“หม่อมฉันต้องขอบคุณฮองเฮามากนะเพคะที่ทรงตบหม่อมฉันเมื่อวานนี้ เพราะพระองค์เลยฝ่าบาทจึงประทานของขวัญปลอบใจให้หม่อมฉัน พระองค์รู้หรือไม่ว่าคืออะไร...”
หลี่ฟางซินเห็นเย่วลี่อิงกำหมัดแน่นจึงหยุดพูด เพราะหากเย่วลี่อิงลงมือตอนนี้นางคงเจ็บหนักเป็นแน่
อี้หงเห็นสีหน้าของเย่วฮองเฮาก็รู้ได้ว่าทรงบันดาลโทสะอย่างที่สุดแล้ว หากสนมหลี่กุ้ยเฟยพูดอันใดกระตุ้นอีกครั้ง ใบหน้าในตอนนี้ที่ยังมีรอยช้ำอยู่คงได้บวมแดงขึ้นมาอีกรอบเป็นแน่แต่นั่นไม่สำคัญกับนาง ที่สำคัญคือหากฮองเฮาของนางลงมือกับสนมหลี่กุ้ยเฟยตอนนี้ ห้าวเทียนฮ่องเต้ต้องสั่งลงโทษฮองเฮาเป็นแน่
“ฮองเฮาเพคะ อย่าตกหลุมพรางของสนมหลี่กุ้ยเฟยนะเพคะ พระองค์จะหาเรื่องลงโทษนางเมื่อไรก็ได้ แต่วันนี้ทรงปล่อยไปก่อนเถอะนะเพคะ” อี้หงยกมือขึ้นป้องก่อนจะกระซิบกระซาบข้างหูนายของตน
เย่วลี่อิงได้ยินนางกำนัลคนสนิทกล่าวเตือนสติถึงจะเป็นความจริงแต่ในใจนางก็ยังร้อนเป็นไฟ นางเองก็รู้ว่าวันนี้ไม่ใช่วันที่สมควรลงมือ เพราะเมื่อวานนางได้ตบหลี่ฟางซินไปแล้วหากวันนี้ทำอีกย่อมไม่ส่งผลดีกับนาง นางพยายามสูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ
“ข้าไม่อยากรู้ วันนี้ข้าเพียงอยากฟังบางอย่างจากเจ้าและอยากมาดูด้วยว่ารอยที่ข้าฝากไว้เป็นเช่นไรบ้าง”
เพียงเย่วลี่อิงลุกขึ้นก็ทำเอาหลี่ฟางซินสะดุ้งกลัว เย่วลี่อิงเดินเข้ามาใกล้หลี่ฟางซินที่ยืนอยู่ ก่อนจะพินิจพิจารณาใบหน้าของนาง เย่วลี่อิงสังเกตเหงื่อที่ผุดออกมาจากใบหน้าขาวก็ยกยิ้มมุมปาก
“สนมหลี่ เจ้ากลัวข้ามากเลยสินะ แต่อย่างกลัวไปเลยวันนี้เราไม่ทำอันใดเจ้าหรอก เจ้ารักษาตัวและใบหน้าของเจ้าไว้ให้ดีเถอะ”
เย่วลี่อิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยคำขู่ ก่อนใช้นิ้วจิ้มไปยังรอยฟกช้ำบนใบหน้าของหลี่ฟางซิน และหัวเราะเสียงดังแล้วหันหลังเดินลงจากศาลา
หลี่ฟางซินเห็นท่าทางและเสียงหัวเราะของเย่วลี่อิงก็เจ็บใจจนลืมความเจ็บปวดที่โดนนิ้วจิ้มซ้ำรอยเก่า นางกำหมัดแน่น ในเมื่อแผนที่นางคิดใช้ให้นางกำนัลไปตามห้าวเทียนฮ่องเต้มาดูเย่วฮองเฮารังแกนางต่อหน้าเพื่อให้เฟยห้าวเทียนลงโทษเย่วลี่อิง และเพื่อให้เฟยห้าวเทียนเข้ามาช่วยปกป้องนางจากเย่วลี่อิง นางจะได้ไม่เจ็บมากนัก นางต้องยอมรับว่าเย่วฮองเฮามือหนักมากทีเดียว ที่นางโดนกระทำเมื่อวานทั้งศีรษะและใบหน้ายังราวระบมอยู่มาก แต่นางจะพลาดโอกาสนี้ไปไม่ได้ ‘ข้ายอมทุ่มสุดตัว แต่ไม่ยอมเจ็บอยู่ฝ่ายเดียวเป็นแน่’ ยังไม่ทันที่เย่วลี่อิงจะเดินจากไปหลี่ฟางซินก็รีบเอ่ยขึ้น
“ถึงฮองเฮาไม่อยากรู้แต่ของขวัญล้ำค่าเช่นนี้หม่อมฉันย่อมต้องประกาศให้รู้ทั่ววังหลังอยู่แล้วเพคะ... ที่ต้องบอกฮองเฮาก่อนก็เพียงแต่กลัวฮองเฮารู้ที่หลังแล้วจะทำให้ฮองเฮากริ้วหม่อมฉันอีกเพคะ”
เย่วลี่อิงหยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงหลี่ฟางซินพูดกระแนะกระแหน ‘เจ้าจะไม่ปล่อยข้าไปสินะ ก็ได้ในเมื่อเจ้าอยากเล่นเล่ห์อุบายของสตรีแห่งวังหลังกับข้า ข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้า จะได้รู้ว่าใครคือเจ้าของวังหลังแห่งนี้’ เมื่อนางคิดดีแล้วจึงหันมามองหลี่ฟางซินที่ยืนอยู่บนศาลา
เมื่อหลี่ฟางซินเห็นว่าหยุดเย่วลี่อิงไว้ได้ จึงลงจากศาลาไปหาเย่วลี่อิง ถึงอย่างไรนางก็ต้องยื้อเวลาจนกว่าเฟยห้าวเทียนจะมาให้ได้ หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องปล่อยให้เย่วลี่อิงทำร้าย และกระพือข่าวออกไปเพื่อให้เย่วลี่อิงถูกลงโทษ เพราะหากครั้งนี้ไม่สามารถทำให้เย่วลี่อิงถูกลงโทษได้ ต่อไปก็จะถูกเย่วลี่อิงรังแกไปเรื่อยๆ อีกแน่
“ของขวัญอันใดที่ฝ่าบาทมอบให้เจ้า ก็เป็นธรรมดาที่เจ้าย่อมจะดีใจ เพราะถ้าหากข้าจำไม่ผิดแต่ก่อนตอนอยู่ตระกูลหลี่เจ้าไม่เคยได้ของอันใดจากท่านเสนาบดีและหลี่ฮูหยินเลย จะมีแต่ก็เพียงของเหลือๆ ที่พี่สาวพี่ชายเจ้ามอบให้เท่านั้น ข้าจึงไม่นึกแปลกใจที่เจ้าอยากป่าวประกาศให้ทุกคนได้รู้หรอกนะ” เย่วลี่อิงพูดด้วยน้ำเสียงถากถาง
