจัง” เด็กสาวทำท่าตื่นตกใจกับเสบียงที่ได้โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงข้าวขาว “อย่างที่บอกข้าวขาวได้แค่คนละ 5 จินเท่านั้นครับ ธัญพืชหยาบ 22 จิน” เป็นตามที่สหายหลินคาดเดาไม่ตกหล่น! พวกเขาโกงเสบียงกันหน้าด้าน ๆ ไป๋จื้อหยางรู้สึกถึงอารมณ์ที่ปะทุเดือดพล่าน ไม่มีใครกล้าเล่นตลกกับเขาขนาดนี้มาก่อน มาชนบทนับว่าเปิดหูเปิดตา เขาเดินขึ้นหน้าจะเข้าไปกระชากฟานเกอหมิงเข้ามาต่อยให้ฟันร่วง “อย่าใช้กำลังให้คนจับได้” เด็กสาวด้านหลังกระซิบเตือนสติ พร้อมสัมผัสถึงฝ่ามือที่ดึงรั้งข้อศอก เพียงแตะบางเบาผ่านเนื้อผ้ากลับส่งกระแสไฟแล่นจากจุดสัมผัสวิ่งพล่านไปทั่วตัว และที่เขาถูกใจคือ…เธอไม่ได้ห้าม แต่กลับบอกว่าอย่าให้คนจับได้ ใช่! ทำต่อหน้าไม่ดี ทำลับตาคนหน่อยก็ใช้ได้สินะ “สหายฟาน แน่ใจใช่ไหมว่าเสบียงปันมาตามนี้?”หลินลู่เสียนออกหน้าถามยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ฟานเกอหมิงก็ไม่ใช่คนโง่ พอถูกถามย้ำเขาก็เริ่มรู้ตัวว่าตนโดนเปิดโปงปัญหาคือฟานเกอหมิงจะทำยังไง?เสบียงถ้ายังไม่เอาไปแบ่งให้สหายสาวทั้งสอง ก็แค่เดินเข้าครัวไปเอามาเติมให้ครบ แต่ถ้าแบ่งกระจายไปแล้วจะเลือกเอาของตัวเองมาโปะก็เจ็บหนักแต่ถ้าเดินไปเอามาจากคงฮุ่ยฉิงและโจวอิงไท่ นั่นเท่ากับเปิดเผยตัวเอง‘ละล้าละลังแบบนี้ แบ่งยัยสองคนนั้นไปแล้วสินะ'หลินลู่เสียนแสยะยิ้ม ครึ้มใจที่เห็นผู้อื่นโชคร้าย เธอไม่ใช่คนใจดี โดยเฉพาะกับพวกเอารัดเอาเปรียบเธอก่อน“สหายฟานตอนพวกเราเดินทางมา หัวหน้าฉางบอกอะไรพวกเราหลายอย่างที่เราควรรู้” หลินลู่เสียนปดหน้าตายสรุปง่าย ๆ ถ้าคุณไม่รีบคายของออกมาเรื่องใหญ่แน่“เดี๋ยวผมขอไปตรวจสอบตัวเลขที่แน่ชัดกับสหายหญิงก่อนครับ ผมอาจจะดูผิดพวกเธอเป็นคนจดไว้” ฟานเกอหมิงพูดไปวิ่งไปตัวคนพุ่งไปทางบ้านพักยุวชนหญิงหลังเก่าหลินลู่เสียนหันมองไป๋จื้อหยางดูว่าเขาจะเอาไงเด็กหนุ่มหน้าเข้มชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นแล้วตวัดมือลง เห็นสัญลักษณ์จู่โจม นั่นคือให้รีบตามไปสิ…พวกเราสี่คนเร่งเดินแกมวิ่งตามฟานเกอหมิงไปติด ๆ และบังเอิญป้าเถาฮุ่ยอันที่เธอเพิ่งป
“เรื่องเริ่มจากเสบียงที่หมู่บ้านปันมาให้พวกเรา”หลินลู่เสียนหยุดเล่าปรายตามองไปทางโจวอิงไท่ที่ทำหน้าตาอ้อนวอนอย่างน่าสงสารส่งไปให้ไป๋จื้อหยาง‘เหอะ! นังชาเขียว ทำหน้าให้ใครดูกัน'“เรามาแวะเอาเสบียงที่ผู้ดูแลฟาน แต่น้ำหนักเสบียงไม่ตรงกับของหัวหน้าฉาง เลยเดินมาดูน้ำหนักที่โจวอิงไท่จดไว้ตามคำบอกของสหายฟานบังเอิญป้าสะใภ้ท่านนี้บุกรุกเข้ามาในเขตเรือน แล้วจู่ ๆ ก็เข้าไปดึงของออกจากมือสหายโจว โวยวายว่าสหายฟานและพวกขโมย จากนั้นก็หอบของจะชิ่งหนี สหายไป๋กลัวของหายถึงได้รีบร้อนจับคอเสื้อ แล้วคุณป้าก็ร้องโวยวายตามที่เห็นกันนี่ล่ะค่ะ” หลินลู่เสียนเล่าแบบเป็นกลางไม่ตกหล่นทั้งมีรายละเอียดครบ หัวหน้าฉางค่อนข้างพอใจนิสัยตรงไปตรงมาไม่เล่นลิ้นนี้ชาวบ้านจับความผิดปกติได้เสบียงน้ำหนักไม่ตรงกัน เป็นไปได้ยังไง!