เพียงร่างกายของบุรุษวัยกำหนัดกับหญิงสาววัยออกเรือนได้เสียดสีสัมผัสกันไม่นานนัก อารมณ์ความปรารถนาของบุรุษก็ถูกส่งมอบให้อีกฝ่ายได้รู้สึกตาม ความวาบหวามที่แล่นผ่านเรือนร่างของคนทั้งสอง ทำให้ความต้องการที่จะสัมผัสอีกฝ่ายและให้อีกฝ่ายได้สัมผัสมีมากขึ้น ความละอายจึงค่อย ๆ มลายหายไป ทั้งสองเริ่มที่จะแสดงความรู้สึกออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้หญิงสาวครางเสียงหวานออกมาจากลำคอเมื่อถูกมือหนาของบุรุษหนุ่มกอบกุมพร้อมดูดดึงอกอวบอิ่มบางคราก็ตวัดลิ้นเล่นกับยอดปทุมถันสีชมพูอ่อน เพียงครู่เดียวมือหนาใหญ่ข้างหนึ่งของอ๋องหนุ่มก็ลูบไล้ไปตามส่วนโค้งเว้าของสรีระของหญิงสาวจนไปถึงเนินโหนกนูนที่เปราะบาง เขาลูบวนเนินเนื้ออย่างเนิบนาบก่อนจะใช้ปลายนิ้วลากผ่านเบา ๆ ที่รอยแยกกลางกลีบบุปผางามขึ้นลงช้า ๆ ก่อนจะแหวกกลีบบุปผาทั้งสองข้างออกแล้วใช้นิ้วสะกิดติ่งเกสร ทำให้หญิงสาวสั่นสะท้านด้วยความเสียวซ่านจนไม่อาจหักห้าม เสียงครางแผ่วเบาหลุดออกมาจากลำคอของหญิงสาวเป็นระยะเสียงครางที่สะท้อนความรู้สึกของหญิงสาวกระตุ้นความกำหนัดในตัวของบุรุษหนุ่มให้สูงขึ้น เมื่อมือหนาสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นจากช่องทางรักเขาก็ไม่อาจรอช
จันทรากลมโตบนนภาสาดแสงส่องลงมากระทบบุรุษที่ยืนอยู่ข้างริมหน้าต่าง บุรุษใบหน้าสง่างามรูปร่างสูงโปร่งท่วงท่าดูองอาจสุขุม ดวงตาของเขานุ่มลึกชวนให้คนยกย่อง แต่ทว่าผิวของเขากลับขาวดั่งหยกประหนึ่งคุณชายเจ้าสำราญบุรุษท่าทางองอาจรอคอยการมาของสตรีนางหนึ่งอยู่ในห้องที่ไม่ใหญ่นัก เขาทอดสายตามองออกมาทางหน้าต่างเพื่อมองทางเพียงเส้นทางเดียวที่จะมาถึงยังเรือนหลังนี้อย่างใจจดใจจ่อเวลาผ่านไปไม่ถึงสองเค่อ [1] ก็มีรถม้าวิ่งมาตามทางที่บุรุษสูงศักดิ์คอยมองอยู่ การรอคอยของเขาจบสิ้นเสียที เขาเดินไปนั่งพร้อมยกถ้วยชาที่มีไอร้อนลอยขึ้นมาจากถ้วยแล้วค่อย ๆ จิบอย่างช้า ๆ ยามนี้ในใจของเขาได้แต่คาดหวังว่านางจะมาพร้อมกับสิ่งที่เขาต้องการ“องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูสกุลเผยมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้กระหม่อมให้นางรออยู่ที่โถงรับแขกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เติ้งจื่ออวี๋องครักษ์คนสนิทของเว่ยหลิงเฮ่อรีบเข้ามารายงานผู้เป็นนาย“นางได้ตราพยัคฆ์มาหรือไม่” เว่ยหลิงเฮ่อสุรเสียงราบเรียบ“ได้มาพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะเสด็จไปหานางหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เว่ยหลิงเฮ่อเมื่อได้ยินคำตอบจากองครักษ์ข้างกายมุมปากของเขาก็ยกโค้งขึ้น “ใยข้าจะต้องไปหานางด้วย เ
เมื่อเติ้งจื่ออวี๋ได้ยินคำสั่งของผู้เป็นนายเขานั้นก็ไม่รอช้า เขาหมุนตัวออกไปจัดการตามรับสั่งทันที ส่วนเว่ยหลิงเฮ่อลุกขึ้นไปยืนที่ริมหน้าต่างมองถนนเส้นเดิมที่ยาวไปสุดความมืด ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ เผยตั้นเยี่ยนถึงหนีไป แต่เขาก็ไม่ใคร่อยากรู้จนต้องเก็บชีวิตของนางเอาไว้เพื่อหาคำตอบ เพราะจุดประสงค์เดียวที่เขายอมพูดจาราวกับมีใจให้นางมาตลอดนั้น เป็นเพราะตราพยัคฆ์ที่อยู่กับเว่ยเหวินเซียนเท่านั้นรถม้าที่วิ่งด้วยความเร็ว บวกกับถนนเส้นนี้ไม่ใช่ถนนที่มีผู้คนสัญจรผ่านไปผ่านมาทางจึงทั้งแคบทั้งขรุขระ ทำให้รถม้าโคลงเคลงไปมาจึงไม่แปลกที่คนนั่งข้างในรถม้านั้นจะวิงเวียนศีรษะแต่ในยามที่ความตายกำลังมาเยือน ต่อให้เวียนหัวจนต้องอ้วกออกมาเผยตั้นเยี่ยนก็ไม่คิดที่จะให้สารถีลดความเร็วเป็นแน่ เผยตั้นเยี่ยนทั้งเวียนหัวทั้งปวดหัว เพราะนางพยายามจะหาทางออกแต่ทว่าคิดเท่าใดก็คิดไม่ออกเสียทีฉุยฉุยสาวใช้คนสนิทที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของคุณหนูก็นึกสงสาร เพราะอีกก้าวเดียวเท่านั้นสิ่งที่คุณหนูของนางปรารถนาก็จะสำเร็จแล้ว แต่สุดท้ายไม่เพียงไม่เป็นไปดังหวังแม้แต่ชีวิตก็ไม่แน่ว่าจะรักษาไว้ได้‘เฟี้ยว!
“สวรรค์ฉันทำผิดอะไรมากนักอย่างนั้นเหรอ ฉันเพิ่งตกหน้าผาตายมาแท้ ๆ ทำไมส่งฉันมาตายอีกแล้ว หรือว่าครั้งก่อนฉันตายทรมานไม่พอ ครั้งนี้จึงส่งฉันมาให้ตาอ๋องผู้โหดเหี้ยมนั้นทรมานจนตายอีกรอบ”จ้าวฉือลี่ยังไม่ทันจะกล่าวตัดพ้อในโชคชะตาของตนเองเสร็จ เสวี่ยเฟิงก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน“คุณหนูขอรับ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าท่านพูดอันใดอยู่ แต่ยามนี้พวกเรากลับไปจวนตระกูลเผยก่อนเถอะขอรับ หากคนขององค์รัชทายาทหรือคนของชินอ๋องมาเจอพวกเราตอนนี้คงไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้ แต่หากเราไปถึงจวนตระกูลเผยพวกเราอาจมีทางรอด”เมื่อได้ยินคำว่า ‘อาจมีทางรอด’ จ้าวฉือลี่ถึงกับได้สติ ถึงเวลาจะกระชั้นชิดแต่ก็ถือว่ายังมีโอกาสให้ทุกคนรอดตายนางพยายามนึกถึงเนื้อเรื่องในนิยายเรื่องนี้เพื่อหาทางออก แต่เพราะนักเขียนเทงานไว้กลางทางลงตอนสุดท้ายไว้3เดือนแล้วไม่ยอมกลับมาแต่งต่อให้จบ ทำให้นางนั้นจำรายละเอียดทุกอย่างได้ไม่ชัดเจนนักนางจำได้ว่าตอนสุดท้ายเผยตั้นเยี่ยนและคนรับใช้ข้างกายทั้งสามถูกเว่ยเหวินเซียนทรมานจนตาย โดยการจับขึงไว้ที่กลางลานฝึกทหารส่วนตัวของเว่ยเหวินเซียน และใช้แส้เฆี่ยนตีทุกวันวันละ50ครั้ง มิหนำซ้ำบางวันเว่ยเหวินเซียนอารมณ์ไ
“อย่าฝากความหวังไว้กับคนตายเลย เจ้าหาท่อนไม้มาถือเอาไว้ดีกว่า หากมีคนเข้ามาไม่ว่าใครก็ตีได้เลย แต่ไม่ต้องเผยวรยุทธ์ให้พวกเขารู้” จ้าวฉือลี่เอ่ยเสียงเบา ๆ ราวกับกระซิบ เพราะคนถือคบเพลิงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วเรื่องที่คนรับใช้ทั้งสามของเผยตั้นเยี่ยนมีวรยุทธ์นั้นมิมีผู้ใดรู้ นอกจากเผยตั้นเยี่ยนกับคหบดีหลิว หลิวชิงเยี่ยนท่านตาของนางเท่านั้น แต่จ้าวฉือลี่เคยอ่านนิยายเรื่องนี้มามีหรือนางจะไม่รู้ทั้งสามคนล้วนเป็นคนที่หลิวชิงเยี่ยนคัดเลือกมาด้วยตนเองก่อนจะส่งมาเพื่อคอยดูแลเผยตั้นเยี่ยน หลังจากที่หลิวชิงเยี่ยนนั้นสืบทราบสาเหตุการตายที่แท้จริงของบุตรสาวตนเองได้ว่าที่จริงแล้วนางนั้นมิได้ตายเพราะร่างกายอ่อนแอ แต่ทว่าตายเพราะถูกวางยา แต่หลิวชิงเยี่ยนยังไม่รู้ว่าใครคือคนวางยาบุตรสาวของตนจึงส่งคนมาอารักขาหลานสาวเอาไว้ก่อนอย่าว่าแต่หลิวชิงเยี่ยนเลยที่ไม่รู้ตัวคนร้าย แม้แต่จ้าวฉือลี่เองก็ยังไม่รู้ว่าใครคือคนวางยา เพราะนักเขียนเทนิยายไปเสียก่อนเพียงไม่นานนักแสงไฟจากคบเพลิงก็เข้ามาใกล้จุดที่พวกนางซ่อนตัวอยู่ เมื่อฉุยฉุยเห็นว่าระยะห่างจากแสงไฟนั้นเข้ามาใกล้ไม่ถึง5ก้าวแล้ว นางก็พุ่งตัวออกมาจากที่ซ่อนเ
จ้าวฉือลี่ไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อถูกจู่โจมประชิดตัวก็ถึงกับไปไม่เป็น ยิ่งได้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาในระยะเผาขนใบหน้าของนางก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที