ตำหนักกุ้ยเฟย
หลี่ฟางซินเป็นเพื่อนกับเย่วลี่อิงมาตั้งแต่วัยเยาว์ไหนเลยจะไม่รู้ว่านิสัยใจคอของเย่วลี่อิงเป็นอย่างไร หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่นางเป็นเพียงเย่วลี่อิงที่เป็นลูกสาวของแม่ทัพ หากนางรู้ว่าหลี่ฟางซินคิดทรยศนาง เย่วลี่อิงก็คงมาเจรจาถามถึงเรื่องราวให้แน่ชัด หลังจากนั้นก็ตัดความสัมพันธ์ไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก แต่นับตั้งแต่นางได้ขึ้นเป็นฮองเฮาก็เปลี่ยนไป เย่วฮองเฮาต้องด่าว่าลงไม้ลงมือกับนางเป็นแน่ แต่หลี่ฟางซินก็ไม่ได้แปลกใจเพราะอำนาจทำให้คนเปลี่ยนไปได้เสมอ
แน่นอนหลี่ฟางซินย่อมต้องว่างแผนเพื่อรับมือกับเย่วลี่อิงไว้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทูตขอฝ่าบาทไม่ไปทำความเคารพเย่วฮองเฮายามเช้า รวมถึงข่าวลือที่เย่วฮองเฮาโดนห้าวเทียนฮ่องเต้ทำร้ายเพื่อปกป้องนาง และแผนการต่อจากนี้ก็เช่นกัน มีหรือนางจะปล่อยโอกาสดีๆ นี้ไป
หลี่ฟางซินนั่งจิบชาชมดอกไม้อยู่ในศาลาข้างตำหนัก และเป็นจริงตามที่นางคาดไว้ ไม่นานขันทีที่อยู่นอกตำหนักก็มารายงานหลี่ฟางซินว่าเย่วลี่อิงเสด็จมา เพียงหลี่ฟางซินโบกมือให้ขันทีออกไป เย่วลี่อิงก็มายืนอยู่ในสวนดอกไม้ของนางแล้ว นางลุกขึ้นแล้วเดินลงจากศาลาไปคอบกายทำความเคารพและเชิญเย่วลี่อิงขึ้นไปดื่มชาในศาลาอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น
“ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ
หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน
“คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส
มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่
“หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร”
“เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
“ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย”
น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น
“นี้เจ้าเอาของของเราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ”
“ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ”
“นี้เจ้า”
เย่วลี่อิงเดือดดาลจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก เพราะของทุกอย่างที่นางนั้นฝากไปให้ฝ่าบาทล้วนแต่เป็นของที่นางทำเองกับมือทุกอย่าง แต่หลี่ฟางซินกลับเอาไปทิ้งอย่างไรค่า
“หม่อมฉันต้องขอบคุณฮองเฮามากนะเพคะที่ทรงตบหม่อมฉันเมื่อวานนี้ เพราะพระองค์เลยฝ่าบาทจึงประทานของขวัญปลอบใจให้หม่อมฉัน พระองค์รู้หรือไม่ว่าคืออะไร...”
“หม่อมฉันต้องขอบคุณฮองเฮามากนะเพคะที่ทรงตบหม่อมฉันเมื่อวานนี้ เพราะพระองค์เลยฝ่าบาทจึงประทานของขวัญปลอบใจให้หม่อมฉัน พระองค์รู้หรือไม่ว่าคืออะไร...”