หมู่บ้านมีการประชุมชัดเจนว่าจะปันเสบียงสำรองของหมู่บ้านให้ยุวชนใหม่เท่าไหร่ แถมยังนำมาชั่งต่อหน้าลูกบ้านแล้วปิดถุง ถ้าไม่มีการเปิดนำออกน้ำหนักไม่มีทางขาด“หัวหน้าฉางเป็นความผิดของผมเองครับ ไม่ทันดูให้ดีหยิบเสบียงส่วนของพวกผมสลับกับของยุวชนใหม่ มารู้ตัวตอนเปิดกระสอบไปแล้ว ผมเขินในความผิดพลาดเล็กน้อ
สองหนุ่มยุวชนใหม่เดินกลับบ้านพัก“อาเฉิงเราเดินสำรวจหมู่บ้านกันสักรอบ จะได้รู้ทางหนีทีไล่” ไป๋จื้อหยางเก็บเอาคำพูดทั้งหมดที่ได้ยินจากหลินลู่เสียนมาคิด เขาคงต้องเตรียมตัวอะไรไว้บ้าง ดีกว่าอยู่ไปแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้“ดีเหมือนกันนะพี่” ฉือเหว่ยเฉิงเห็นด้วยอย่างยิ่งหมู่บ้านทงจิวเป็นหมู่บ้านที่เน้นทางด้านเกษตรกรรมเหมือนกับหมู่บ้านอื่น ผลผลิตในแต่ละปีก็พอเพียงให้คนในหมู่บ้านพอกินไม่ถึงกับอดอยากทางเข้าหมู่บ้านเป็นถนนดินขนาดกว้างให้เกวียนวัวสวนกันได้ มีรถแทรกเตอร์ของกองพลซึ่งดีกว่าหลายหมู่บ้าน การลงแปลงนาก็อาศัยรถนี่ในการพลิกหน้าดินแหล่งน้ำของหมู่บ้านอยู่เยื้องไปทางเหนือของแปลงนารวม เป็นธารน้ำที่ไหลมาจากภูเขา“ทางเดินหมู่บ้านทำไว้รอบแปลงนารวม ส่วนบ้านคนก็อยู่อีกฟากของทางเดิน” ไป๋จื้อหยางนั่งขีดเส้นบนพื้นด้วยกิ่งไม้ เป็นแผนที่คร่าว ๆ ว่าอะไรอยู่ตรงไหน“ทางเดินเข้าหมู่บ้านด้านหน้าฝั่งหนึ่งเป็นป่าหญ้าขึ้นสูง”“อือ…ตรงนี้เป็นทางขึ้นเขา พวกร้านสหกรณ์หมู่บ้าน ตึกอำนวยการราชการจะอยู่ทางเข้าหมู่บ้าน แล้วก็บ้านหัวหน้าฉาง”“เราจะลงมือคืนนี้เลยหรือเปล่าพี่” ฉือเหว่ยเฉิงวงกลมบนดิน 2 จุด ที่เขาคิดว่าลง
7 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น“ยุวชนหลิน ยุวชนซุน ตื่นหรือยังครับ” หัวหน้าฉางที่นัด แนะเวลากันไว้มาตรงเวลา เขามาพร้อมชายชาวบ้านหลากหลายอายุทั้งหมดสิบคน“สวัสดีค่ะ น้าเขย ผู้อาวุโสทุกคน เข้ามาเลยค่ะ มาดื่มน้ำก่อนแล้วค่อยเริ่มงานนะคะ” หลินลู่เสียนทักทุกคนสุภาพแม้ไม่ได้ทำตัวสนิทสนมแต่ก็ไม่ได้เชิดใส่ซุนลี่จวนยื่นแก้วสังกะสีที่เติมน้ำต้มอุ่น ๆ ให้เวียนกันดื่มอบอุ่นร่างกายทีละคน“ไปเริ่มกันเลย จะให้ล้อมจากตรงไหนครับ”“หัวหน้าฉางคะ ล้อมในส่วนที่เป็นเขตของบ้านพวกฉันกับบ้านหลังเก่าน่ะค่ะ ฉันก็ไม่แน่ใจพื้นที่รบกวนหัวหน้าชี้จุดแบ่งเขตให้ดูหน่อยได้ไหมคะ”“ในพื้นที่บ้านพักยุวชนไม่ได้แบ่งเขตชัดเจนหรอกครับ งั้นเอาเป็นตรงกลางระหว่างบ้านยุวชนโจวกับหลังนี้แล้วกันครับ” บ้านที่สร้างให้ยุวชนอยู่ก็แบ่งพื้นที่ของส่วนกลางหมู่บ้านมา มันเลยไม่มีจุดแบ่งเขต เขาจึงชี้ ๆ ไปตรงกลางระหว่างสองหลัง“เอาตามนั้นได้เลยค่ะ” หลินลู่เสียนก็ไม่เรื่องมากหรือคิดอยากได้ที่เพิ่ม“สหายหลินต้องสร้างรั้วกั้นกันชัดเจนเลยเหรอคะ ทำแบบนี้เหมือนรังเกียจพวกเราเลยนะคะ?” โจวอิงไท่เปิดประตูหลังข้าง ๆ ออกมากัดปากหน้าตาซีดเซียวดูไม่สบายใจชาวบ้านที่ม
หลินลู่เสียนถูกป้าสะใภ้ลากมาถึงบ้านพักยุวชน เรียกว่าลากคงไม่ถูกเธอเต็มใจที่จะตามมาต่างหาก มาที่หมู่บ้านสองวัน เกิดเหตุไม่เว้นสามเวลาถ้ามาร้องทุกข์เองมีหวังโดนเขม่น“เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว วุ่นวายกันเสียจริง” หัวหน้าฉางที่กำลังคุมงานสร้างรั้วดูจะเริ่มอารมณ์ไม่ดี“ยัยหนูยุวชนถูกถังหู่ทำตัวอันธพาลใส่ เรื่องนี้ไม่ใช่เล่น ๆ นะหัวหน้าฉาง” ฉีเหยียนเหมยออกหน้าหน้าตาคร่ำเครียด“ห๊า! เป็นไงมาไงเล่ามาให้หมดสิ” หัวหน้าฉางเริ่มตกใจ ปกติถังหู่แม้ไม่เป็นโล้เป็นพาย เกียจคร้านการงาน มีเรื่องขัดใจกับคนในหมู่บ้าน แต่ยังไม่ถึงขั้นทำเรื่องร้ายแรงมาก่อน“ฉันไม่รู้ว่าเป็นใครนะคะ ตอนเดินสำรวจหมู่บ้านเขามาดักหน้า พูดจา…” หลินลู่เสียนเล่าเหตุการณ์อีกรอบ พอดีกับที่ไป๋จื้อหยางและฉือเหว่ยเฉิงเดินมาเพื่อกินมื้อเช้าได้ยินเข้าพอดีสองหนุ่มท่าทางโกรธเกรี้ยว…ยุวชนรุ่นเก่าก็เปิดประตูรับฟัง เธอแอบเห็นคงฮุ่ยฉิงกับโจวอิงไท่แอบทำหน้าเสียดายที่เธอไม่เป็นไร“พี่ลู่เสียน! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ซุนลี่จวนตกใจหน้าซีดรีบจับตัวเธอหมุนไปมา“ถังหู่นี่ชักจะหนักข้อขึ้นทุกวัน ใครมีลูกสาวต้องให้รเสียงตัวไว้บ้าง”“หัวหน้าฉางจะเอาไง ครั้งนี้
ไป๋จื้อหยางมองชายที่ซุกตัวหลบในห้องปล่อยให้คนในบ้านออกหน้าแทนด้วยสายตาดูถูก“แก…ถ้าไม่รีบออกไปได้เจอดีแน่!”ถังหู่ทำท่าดุร้ายเมื่อเห็นคนเข้ามาเป็นเพียงเด็กหนุ่มยุวชนแค่คนเดียว‘ฮึ! ก็แค่ไอ้เด็กหน้าขาวจากในเมือง'“ฉันออกแน่ แต่แกก็ต้องออกไปด้วย”ไป๋จื้อหยางยิ้มเหี้ยม เอื้อมมือไปจับไหล่ถังหู่กดไว้ น้ำหนักมือทำอีกฝ่ายตกตะลึงรีบปัดป้อง ส่งหมัดหวังจะซัดหน้าหล่อคมของเด็กหนุ่มยุวชน ไป๋จื้อหยางโยกเพียงท่อนบนก็หลบพ้น เขาที่ฝึกการต่อสู้กับทหารปลดประจำการมาตั้งแต่เด็ก ไม่เห็นหมัดของอันธพาลประจำหมู่บ้านอยู่ในสายตาปลายศอกพับแล้วกระแทกเข้าลิ้นปี่ ถังหู่จุกจนสำรอกน้ำย่อยปนน้ำลายหนืด ตัวงอเป็นกุ้งแต่ไม่ทันได้หายเจ็บก็ถูกไป๋จื้อหยางลากคอไปโยนกลางลานบ้านที่ชุลมุน“ปล่อยนะ! ปล่อยสิวะ!” ถังหู่ด้วยความจุกจึงไม่มีแรงพอจะดิ้นให้หลุดฉือเหว่ยเฉิงยกนิ้วให้สหายรัก เรื่องใช้แรงและการต่อสู้ไป๋จื้อหยางแทบไม่เคยเสียเปรียบ“ถังหู่ออกมาแล้ว ทุกคนหยุดมือ!” ไป๋จื้อหยางตะโกนเสียงดังแล้วเดินไปยืนข้างหลินลู่เสียน“ยุวชนหลินมาดูหน่อยครับว่าใช่คนนี้หรือเปล่า” หัวหน้าฉางรีบมองหาคนแล้วเอ่ยเร่ง“คนนี้แหละค่ะ ที่มาดักหน้าฉัน
หลินลู่เสียนกับซุนลี่จวนเดินถือห่อผ้าไปทางเขตบ้านเรือนของชุมชน มากันสองคนจึงไม่ได้ให้พวกไป๋จื้อหยางตามมา ยิ่งมีเรื่องถังหู่ที่คนทั้งหมู่บ้านคงรู้กันหมดแล้วคงไม่มีใครกล้าทำอะไรในช่วงนี้ยุวชนหญิงทั้งสองที่กำลังเดินข้ามสะพานไม้ไปทางฝั่งบ้านเรือนชุมชน มีชาวบ้านมองตามทั้งแบบตั้งใจและแบบลอบมอง“คนนั้นใช่ไหมที่เพิ่งมาก็มีแต่เรื่อง”“อยู่ให้ห่าง ๆ เข้าไว้ เธอไม่ลงแปลงนา”“จริงเหรอ! ไม่มีแต้มจะเอาอะไรไปแลกข้าวแลกคูปอง”ป้าสะใภ้ที่นั่งซักผ้าริมลำธารหันมองอย่างรู้กัน สายตามีแววดูถูกดูแคลน“ตัวขาวนุ่มนิ่มแบบนี้ มือไม้อ่อนทำงานหนักไม่ไหวแน่”“ก็คงหาผู้ชายพึ่งพานั่นล่ะ บ้านไหนมีลูกชายระวังให้ดีจะมีปลิงมาเกาะ”“แต่ฉันได้ยินว่าเขากินข้าวหม้อรวมกับยุวชนชายที่มาใหม่อีก 2 คนนะ” มีคนแย้งออกมาบ้างสิ่งที่ป้าสะใภ้พวกนี้สุมหัวนินทาหลินลู่เสียนไม่ได้ยิน พอเดินข้ามสะพานไป เจอกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านกำลังเล่นกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ก็ไม่เชิงเล่น…เด็กบางคนหาเก็บผักตามริมน้ำ แต่ละคนมีตะกร้าสานสะพายหลัง“พวกเธอ มีใครรู้จักบ้านป้าฉีไหม” หลินลู่เสียนมุ่งตรงไปถามเด็ก ๆ ส่วนใหญ่หันมองเธอระแวดระวัง แล้วเดินหนีไปให้ห่างจากเธ
‘ลูก? มองเห็นแม่' วิญญาณโปร่งแสงของหลินลู่เสียนหันเหมาจากชายวัยกลางคนที่เป็นสามีของเธอ ที่ตายจากกันนานกว่า 20 ปี มองไปยังบุตรสาวที่ไม่เคยได้เลี้ยงดูเติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามเข้มแข็ง ‘พี่หยาง…ถิงเออร์’ ความปวดร้าวเสียใจราวกับวิญญาณถูกฉีกกระชากถาโถมเข้ามา สองแขนโปร่งแสงพยายามเอื้อมออกไปรั้งกอดสามีและลูก มีแต่ความว่างเปล่าในอ้อมแขน หลินลู่เสียนร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ แต่ไร้เสียงให้ใครได้ยิน พอเริ่มทำใจได้รู้ว่าลูกสาวมีความพิเศษสามารถมองเห็นพลังงานวิญญาณได้จากหยกจักรพรรดิ์สีแดงที่เธอสวมให้ก่อนตายตอนคลอดลูก “แม่คะหนูไม่ได้ยินเสียง แต่หนูสามารถอ่านปากได้ แม่มีอะไรจะพูดกับพ่อไหมคะ” ‘พี่หยางคิดถึงพี่จัง ที่รัก ไหนดูสิยิ่งอายุมากยิ่งคมสันหล่อเหลาสมเป็นสามีฉันจริง ๆ’ นิ้วชี้เรียวโปร่งแสงยื่นออกไปปัดผ่านปลายคางของสามี ยื่นหน้าไปหอมแก้มซ้ายขวา ไม่ได้สนใจสายตาบุตรสาวที่มองตาค้าง หลินลู่เสียนยักไหล่ข้างหนึ่ง ‘ช่วยไม่ได้นะ แม่คิดถึงพ่อ ไม่ได้เจอกันตั้ง 22 ปี ลูกก็ทนเอาหน่อย' จากนั้นความเกรงใจก็ไม่มีอยู่ในคำศัพท์ของเธอ ใช้ลูกสาวเป็นสื่อในการป้อยอสามี สลับกับให้ลูกสาวเล่าประสบการณ์ชีวิตหลังจากเ
หลินลู่เสียนกับซุนลี่จวนเดินถือห่อผ้าไปทางเขตบ้านเรือนของชุมชน มากันสองคนจึงไม่ได้ให้พวกไป๋จื้อหยางตามมา ยิ่งมีเรื่องถังหู่ที่คนทั้งหมู่บ้านคงรู้กันหมดแล้วคงไม่มีใครกล้าทำอะไรในช่วงนี้ยุวชนหญิงทั้งสองที่กำลังเดินข้ามสะพานไม้ไปทางฝั่งบ้านเรือนชุมชน มีชาวบ้านมองตามทั้งแบบตั้งใจและแบบลอบมอง“คนนั้นใช่ไหมที่เพิ่งมาก็มีแต่เรื่อง”“อยู่ให้ห่าง ๆ เข้าไว้ เธอไม่ลงแปลงนา”“จริงเหรอ! ไม่มีแต้มจะเอาอะไรไปแลกข้าวแลกคูปอง”ป้าสะใภ้ที่นั่งซักผ้าริมลำธารหันมองอย่างรู้กัน สายตามีแววดูถูกดูแคลน“ตัวขาวนุ่มนิ่มแบบนี้ มือไม้อ่อนทำงานหนักไม่ไหวแน่”“ก็คงหาผู้ชายพึ่งพานั่นล่ะ บ้านไหนมีลูกชายระวังให้ดีจะมีปลิงมาเกาะ”“แต่ฉันได้ยินว่าเขากินข้าวหม้อรวมกับยุวชนชายที่มาใหม่อีก 2 คนนะ” มีคนแย้งออกมาบ้างสิ่งที่ป้าสะใภ้พวกนี้สุมหัวนินทาหลินลู่เสียนไม่ได้ยิน พอเดินข้ามสะพานไป เจอกับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านกำลังเล่นกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ก็ไม่เชิงเล่น…เด็กบางคนหาเก็บผักตามริมน้ำ แต่ละคนมีตะกร้าสานสะพายหลัง“พวกเธอ มีใครรู้จักบ้านป้าฉีไหม” หลินลู่เสียนมุ่งตรงไปถามเด็ก ๆ ส่วนใหญ่หันมองเธอระแวดระวัง แล้วเดินหนีไปให้ห่างจากเธ
ไป๋จื้อหยางมองชายที่ซุกตัวหลบในห้องปล่อยให้คนในบ้านออกหน้าแทนด้วยสายตาดูถูก“แก…ถ้าไม่รีบออกไปได้เจอดีแน่!”ถังหู่ทำท่าดุร้ายเมื่อเห็นคนเข้ามาเป็นเพียงเด็กหนุ่มยุวชนแค่คนเดียว‘ฮึ! ก็แค่ไอ้เด็กหน้าขาวจากในเมือง'“ฉันออกแน่ แต่แกก็ต้องออกไปด้วย”ไป๋จื้อหยางยิ้มเหี้ยม เอื้อมมือไปจับไหล่ถังหู่กดไว้ น้ำหนักมือทำอีกฝ่ายตกตะลึงรีบปัดป้อง ส่งหมัดหวังจะซัดหน้าหล่อคมของเด็กหนุ่มยุวชน ไป๋จื้อหยางโยกเพียงท่อนบนก็หลบพ้น เขาที่ฝึกการต่อสู้กับทหารปลดประจำการมาตั้งแต่เด็ก ไม่เห็นหมัดของอันธพาลประจำหมู่บ้านอยู่ในสายตาปลายศอกพับแล้วกระแทกเข้าลิ้นปี่ ถังหู่จุกจนสำรอกน้ำย่อยปนน้ำลายหนืด ตัวงอเป็นกุ้งแต่ไม่ทันได้หายเจ็บก็ถูกไป๋จื้อหยางลากคอไปโยนกลางลานบ้านที่ชุลมุน“ปล่อยนะ! ปล่อยสิวะ!” ถังหู่ด้วยความจุกจึงไม่มีแรงพอจะดิ้นให้หลุดฉือเหว่ยเฉิงยกนิ้วให้สหายรัก เรื่องใช้แรงและการต่อสู้ไป๋จื้อหยางแทบไม่เคยเสียเปรียบ“ถังหู่ออกมาแล้ว ทุกคนหยุดมือ!” ไป๋จื้อหยางตะโกนเสียงดังแล้วเดินไปยืนข้างหลินลู่เสียน“ยุวชนหลินมาดูหน่อยครับว่าใช่คนนี้หรือเปล่า” หัวหน้าฉางรีบมองหาคนแล้วเอ่ยเร่ง“คนนี้แหละค่ะ ที่มาดักหน้าฉัน
