ตำหนักคุนหนิง
เย่วลี่อิงเดินออกมาจากตำหนักกุ้ยเฟยด้วยสภาพที่ผมเผ้าเปียกเสื้อผ้าอาภรณ์ยุ่งเหยิง กลิ่นสุราฟุ้งคละคลุ้ง เมื่อเหล่าข้าราชบริพารเห็นก็รีบก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเงยหน้ามามอง ทุกคนต่างคาดเดาเรื่องราวด้านในกันไปต่างๆ นานา จากเสียงที่ดังออกมา และสภาพผู้เป็นนายหญิงแห่งวังหลังที่เดินออกจากประตู
ตลอดทางที่เดินทางกลับมาจนถึงตำหนักคุนหนิงเย่วลี่อิงไม่ได้กล่าวสิ่งใดและไม่มีท่าทางโมโหหรืออารมณ์เกรี้ยวกราดให้เหล่าขันทีและนางกำนัลได้เห็น แตกต่างจากทุกครั้งที่มีการลงไม้ลงมือหรือลงโทษนางสนม เพราะถึงจะลงโทษไปแล้วแต่เย่วลี่อิงก็ยังอารมณ์ขุ่นมัวไม่หาย ต่างจากวันนี้ที่มีท่าทีสงบเงียบทั้งที่ตนมีสภาพราวถูกทำร้ายมาเสียเอง
เมื่อมาถึงตำหนักคุนหนิงเย่วลี่อิงก็สั่งให้เหล่านางกำนัลเตรียมน้ำอุ่น เพื่อชำระร่างกายที่เต็มไปด้วยกลิ่นสุรา อี้หงเข้ามาช่วยปลดเครื่องประดับและถอดเสื้อผ้าให้เย่วลี่อิงหลังจากที่เหล่านางกำนัลทั้งหมดออกจากห้องไป ผู้ที่เห็นเรือนร่างของเย่วลี่อิงมีเพียงอี้หงคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นเย่วลี่อิงไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาปรนนิบัตินางเป็นการส่วนตัว
อี้หงนางกำนัลที่ติดตามมาตั้งแต่ตระกูลเย่วเห็นทางท่าที่เปลี่ยนไปของเย่วลี่อิงจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถามเรื่องที่เกิดขึ้นภายใน แต่สภาพที่เห็นก็รับรู้ได้ว่าเย่วลี่อิงถูกรังแกมาเป็นแน่ และคนที่ทำร้ายนายของตนได้มีเพียงห้าวเทียนฮ่องเต้ผู้เดียว เพราะสนมหลี่กุ้ยเฟยย่อมมิกล้ารังแกนายของตนเป็นแน่
เย่วลี่อิงก้าวเท้าลงในถังน้ำใบใหญ่ที่มีไอจากความร้อนลอยขึ้น พลางหลับตาลงและนั่งทิ้งกายลงอย่างสบายตัว โดยมีอี้หงคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย
“ฮองเฮาเพคะ เป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ”
เย่วลี่อิงครุ่นคิดถึงนิมิตฝันที่ตนอาละวาดจนเผลอพลาดทำให้เล็บยาวของนางข่วนใบหน้าของเฟยห้าวเทียนจนโลหิตไหลซึม จึงถูกเฟยห้าวเทียนสั่งโบย20ไม้และไล่ให้ไปอยู่ในตำหนักเย็นเป็นเวลา1เดือน ถึงไทเฮาจะมาช่วยไว้ และลดโทษลงเหลือโบย10ไม้และกักบริเวณให้อยู่แต่ในตำหนักคุนหนิงเป็นเวลา1เดือน แต่โทษของท่านพ่อที่ไม่สั่งสอนบุตรสาวให้ดีจนทำให้โอรสสวรรค์หลั่งโลหิต รวมถึงนิสัยอิจฉาริษยาจนเสียกิริยาต่อหน้าพระพักตร์ทำให้ท่านพ่อโดนสั่งโบย50ไม้และยึดตราเคลื่อนทัพคืน นางคิดไตร่ตรองว่าหากนางไม่เดินออกมาเหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่
อี้หงเมื่อเห็นนายของตนไม่โต้ตอบสิ่งใดได้แต่นั่งเหม่อลอยคล้ายคนไม่มีสติก็ทำเอาใจหวั่นกลัว ว่าเย่วฮองเฮาจะเสียสติเพราะเสียใจที่ถูกห้าวเทียนฮ่องเต้ทำร้ายเพื่อปกป้องนางสนมที่เป็นเพื่อนรักของตน
“ฮองเฮาเพคะ ฮองเฮา คุณหนู คุณหนู” เมื่อเรียกแล้วยังไม่มีเสียงตอบรับนางจึงเขย่าแขนผู้เป็นนาย
“อี้หงมีเรื่องอันใด เจ้าจึงเสียมรรยาทกับข้าเช่นนี้” น้ำเสียงกึ่งตะคอก
อี้หงนอกจากจะไม่รู้สึกเกรงกลัวในคำพูดของเย่วฮองเฮายังยิ้มพร้อมทั้งน้ำตาให้กับเย่วฮองเฮาอีกด้วย
“เจ้าเป็นบ้าอะไร ถึงได้ยิ้มทั้งน้ำตาแบบนี้”
“หม่อมฉันดีใจเหลือเกินเพคะ หม่อมฉันคิดว่าฮองเฮาเสียใจที่โดนฮ่องเต้รังแกจน.....” อี้หงไม่กล้าพูดต่อ