หลี่ฟางซินเห็นเย่วลี่อิงกำหมัดแน่นจึงหยุดพูด เพราะหากเย่วลี่อิงลงมือตอนนี้นางคงเจ็บหนักเป็นแน่อี้หงเห็นสีหน้าของเย่วฮองเฮาก็รู้ได้ว่าทรงบันดาลโทสะอย่างที่สุดแล้ว หากสนมหลี่กุ้ยเฟยพูดอันใดกระตุ้นอีกครั้ง ใบหน้าในตอนนี้ที่ยังมีรอยช้ำอยู่คงได้บวมแดงขึ้นมาอีกรอบเป็นแน่แต่นั่นไม่สำคัญกับนาง ที่สำคัญคือหากฮองเฮาของนางลงมือกับสนมหลี่กุ้ยเฟยตอนนี้ ห้าวเทียนฮ่องเต้ต้องสั่งลงโทษฮองเฮาเป็นแน่“ฮองเฮาเพคะ อย่าตกหลุมพรางของสนมหลี่กุ้ยเฟยนะเพคะ พระองค์จะหาเรื่องลงโทษนางเมื่อไรก็ได้ แต่วันนี้ทรงปล่อยไปก่อนเถอะนะเพคะ” อี้หงยกมือขึ้นป้องก่อนจะกระซิบกระซาบข้างหูนายของตนเย่วลี่อิงได้ยินนางกำนัลคนสนิทกล่าวเตือนสติถึงจะเป็นความจริงแต่ในใจนางก็ยังร้อนเป็นไฟ นางเองก็รู้ว่าวันนี้ไม่ใช่วันที่สมควรลงมือ เพราะเมื่อวานนางได้ตบหลี่ฟางซินไปแล้วหากวันนี้ทำอีกย่อมไม่ส่งผลดีกับนาง นางพยายามสูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ“ข้าไม่อยากรู้ วันนี้ข้าเพียงอยากฟังบางอย่างจากเจ้าแล
“พวกเจ้าทั้งหมดถอยออกไป10ก้าว”คนของตำหนักคุณหนิงถอยหลังทันทีที่ได้ยินเย่วฮองเฮาออกคำสั่ง ต่างจากคนของตำหนักกุ้ยเฟยกลับมองหน้ากันไปมา เพราะสนมหลี่กุ้ยเฟยนายของตนได้สั่งไว้ ถึงนี่จะเป็นคำสั่งของเย่วฮองเฮาแต่เจ้านายของพวกนางได้รับปากไว้ว่าจะทูลขอความเป็นธรรมจากห้าวเทียนฮ่องเต้ให้ อย่าได้สนใจคำสั่งของเย่วฮองเฮาให้รับฟังคำสั่งจากหลี่กุ้ยเฟยเพียงคนเดียว และด้วยสภาพที่เย่วฮองเฮาออกจากตำหนักกุ้ยเฟยเมื่อวานนี้ ทำให้ทุกคนเชื่อว่าสนมหลี่กุ้ยเฟยต้องปกป้องพวกเขาได้เป็นแน่หลี่ฟางซินเมื่อได้ยินคำสั่งของสตรีที่สูงศักดิ์กว่าก็ตกใจไม่น้อย เพราะคิดว่าสตรีผู้นี้จะต้องลงไม้ลงมือกับตนเป็นแน่ แต่ยังโชคดีที่นางได้กำชับคนของตนไว้ไม่ให้ออกห่างจากนางหากห้าวเทียนฮ่องเต้ยังไม่เสด็จมา“พวกเจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก ไม่ได้ยินที่ฮองเฮารับสั่งหรืออย่างไร”อี้หงตวาดใส่เหล่าขันทีและนางกำนัลของตำหนักกุ้ยเฟย เมื่อเห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ทำตามคำสั่งของเย่วฮองเฮาเย่วลี่อิงโบกมือให้นางกำนัลคนสนิทหยุดกล่าวไว้เพียงเท่านี้ หญิงสาวเจ้าของตำหนักคุนหนิงหันมองไปรอบๆ เมื่อเห็นท่าทางนางกำนัลและขันทีของตำหนักกุ้ยเฟยมีท่าทีแข็งขืนไม่เก
“ฝ่าบาททรงทำเยี่ยงนี้กับเย่วฮองเฮาได้อย่างไร” ไทเฮาหันมาตรัสกับบุตรชาย“กระหม่อมทนนางไม่ไหวแล้วเสด็จแม่ ที่ผ่านมากระหม่อมยอมปิดตาข้างหนึ่งมาตลอด แต่บัดนี้กระหม่อมจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว”“ที่ฝ่าบาททนไม่ได้เพราะหลี่กุ้ยเฟยใช่หรือไม่”“เสด็จแม่ก็รู้ว่าลูกมีใจต่อหลี่กุ้ยเฟยมาก่อน หากไม่ใช่คำสั่งของเสด็จพ่อ ลูกไม่มีวันแต่งงานกับสตรีผู้นี้เด็ดขาด ทั้งที่เย่วฮองเฮากับหลี่กุ้ยเฟยเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งที่นางรู้ว่ากระหม่อมคือคนรักของเพื่อนสนิทของนาง แต่สตรีนางนี้ยังขอให้พ่อของนางใช้ความดีความชอบมาแลกกับการแต่งงานกับกระหม่อม สตรีเช่นนี้ลูกรังเกียจเป็นที่สุด”คำพูดของเฟยห้าวเทียนราวเข็มปักอกที่ทำให้เย่วลี่อิงเจ็บปวด นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าเหตุใดชายผู้นี้ถึงไม่ชอบนาง วันนี้นางได้รู้สาเหตุแล้ว และทำให้เย่วลี่อิงรู้สึกเกลียดชังหลี่ฟางซินมากขึ้น เพราะหลี่ฟางซินนางเพื่อนทรยศคนเดียวทำให้ชายที่นางรักหมดใจรังเกียจนางได้ถึงเพียงนี้ครั้นจะให้นางเล่าความจริงให้เขาฟัง ชายที่รังเกียจเกลียดนางถึงเพียงนี้ก็คงไม่มีวันเชื่อ คงคิดเพียงว่านางใส่ร้ายป้ายสีหญิงที่ตนรักก็เท่านั้นไทเฮาหันมองหญิงสาวที่ใบหน้ามักยิ้มแย้มให้เธ