หลินลู่เสียนถูกป้าสะใภ้ลากมาถึงบ้านพักยุวชน เรียกว่าลากคงไม่ถูกเธอเต็มใจที่จะตามมาต่างหาก มาที่หมู่บ้านสองวัน เกิดเหตุไม่เว้นสามเวลาถ้ามาร้องทุกข์เองมีหวังโดนเขม่น“เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว วุ่นวายกันเสียจริง” หัวหน้าฉางที่กำลังคุมงานสร้างรั้วดูจะเริ่มอารมณ์ไม่ดี“ยัยหนูยุวชนถูกถังหู่ทำตัวอันธพาลใส่ เรื่องนี้ไม่ใช่เล่น ๆ นะหัวหน้าฉาง” ฉีเหยียนเหมยออกหน้าหน้าตาคร่ำเครียด“ห๊า! เป็นไงมาไงเล่ามาให้หมดสิ” หัวหน้าฉางเริ่มตกใจ ปกติถังหู่แม้ไม่เป็นโล้เป็นพาย เกียจคร้านการงาน มีเรื่องขัดใจกับคนในหมู่บ้าน แต่ยังไม่ถึงขั้นทำเรื่องร้ายแรงมาก่อน“ฉันไม่รู้ว่าเป็นใครนะคะ ตอนเดินสำรวจหมู่บ้านเขามาดักหน้า พูดจา…” หลินลู่เสียนเล่าเหตุการณ์อีกรอบ พอดีกับที่ไป๋จื้อหยางและฉือเหว่ยเฉิงเดินมาเพื่อกินมื้อเช้าได้ยินเข้าพอดีสองหนุ่มท่าทางโกรธเกรี้ยว…ยุวชนรุ่นเก่าก็เปิดประตูรับฟัง เธอแอบเห็นคงฮุ่ยฉิงกับโจวอิงไท่แอบทำหน้าเสียดายที่เธอไม่เป็นไร“พี่ลู่เสียน! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ซุนลี่จวนตกใจหน้าซีดรีบจับตัวเธอหมุนไปมา“ถังหู่นี่ชักจะหนักข้อขึ้นทุกวัน ใครมีลูกสาวต้องให้รเสียงตัวไว้บ้าง”“หัวหน้าฉางจะเอาไง ครั้งนี้
7 โมงเช้าวันรุ่งขึ้น“ยุวชนหลิน ยุวชนซุน ตื่นหรือยังครับ” หัวหน้าฉางที่นัด แนะเวลากันไว้มาตรงเวลา เขามาพร้อมชายชาวบ้านหลากหลายอายุทั้งหมดสิบคน“สวัสดีค่ะ น้าเขย ผู้อาวุโสทุกคน เข้ามาเลยค่ะ มาดื่มน้ำก่อนแล้วค่อยเริ่มงานนะคะ” หลินลู่เสียนทักทุกคนสุภาพแม้ไม่ได้ทำตัวสนิทสนมแต่ก็ไม่ได้เชิดใส่ซุนลี่จวนยื่นแก้วสังกะสีที่เติมน้ำต้มอุ่น ๆ ให้เวียนกันดื่มอบอุ่นร่างกายทีละคน“ไปเริ่มกันเลย จะให้ล้อมจากตรงไหนครับ”“หัวหน้าฉางคะ ล้อมในส่วนที่เป็นเขตของบ้านพวกฉันกับบ้านหลังเก่าน่ะค่ะ ฉันก็ไม่แน่ใจพื้นที่รบกวนหัวหน้าชี้จุดแบ่งเขตให้ดูหน่อยได้ไหมคะ”“ในพื้นที่บ้านพักยุวชนไม่ได้แบ่งเขตชัดเจนหรอกครับ งั้นเอาเป็นตรงกลางระหว่างบ้านยุวชนโจวกับหลังนี้แล้วกันครับ” บ้านที่สร้างให้ยุวชนอยู่ก็แบ่งพื้นที่ของส่วนกลางหมู่บ้านมา มันเลยไม่มีจุดแบ่งเขต เขาจึงชี้ ๆ ไปตรงกลางระหว่างสองหลัง“เอาตามนั้นได้เลยค่ะ” หลินลู่เสียนก็ไม่เรื่องมากหรือคิดอยากได้ที่เพิ่ม“สหายหลินต้องสร้างรั้วกั้นกันชัดเจนเลยเหรอคะ ทำแบบนี้เหมือนรังเกียจพวกเราเลยนะคะ?” โจวอิงไท่เปิดประตูหลังข้าง ๆ ออกมากัดปากหน้าตาซีดเซียวดูไม่สบายใจชาวบ้านที่ม
สองหนุ่มยุวชนใหม่เดินกลับบ้านพัก“อาเฉิงเราเดินสำรวจหมู่บ้านกันสักรอบ จะได้รู้ทางหนีทีไล่” ไป๋จื้อหยางเก็บเอาคำพูดทั้งหมดที่ได้ยินจากหลินลู่เสียนมาคิด เขาคงต้องเตรียมตัวอะไรไว้บ้าง ดีกว่าอยู่ไปแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้“ดีเหมือนกันนะพี่” ฉือเหว่ยเฉิงเห็นด้วยอย่างยิ่งหมู่บ้านทงจิวเป็นหมู่บ้านที่เน้นทางด้านเกษตรกรรมเหมือนกับหมู่บ้านอื่น ผลผลิตในแต่ละปีก็พอเพียงให้คนในหมู่บ้านพอกินไม่ถึงกับอดอยากทางเข้าหมู่บ้านเป็นถนนดินขนาดกว้างให้เกวียนวัวสวนกันได้ มีรถแทรกเตอร์ของกองพลซึ่งดีกว่าหลายหมู่บ้าน การลงแปลงนาก็อาศัยรถนี่ในการพลิกหน้าดินแหล่งน้ำของหมู่บ้านอยู่เยื้องไปทางเหนือของแปลงนารวม เป็นธารน้ำที่ไหลมาจากภูเขา“ทางเดินหมู่บ้านทำไว้รอบแปลงนารวม ส่วนบ้านคนก็อยู่อีกฟากของทางเดิน” ไป๋จื้อหยางนั่งขีดเส้นบนพื้นด้วยกิ่งไม้ เป็นแผนที่คร่าว ๆ ว่าอะไรอยู่ตรงไหน“ทางเดินเข้าหมู่บ้านด้านหน้าฝั่งหนึ่งเป็นป่าหญ้าขึ้นสูง”“อือ…ตรงนี้เป็นทางขึ้นเขา พวกร้านสหกรณ์หมู่บ้าน ตึกอำนวยการราชการจะอยู่ทางเข้าหมู่บ้าน แล้วก็บ้านหัวหน้าฉาง”“เราจะลงมือคืนนี้เลยหรือเปล่าพี่” ฉือเหว่ยเฉิงวงกลมบนดิน 2 จุด ที่เขาคิดว่าลง
“เรื่องเริ่มจากเสบียงที่หมู่บ้านปันมาให้พวกเรา”หลินลู่เสียนหยุดเล่าปรายตามองไปทางโจวอิงไท่ที่ทำหน้าตาอ้อนวอนอย่างน่าสงสารส่งไปให้ไป๋จื้อหยาง‘เหอะ! นังชาเขียว ทำหน้าให้ใครดูกัน'“เรามาแวะเอาเสบียงที่ผู้ดูแลฟาน แต่น้ำหนักเสบียงไม่ตรงกับของหัวหน้าฉาง เลยเดินมาดูน้ำหนักที่โจวอิงไท่จดไว้ตามคำบอกของสหายฟานบังเอิญป้าสะใภ้ท่านนี้บุกรุกเข้ามาในเขตเรือน แล้วจู่ ๆ ก็เข้าไปดึงของออกจากมือสหายโจว โวยวายว่าสหายฟานและพวกขโมย จากนั้นก็หอบของจะชิ่งหนี สหายไป๋กลัวของหายถึงได้รีบร้อนจับคอเสื้อ แล้วคุณป้าก็ร้องโวยวายตามที่เห็นกันนี่ล่ะค่ะ” หลินลู่เสียนเล่าแบบเป็นกลางไม่ตกหล่นทั้งมีรายละเอียดครบ หัวหน้าฉางค่อนข้างพอใจนิสัยตรงไปตรงมาไม่เล่นลิ้นนี้ชาวบ้านจับความผิดปกติได้เสบียงน้ำหนักไม่ตรงกัน เป็นไปได้ยังไง!หมู่บ้านมีการประชุมชัดเจนว่าจะปันเสบียงสำรองของหมู่บ้านให้ยุวชนใหม่เท่าไหร่ แถมยังนำมาชั่งต่อหน้าลูกบ้านแล้วปิดถุง ถ้าไม่มีการเปิดนำออกน้ำหนักไม่มีทางขาด“หัวหน้าฉางเป็นความผิดของผมเองครับ ไม่ทันดูให้ดีหยิบเสบียงส่วนของพวกผมสลับกับของยุวชนใหม่ มารู้ตัวตอนเปิดกระสอบไปแล้ว ผมเขินในความผิดพลาดเล็กน้อ
หลินลู่เสียนออกหน้าถามยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ฟานเกอหมิงก็ไม่ใช่คนโง่ พอถูกถามย้ำเขาก็เริ่มรู้ตัวว่าตนโดนเปิดโปงปัญหาคือฟานเกอหมิงจะทำยังไง?เสบียงถ้ายังไม่เอาไปแบ่งให้สหายสาวทั้งสอง ก็แค่เดินเข้าครัวไปเอามาเติมให้ครบ แต่ถ้าแบ่งกระจายไปแล้วจะเลือกเอาของตัวเองมาโปะก็เจ็บหนักแต่ถ้าเดินไปเอามาจากคงฮุ่ยฉิงและโจวอิงไท่ นั่นเท่ากับเปิดเผยตัวเอง‘ละล้าละลังแบบนี้ แบ่งยัยสองคนนั้นไปแล้วสินะ'หลินลู่เสียนแสยะยิ้ม ครึ้มใจที่เห็นผู้อื่นโชคร้าย เธอไม่ใช่คนใจดี โดยเฉพาะกับพวกเอารัดเอาเปรียบเธอก่อน“สหายฟานตอนพวกเราเดินทางมา หัวหน้าฉางบอกอะไรพวกเราหลายอย่างที่เราควรรู้” หลินลู่เสียนปดหน้าตายสรุปง่าย ๆ ถ้าคุณไม่รีบคายของออกมาเรื่องใหญ่แน่“เดี๋ยวผมขอไปตรวจสอบตัวเลขที่แน่ชัดกับสหายหญิงก่อนครับ ผมอาจจะดูผิดพวกเธอเป็นคนจดไว้” ฟานเกอหมิงพูดไปวิ่งไปตัวคนพุ่งไปทางบ้านพักยุวชนหญิงหลังเก่าหลินลู่เสียนหันมองไป๋จื้อหยางดูว่าเขาจะเอาไงเด็กหนุ่มหน้าเข้มชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นแล้วตวัดมือลง เห็นสัญลักษณ์จู่โจม นั่นคือให้รีบตามไปสิ…พวกเราสี่คนเร่งเดินแกมวิ่งตามฟานเกอหมิงไปติด ๆ และบังเอิญป้าเถาฮุ่ยอันที่เธอเพิ่งป
“หารือ? เรื่องอะไร…ครับ”ไป๋จื้อหยางคิดว่าเสียงพูดของเขาออกจะห้วนสั้นไปหน่อย จึงเติมครับต่อท้ายไม่เต็มเสียง ฉือเหว่ยเฉิงทำปากขมุบขมิบล้อเลียนจึงโดนขึงตาคาดโทษใส่“พวกนายรออยู่นี่ก่อน” หลินลู่เสียนเดินเข้าห้องไปรื้อกระเป๋าได้เบาะรองนั่งมา 2 อัน เดินมาวางบนพื้นห้องให้สองหนุ่ม“เฮ้ย! สหายหลินไม่ต้อง ๆ พวกผมนั่งบนพื้นได้นี่ก็สะอาดอยู่”“โทษทีนะ เก้าอี้มันมีแค่ 2 ตัว เรื่องที่คุยน่าจะนาน พวกนายนั่งเถอะ” หลินลู่เสียนคะยั้นคะยอ คำที่ใช้เรียกก็แสดงการตีสนิทระดับหนึ่ง เหมือนคุยกับคนคุ้นเคยทั่วไปไป๋จื้อหยางคิดแปบหนึ่งก็ยอมรับน้ำใจ“ว่าแต่จะบอกได้หรือยัง”“ทุกคนก็เห็นแล้วใช่ไหม แค่พวกเราที่เป็นยุวชนใหม่มาก็โดนคนคิดเอาเปรียบแล้ว ฉันอยากให้เรารวมกลุ่มกันไว้ มีอะไรจะได้รักษาผลประโยชน์ของพวกเรากันเอง” หลินลู่เสียนมองหน้าทุกคนนิ่ง ๆ เอ่ยข้อเสนอแนะจริงจังชีวิตก่อนพวกเขาใช้ชีวิตใครชีวิตมัน ไม่สนใจคบค้าสนิทสนมกับใคร พอโดนคนวางแผนร้ายจึงไม่มีหูตาคอยช่วยสอดส่องชีวิตนี้เธอจะไม่ทำผิดพลาดแบบนั้นอีก“ผมพูดตรง ๆ นะ เป็นพวกผู้หญิงอย่างคุณมากกว่าที่ต้องพึ่งพาแรงผู้ชายอย่างพวกผมสองคน” ไป๋จื่อหยางเองเป็นคนเปิดเ
“เดี๋ยวให้ฟานเกอหมิงพาไปบ้านพักรวมของยุวชนนะครับ พักผ่อนสัก 2 วันแล้วทางกองพลจะแบ่งงานที่ต้องลงแปลงนาให้”“สวัสดีครับ ผมฟานเกอหมิงรับหน้าที่ดูแลกลุ่มยุวชนของกองพลน้อยทงจิว ใครมีปัญหาติดขัดตรงไหนแวะมาคุยกันได้นะครับ” ชายหนุ่มร่างผอมผิวคล้ำแดด อายุ 20 กว่าปีเดินออกจากกลุ่มยุวชนรุ่นแรกมาแนะนำตัว ท่าทางเขาสงบสุภาพใบหน้ามีรอยยิ้มพอเหมาะหลินลู่เสียนพยักหน้ารับการทักทายแล้วหลุบเปลือกตาปิดบังแววตาเธอต้องสะสมพลังงานเตรียมพร้อมรบอีก…แค่คิดก็เหนื่อยหน่าย 100 วัน 1,000 เรื่องไม่เกินไปนักหรอก กับการใช้ชีวิตที่หมู่บ้านนี้ตอนนี้กลุ่มยุวชนรุ่นแรกเดินนำหน้า 4 คน เป็นชาย 2 คน หญิงสาว 2 คน สภาพแต่ละคนแม้สะอาดสะอ้านแต่ก็ผอมแห้งผิวคล้ำแดด ใบหน้าหยาบกร้าน สวมใส่เสื้อผ้าเก่าสีซีดมีรอยเย็บปะชุน“ในส่วนของบ้านพักยุวชนหญิงมีสองหลังใกล้กันนะครับ ส่วนผู้ชายนอนรวมกันในหลังใหญ่ มีเตียงเตา 2 เตียง ของผู้หญิงเอาข้าวของไปเก็บในห้องทางนั้นได้เลยครับ” ฟานเกอหมิงชี้นิ้วไปทางบ้านดินชั้นเดียวขนาดเล็กที่ดูเก่าโทรมกว่าอีกหลังที่อยู่ข้างกันยุวชนหญิงรุ่นก่อนคนหนึ่งยิ้มมีเลศนัยแล้วทำท่าจะเดินไปทางหลังที่ใหม่กว่า“เดี๋ยวค