เย่วลี่อิงมองหน้าอี้หงที่หยุดนิ่งไม่ย่อมพูดให้จบ แต่คำที่นางจะพูดเย่วลี่อิงก็เดาได้ไม่ยาก
“เจ้าจะบอกว่า ข้าเสียใจจนเสียสติสินะ”
อี้หงหลุบตาต่ำไม่กล้ามองหน้าเย่วฮองเฮา เพราะตั้งแต่ที่คุณหนูของนางถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮาคุณหนูของนางก็เปลี่ยนไปมาก หลายครั้งที่นางห้ามหรือเตือนแล้วทำให้เย่วฮองเฮาไม่พอใจจนถูกสั่งโบยหรือถูกสิ่งของที่อยู่ในมือเย่วฮองเฮาเขวี้ยงปาอยู่บ่อยครั้ง ต่างจากตอนเป็นเพียงชายาเอกขององค์รัชทายาทและตอนที่เป็นเพียงคุณหนูของนางราวคนละคน แต่อย่างไรนางก็อยู่เคียงข้างเย่วฮองเฮามาตั้งแต่เด็กเรื่องเหล่านี้นางจึงไม่สนใจ คิดแต่เพียงว่านางต้องรับใช้ดูแลนายของตนให้ดีที่สุดเท่านั้น
“ช่างเถอะ” เย่วลี่อิงยิ้มกว้างก่อนหลับตาแล้วแช่น้ำต่อ
รอยยิ้มของเย่วฮองเฮาทำให้อี้หงแปลกใจ เพราะตั้งแต่ขึ้นเป็นฮองเฮารอยยิ้มเช่นนี้ก็หายไป นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในตำหนักของสนมหลี่กุ้ยเฟย แต่นางรู้สึกดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสแบบวันวานที่คุณหนูของนางยิ้มให้นางเสมอ และหวังว่าต่อจากนี้นางจะได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้บ่อยๆ
เช้าวันต่อมาเย่วลี่อิงนั่งบนบัลลังตั่งทองเพื่อต้อนรับเหล่าพระสนมที่มาเข้าเฝ้าเพื่อถวายพระพรตามธรรมเนียมปฏิบัติ ถึงนางจะไม่ชอบเพราะนางรู้ดีว่าภายใต้รอยยิ้มอ่อนหวานคำพูดแสนดีของสตรีงดงามเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงการเสแสร้งหาความจริงใจไม่ได้ และอีกอย่างพวกนางล้วนเป็นสตรีที่มาแย่งความรักของเฟยห้าวเทียนไปจากนางเย่วลี่อิงมักจะยกเลิกให้เหล่าสนมมาเข้าเฝ้ายามเช้าอยู่บ่อยครั้ง ต่างจากวันนี้นางกลับอยากให้สนมทุกคนมาเข้าเฝ้า เหตุผลเดียวที่นางมานั่งรอแต่เช้าเพียงเพราะอยากเจอเพื่อนสนิทที่ทรยศนางเท่านั้นเหล่าสนมที่ทยอยมาเข้าเฝ้ายืนรออยู่หน้าตำหนักรอเวลาที่จะเข้าไปพร้อมกัน เมื่อสตรีรวมตัวกันก็เป็นธรรมดาที่จะพูดนินทาเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นแม้กระทั่งในวังก็ไม่ละเว้น“พวกเจ้ารู้เรื่องเมื่อคืนที่ตำหนักหลี่กุ้ยเฟยหรือไม่”เมื่อมีคนเริ่มเรื่องมีหรือจะไม่มีผู้สนใจ โดยเฉพาะเรื่องของสนมหลี่กุ้ยเฟยเพราะนางเป็นสนมเพียงคนเดียวที่เย่วฮองเฮาไม่แสดงทีท่าหึงหวงถึงแม้ห้าวเทียนฮ่องเต้จะเสด็จไปตำหนักของนางบ่อยกว่าทุกคน บ้างเดือนเสด็จไปหาสนมหลี่กุ้ยเฟยมากกว่าเหล่าสนมทุกคนรวมกันเสียอีก หากเป็นสนมคนอื่นเพียงห้าวเทียนฮ่องเ
ตำหนักกุ้ยเฟยหลี่ฟางซินเป็นเพื่อนกับเย่วลี่อิงมาตั้งแต่วัยเยาว์ไหนเลยจะไม่รู้ว่านิสัยใจคอของเย่วลี่อิงเป็นอย่างไร หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่นางเป็นเพียงเย่วลี่อิงที่เป็นลูกสาวของแม่ทัพ หากนางรู้ว่าหลี่ฟางซินคิดทรยศนาง เย่วลี่อิงก็คงมาเจรจาถามถึงเรื่องราวให้แน่ชัด หลังจากนั้นก็ตัดความสัมพันธ์ไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก แต่นับตั้งแต่นางได้ขึ้นเป็นฮองเฮาก็เปลี่ยนไป เย่วฮองเฮาต้องด่าว่าลงไม้ลงมือกับนางเป็นแน่ แต่หลี่ฟางซินก็ไม่ได้แปลกใจเพราะอำนาจทำให้คนเปลี่ยนไปได้เสมอแน่นอนหลี่ฟางซินย่อมต้องว่างแผนเพื่อรับมือกับเย่วลี่อิงไว้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทูตขอฝ่าบาทไม่ไปทำความเคารพเย่วฮองเฮายามเช้า