เย่วลี่อิงยิ้มให้สนมหลี่อย่างเยาะเย้ย ‘ในเมื่อเจ้ากล้าเอาความรู้สึกของข้ามาย่ำยี ก็อย่าโทษข้าที่เอาปมในใจของเจ้ามาตอกย้ำแล้วกัน’ เย่วลี่อิงคิดอยู่ในใจ แต่คำพูดก่อนหน้านี้ที่พูดออกไปกลับบ่งบอกออกมาอย่างชัดเจน ว่านับแต่นี้นางกับหลี่ฟางซินไม่จำเป็นต้องถนอมน้ำใจแก่กันอีกต่อไป
หลี่ฟางซินเม้มปากแน่นด้วยความแค้น แต่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ แต่แววตาของนางมิอาจปิดบังความรู้สึกนี้จากเย่วลี่อิงได้ เย่วลี่อิงเห็นแววตาโกรธเคืองของหลี่ฟางซินก็ทำให้นางสุขใจไม่น้อย ราวได้เอาคืนเรื่องที่ถูกนินทาในวันนี้ แต่ไม่ทันไรนางก็ต้องหุบยิ้มลง เมื่อนางเห็นปากยกยิ้มของหลี่ฟางซิน
หลี่ฟางซินยกยิ้มขึ้นเมื่อได้เห็นหน้านางกำนัลที่ตนส่งไปเชิญห้าวเทียนฮ่องเต้มา ‘ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องเจ็บปวดบ้างแล้ว’ หลี่ฟางซินรีบเอ่ยขึ้นเมื่อรู้ว่าบุรุษที่ตนรอคอยใกล้มาถึงแล้ว
“ของขวัญที่ว่าคือ...ครรภ์มังกรเพคะ” หลี่ฟางซินยิ้มมุมปาก
เย่วลี่อิงรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากมายนัก เพราะเรื่องที่สนมนางหนึ่งจะตั้งครรภ์นั้นฮองเฮาอย่างนางก็ต้องเตรียมใจไว้อยู่แล้ว แต่เพียงไม่มีสนมนางใดกล้ามาลอยหน้าลอยตาพูดว่าจะตั้งครรภ์มังกรต่อหน้านางมาก่อนก็เท่านั้น และอีกอย่างต่อให้ฮ่องเต้จะตรัสมอบครรภ์มังกรให้นางก็ไม่แน่ว่านางจะตั้งครรภ์มังกรได้
เย่วลี่อิงหัวเราะดังๆ ไปรอบหนึ่ง ทำเอาหลี่ฟางซินที่กำลังลำพองใจงวยงงไปกับกิริยาอาการของนาง
“หลี่ฟางซินนะ ...หลี่ฟางซิน เจ้าช่างไม่รู้ความอันใดเลย เพียงคำพูดแค่นี้ก็สามารถปลอบประโลมความเจ็บปวดบนใบหน้าของเจ้าได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
หลี่ฟางซินหรี่ตามองเย่วลี่อิงอย่างจับผิด พร้อมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะเหตุใดนอกจากเย่วลี่อิงจะไม่โกรธยังขำขันราวกับนางเป็นตัวตลก
“เพื่อนรักของข้า เจ้าพึ่งเข้าวังมาไม่ถึง6เดือน จึงไม่รู้เรื่องในวังหลังดี เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าให้รู้ก่อนที่เจ้าจะป่าวประกาศไปทั่วจนตัวเองต้องอับอายขายหน้า ดีหรือไม่”
เย่วลี่อิงปรายตามองใบหน้าเรียวสวยของหลี่ฟางซินก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
“ข้าไม่รู้หรอกว่าฝ่าบาทเคยตรัสมอบครรภ์มังกรให้สนมนางในคนใดบ้าง แต่ถึงฝ่าบาทจะไม่เคยตรัสมอบครรภ์มังกรให้ผู้ใดมาก่อน แต่เจ้าควรรู้ไว้ว่าสนมตั้งแต่ระดับกุ้ยเฟยข้าก็มิเคยสั่งให้ดื่มยาห้ามครรภ์ เช่นนั้นสนมตั้งแต่ระดับกุ้ยเฟยขึ้นไปที่ปรนนิบัติฝ่าบาทล้วนมีสิทธิ์ได้สิ่งนี้โดยไม่ต้องให้ฝ่าบาทเอ่ย”
เย่วลี่อิงระบายยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“และถึงฝ่าบาทจะตรัสมอบครรภ์มังกรให้เจ้า ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะมีได้ หรือถ้ามีแล้วเมื่อไรกัน...หลังข้า...หรือหลังสนมกุ้ยเฟยคนอื่นๆ” เย่วลี่อิงยิ้มเย้ยหยัน
หลี่ฟางซินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นเคือง นางคิดว่าเมื่อเย่วลี่อิงได้ยินย่อมอดกลั้นไม่ไหวต้องตบตีนางเป็นแน่ แต่กลับไม่เป็นดังที่นางคาด นางดันโดนเย่วลี่อิงตอกกลับเสียจนหน้าชา นางพยายามข่มอารมณ์ของตนไว้ก่อนจะนึกถึงคำที่ฮ่องเต้เคยเล่าเรื่องระหว่างเขากับเย่วลี่อิงให้ฟัง ‘โชคดีที่ยังมีอีกเรื่อง เรื่องนี้เย่วลี่อิงคงเก็บอารมณ์ไว้ไม่ได้เป็นแน่’ หลี่ฟางซินเมื่อนางนึกได้ก็ไม่รั้งรอรีบเอ่ยขึ้นในทันที
“จริงเพคะ หม่อมฉันอาจไม่ใช่คนแรกที่ตั้งครรภ์มังกร แต่หม่อมฉันต้องตั้งครรภ์ก่อนฮองเฮาเป็นแน่เพคะ เพราะตั้งแต่เข้าหอกันจนถึงวันนี้ฝ่าบาทก็ยังไม่เคยให้ฮ่องเฮาปรนนิบัติเฉกเช่นสามีภรรยาสักครั้งเลยนี้เพคะ”