"ไทเฮาเพคะ หมอหลวงมาถึงแล้วเพคะ" นางกำนัลของไทเฮารีบเข้ามารายงาน“ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันขอกลับไปให้หมอหลวงตรวจที่ตำหนักนะเพคะ”“ได้สิ เราจะไปกับเจ้าด้วย” หญิงชราเอ่ยพร้อมยิ้มเฟยห้าวเทียนเห็นท่าทีมารดาของตนหมายจะเสด็จไปพร้อมเย่วลี่อิงจึงรีบเอ่ยถามขึ้น ถึงอย่างไรหากมารดาจะลงโทษหลี่ฟางซิน เขาก็ยังอยู่เพื่อขอลดโทษให้ได้ แต่หากมารดาทรงไตร่สวนภายหลัง และออกเป็นราชโองการเขาจะช่วยเหลือหลี่ฟางซินก็คงยากแล้ว“เสด็จแม่ แล้วพระองค์จะลงโทษหลี่กุ้ยเฟยอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”เย่วลี่อิงหันมองบุรุษที่ตนทุ่มเทใจรักและทำทุกอย่างเพื่อเขา แม้ยามนี้เขายังไม่รู้แน่ชัดว่าใครตบใครแต่เขาก็ไม่ได้สนใจและตัดสินใจไปแล้วว่าอย่างไรสตรีที่แสนดีของเขาย่อมไม่มีทางทำร้ายผู้อื่นเป็นแน่ นอกจากจะไม่คิดสอบถามถึงที่มาที่ไปของเรื่องราว เขากลับสนใจเพียงสตรีหนึ่งเดียวในใจที่ตนรักจะโดนลงทัณฑ์เช่นไรเท่านั้นเมื่อคืนเย่วลี่อิงฝันว่าตนตบหน้าของหลี่กุ้ยเฟย แล้วเฟยห้าวเทียนเข้ามาเห็น เขาจึงตบหน้าของเธอพร้อมสั่งองครักษ์โบยเธอ10ไม้ ถึงจะสั่งโบยไม่มากนักแต่องครักษ์ที่โบยมีวรยุทธสูงส่ง ครั้นโบยอย่างไม่เต็มแรงก็ทำเอานางสลบไปหลายวัน หลังจากฟื้นหมอห
นางรู้ดีว่าหากนางโกหกว่าหลี่ฟางซินตบตีนางจริง ไทเฮาและเฟยห้าวหลานย่อมเข้าข้างนาง และจะจัดการหลี่ฟางซินให้นางเป็นแน่ ถ้าหากความผิดนี้จบลงที่หลี่ฟางซินเพียงผู้เดียวนางก็อยากให้เพื่อนทรยศผู้นี้โดยลงทัณฑ์สักครา หลี่ฟางซินจะได้รับรู้ว่าการถูกใส่ร้ายจนได้รับโทษในสิ่งที่ตนไม่ได้กระทำนั้นรู้สึกเยี่ยงไร เหมือนที่นางโดนฮ่องเต้เกลียดทั้งที่นางไม่ได้ทำอันใดผิดเลยแต่นางรู้ดีว่าโทษที่ตบตีภรรยาเอกนั้นหนักหนาเพียงใดยิ่งในราชวงศ์แล้วโทษนี้หนี้ไม่พ้นความตาย ยิ่งนางเป็นถึงฮองเฮาแม่แห่งแผ่นดินโทษทัณฑ์นี้แม้แต่คนในครอบครัวก็หนี้ความตายไม่พ้น ถึงอย่างไรคนในตระกูลหลี่ก็ดีกับนางไม่น้อย นางเองก็ไม่ควรเอาความแค้นนี้ไปลงกับพวกเขาเหล่านั้นหากนับในฐานะสตรีที่รักบุรุษผู้หนึ่งย่อมไม่อยากให้เขาลำบาก และในฐานะฮองเฮาก็ไม่ควรสร้างเรื่องจนเดือดร้อนไปถึงท้องพระโรง ถึงครั้งนี้จะเป็นการล้างแค้นได้ดี แต่ผลกระทบเป็นวงกว้าง ถือเสียว่าตบทั้งสองครั้งที่ได้รับในวันนี้ซื้อความโง่งมและเอาไว้เตือนสติตนเองแล้วกัน“ได้ ในเมื่อท่านอ๋องอยากรู้ข้าก็จะบอก ใช่ข้าตบหน้าตัวเอง ท่านอ๋องพอพระทัยหรือไม่ ถ้าพอพระทัยแล้วพี่สะใภ้ขอตัวกลับตำหนัก
เมื่อหลี่ฟางซินเห็นว่าเยว่ลี่อิงเดินจากไป ก็รู้สึกเบิกบานที่ตนนั้นกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องถูกลงโทษ แถมเยว่ลี่อิงยังถูกลงโทษอีกด้วย ครั้งนี้ถือว่านางคุ้มค่ามากทีเดียว ‘ต่อไปเพียงข้าปล่อยข่าวว่าเยว่ลี่อิงตบหน้าตนเองเพื่อใส่ร้ายป้ายสีข้า แต่กลับโดนเฟยห้าวเทียนตบหลังจากนี้วังหลังก็จะไม่มีใครกล้าข่มเหงข้า’หลี่ฟางซินมั่วแต่ดีใจจนลืมเก็บอารมณ์ สีหน้าที่แสดงออกถึงความดีใจและแววตาที่แฝงไปด้วยเล่ห์อุบายอย่างเห็นได้ชัด จนไม่ทันสังเกตว่าเฟยห้าวหลานกำลังยืนมองอยู่ เมื่อเงยหน้าสายตาที่ปะทะกับเฟยห้าวหลานก็ทำเอาหลี่ฟางซินใบหน้าซีดเผือดเฟยห้าวเทียนเห็นเฟยห้าวหลานมองหลี่ฟางซินก็นึกขึ้นมาได้ จึงย่อตัวลงจับไหล่ของสตรีให้ลุกขึ้น“ต้องขอบคุณห้าวหลานมากที่ช่วยล้างมลทินให้กับสนมหลี่กุ้ยเฟย ไม่อย่างนั้นทั้งข้าและหลี่กุ้ยเฟยคงตกที่นั่งลำบากแล้ว”“หม่อมฉันขอบพระทัยเพคะ” เยว่ลี่อิงยิ้มอ่อนหวานน้ำเสียงสดใส พร้อมย่อกายให้เฟยห้าวหลาน“เสด็จพี่ พระสนมหลี่กุ้ยเฟยอย่าได้ขอบคุณข้าเลย ข้าเพียงทำไปเพื่อเสด็จแม่เท่านั้น ไม่ใช่เพียงเยว่ฮองเฮาที่ทำผิด พระสนมหลี่กุ้ยเฟยท่านเองก็ทำผิดเช่นกัน”หลี่ฟางซินใบหน้าซีดจางนัยน์
“วันนี้ทั้งเสด็จแม่และเสด็จพี่ต่างเหนื่อยกันมามากแล้ว วันหน้าค่อยลงโทษก็ไม่ถือว่าช้าไป เสด็จแม่ว่าดีหรือไม่”“จริงของเจ้า วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว ข้าจะกลับไปคิดให้ดีว่าสมควรลงโทษเสด็จพี่ของเจ้าเช่นไร อย่างไรเสียเสด็จพี่ของเจ้าก็เป็นถึงฮ่องเต้ หากไทเฮาอย่างข้าสั่งตีหรือโบยก็เห็นว่าจะไม่ควร”“เสด็จแม่ตรัสถูกทุกอย่าง ไม่ว่าเสด็จแม่จะลงโทษลูกเช่นไร ลูกย่อมน้อมรับอย่างเต็มใจ”“ฝ่าบาท...พระองค์ทรงจำคำของพระองค์ไว้ให้ดี ฮ่องเต้ตรัสแล้ว ย่อมไม่คืนคำ อย่าคิดแต่จะทำให้มารดาแก่ๆ คนนี้หายโกรธแล้วรับปากออกมาง่ายๆ”“กระหม่อมจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร กระหม่อมมิกล้าโป้ปดเสด็จแม่”เฟยห้าวหลานมองดูพี่ชายตนที่ยอมให้มารดาลงโทษตัวเองเพื่อไม่ให้มารดาโกรธ แล้วหันมาเพิ่มโทษสนมหลี่กุ้ยเฟยแทน แต่หารู้ไม่ว่ากำลังตกหลุมพรางของมารดาแล้ว เสด็จแม่มีหรือจะยอมลงโทษสนมหลี่กุ้ยเฟยเท่านี้เพียงเพราะเสด็จพี่ยอมรับผิด หากไม่มีแผนการอื่นเฟยห้าวหลานรู้ดีว่าคนที่บุพการีของตนไม่คิดจะลงโทษแม้แต่น้อยก็คงจะมีเพียงเยว่ฮองเฮาเท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ว่ามารดาจะไม่รักพี่ชายของตนแต่เพราะรักมากจึงอยากให้พี่ชายมีสตรีที่รักบุตรชายของตนด้วยใจจ
ตำหนักคุนหนิงตลอดทางที่กลับมายังตำหนักเยว่ลี่อิงไม่ได้เอ่ยอันใด แต่มีบางเสี้ยวที่หันไปมองสตรีข้างกาย นางรับรู้ได้ว่าอี้หงคงคับแค้นใจมากเพราะตลอดทางที่มาแววตาของนางกำนัลคนสนิทเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาแต่กลับไร้เสียงสะอื้น และโชคดีที่หวังกงกงขันทีของไทเฮามาช่วยจัดการผู้คนที่อยู่ระหว่างทางให้ ทำให้ตลอดทางที่กลับมาไม่มีใครได้เห็นสภาพน่าเวทนาของเยว่ฮองเฮาเมื่อมาถึงตำหนักหมอหลวงก็ตรวจดูอาการบาดเจ็บของเยว่ฮองเฮาอย่างละเอียดก่อนจะจัดยากินและยาทาให้เยว่ฮองเฮา แต่อี้หงกลับสังเกตว่าระหว่างตรวจหมอหลวงจางมีสีหน้าฉายแววตื่นตระหนก คล้ายมีอะไรแต่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมา“ท่านหมอหลวงจาง ไม่ทราบว่าพระวรกายของฮองเฮามีอันใดผิดปกติหรือไม่” อี้หงคร้านจะเก็บความสงสัยจึงเอ่ยถามออกมาตรงๆ“ไม่มีอันใดผิดปกติ นั้นชาอะไรอย่างนั้นหรือ ทำไมกลิ่นแปลกๆ” หมอหลวงจางกล่าวปฏิเสธก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา“นี้คือน้ำชารางจืดผสมน้ำผึ้งมะนาวเจ้าค่ะ” อี้หงเอ่ยตอบหมอหลวง“รางจืดอย่างนั้นหรือ” หวังกงกงที่ยืนอยู่หลังที่บังลมเอ่ยถามหวังกงกงไม่ได้เพียงมาส่งเยว่ฮองเฮาแต่หน้าที่ของเขาคือต้องอยู่รอให้หมอหลวงตรวจพระวรกายของเยว่ฮอ
เหล่านางกำนัลที่อยู่ด้านนอกพยายามห้ามเฟยห้าวซุนแล้วแต่ก็ห้ามไม่ได้ เพราะทุกคนต่างรู้ว่าหากเฟยห้าวซุนได้ร้องไห้แล้วจะไม่หยุดง่ายๆ พวกเขาจึงไม่กล้าขัดใจมากนัก เฟยห้าวซุนเมื่อเห็นบิดาเปิดประตูให้ก็รีบวิ่งเข้าไปด้านในทันที เยว่ลี่อิงเห็นบุตรชายวิ่งมาด้วยน้ำตาก็รีบเข้าโอบกอดบุตรชายไว้แน่น แต่นางกลับต้องแปลกใจเพราะครั้งนี้บุตรชายของนางกลับไม่ร้องไห้โวยวายนานเท่ากับครั้งที่ผ่านๆมาเฟยห้าวซุนลูบท้องมารดาเบาๆอยู่หลายครั้ง พร้อมทั้งทำหน้าทำตาราวกับมีความสงสัยอยากถามแต่ไม่ยอมเอ่ย นางจึงเป็นคนเอ่ยถามบุตรชายก่อน“เจ้าลูบท้องแม่เพราะอะไรอย่างนั้นหรือ”“ท่านอาฟางซินให้ลูกลูบท้องตอนน้องดิ้น ลูกเลยมาลองลูบท้องเสด็จแม่บ้าง เพื่อน้องจะดิ้น”เยว่ลี่อิงอดเอ็นดูในความใสซื่อของบุตรชายไม่ได้ จึงส่งยิ้มหวานให้เขา“ในท้องของแม่ไม่มีน้องอยู่ แล้วน้องจะดิ้นได้อย่างไร” นางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม แต่บุตรชายกลับร้องไห้เสียงดังขึ้นมา ทำเอานางถึงกับตกใจเฟยห้าวเทียนรีบเข้ามาหาบุตรชายของตนเมื่อได้ยินคำสนทนาของแม่ลูก เขาใช้มือลูบหัวลูกชายเบาๆ แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดร้อง“เจ้าอยากมีน้องอย่างนั้นหรือ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ค
4 ปีต่อมาเขานั่งมองบุตรชายที่วิ่งเล่นไปมากับเฟยห้าวเทียนก่อนที่จะหันมาหาภรรยาเพื่อจะชวนนางให้ออกไปจากอุทยานด้วยกันสองคน เพราะตั้งแต่เจ้าก้อนแป้งตัวน้อยลืมตาดูโลกเขากับนางก็แทบจะไม่ได้ร่วมหอกันเลยช่วงแรกๆเป็นเพราะนางอยากให้นมบุตรด้วยตนเองจึงเอาลูกเข้านอนด้วย ช่วงนั้นเขาก็มัวแต่ยุ่งกับการจัดการตระกูลฉินจึงไม่มีเวลามาคอยดูแลนางมากนัก เมื่อกลับมาเห็นนางอ่อนเพลียเขาจึงไม่กล้ารบกวนนาง ต่อมาเมื่อลูกชายโตขึ้นก็เริ่มติดแม่จนไม่ยอมออกห่างแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพอมีเวลาที่บุตรชายหลับในการออดอ้อนนางบ้าง แต่ปีกว่าๆมานี้ลูกชายของเขาไม่ยอมให้เขาได้เข้าใกล้นางเลย แม้แต่เขาจะโดนเนื้อต้องตัวนางก็ยังยากต้องรอให้บุตรชายของเขาไม่เห็นเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ไม่ว่าเขาจะปะเหลาะบุตรชายอย่างไร เขาก็ไม่สามารถแตะต้องตัวภรรยาของเขาได้เสียที หากบุตรของเขาเห็นว่าเขาโดนเนื้อตัวมารดาก็มักจะร้องไห้ไม่หยุดไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ต้องหาวิธีปลอบใจอยู่นานถึงจะยอมเงียบได้“เสด็จแม่ ท่านจะไปไหน” เสียงเด็กน้อยดังขึ้น เมื่อเห็นเยว่ลี่อิงกำลังจะลุกจากตั่งนั่งเฟยห้าวเทียนได้แต่ถอนหายใจยาว เมื่อได้ยินเสียงบุตรชายเอ่ยเรียกภรรย
เฟยห้าวเทียนได้ยินคำพูดของนางก็แทบจะอดกลั้นอารมณ์ของตนเองไว้ไม่ไหว เขาพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เพื่อระงับความตื่นตัวของแก่นกายที่ตอนนี้ไม่รับฟังคำสั่งของเขาเสียเลยแต่เขากลับต้องสะดุ้งจนขนตามตัวลุกชันเมื่อมีมือน้อยๆสัมผัสโดนสิ่งที่พองโตอยู่ด้านล่าง เขารีบคว้ามือน้อยนั้นไว้ทันทีเพราะหากลูบคลำไปมากกว่านี้เขาเองคงต้านความปรารถนาไว้ไม่ไหว“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ต้องการเจ้า แต่เพราะข้ากลัวจะทำรุนแรงเกินไปจนเป็นอันตรายต่อเจ้าและลูกได้”เยว่ลี่อิงกลับไม่สนใจฟังคำที่เขาเอ่ย เพราะนางรู้ดีว่าที่ผ่านมาเขาอดกลั้นมาตลอดเวลาที่นอนอยู่เคียงข้างนาง และวันนี้นางก็ได้ศึกษาและได้คำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์บวกกับนางได้ตรวจร่างกายมาเป็นอย่างดีแล้ว จึงไม่ได้คิดเป็นกังวลเรื่องอันใดอีก“พระองค์รู้หรือไม่เพคะ ว่าสตรีที่ตั้งครรภ์ในบางช่วงจะมีความต้องการในเรื่องแบบนี้สูง และหากไม่ได้ปลดปล่อยจะทำให้หงุดหงิดซึ่งไม่เป็นผลดีนัก”เฟยห้าวเทียนถึงกับอึ้งนิ่งไป และปล่อยมือออกจากมือของนางเมื่อได้ยินในสิ่งที่นางเอ่ย“เจ้าแน่ใจแน่แล้วใช่หรือไม่”“เพคะ หม่อมฉันแน่ใจ พระองค์เพียงปล่อยให้หม่อมฉันเป็นคนจัดการเองก็พอ”“เช่นนั้
“พวกท่านนี้ก็แปลกเสียจริง หากพระชายาของเราไม่ตั้งครรภ์พวกท่านก็จะให้เราแต่งชายารอง ตอนนี้นางตั้งครรภ์พวกท่านก็ยังจะให้เราแต่งชายารองอีก ตกลงพวกท่านต้องการอย่างไรกันแน่ หรือเพราะพวกท่านเพียงอยากส่งบุตรสาวของพวกท่านมาแต่งกับข้าจึงได้หาข้ออ้างให้ข้าแต่งชายารองใช่หรือไม่”ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปชั่วหนึ่งจนอัครเสนาบดีฉินกระแอมดังขึ้นมา ขุนนางชราที่ยืนอยู่ข้างอัครเสนาบดีฉินก็รีบเอ่ยขึ้น“ทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อมหาได้คิดดังเช่นองค์รัชทายาทตรัสไม่ เพียงแต่ข่าวลือหนาหูยิ่งนักว่าองค์รัชทายาททรงยอมปิดหน้าปิดตาสวมใส่หน้ากากเพื่อจะได้อยู่ใกล้กับพระชายา พวกกระหม่อมเลยคิดจะหาคนมาปรนนิบัติองค์รัชทายาท เพื่อไม่ให้องค์รัชทายาททรงต้องลำบากเพื่อไปหาพระชายาให้คอยปรนนิบัติ”“ขอบคุณเหล่าขุนนางทุกท่านที่เป็นห่วงเราจากใจ แต่เราไม่ได้มีความลำบากอย่างที่พวกท่านคิด เราไม่รู้ว่าภรรยาของพวกท่านไร้ความสามารถที่จะคอยดูแลปรนนิบัติพวกท่าน หรือเป็นที่พวกท่านมักมากกันแน่ แต่เพราะพระชายาเราดูแลเราดีมากพอ และเราก็หาใช่บุรุษที่มักมากแค่เพียงภรรยาตั้งครรภ์ก็ต้องหาสตรีอื่นมาปรนนิบัติ เช่นนั้นเราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีชายาเพิ่มเช่น
ตำหนักบูรพาเมื่อกลับมาถึงตำหนักเฟยห้าวเทียนก็ให้หมอหลวงตรวจร่างกายของเยว่ลี่อิง เพราะระหว่างทางกลับมานางมีอาการแพ้ท้องมาตลอดทาง ไม่รู้ว่าเหตุใดยิ่งเขาเข้าใกล้นาง นางก็ยิ่งอาการหนักขึ้นจนนางต้องไล่เขาออกไปไกลๆ แต่พอให้คนอื่นมาพยุงนางกลับไม่เป็นอันใดเสียอย่างนั้น ทำให้เขารู้สึกลังเลใจเป็นอย่างมาก ว่าที่นางเป็นอยู่นี้นางเป็นจริงหรืออยากกลั่นแกล้งเอาคืนที่เขาเคยเฉยเมยต่อนาง“กราบทูลองค์รัชทายาทพระชายามีพระวรกายแข็งแรงดีไม่มีอันใดน่าเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ ส่วนอาการคลื่นไส้ อาเจียนก็เป็นเรื่องธรรมดาของสตรีมีครรภ์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นทำไมถึงมีอาการแพ้เพียงตอนเราเข้าใกล้ แต่ทีกับคนอื่นกลับไม่เป็นอันใด” เฟยห้าวเทียนเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลและสงสัยหมอหลวงอึ้งไปพักหนึ่งเพราะเขารู้ดีว่าองค์รัชทายาทย่อมรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่สามารถเขาใกล้พระชายาของตนได้ แต่ยังโชคดีที่เขาเคยเห็นสตรีที่มีอาการแพ้ท้องสามีของตนเองมาก่อนจึงพอรู้วิธีแก้อยู่บ้าง แต่จะให้บอกสาเหตุเขาเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้“กระหม่อมไม่ทราบสาเหตุพ่ะย่ะค่ะ เพราะสตรีที่ตั้งครรภ์แต่ละคนจะแพ้ท้องไม่เหมือนกัน แต่กระหม่อมเคยพบเจอคนแพ้ท้องที่มีอาการแ
เมื่อได้ยินข้อแม้ของบิดาเฟยห้าวหลานหันมามองพี่ชายของตนด้วยสายตาไม่พอใจก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงดังฟังชัด“รอให้เสด็จพี่มีบุตร ลูกว่าเสด็จพ่อให้ลูกแต่งเข้าสกุลกงแล้วให้ลูกมีหลานให้เสด็จพ่อยังจะเร็วเสียกว่า ลูกจะไปถามหรงเอ๋อร์ว่าลูกคนแรกของเรายกให้ตระกูลเฟยได้หรือไม่”เฟยห้าวเทียนถึงกับตบโต๊ะเสียงดัง และชี้นิ้วไปยังน้องชายของเขา เฟยห้าวเทียนเองก็ไม่คาดคิดว่าจะถูกบิดาเล่นงานด้วยเช่นกัน แต่นั่นก็ไม่น่าโมโหเท่ากับคำพูดของน้องชาย“เจ้าช่างกล้าดูถูกข้ายิ่งนัก”สองสามีภรรยาที่นั่งดูบุตรชายทั้งสองอยู่กลับหัวเราะออกมาเสียงดัง เพราะเขารู้ดีว่าที่บุตรชายคนเล็กเอ่ยนั้นไม่ได้คิดจะดูถูกพี่ชายเพียงแต่จะกระตุ้นพี่ชายให้มีบุตรไวๆเท่านั้นเยว่ลี่อิงเห็นสามีกำลังโกรธน้องชายก็เอื้อมมือมาจับมือเขาและลูบหลังมือของเขาเบาๆเพื่อให้เขาใจเย็นลง ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้เขา เฟยห้าวเทียนเมื่อหันมามองหน้าภรรยาก็ยิ่งนึกโกรธเพราะหลายวันมานี้นางไม่ยินยอมให้เขาค้างที่เรือนนอนด้วยยังไม่พอ ยังคอยหลบหน้าหลบตาเขาอีกด้วย แถมวันนี้น้องชายยังมาดูถูกเขาอีก และที่สำคัญตอนนี้นางทำเหมือนราวกับจะอาเจียนเมื่อมองหน้าเขา เขาจึงทำหน้าไม่พอใจใส่น
เฟยห้าวหลานได้ยินเสียงบิดาตวาดขึ้นมาก็นึกได้ว่าตนเผลอตัวไปเสียแล้ว จึงรีบเอ่ยขอโทษบิดาก่อนที่จะหาข้ออ้างแก้ตัวให้กับตนเอง“เสด็จพ่อลูกขอโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ ลูกเพียงแค่ได้ยินเรื่องน้องสาวของพี่สะใภ้แล้วรู้สึกเป็นห่วงนางจึงอุทานดังไปหน่อยเท่านั้น ไม่ได้เจตนาจะทำให้เสด็จพ่อต้องตกใจ”“เจ้าเป็นห่วงอันใดอย่างนั้นหรือ น้องชายของข้า” เฟยห้าวเทียนรีบเอ่ยถามเพื่อเย้าแหย่ผู้เป็นน้อง แต่น้องชายกับกล่าวอย่างจริงจังกลับมา“เสด็จพี่ลองคิดดูสิพ่ะย่ะค่ะว่าตระกูลชนชั้นสูงหรือเหล่าขุนนางใดที่จะยอมให้บุตรชายของตนไปแต่งเข้าบ้านสตรี หากจะมีก็น้อยยิ่งนัก ส่วนมากก็จะเป็นเพียงตระกูลของชาวบ้านธรรมดา และอีกอย่างข้ากลัวน้องสาวของพี่สะใภ้จะถูกผู้ชายไม่ดีคิดหวังในทรัพย์สมบัติมาหลอกลวง”“นั้นสินะ ก็จริงอย่างเจ้าว่า เสด็จพ่อเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะถ้าเป็นพระองค์จะยินยอมให้หลานเอ๋อร์แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เฟยห้าวเทียนเอ่ยเห็นดีเห็นงามกับน้องชายก่อนที่จะหันไปถามบิดามารดาเพื่อหยั่งเชิงแทนน้องชายเฟยห้าวเทียนเหลือบสายตาดูน้องชายหลังจากที่เขาถามบิดามารดาเสร็จ ก็เห็นว่าน้องชายของเขาใจจดใจจ่ออยู่กับการรอฟังคำตอบเป็นอย