รวมถึงข่าวลือที่เย่วฮองเฮาโดนห้าวเทียนฮ่องเต้ทำร้ายเพื่อปกป้องนาง และแผนการต่อจากนี้ก็เช่นกัน มีหรือนางจะปล่อยโอกาสดีๆ นี้ไปหลี่ฟางซินนั่งจิบชาชมดอกไม้อยู่ในศาลาข้างตำหนัก และเป็นจริงตามที่นางคาดไว้ ไม่นานขันทีที่อยู่นอกตำหนักก็มารายงานหลี่ฟางซินว่าเย่วลี่อิงเสด็จมา เพียงหลี่ฟางซินโบกมือให้ขันทีออกไป เย่วลี่อิงก็มายืนอยู่ในสวนดอกไม้ของนางแล้ว นางลุกขึ้นแล้วเดินลงจากศาลาไปคอบกายทำความเคารพและเชิญเย่วลี่อ
“หม่อมฉันต้องขอบคุณฮองเฮามากนะเพคะที่ทรงตบหม่อมฉันเมื่อวานนี้ เพราะพระองค์เลยฝ่าบาทจึงประทานของขวัญปลอบใจให้หม่อมฉัน พระองค์รู้หรือไม่ว่าคืออะไร...”หลี่ฟางซินเห็นเย่วลี่อิงกำหมัดแน่นจึงหยุดพูด เพราะหากเย่วลี่อิงลงมือตอนนี้นางคงเจ็บหนักเป็นแน่อี้หงเห็นสีหน้าของเย่วฮองเฮาก็รู้ได้ว่าทรงบันดาลโทสะอย่างที่สุดแล้ว หากสนมหลี่กุ้ยเฟยพูดอันใดกระตุ้นอีกครั้ง ใบหน้าในตอนนี้ที่ยังมีรอยช้ำอยู่คงได้บวมแดงขึ้นมาอีกรอบเป็นแน่แต่นั่นไม่สำคัญกับนาง ที่สำคัญคือหากฮองเฮาของนางลงมือกับสนมหลี่กุ้ยเฟยตอนนี้ ห้าวเทียนฮ่องเต้ต้องสั่งลงโทษฮองเฮาเป็นแน่“ฮองเฮาเพคะ อย่าตกหลุมพรางของสนมหลี่กุ้ยเฟยนะเพคะ พระองค์จะหาเรื่องลงโทษนางเมื่อไรก็ได้ แต่วันนี้ทรงปล่อยไปก่อนเถอะนะเพคะ” อี้หงยกมือขึ้นป้องก่อนจะกระซิบกระซาบข้างหูนายของตนเย่วลี่อิงได้ยินนางกำนัลคนสนิทกล่าวเตือนสติถึงจะเป็นความจริงแต่ในใจนางก็ยังร้อนเป็นไฟ นางเองก็รู้ว่าวันนี้ไม่ใช่วันที่สมควรลงมือ เพราะเมื่อวานนางได้ตบหลี่ฟางซินไปแล้วหากวันนี้ทำอีกย่อมไม่ส่งผลดีกับนาง นางพยายามสูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ“ข้าไม่อยากรู้ วันนี้ข้าเพียงอยากฟังบางอย่างจากเจ้าแล
“พวกเจ้าทั้งหมดถอยออกไป10ก้าว”คนของตำหนักคุณหนิงถอยหลังทันทีที่ได้ยินเย่วฮองเฮาออกคำสั่ง ต่างจากคนของตำหนักกุ้ยเฟยกลับมองหน้ากันไปมา เพราะสนมหลี่กุ้ยเฟยนายของตนได้สั่งไว้ ถึงนี่จะเป็นคำสั่งของเย่วฮองเฮาแต่เจ้านายของพวกนางได้รับปากไว้ว่าจะทูลขอความเป็นธรรมจากห้าวเทียนฮ่องเต้ให้ อย่าได้สนใจคำสั่งของเย่วฮองเฮาให้รับฟังคำสั่งจากหลี่กุ้ยเฟยเพียงคนเดียว และด้วยสภาพที่เย่วฮองเฮาออกจากตำหนักกุ้ยเฟยเมื่อวานนี้ ทำให้ทุกคนเชื่อว่าสนมหลี่กุ้ยเฟยต้องปกป้องพวกเขาได้เป็นแน่หลี่ฟางซินเมื่อได้ยินคำสั่งของสตรีที่สูงศักดิ์กว่าก็ตกใจไม่น้อย เพราะคิดว่าสตรีผู้นี้จะต้องลงไม้ลงมือกับตนเป็นแน่ แต่ยังโชคดีที่นางได้กำชับคนของตนไว้ไม่ให้ออกห่างจากนางหากห้าวเทียนฮ่องเต้ยังไม่เสด็จมา“พวกเจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก ไม่ได้ยินที่ฮองเฮารับสั่งหรืออย่างไร”อี้หงตวาดใส่เหล่าขันทีและนางกำนัลของตำหนักกุ้ยเฟย เมื่อเห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ทำตามคำสั่งของเย่วฮองเฮาเย่วลี่อิงโบกมือให้นางกำนัลคนสนิทหยุดกล่าวไว้เพียงเท่านี้ หญิงสาวเจ้าของตำหนักคุนหนิงหันมองไปรอบๆ เมื่อเห็นท่าทางนางกำนัลและขันทีของตำหนักกุ้ยเฟยมีท่าทีแข็งขืนไม่เก