เย่วลี่อิงเม้มริมฝีปากแน่นใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเคือง ก่อนจะออกปากสั่งเหล่าขันทีและนางกำนัลที่อยู่บริเวณนั้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
"พวกเจ้าทั้งหมดถอยออกไป10ก้าว"
“พวกเจ้าทั้งหมดถอยออกไป10ก้าว”คนของตำหนักคุณหนิงถอยหลังทันทีที่ได้ยินเย่วฮองเฮาออกคำสั่ง ต่างจากคนของตำหนักกุ้ยเฟยกลับมองหน้ากันไปมา เพราะสนมหลี่กุ้ยเฟยนายของตนได้สั่งไว้ ถึงนี่จะเป็นคำสั่งของเย่วฮองเฮาแต่เจ้านายของพวกนางได้รับปากไว้ว่าจะทูลขอความเป็นธรรมจากห้าวเทียนฮ่องเต้ให้ อย่าได้สนใจคำสั่งของเย่วฮองเฮาให้รับฟังคำสั่งจากหลี่กุ้ยเฟยเพียงคนเดียว และด้วยสภาพที่เย่วฮองเฮาออกจากตำหนักกุ้ยเฟยเมื่อวานนี้ ทำให้ทุกคนเชื่อว่าสนมหลี่กุ้ยเฟยต้องปกป้องพวกเขาได้เป็นแน่หลี่ฟางซินเมื่อได้ยินคำสั่งของสตรีที่สูงศักดิ์กว่าก็ตกใจไม่น้อย เพราะคิดว่าสตรีผู้นี้จะต้องลงไม้ลงมือกับตนเป็นแน่ แต่ยังโชคดีที่นางได้กำชับคนของตนไว้ไม่ให้ออกห่างจากนางหากห้าวเทียนฮ่องเต้ยังไม่เสด็จมา“พวกเจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก ไม่ได้ยินที่ฮองเฮารับสั่งหรืออย่างไร”อี้หงตวาดใส่เหล่าขันทีและนางกำนัลของตำหนักกุ้ยเฟย เมื่อเห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ทำตามคำสั่งของเย่วฮองเฮาเย่วลี่อิงโบกมือให้นางกำนัลคนสนิทหยุดกล่าวไว้เพียงเท่านี้ หญิงสาวเจ้าของตำหนักคุนหนิงหันมองไปรอบๆ เมื่อเห็นท่าทางนางกำนัลและขันทีของตำหนักกุ้ยเฟยมีท่าทีแข็งขืนไม่เก
“ฝ่าบาททรงทำเยี่ยงนี้กับเย่วฮองเฮาได้อย่างไร” ไทเฮาหันมาตรัสกับบุตรชาย“กระหม่อมทนนางไม่ไหวแล้วเสด็จแม่ ที่ผ่านมากระหม่อมยอมปิดตาข้างหนึ่งมาตลอด แต่บัดนี้กระหม่อมจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว”“ที่ฝ่าบาททนไม่ได้เพราะหลี่กุ้ยเฟยใช่หรือไม่”“เสด็จแม่ก็รู้ว่าลูกมีใจต่อหลี่กุ้ยเฟยมาก่อน หากไม่ใช่คำสั่งของเสด็จพ่อ ลูกไม่มีวันแต่งงานกับสตรีผู้นี้เด็ดขาด ทั้งที่เย่วฮองเฮากับหลี่กุ้ยเฟยเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งที่นางรู้ว่ากระหม่อมคือคนรักของเพื่อนสนิทของนาง แต่สตรีนางนี้ยังขอให้พ่อของนางใช้ความดีความชอบมาแลกกับการแต่งงานกับกระหม่อม สตรีเช่นนี้ลูกรังเกียจเป็นที่สุด”คำพูดของเฟยห้าวเทียนราวเข็มปักอกที่ทำให้เย่วลี่อิงเจ็บปวด นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าเหตุใดชายผู้นี้ถึงไม่ชอบนาง วันนี้นางได้รู้สาเหตุแล้ว และทำให้เย่วลี่อิงรู้สึกเกลียดชังหลี่ฟางซินมากขึ้น เพราะหลี่ฟางซินนางเพื่อนทรยศคนเดียวทำให้ชายที่นางรักหมดใจรังเกียจนางได้ถึงเพียงนี้ครั้นจะให้นางเล่าความจริงให้เขาฟัง ชายที่รังเกียจเกลียดนางถึงเพียงนี้ก็คงไม่มีวันเชื่อ คงคิดเพียงว่านางใส่ร้ายป้ายสีหญิงที่ตนรักก็เท่านั้นไทเฮาหันมองหญิงสาวที่ใบหน้ามักยิ้มแย้มให้เธ
"ไทเฮาเพคะ หมอหลวงมาถึงแล้วเพคะ" นางกำนัลของไทเฮารีบเข้ามารายงาน“ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันขอกลับไปให้หมอหลวงตรวจที่ตำหนักนะเพคะ”“ได้สิ เราจะไปกับเจ้าด้วย” หญิงชราเอ่ยพร้อมยิ้มเฟยห้าวเทียนเห็นท่าทีมารดาของตนหมายจะเสด็จไปพร้อมเย่วลี่อิงจึงรีบเอ่ยถามขึ้น ถึงอย่างไรหากมารดาจะลงโทษหลี่ฟางซิน เขาก็ยังอยู่เพื่อขอลดโทษให้ได้ แต่หากมารดาทรงไตร่สวนภายหลัง และออกเป็นราชโองการเขาจะช่วยเหลือหลี่ฟางซินก็คงยากแล้ว“เสด็จแม่ แล้วพระองค์จะลงโทษหลี่กุ้ยเฟยอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”เย่วลี่อิงหันมองบุรุษที่ตนทุ่มเทใจรักและทำทุกอย่างเพื่อเขา แม้ยามนี้เขายังไม่รู้แน่ชัดว่าใครตบใครแต่เขาก็ไม่ได้สนใจและตัดสินใจไปแล้วว่าอย่างไรสตรีที่แสนดีของเขาย่อมไม่มีทางทำร้ายผู้อื่นเป็นแน่ นอกจากจะไม่คิดสอบถามถึงที่มาที่ไปของเรื่องราว เขากลับสนใจเพียงสตรีหนึ่งเดียวในใจที่ตนรักจะโดนลงทัณฑ์เช่นไรเท่านั้นเมื่อคืนเย่วลี่อิงฝันว่าตนตบหน้าของหลี่กุ้ยเฟย แล้วเฟยห้าวเทียนเข้ามาเห็น เขาจึงตบหน้าของเธอพร้อมสั่งองครักษ์โบยเธอ10ไม้ ถึงจะสั่งโบยไม่มากนักแต่องครักษ์ที่โบยมีวรยุทธสูงส่ง ครั้นโบยอย่างไม่เต็มแรงก็ทำเอานางสลบไปหลายวัน หลังจากฟื้นหมอห
นางรู้ดีว่าหากนางโกหกว่าหลี่ฟางซินตบตีนางจริง ไทเฮาและเฟยห้าวหลานย่อมเข้าข้างนาง และจะจัดการหลี่ฟางซินให้นางเป็นแน่ ถ้าหากความผิดนี้จบลงที่หลี่ฟางซินเพียงผู้เดียวนางก็อยากให้เพื่อนทรยศผู้นี้โดยลงทัณฑ์สักครา หลี่ฟางซินจะได้รับรู้ว่าการถูกใส่ร้ายจนได้รับโทษในสิ่งที่ตนไม่ได้กระทำนั้นรู้สึกเยี่ยงไร เหมือนที่นางโดนฮ่องเต้เกลียดทั้งที่นางไม่ได้ทำอันใดผิดเลยแต่นางรู้ดีว่าโทษที่ตบตีภรรยาเอกนั้นหนักหนาเพียงใดยิ่งในราชวงศ์แล้วโทษนี้หนี้ไม่พ้นความตาย ยิ่งนางเป็นถึงฮองเฮาแม่แห่งแผ่นดินโทษทัณฑ์นี้แม้แต่คนในครอบครัวก็หนี้ความตายไม่พ้น ถึงอย่างไรคนในตระกูลหลี่ก็ดีกับนางไม่น้อย นางเองก็ไม่ควรเอาความแค้นนี้ไปลงกับพวกเขาเหล่านั้นหากนับในฐานะสตรีที่รักบุรุษผู้หนึ่งย่อมไม่อยากให้เขาลำบาก และในฐานะฮองเฮาก็ไม่ควรสร้างเรื่องจนเดือดร้อนไปถึงท้องพระโรง ถึงครั้งนี้จะเป็นการล้างแค้นได้ดี แต่ผลกระทบเป็นวงกว้าง ถือเสียว่าตบทั้งสองครั้งที่ได้รับในวันนี้ซื้อความโง่งมและเอาไว้เตือนสติตนเองแล้วกัน“ได้ ในเมื่อท่านอ๋องอยากรู้ข้าก็จะบอก ใช่ข้าตบหน้าตัวเอง ท่านอ๋องพอพระทัยหรือไม่ ถ้าพอพระทัยแล้วพี่สะใภ้ขอตัวกลับตำหนัก
เมื่อหลี่ฟางซินเห็นว่าเยว่ลี่อิงเดินจากไป ก็รู้สึกเบิกบานที่ตนนั้นกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องถูกลงโทษ แถมเยว่ลี่อิงยังถูกลงโทษอีกด้วย ครั้งนี้ถือว่านางคุ้มค่ามากทีเดียว ‘ต่อไปเพียงข้าปล่อยข่าวว่าเยว่ลี่อิงตบหน้าตนเองเพื่อใส่ร้ายป้ายสีข้า แต่กลับโดนเฟยห้าวเทียนตบหลังจากนี้วังหลังก็จะไม่มีใครกล้าข่มเหงข้า’หลี่ฟางซินมั่วแต่ดีใจจนลืมเก็บอารมณ์ สีหน้าที่แสดงออกถึงความดีใจและแววตาที่แฝงไปด้วยเล่ห์อุบายอย่างเห็นได้ชัด จนไม่ทันสังเกตว่าเฟยห้าวหลานกำลังยืนมองอยู่ เมื่อเงยหน้าสายตาที่ปะทะกับเฟยห้าวหลานก็ทำเอาหลี่ฟางซินใบหน้าซีดเผือดเฟยห้าวเทียนเห็นเฟยห้าวหลานมองหลี่ฟางซินก็นึกขึ้นมาได้ จึงย่อตัวลงจับไหล่ของสตรีให้ลุกขึ้น“ต้องขอบคุณห้าวหลานมากที่ช่วยล้างมลทินให้กับสนมหลี่กุ้ยเฟย ไม่อย่างนั้นทั้งข้าและหลี่กุ้ยเฟยคงตกที่นั่งลำบากแล้ว”“หม่อมฉันขอบพระทัยเพคะ” เยว่ลี่อิงยิ้มอ่อนหวานน้ำเสียงสดใส พร้อมย่อกายให้เฟยห้าวหลาน“เสด็จพี่ พระสนมหลี่กุ้ยเฟยอย่าได้ขอบคุณข้าเลย ข้าเพียงทำไปเพื่อเสด็จแม่เท่านั้น ไม่ใช่เพียงเยว่ฮองเฮาที่ทำผิด พระสนมหลี่กุ้ยเฟยท่านเองก็ทำผิดเช่นกัน”หลี่ฟางซินใบหน้าซีดจางนัยน์
“วันนี้ทั้งเสด็จแม่และเสด็จพี่ต่างเหนื่อยกันมามากแล้ว วันหน้าค่อยลงโทษก็ไม่ถือว่าช้าไป เสด็จแม่ว่าดีหรือไม่”“จริงของเจ้า วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว ข้าจะกลับไปคิดให้ดีว่าสมควรลงโทษเสด็จพี่ของเจ้าเช่นไร อย่างไรเสียเสด็จพี่ของเจ้าก็เป็นถึงฮ่องเต้ หากไทเฮาอย่างข้าสั่งตีหรือโบยก็เห็นว่าจะไม่ควร”“เสด็จแม่ตรัสถูกทุกอย่าง ไม่ว่าเสด็จแม่จะลงโทษลูกเช่นไร ลูกย่อมน้อมรับอย่างเต็มใจ”“ฝ่าบาท...พระองค์ทรงจำคำของพระองค์ไว้ให้ดี ฮ่องเต้ตรัสแล้ว ย่อมไม่คืนคำ อย่าคิดแต่จะทำให้มารดาแก่ๆ คนนี้หายโกรธแล้วรับปากออกมาง่ายๆ”“กระหม่อมจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร กระหม่อมมิกล้าโป้ปดเสด็จแม่”เฟยห้าวหลานมองดูพี่ชายตนที่ยอมให้มารดาลงโทษตัวเองเพื่อไม่ให้มารดาโกรธ แล้วหันมาเพิ่มโทษสนมหลี่กุ้ยเฟยแทน แต่หารู้ไม่ว่ากำลังตกหลุมพรางของมารดาแล้ว เสด็จแม่มีหรือจะยอมลงโทษสนมหลี่กุ้ยเฟยเท่านี้เพียงเพราะเสด็จพี่ยอมรับผิด หากไม่มีแผนการอื่นเฟยห้าวหลานรู้ดีว่าคนที่บุพการีของตนไม่คิดจะลงโทษแม้แต่น้อยก็คงจะมีเพียงเยว่ฮองเฮาเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ว่ามารดาจะไม่รักพี่ชายของตนแต่เพราะรักมากจึงอยากให้พี่ชายมีสตรีที่รักบุตรชายของตนด้วยใจจ
ตำหนักคุนหนิงตลอดทางที่กลับมายังตำหนักเยว่ลี่อิงไม่ได้เอ่ยอันใด แต่มีบางเสี้ยวที่หันไปมองสตรีข้างกาย นางรับรู้ได้ว่าอี้หงคงคับแค้นใจมากเพราะตลอดทางที่มาแววตาของนางกำนัลคนสนิทเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาแต่กลับไร้เสียงสะอื้น และโชคดีที่หวังกงกงขันทีของไทเฮามาช่วยจัดการผู้คนที่อยู่ระหว่างทางให้ ทำให้ตลอดทางที่กลับมาไม่มีใครได้เห็นสภาพน่าเวทนาของเยว่ฮองเฮาเมื่อมาถึงตำหนักหมอหลวงก็ตรวจดูอาการบาดเจ็บของเยว่ฮองเฮาอย่างละเอียดก่อนจะจัดยากินและยาทาให้เยว่ฮองเฮา แต่อี้หงกลับสังเกตว่าระหว่างตรวจหมอหลวงจางมีสีหน้าฉายแววตื่นตระหนก คล้ายมีอะไรแต่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมา“ท่านหมอหลวงจาง ไม่ทราบว่าพระวรกายของฮองเฮามีอันใดผิดปกติหรือไม่” อี้หงคร้านจะเก็บความสงสัยจึงเอ่ยถามออกมาตรงๆ“ไม่มีอันใดผิดปกติ นั้นชาอะไรอย่างนั้นหรือ ทำไมกลิ่นแปลกๆ” หมอหลวงจางกล่าวปฏิเสธก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา“นี้คือน้ำชารางจืดผสมน้ำผึ้งมะนาวเจ้าค่ะ” อี้หงเอ่ยตอบหมอหลวง“รางจืดอย่างนั้นหรือ” หวังกงกงที่ยืนอยู่หลังที่บังลมเอ่ยถามหวังกงกงไม่ได้เพียงมาส่งเยว่ฮองเฮาแต่หน้าที่ของเขาคือต้องอยู่รอให้หมอหลวงตรวจพระวรกายของเยว่ฮอ
“หลานเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้าเป็นห่วงนาง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นพี่สะใภ้ของเจ้า เจ้าควรระวังกิริยาเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น วังหลังแห่งนี้ล้วนอันตรายการกระทำบางอย่างต่อให้เจ้าไม่คิด แต่คนอื่นอาจคิด เจ้าเข้าใจหรือไม่”“ลูกจะจำคำสอนของเสด็จแม่ไว้ ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ตักเตือน”เฟยห้าวหลานที่ยังรั้งรออยู่ในตำหนักเล่อโซ่วถางไม่ยอมกลับเพราะรอหวังกงกงมารายงานการตรวจร่างกายของเยว่ลี่อิงแต่เมื่อได้ยินว่าเยว่ลี่อิงอาจโดนวางยาก็รู้สึกตกใจปนความโมโหที่มีคนบังอาจทำร้ายพี่สะใภ้ของเขาจนเผลอแสดงการกระทำที่ไม่ควรออกมา แต่ยังดีที่มารดาไล่นางกำนัลออกไปเมื่อหวังกงกงบอกมีเรื่องสำคัญต้องทูล จึงมีเพียงหวังกงกงผู้เดียวที่เห็นเหตุการณ์เมื่อหมอหลวงจางเดินเข้ามาก็รายงานการตรวจร่างกายภายนอกของเยว่ฮองเฮาตามความจริง เว้นไว้แต่ผลตรวจจากภายในร่างกายที่เขายังไม่กล้าเอ่ยเพราะเขายังไม่แน่ใจว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะเรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าที่เขาจะรับมือไหว หากเขารีบรายงานโดยไม่ยั้งคิด คนที่อยู่เบื้องหลังย่อมไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่“หมอหลวงจาง นอกจากอาการบาดเจ็บในวันนี้ร่างกายของฮองเฮาแข็งแรงดีหรือไม่” ไทเฮาเอ่ยถามเสียงราบเร
ห้าวเทียนฮ่องเต้มองหน้าอี้หง ราวกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูด แต่ถ้าเยว่ลี่อิงจะปักลายนี้ได้ก็ไม่แปลก แต่ฝีเข็มจะเหมือนกันขนาดนี้เลยหรือ และยังกลิ่นในถุงหอมที่มันเจือจางพอๆ กับใบที่เขามี เขาจำได้ไม่ผิดแน่ว่าเป็นกลิ่นเดียวกับถุงหอมใบที่หลี่กุ้ยเฟยให้เขามาเมื่อสามปีก่อนอี้หงเห็นห้าวเทียนฮ่องเต้เหมือนจะไม่เชื่อคำพูดของนาง จึงนึกขึ้นได้ว่าห้าวเทียนฮ่องเต้ต้องเคยเห็นถุงหอมอีกใบเป็นแน่ ถ้าอยากนั้นที่สนมหลี่กุ้ยเฟยพูดว่าทิ้งของที่เยว่ฮองเฮาทำให้ห้าวเทียนฮ่องเต้ก็ต้องเป็นเรื่องโกหก นางจึงลองหยั่งเชิงดู“ทำไมฝ่าบาทถึงไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของฮองเฮาล่ะเพคะ ในเมื่อถุงหอมอีกใบหนึ่งฮองเฮาทรงมอบให้พระองค์ ตั้งแต่ก่อนจะแต่งงานกับพระองค์เสียด้วยซ้ำ”“มอบให้ข้าอย่างนั้นหรือ”“เพคะ ฮองเฮาทรงทำถุงหอมขึ้นมา2ใบจากผ้าผืนเดียวกัน และปักลายดอกเบญจมาศไว้บนถุงหอม ที่ฮองเฮามอบถุงหอมลายดอกเบญจมาศให้พระองค์เพื่อบอกพระองค์ว่านางคือหญิงสาวที่พระองค์เคยช่วยไว้จากโจรปล้นเครื่องหอมเพคะ”ฮ่องเต้ยืนนิ่งเมื่อนึกถึงเรื่องที่อี้หงบอก เมื่อ4ปีก่อนเขาเคยช่วยขบวนรถสินค้าที่ขนเครื่องหอมมายังเมืองหลวงจากโจรที่ดักปล้นระหว่างทาง แ
เฟยห้าวหลานที่นั่งอยู่ข้างมารดาเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นระหว่างสองคนตรงหน้าจึงกระตุกแขนเสื้อของมารดา แล้วกระซิบเบาๆ“เสด็จแม่วันนั้นท่านตรัสอะไรกับเสด็จพี่ ทำไมวันนี้เขาดูแปลกไป”“แม่ก็แปลกใจเหมือนกัน” มารดากระซิบบอกเฟยห้าวหลานมองหน้ามารดาด้วยสายตาที่ไม่เชื่อ หากมารดาไม่ได้พูดอะไรทำไมพี่ชายเขาถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้ ถ้าจะบอกว่าเสด็จแม่บังคับหรือใช้ข้ออ้างในการลงโทษเพื่อให้พี่ชายตนทำดีกับเยว่ลี่อิง สายตาและท่าทางคงไม่ใช่แบบนี้เป็นแน่ หรือพี่ชายตนทำดีกับเยว่ลี่อิงเพื่อประจบท่านแม่ แล้วจะทูลของลดโทษให้สนมหลี่กุ้ยเฟยภายหลัง แต่หากเป็นเช่นนั้นจริงพี่ชายของตนก็เล่นละครได้เก่งจนเหมือนรักนางเข้าจริงๆ แล้วเยว่ลี่อิงที่นั่งก้มหน้านิ่งอยู่ใกล้ไทเฮามีหรือจะไม่ได้ยินไทเฮากับเฟยห้าวหลานกระซิบคุยกัน ในเมื่อนางได้ยินว่าการกระทำนี้ไม่เกี่ยวกับไทเฮา ทำให้หัวใจนางเต้นรัว ใบหน้าพลันเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด ในใจเกิดความหวังว่าเฟยห้าวเทียนจะเริ่มมีใจให้นางแต่เมื่อนางใช้มือกุมหน้าอันร้อนผ่าวก็ทำให้นางนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นได้ ‘เยว่ลี่อิงนะเยว่ลี่อิง แค่เพียงเขาดีด้วยหน่อยหัวใจเจ้าก็เต้นรัวจนลืมเรื่องที่โ
“พี่สะใภ้ ทำไมไม่เข้าไปประคองเสด็จแม่เล่า”“นานทีฝ่าบาทจะมีเวลาว่างอยู่กับองค์ไทเฮา ปล่อยให้เสด็จพี่ของท่านได้ดูแลเถิด”เฟยห้าวเทียนมองหน้าสตรีที่มีท่าทีเปลี่ยนไป วันนี้นางดูแปลกตาไม่เหมือนวันก่อนๆ ที่แม้แต่ยามนอนก็ยังแต่งหน้าหนา ผิวนางขาวใสนวลเนียน ริมฝีปากอมชมพู ดวงตากลมโต ขนตายาวงอน คิ้วจมูกปากรับกันได้ดี ใบหน้านางได้รูปแต่กลับมีแก้มน้อยๆ น่าหยิกเฟยห้าวหลานมองหน้าเฟยห้าวเทียนสลับไปมากับเยว่ลี่อิงด้วยความสงสัย วันนี้ทำไมสองคนนี้ถึงได้สลับที่กัน ปกติเฟยห้าวเทียนไม่เคยชายตาแลเยว่ลี่อิงแต่วันนี้กลับจ้องใบหน้าของนางพร้อมเผยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก แต่กลับกันเยว่ลี่อิงไม่แม้แต่จะชำเลืองหางตาดูเฟยห้าวเทียนเลยสักนิด“เสด็จพี่ หน้าของพี่สะใภ้มีอันใดหรือ ทำไมท่านเอาแต่จ้องนาง”เฟยห้าวเทียนไม่หันมองเฟยห้าวหลานแต่กลับใช้หางตาดู ก่อนจะเอ่ยตอบ“ข้าแค่สงสัยว่าเหตุใดนางจึงไม่แต่งหน้าเหมือนปกติ หรือว่าใบหน้าเจ้ายังไม่หายดี” เขาเอ่ยตอบน้องชาย ส่วนประโยคหลังถามสตรีที่อยู่ข้างหน้าไทเฮา เยว่ลี่อิงและเฟยห้าวหลานต่างงวยงงกับเฟยห้าวเทียนที่วันนี้นอกจากมองหน้าเยว่ลี่อิงแล้ว ยังพูดคุยดีๆ กับนางโดยตรง แต่ทุกค
เมื่อมารดาเห็นหน้าบุตรชายที่รู้สึกสลดไม่แข็งกร้าวเหมือนก่อนหน้านี้ จึงรีบเอ่ยกล่าวถึงความสำคัญที่ต้องปกป้องเยว่ฮองเฮาเอาไว้ เพราะนางรู้ดีว่าการบังคับให้บุตรชายปกป้องเยว่ฮองเฮานั้นไม่ถาวร ไม่สู้ทำให้เขายินยอมด้วยใจที่จะปกป้องนางดีกว่า ถึงจะโน้มน้าวให้รักไม่ได้ แต่โน้มน้าวให้ปกป้องเยว่ฮองเฮาเพื่อผลประโยชน์ได้“เยว่ฮองเฮานางต่างจากแม่ นางมีบิดาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่มีกองกำลังเกือบสามแสนนายในกำมือ มีอำนาจที่ไม่มีใครสามารถยึดได้จากคำสั่งเสียของบิดาเจ้า และมีแม่ที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดในวังนี้หนุนหลัง นี้คือเหตุผลที่อัครเสนาบดีหรือเสนาบดีกรมต่างๆ ไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งกับวังหลัง ต่อให้เยว่ฮองเฮาลงโทษบุตรสาวพวกเขามากน้อยเพียงใดเขาก็ไม่กล้ากล่าวทูลให้เจ้าปลดนาง เพราะเท่ากับขัดคำสั่งของฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีโทษเป็นกบฏ พวกเขาจึงต้องสั่งสอนบุตรให้เจียมเนื้อเจียมตัวอยู่เสมอ”ไทเฮามองหน้าบุตรชายของตนยามนี้ก็รู้ดีว่าเขาอาจจะเริ่มใจอ่อนและเริ่มมองถึงผลประโยชน์ที่เยว่ฮองเฮาจะทำให้เขาขึ้นมาแล้วบ้างจึงเอ่ยต่อ“แต่นั้นก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะอยู่เฉย ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถใช้อำนาจข่มเหงเยว่ฮองเฮาและไม่สามารถปลดนางลงไ
“แม่ขอถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ายังอยากให้นางตายอยู่หรือไม่”ไทเฮามองหน้าบุตรชาย นางหวังเพียงเขาจะเปลี่ยนใจ ถึงไม่รักไม่ชอบเยว่ฮองเฮาก็ขอแค่ไม่มีความคิดจะสังหารนางก็พอ“อยากพ่ะย่ะค่ะ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นหัวใจของไทเฮาเต้นไม่เป็นจังหวะ นางเอามือแตะที่หน้าอกพยายามหายใจเข้าออกช้าๆ ห้าวเทียนฮ่องเต้เห็นมารดามีท่าทีผิดปกติก็ก้าวเท้าเข้าไปหา แต่กลับโดนไทเฮายกมือขึ้นห้าม เขาจึงหยุดฝีเท้าไว้แค่นั้น“หากเจ้าเกลียดเยว่ฮองเฮาเพราะนางใช้ความดีของพ่อนางแต่งกับเจ้า แล้วเยว่ฮองเฮาต่างอะไรกับสนมเหล่านั้นที่แต่งมาเป็นฐานอำนาจให้เจ้าเล่า ไม่ใช่เพราะอำนาจหรือความดีของตระกูลพวกนางหรือที่ได้มาเป็นสนมของเจ้า แต่ไยเจ้าจึงไม่รังเกียจพวกนางแม้แต่น้อย แต่กลับรังเกียจเยว่ฮองเฮามากถึงเพียงนี้” มารดามองหน้าบุตรที่ไม่กล่าวตอบจึงเอ่ยต่อ “หากเจ้าเกลียดเยว่ฮองเฮาเพราะนางรู้ว่าเจ้ากับเพื่อนรักของนางรักกัน แต่ก็ยังจะแต่งกับเจ้าอีก แล้วฐานะของเจ้าสามารถเลือกชายาเอกได้ตามใจที่ตนต้องการอย่างนั้นหรือ ในที่สุดไม่ว่าเยว่ลี่อิงจะแต่งเข้ามาในฐานะพระชายาเอกขององค์รัชทายาทหรือนางสนมก็ต้องแต่งเข้ามาเป็นฐานอำนาจให้เจ้าอยู่ดี ต้อง
เมื่อไทเฮาตรัสแล้วว่าจะเป็นคนไปถามบุตรชายของตนเอง จึงสั่งให้หมอหลวงจางกลับไปได้ และยังกำชับว่าห้ามบอกเรื่องนี้แก่ใครหากมีผู้ใดถามถึงอาการของเยว่ฮองเฮา ก็ให้บอกไปว่าไม่เป็นไรมากเพียงแต่มีรอยถลอกและรอยฟกช้ำเท่านั้น ไม่ต้องเอ่ยถึงการตรวจภายใน และหากมีผู้ใดมาถามยกเว้นหมอหลวงหลิวให้หมอหลวงจางรีบมารายนางได้ทันที เพราะหญิงชราเชื่อว่าหากไม่ใช่ฝีมือบุตรชายตนย่อมมีพวกวัวสันหลังหวะกลัวว่าจะมีผู้รู้การกระทำอันต่ำช้านี้ของตนเป็นแน่เมื่อหมอหลวงจางออกไปแล้วเฟยห้าวหลาน จึงเอ่ยอาสาไปเป็นเพื่อนมารดา แต่กลับถูกมารดาปฏิเสธ และไล่ให้กลับไปยังจวนนอกวังของตนเอง เฟยห้าวหลานเห็นสีหน้าเหน็ดเหนื่อยของมารดาจึงไม่คิดฝืนใจต่อรอง“เสด็จแม่วันนี้ท่านเหนื่อยมากแล้ว พักผ่อนก่อนเถิดถึงอย่างไรวันนี้เสด็จพี่ก็คงอยู่ตำหนักกุ้ยเฟย คงไม่สะดวกพูดคุยกับท่าน”เฟยห้าวหลานเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงพะวง“นั้นสิ ข้าเองก็เหนื่อยมากจริงๆ วันนี้ งั้นเจ้ากลับไปเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปคุมการลงทัณฑ์สนมหลี่กุ้ยเฟยอีก”“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ ลูกขอทูลลา”เช้าวันต่อมา ณ ตำหนักคุนหนิงอี้หงตื่นนอนขึ้นมาเมื่อมองเห็นเยว่ฮองเฮายังไม่ตื่นก็ไม่คิดจะปลุกปล่อย
“ท่านหมอหลวงจาง ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าใครเป็นคนวางยา” เฟยห้าวหลานใช้น้ำเสียงและสายตาคาดคั้นเอาคำตอบจากหมอหลวงจาง“เรียนท่านอ๋องตามตรง กระหม่อมไม่แน่ใจว่าใครคือผู้บงการ แต่ผู้ที่รู้เห็นเป็นใจ กระหม่อมแน่ใจพ่ะย่ะค่ะ”“อย่างนั้นเจ้าบอกมามันเป็นใคร”เฟยห้าวหลานจับจ้องหมอหลวงจางเพื่อรอคำตอบ“หมอหลวงหลิวพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงชรารีบเอ่ยตอบอย่างไม่รอรีคำตอบนี้ทุกคนไม่ได้ติดใจ และไม่ต้องการเห็นผลมาสนับสนุนเพราะหมอหลวงหลิวเป็นหมอประจำตัวเยว่ฮองเฮาที่ห้าวเทียนฮ่องเต้ทรงเป็นผู้เลือกให้เยว่ฮองเฮาด้วยตนเอง ในเมื่อหมอหลวงจางตรวจร่างกายของเยว่ลี่อิงเพียงครั้งเดียว ก็ยังสามารถตรวจเจอความผิดปกติในครั้งนี้ได้ มีหรือหมอหลวงหลิวที่ตรวจร่างกายของนางมาตลอดจะไม่พบเจอ ยกเว้นแต่เขาเป็นผู้กระทำหรือไม่ก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด“ที่เจ้าว่าไม่แน่ใจ...เช่นนั้นเจ้าย่อมมีคนที่คาดว่าจะเป็นผู้บงการอยู่แล้วใช่หรือไม่” ไทเฮาเอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบ“คนที่กระหม่อมสงสัยอยู่ในใจมีอยู่สองคนพ่ะย่ะค่ะ คนแรกคือสนมฉินหวงกุ้ยเฟย ส่วนอีกคน....อืม...เอ่อ..คือ” หมอหลวงจางอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่กล้าเอ่ย“เจ้าตอบมาตามที่เจ้าคิดก็พอ ไม่ว่าผู้นั้นเป็นใคร
“หลานเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้าเป็นห่วงนาง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นพี่สะใภ้ของเจ้า เจ้าควรระวังกิริยาเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น วังหลังแห่งนี้ล้วนอันตรายการกระทำบางอย่างต่อให้เจ้าไม่คิด แต่คนอื่นอาจคิด เจ้าเข้าใจหรือไม่”“ลูกจะจำคำสอนของเสด็จแม่ไว้ ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ตักเตือน”เฟยห้าวหลานที่ยังรั้งรออยู่ในตำหนักเล่อโซ่วถางไม่ยอมกลับเพราะรอหวังกงกงมารายงานการตรวจร่างกายของเยว่ลี่อิงแต่เมื่อได้ยินว่าเยว่ลี่อิงอาจโดนวางยาก็รู้สึกตกใจปนความโมโหที่มีคนบังอาจทำร้ายพี่สะใภ้ของเขาจนเผลอแสดงการกระทำที่ไม่ควรออกมา แต่ยังดีที่มารดาไล่นางกำนัลออกไปเมื่อหวังกงกงบอกมีเรื่องสำคัญต้องทูล จึงมีเพียงหวังกงกงผู้เดียวที่เห็นเหตุการณ์เมื่อหมอหลวงจางเดินเข้ามาก็รายงานการตรวจร่างกายภายนอกของเยว่ฮองเฮาตามความจริง เว้นไว้แต่ผลตรวจจากภายในร่างกายที่เขายังไม่กล้าเอ่ยเพราะเขายังไม่แน่ใจว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะเรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าที่เขาจะรับมือไหว หากเขารีบรายงานโดยไม่ยั้งคิด คนที่อยู่เบื้องหลังย่อมไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่“หมอหลวงจาง นอกจากอาการบาดเจ็บในวันนี้ร่างกายของฮองเฮาแข็งแรงดีหรือไม่” ไทเฮาเอ่ยถามเสียงราบเร
ตำหนักคุนหนิงตลอดทางที่กลับมายังตำหนักเยว่ลี่อิงไม่ได้เอ่ยอันใด แต่มีบางเสี้ยวที่หันไปมองสตรีข้างกาย นางรับรู้ได้ว่าอี้หงคงคับแค้นใจมากเพราะตลอดทางที่มาแววตาของนางกำนัลคนสนิทเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาแต่กลับไร้เสียงสะอื้น และโชคดีที่หวังกงกงขันทีของไทเฮามาช่วยจัดการผู้คนที่อยู่ระหว่างทางให้ ทำให้ตลอดทางที่กลับมาไม่มีใครได้เห็นสภาพน่าเวทนาของเยว่ฮองเฮาเมื่อมาถึงตำหนักหมอหลวงก็ตรวจดูอาการบาดเจ็บของเยว่ฮองเฮาอย่างละเอียดก่อนจะจัดยากินและยาทาให้เยว่ฮองเฮา แต่อี้หงกลับสังเกตว่าระหว่างตรวจหมอหลวงจางมีสีหน้าฉายแววตื่นตระหนก คล้ายมีอะไรแต่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมา“ท่านหมอหลวงจาง ไม่ทราบว่าพระวรกายของฮองเฮามีอันใดผิดปกติหรือไม่” อี้หงคร้านจะเก็บความสงสัยจึงเอ่ยถามออกมาตรงๆ“ไม่มีอันใดผิดปกติ นั้นชาอะไรอย่างนั้นหรือ ทำไมกลิ่นแปลกๆ” หมอหลวงจางกล่าวปฏิเสธก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา“นี้คือน้ำชารางจืดผสมน้ำผึ้งมะนาวเจ้าค่ะ” อี้หงเอ่ยตอบหมอหลวง“รางจืดอย่างนั้นหรือ” หวังกงกงที่ยืนอยู่หลังที่บังลมเอ่ยถามหวังกงกงไม่ได้เพียงมาส่งเยว่ฮองเฮาแต่หน้าที่ของเขาคือต้องอยู่รอให้หมอหลวงตรวจพระวรกายของเยว่ฮอ