ตำหนักบูรพาตั้งแต่ที่เฟยห้าวเทียนได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทเขาก็เริ่มจัดการทุกอย่างที่เขาได้เห็นในฝัน เพื่อเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมและไม่อยากให้เหตุการณ์ที่ไม่ดีอย่างเช่นในฝันนั้นเกิดขึ้นเฟยห้าวเทียนขอฮ่องเต้เป็นผู้คุมสอบขุนนางและขอเป็นผู้ออกข้อสอบด้วยตนเอง ทำให้ขุนนางทั้งหลายไม่สามารถใช้เส้นสายในการโกงข้อสอบได้ และไม่สามารถฝากลูกหลานตนเองเข้ามาเป็นขุนนางได้ ทำให้ถังป๋อเหวินสามารถสอบขุนนางติดและกล้าไปเอ่ยขอเหอฟางหรงกับเสนาบดีกรมคลังเหอ ถึงตอนนี้เสนาบดีกรมคลังเหอจะยังไม่ยินยอม แต่เขาก็รับรู้แล้วว่าบุตรสาวมีคนที่อยู่ในใจแล้วส่วนตัวเฟยห้าวเทียนกับหลี่ฟางซินถึงจะพบหน้ากันยามที่นางมาหาเยว่ลี่อิงแต่เขาก็ไม่ได้คิดอันใดต่อนางอีกแล้ว ส่วนนางเองก็ดูเหมือนจะเสียใจอยู่พักหนึ่งจากที่เยว่ลี่อิงเล่าให้เขาฟัง เพราะในที่สุดหลี่ฟางซินก็บอกความจริงแก่เยว่ลี่อิงทุกเรื่อง แต่เยว่ลี่อิงก็ให้อภัยหลี่ฟางซินถึงตอนแรกจะโกรธแต่พอได้ต่อว่าไปบวกกับหลี่ฟางซินคอยแวะมาง้ออยู่สองสามครั้ง ทั้งสองก็กลับมาสนิทกันเหมือนเดิมราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้นส่วนตัวเขาเองก็ชดเชยที่หมางเมินต่อเยว่ลี่อิงมาตลอด ด้วยการดูแลเ
หลังจากเสร็จพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาท เฟยห้าวเทียนก็รีบไปหาหลี่ฟางซินตามที่ได้นัดหมายเอาไว้ก่อนหน้านี้“ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ” หลี่ฟางซินเอ่ยพร้อมทำความเคารพเฟยห้าวเทียนที่เพิ่งได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทด้วยท่าทางและน้ำเสียงหยอกล้อแต่เฟยห้าวเทียนกับนิ่งเงียบไม่ตอบโต้นางเหมือนเช่นที่ผ่านๆ มา เพราะปกติแล้วเขาจะต้องหัวเราะและเอ่ยตอบนาง เมื่อเห็นท่าทางที่นางเย้าแหย่เขา แต่บัดนี้หน้าตาเขาเรียบเฉยราวมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น“เกิดอันใดขึ้นหรือเพคะ ทำไมวันนี้พระองค์ดูเคร่งเครียดเหลือเกิน หรือพระชายาทำอะไรให้ไม่พอพระทัยมาอย่างนั้นหรือเพคะ”เฟยห้าวเทียนถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ เพราะหลังจากที่เขารับตำแหน่งองค์รัชทายาทเสร็จเขาก็ลองตรวจสอบว่าสิ่งที่เขาฝันนั้นส่วนมากเป็นเรื่องจริงมากน้อยเพียงใดโดยเริ่มถามเสด็จพ่อเป็นคนแรกเรื่องเกี่ยวกับองครักษ์เงาที่ส่งมาคอยดูแลเขาว่าเป็นของคนที่ตระกูลเยว่ฝึกมาหรือไม่ และยังแอบกระซิบถามแม่ทัพเยว่เรื่องการใช้ความดีความชอบมาขออภิเษกระหว่างเขากับเยว่ลี่อิงอีกด้วยในเมื่อทั้งหมดมันตรงกับความฝันที่เขาได้ฝันถึง เขาจึงคิดจะยุติทุกอย่างเพื่อไม่ให้เรื่องเลวร้ายมันเกิดขึ้นตามที