“ฝ่าบาททรงทำเยี่ยงนี้กับเย่วฮองเฮาได้อย่างไร” ไทเฮาหันมาตรัสกับบุตรชาย“กระหม่อมทนนางไม่ไหวแล้วเสด็จแม่ ที่ผ่านมากระหม่อมยอมปิดตาข้างหนึ่งมาตลอด แต่บัดนี้กระหม่อมจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว”“ที่ฝ่าบาททนไม่ได้เพราะหลี่กุ้ยเฟยใช่หรือไม่”“เสด็จแม่ก็รู้ว่าลูกมีใจต่อหลี่กุ้ยเฟยมาก่อน หากไม่ใช่คำสั่งของเสด็จพ่อ ลูกไม่มีวันแต่งงานกับสตรีผู้นี้เด็ดขาด ทั้งที่เย่วฮองเฮากับหลี่กุ้ยเฟยเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งที่นางรู้ว่ากระหม่อมคือคนรักของเพื่อนสนิทของนาง แต่สตรีนางนี้ยังขอให้พ่อของนางใช้ความดีความชอบมาแลกกับการแต่งงานกับกระหม่อม สตรีเช่นนี้ลูกรังเกียจเป็นที่สุด”คำพูดของเฟยห้าวเทียนราวเข็มปักอกที่ทำให้เย่วลี่อิงเจ็บปวด นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าเหตุใดชายผู้นี้ถึงไม่ชอบนาง วันนี้นางได้รู้สาเหตุแล้ว และทำให้เย่วลี่อิงรู้สึกเกลียดชังหลี่ฟางซินมากขึ้น เพราะหลี่ฟางซินนางเพื่อนทรยศคนเดียวทำให้ชายที่นางรักหมดใจรังเกียจนางได้ถึงเพียงนี้ครั้นจะให้นางเล่าความจริงให้เขาฟัง ชายที่รังเกียจเกลียดนางถึงเพียงนี้ก็คงไม่มีวันเชื่อ คงคิดเพียงว่านางใส่ร้ายป้ายสีหญิงที่ตนรักก็เท่านั้นไทเฮาหันมองหญิงสาวที่ใบหน้ามักยิ้มแย้มให้เธ
"ไทเฮาเพคะ หมอหลวงมาถึงแล้วเพคะ" นางกำนัลของไทเฮารีบเข้ามารายงาน“ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันขอกลับไปให้หมอหลวงตรวจที่ตำหนักนะเพคะ”“ได้สิ เราจะไปกับเจ้าด้วย” หญิงชราเอ่ยพร้อมยิ้มเฟยห้าวเทียนเห็นท่าทีมารดาของตนหมายจะเสด็จไปพร้อมเย่วลี่อิงจึงรีบเอ่ยถามขึ้น ถึงอย่างไรหากมารดาจะลงโทษหลี่ฟางซิน เขาก็ยังอยู่เพื่อขอลดโทษให้ได้ แต่หากมารดาทรงไตร่สวนภายหลัง และออกเป็นราชโองการเขาจะช่วยเหลือหลี่ฟางซินก็คงยากแล้ว“เสด็จแม่ แล้วพระองค์จะลงโทษหลี่กุ้ยเฟยอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”เย่วลี่อิงหันมองบุรุษที่ตนทุ่มเทใจรักและทำทุกอย่างเพื่อเขา แม้ยามนี้เขายังไม่รู้แน่ชัดว่าใครตบใครแต่เขาก็ไม่ได้สนใจและตัดสินใจไปแล้วว่าอย่างไรสตรีที่แสนดีของเขาย่อมไม่มีทางทำร้ายผู้อื่นเป็นแน่ นอกจากจะไม่คิดสอบถามถึงที่มาที่ไปของเรื่องราว เขากลับสนใจเพียงสตรีหนึ่งเดียวในใจที่ตนรักจะโดนลงทัณฑ์เช่นไรเท่านั้นเมื่อคืนเย่วลี่อิงฝันว่าตนตบหน้าของหลี่กุ้ยเฟย แล้วเฟยห้าวเทียนเข้ามาเห็น เขาจึงตบหน้าของเธอพร้อมสั่งองครักษ์โบยเธอ10ไม้ ถึงจะสั่งโบยไม่มากนักแต่องครักษ์ที่โบยมีวรยุทธสูงส่ง ครั้นโบยอย่างไม่เต็มแรงก็ทำเอานางสลบไปหลายวัน หลังจากฟื้นหมอห
นางรู้ดีว่าหากนางโกหกว่าหลี่ฟางซินตบตีนางจริง ไทเฮาและเฟยห้าวหลานย่อมเข้าข้างนาง และจะจัดการหลี่ฟางซินให้นางเป็นแน่ ถ้าหากความผิดนี้จบลงที่หลี่ฟางซินเพียงผู้เดียวนางก็อยากให้เพื่อนทรยศผู้นี้โดยลงทัณฑ์สักครา หลี่ฟางซินจะได้รับรู้ว่าการถูกใส่ร้ายจนได้รับโทษในสิ่งที่ตนไม่ได้กระทำนั้นรู้สึกเยี่ยงไร เหมือนที่นางโดนฮ่องเต้เกลียดทั้งที่นางไม่ได้ทำอันใดผิดเลยแต่นางรู้ดีว่าโทษที่ตบตีภรรยาเอกนั้นหนักหนาเพียงใดยิ่งในราชวงศ์แล้วโทษนี้หนี้ไม่พ้นความตาย ยิ่งนางเป็นถึงฮองเฮาแม่แห่งแผ่นดินโทษทัณฑ์นี้แม้แต่คนในครอบครัวก็หนี้ความตายไม่พ้น ถึงอย่างไรคนในตระกูลหลี่ก็ดีกับนางไม่น้อย นางเองก็ไม่ควรเอาความแค้นนี้ไปลงกับพวกเขาเหล่านั้นหากนับในฐานะสตรีที่รักบุรุษผู้หนึ่งย่อมไม่อยากให้เขาลำบาก และในฐานะฮองเฮาก็ไม่ควรสร้างเรื่องจนเดือดร้อนไปถึงท้องพระโรง ถึงครั้งนี้จะเป็นการล้างแค้นได้ดี แต่ผลกระทบเป็นวงกว้าง ถือเสียว่าตบทั้งสองครั้งที่ได้รับในวันนี้ซื้อความโง่งมและเอาไว้เตือนสติตนเองแล้วกัน“ได้ ในเมื่อท่านอ๋องอยากรู้ข้าก็จะบอก ใช่ข้าตบหน้าตัวเอง ท่านอ๋องพอพระทัยหรือไม่ ถ้าพอพระทัยแล้วพี่สะใภ้ขอตัวกลับตำหนัก
เมื่อหลี่ฟางซินเห็นว่าเยว่ลี่อิงเดินจากไป ก็รู้สึกเบิกบานที่ตนนั้นกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องถูกลงโทษ แถมเยว่ลี่อิงยังถูกลงโทษอีกด้วย ครั้งนี้ถือว่านางคุ้มค่ามากทีเดียว ‘ต่อไปเพียงข้าปล่อยข่าวว่าเยว่ลี่อิงตบหน้าตนเองเพื่อใส่ร้ายป้ายสีข้า แต่กลับโดนเฟยห้าวเทียนตบหลังจากนี้วังหลังก็จะไม่มีใครกล้าข่มเหงข้า’หลี่ฟางซินมั่วแต่ดีใจจนลืมเก็บอารมณ์ สีหน้าที่แสดงออกถึงความดีใจและแววตาที่แฝงไปด้วยเล่ห์อุบายอย่างเห็นได้ชัด จนไม่ทันสังเกตว่าเฟยห้าวหลานกำลังยืนมองอยู่ เมื่อเงยหน้าสายตาที่ปะทะกับเฟยห้าวหลานก็ทำเอาหลี่ฟางซินใบหน้าซีดเผือดเฟยห้าวเทียนเห็นเฟยห้าวหลานมองหลี่ฟางซินก็นึกขึ้นมาได้ จึงย่อตัวลงจับไหล่ของสตรีให้ลุกขึ้น“ต้องขอบคุณห้าวหลานมากที่ช่วยล้างมลทินให้กับสนมหลี่กุ้ยเฟย ไม่อย่างนั้นทั้งข้าและหลี่กุ้ยเฟยคงตกที่นั่งลำบากแล้ว”“หม่อมฉันขอบพระทัยเพคะ” เยว่ลี่อิงยิ้มอ่อนหวานน้ำเสียงสดใส พร้อมย่อกายให้เฟยห้าวหลาน“เสด็จพี่ พระสนมหลี่กุ้ยเฟยอย่าได้ขอบคุณข้าเลย ข้าเพียงทำไปเพื่อเสด็จแม่เท่านั้น ไม่ใช่เพียงเยว่ฮองเฮาที่ทำผิด พระสนมหลี่กุ้ยเฟยท่านเองก็ทำผิดเช่นกัน”หลี่ฟางซินใบหน้าซีดจางนัยน์
หลังจากที่พระสนมเหอกุ้ยเฟยและเสนาบดีกรมคลังกลับไปแล้ว เยว่ฮองเฮาก็ถึงกับหลั่งน้ำตาไม่หยุดเพราะสงสารพ่อลูกที่พากันพยุงเดินออกไปทั้งน้ำตา ห้าวเทียนได้แต่กอดนางและเอามือลูบหลังเบาๆ เพื่อปลอบประโลม เพราะเขารู้ดีว่านางเองก็คงรู้สึกผิดที่เลือกพระสนมเหอกุ้ยเฟยเข้ามาเป็นสนมและต้องมาเจอจุดจบเช่นนี้หลายวันต่อมาในที่สุดหลักฐานสำคัญที่จะใช้มัดตัวสนมฉินและอัครเสนาบดีฉินก็มาถึง นั่นก็คือซางกวนที่จริงเขาเป็นหมอรักษาพิษและมีความรู้เรื่องพิษ เขาจึงถูกบังคับจากคนสกุลฉินให้ปรุงพิษให้องค์รัชทายาทพระองค์ก่อนและเยว่ฮองเฮา แต่เพียงอัครเสนาบดีฉินได้ข่าวว่าห้าวเทียนฮ่องเต้ยังคงสืบเรื่องการตายของพี่ชายอยู่จึงคิดจะสังหารคนปรุงยาปิดปากเขาแอบพาครอบครัวหนีไปซ่อนตัวถึงชายแดน แต่คนของอัครเสนาบดีฉินก็ยังตามเขาเจอและฆ่าลูกเมียของเขา เขาคิดจะล้างแค้นอัครเสนาบดีฉินที่ฆ่าลูกเมีย เขาจึงไปขอความช่วยเหลือจากเยว่ลี่ต้าน้องชายของเยว่ฮองเฮา เพราะซางกวนรู้ดีว่าเขาจะได้รับความคุ้มครองเพื่อมาเป็นพยานเอาผิดคนที่วางยาเยว่ฮองเฮาเยว่ลี่ต้าแอบส่งข่าวนี้มายังห้าวเทียนฮ่องเต้อย่างลับๆ เพราะไม่อยากให้บิดาและท่านแม่เป็นห่วงพี่สาวที่ถู
เมื่อคืนนี้กว่าที่เขาจะหลับได้ก็ทรมานอยู่นาน เช้านี้หน้าตาของเขาจึงไม่สดใสต่างจากอีกคนที่มีหน้าตาเบิกบาน แต่นางก็ได้หาสนใจเขาไม่ ที่จริงวันนี้เขาคิดจะให้นางจัดการเอง แต่ก็เป็นห่วงกลัวนางจะรับมือกับอัครเสนาบดีฉินไม่ได้จึงมาด้วยขณะที่เดินไปอุทยานเกากงกงเอ่ยขอร้องกับเยว่ฮองเฮาให้ง้อห้าวเทียนฮ่องเต้เสียหน่อย เพราะไม่เช่นนั้นวันนี้เหล่านางกำนัลขันทีคงอยู่อย่างไม่เป็นสุขเยว่ฮองเฮาหันหลังไปมองก็เห็นสายตาที่เว้าวอนของนางกำนัลขันทีที่ตามเสด็จมาจึงได้พยักหน้าตอบ ห้าวเทียนฮ่องเต้เห็นที่เกากงกงแอบกระซิบกับเยว่ฮองเฮา เขาก็แอบดีใจเล็กน้อย“ฝ่าบาทให้คนไปตามบรรดาบิดาของพวกนางมาแล้วใช่หรือไม่เพคะ”เขาเงียบไม่ยอมตอบ จนเดินมาถึงศาลาในอุทยานเขาก็เข้าไปนั่งด้านในโดยหันหน้าไปทางอื่น ทำเป็นไม่สนใจนาง“ฝ่าบาทเพคะ” น้ำเสียงออดอ้อนแต่เขาก็ยังทำเมินเฉยใส่นาง ในเมื่อเขาไม่ใส่ใจนาง นางจึงไม่คิดจะเอ่ยต่อเมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเขาเห็นว่านางเงียบนิ่งไปนานจึงได้หันมามอง แต่คราวนี้กลายเป็นนางที่ทำเมินใส่ เมื่อเยว่ฮองเฮาเห็นว่าเขาหันมามองนาง นางก็เลยทำเป็นหันหน้าหนีเหมือนที่เขาทำกับนางในคราวแรก ห้าวเทียนฮ่องเต้ถึงกับล
สองคืนที่ผ่านมาเยว่ฮองเฮาต้องฝืนตัวเองให้เคยชินกับมือหนวดปลาหมึกที่ไม่อยู่สุข ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เป็นอันได้นอน เพราะเขาไม่เพียงกอดแต่ยังลูบไล้นางอยู่ตลอดทั้งคืน แต่วันนี้หลี่ฟางซินออกจากตำหนักเย็นวันแรกนางเลยคิดว่าคงจะได้นอนอย่างเป็นสุขเสียที เพราะตั้งแต่วันที่ออกเดินทางจนถึงวันนี้นางยังไม่ได้นอนแบบเต็มอิ่มสักวันวันนี้เพียงตะวันลับขอบฟ้าไม่นานเยว่ฮองเฮาก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวเขานอนแล้ว นางอยากจะชดเชยให้ร่างกายตัวเองได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่เพียงนางเอนตัวลงบนที่นอน อี้หงก็เดินเข้ามารายงานว่าห้าวเทียนฮ่องเต้เสด็จมาเยว่ฮองเฮาชักสีหน้าไม่พอใจทันทีที่ได้ยิน แต่ถึงอย่างไรนางก็ต้องต้อนรับเขา เพราะยังเหลืออีก3วันที่นางรับปากเขาไว้ แต่ยังไม่ทันที่นางจะลงจากเตียงบุรุษผู้นั้นก็เข้ามาด้านในห้องเสียแล้ว“เจ้าจะนอนแล้วอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่สบายหรือเปล่า” ห้าวเทียนฮ่องเต้ไม่เคยเห็นนางเข้านอนเร็วขนาดนี้เลยคิดเป็นห่วงว่านางจะไม่สบาย“หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรเพคะ เพียงแต่หลายวันมานี้มีคนกวนยามหลับเสมอ วันนี้ไม่มีผู้ใดกวนเลยอยากนอนเร็วขึ้นหน่อย”นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน“เช่นนั้นหรือ
เมื่อเฟยห้าวเทียนเห็นว่าทำเช่นไรเยว่ลี่อิงก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมให้เขาค้างที่ตำหนัก และเขาเองก็ไม่คิดที่จะกลับไปนอนที่ตำหนักตนเองอย่างแน่นอน จึงได้อ้างเรื่องการหาหลักฐานที่นางยังหาไม่ได้มาเป็นข้ออ้าง“เจ้ายังหาหลักฐานเอาผิดสนมฉินหวงกุ้ยเฟยไม่ได้ใช่หรือไม่ วันนี้ถึงยังไม่ตัดสินความให้จบ” เฟยห้าวเทียนเอ่ยพร้อมจดจ้องใบหน้างามเพื่ออ่านความคิดของนางเยว่ลี่อิงที่นั่งทำสีหน้าไม่พอใจก็เปลี่ยนสีหน้าไปในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเฟยห้าวเทียน เพราะมันเป็นอย่างที่เฟยห้าวเทียนพูดจริงๆ นางยังไม่สามารถที่จะหาหลักฐานมากพอที่จะใช้มัดตัวสนมฉินได้ ที่จริงหากเป็นนางสนมนางอื่นเพียงหลักฐานที่วางยาห้ามครรภ์สนมทั้งหลายก็อาจมากเพียงพอ แต่สำหรับสนมฉินหวงกุ้ยเฟยมันไม่ง่ายเช่นนั้นเลย เพราะถ้าความผิดไม่มากพอท่านอัครเสนาบดีพ่อของนางย่อมเข้ามาช่วยเหลือนางเป็นแน่ห้าวเทียนฮ่องเต้โบกมือเพื่อไล่นางกำนัลขันทีในห้องออกไป ทุกคนต่างหันมามองที่เยว่ฮองเฮาว่าจะปฏิเสธหรือไม่ เพราะตั้งแต่เข้าห้องมาคนหนึ่งไล่คนหนึ่งเรียกจนพวกเขาทำตัวไม่ถูก แต่เมื่อเห็นว่าเยว่ฮองเฮานิ่งเงียบพวกเขาเลยรีบออกไปทันทีเกากงกงรีบเอ่ยให้ทุกคนถอยห่างจากหน้
ตำหนักเล่อโซ่วถางเมื่อกลับจากตำหนักหูเตี๋ยเยว่ลี่อิงก็มาหาไทเฮาที่ตำหนักเพื่อถวายพระพรไทเฮาและมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ไทเฮาฟังตามที่รับปากไว้ ไม่เพียงเยว่ลี่อิงที่มา เยว่ลี่หรง เฟยห้าวเทียน และเฟยห้าวหลานก็ตามมาด้วย ไทเฮาจึงชวนให้ทานข้าวเย็นด้วยกันที่ตำหนัก“สนมฉินหวงกุ้ยเฟยช่างบังอาจยิ่งนัก ถึงว่าข้าถึงไม่มีโอกาสได้อุ้มหลานเสียที” ไทเฮาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโหเมื่อได้ยินเยว่ลี่อิงเล่าให้ฟังแต่ทุกคนต่างนิ่งเงียบไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเรื่องที่เฟยห้าวเทียนไม่ได้เข้าหอกับพวกนาง เพราะพวกเขาไม่อยากให้ไทเฮาเป็นกังวลและต้องมานั่งฟังไทเฮาบ่นเรื่องนี้“แต่ไม่เป็นไรอีกไม่นานข้าก็จะได้อุ้มหลานจากเยว่ฮองเฮาแล้ว จริงหรือไม่ฝ่าบาท” หญิงชรายิ้มอย่างเบิกบาน“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”เฟยห้าวเทียนรีบตอบรับมารดาทันทีแน่นอนอยู่แล้วเรื่องที่เยว่ลี่อิงกับเฟยห้าวเทียนเข้าหอกันมีหรือข่าวดีเช่นนี้เกากงกงจะไม่มารายงานไทเฮา เพียงรู้ข่าวก็ยิ้มร่าเริงมาทั้งวันจนถึงตอนนี้ แม้แต่เรื่องพระสนมที่ทำความผิดมากมายก็ยังไม่ทำให้อารมณ์ของไทเฮาขุ่นมัวได้นาน“เยว่ฮองเฮาเจ้าจะต้องบำรุงร่างกายให้มากๆ และมีหลานให้ข้าเร็วๆ เข้าใจหรือไ
เยว่ลี่อิงถึงจะอยากรู้เหตุผลจากเฟยห้าวเทียนว่าทำไมเขาถึงไม่รู้สึกรู้สาที่โดนสวมหมวกเขียวถึงเพียงนี้ แต่ในเมื่อเขายังไม่อยากอธิบายนางจึงไม่คิดจะเอ่ยถาม นางหันไปเห็นสนมเหอกุ้ยเฟยพยายามลุกขึ้นจึงได้สั่งให้ขันทีฉีเข้ามาพยุง และให้นางไปนั่งข้างถังป๋อเหวินโดยให้ขันทีฉีและองครักษ์คอยคุมตัวนางไว้ให้ดีอย่าให้ไปทำร้ายใครได้อีก“ดูจากที่สนมเหอกุ้ยเฟยคิดจะฆ่าเจ้า เพราะเจ้ารู้เรื่องที่สนมเหอกุ้ยเฟยไม่อยากให้ผู้ใดรู้กระมัง” เยว่ฮองเฮาเอ่ยถามนางกำนัลเถียน“ใช่แล้วเพคะ”“เช่นนั้นเจ้าบอกเราได้หรือไม่”“ได้เพคะ แต่ยกเว้นเรื่องพระสนมเหอกุ้ยเฟยทรงบอกรักและทรงนัดเจอกันกับคุณชายถังป๋อเหวินได้หรือไม่เพคะ”เพียงเยว่ฮองเฮาพยักหน้าตอบรับนางกำนัลเถียนก็เริ่มเล่าทุกอย่างให้ฟัง สนมเหอกุ้ยเฟยเดิมที่ไม่ได้มีใจคิดร้าย แต่โดนเยว่ฮองเฮารังแกบวกกับ เรื่องที่นางไม่ได้สมหวังในรักจึงรวมกันเป็นความแค้น และความคิดนางต้องมาเปลี่ยนไปเมื่อท่านเสนาบดีกรมคลังรู้เรื่องสนมเหอกุ้ยเฟยกับถังป๋อเหวิน จึงสั่งให้คนไปทำร้ายถังป๋อเหวินเพราะเรื่องนี้ถังป๋อเหวินจึงได้เขียนจดหมายราวตัดพ้อตนเองว่า แม้แต่ตนเองเขาก็ยังไม่สามารถปกป้องได้ และเป็
“ท่านอ๋องสาม ท่านกำลังกล่าวเรื่องอันใดหม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยเพคะ หม่อมฉันมีอำนาจอันใดที่จะส่งเสริมบัณฑิตถังป๋อเหวินให้เป็นขุนนางได้” สนมเหอกุ้ยเฟยเอ่ยเพื่อแก้ต่างให้ตนเอง“พระสนมเหอกุ้ยเฟยท่านยังไม่คิดจะยอมรับผิดอีกใช่หรือไม่”“หม่อมฉันก็รับผิดในส่วนที่หม่อมฉันได้กระทำแล้ว ตามที่หม่อมฉันได้ทูลให้ฮองเฮาฟังไปเมื่อครู่”“ในเมื่อเจ้ายังปากแข็ง ไม่ยอมรับความจริงเช่นนั้นข้าจะดูสิว่าเจ้าจะยังกล้าปฏิเสธอีกหรือไม่”ตอนเฟยห้าวหลานเข้ามายังตำหนักหูเตี๋ยพร้อมองครักษ์ที่หิ้วมือสังหารกับถังป๋อเหวินเข้ามา ก็พบว่านางกำนัลของสนมเหอกุ้ยเฟยมีท่าทีแปลกๆ เมื่อเห็นหน้ามือสังหารกับถังป๋อเหวิน จึงได้ให้องครักษ์พาตัวไปสอบสวน เมื่อองครักษ์เข้ามาบอกเฟยห้าวหลานว่านางกำนัลผู้นั้นยอมสารภาพ แต่จะบอกกับผู้ที่มีอำนาจมากกว่าสนมเหอกุ้ยเฟยเท่านั้น เขาจึงได้ออกไปเพื่อรับฟังคำสารภาพของนางกำนัลเฟยห้าวหลานเรียกองครักษ์ให้นำนางกำนัลผู้นั้นเข้ามา เมื่อสนมเหอกุ้ยเฟยเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นนางกำนัลของตน แต่ก็ยังทำสีหน้าราวไม่ทุกข์ไม่ร้อนอันใด“ว่าอย่างไรพระสนมเหอกุ้ยเฟย ท่านมีอันใดจะพูดหรือไม่” เฟยห้าวหลานเอ่ยถามพร้อมยกยิ
“ข้ารู้จักเขา เขาคือถังป๋อเหวินคนรักของสนมเหอกุ้ยเฟย” ห้าวเทียนฮ่องเต้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบเยว่ฮองเฮาถึงกับตะลึงที่สนมเหอกุ้ยเฟยกล้าสวมหมวกเขียวให้ห้าวเทียนฮ่องเต้ แต่ที่ทำให้แปลกใจกว่าคือห้าวเทียนฮ่องเต้รู้เรื่องนี้แต่เขากลับไม่โกรธและไม่คิดจะลงทัณฑ์พวกเขาทั้งสอง“เจ้าทำเช่นนี้เพราะเกลียดฮองเฮาที่ทำให้เจ้ากับคนรักไม่สมหวังสินะ” ห้าวเทียนฮ่องเต้เอ่ยถาม“เพคะ หม่อมฉันเกลียดที่ฮองเฮาทรงเสนอให้พระองค์รับหม่อมฉันเข้ามาเป็นสนมทั้งที่หม่อมฉันไม่ต้องการและยังทรงทำร้ายหม่อมฉันอยู่บ่อยครั้ง” สนมเหอกุ้ยเฟยเอ่ยตอบ“ข้าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ทั้งที่ข้าให้คนไปตรวจดูแล้วแท้ๆ ว่าสนมที่ข้าจะรับเข้ามามีใครมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยัง หรือมีคนที่ชอบพออยู่แล้วหรือไม่ แต่ตอนนั้นประวัติของเจ้ากลับไม่มีบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” เยว่ฮองเฮาเอ่ยสนมเหอกุ้ยเฟยนิ่งเงียบไม่ได้เอ่ยต่อ เพราะนางไม่ได้มีคู่หมั้นหมายจริงๆ อย่างที่เยว่ฮองเฮาทรงตรัส ถึงเขากับนางจะรักกันแต่ก็ได้แต่หลบๆ ซ่อนๆ เพราะฐานะทางบ้านฝ่ายชายไม่คู่ควรกันกับนาง จึงไม่แปลกที่ฮองเฮาส่งคนไปตรวจสอบแล้วจะไม่เจอ นางรอเขาสอบให้ได้เป็นขุนนางเสียก่อนจึงค
บรรยากาศในห้องโถงเงียบราวไม่มีผู้คน ผู้เป็นใหญ่ทั้งสองที่นั่งอยู่ก็ไม่คิดจะเอ่ยอันใด สร้างความอึดอัดใจให้ทุกคนจนไม่กล้าแม้แต่จะยกชาขึ้นดื่ม ทุกคนต่างรอว่า เมื่อไรจะมีคนมาทำลายความเงียบนี้ลงเสียที เวลาผ่านไปเกือบครึ่งเค่อ (1เค่อเท่ากับ15นาที) ในที่สุดสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็มา“ถวายพระพรเสด็จพี่ ถวายพระพรพี่สะใภ้”“ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮา”“ทั้งสองไม่ต้องมาพิธี”เพียงเสียงของเฟยห้าวหลานและเยว่ลี่หรงดังขึ้นก็ทำให้เหล่านางสนมทั้งหลายระบายลมหายใจออกอย่างช้าๆ ความอึดอัดค่อยๆ ถูกระบายออกไปตามลมหายใจเยว่ฮองเฮาใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อทั้งสองเข้ามายืนข้างๆ เพราะทั้งสองตั้งแต่ที่พบกันระหว่างทางกลับก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคุยดีต่อกัน แต่เพียงผ่านไปคืนเดียวทั้งสองกลับเดินหน้าตายิ้มแย้มเข้ามาทั้งคู่เลยทำให้นางอดดีใจไม่ได้ เพราะเรื่องที่ทำให้เขาทั้งสองหมางใจกันก็คือเรื่องของนางกับเฟยห้าวเทียนและแน่นอนที่เยว่ฮองเฮาเงียบไม่เอ่ยวาจาอันใด เพราะพระองค์ทรงรอการมาของเฟยห้าวหลานและเยว่ลี่หรงอยู่นั้นเอง เพราะยังมีผู้ที่มากับทั้งสองคนนี้ด้วยที่นางเฝ้ารอ“พวกเจ้ายังมีผู้ใดอยากสารภาพเรื่องอันใดอีกหรือไม่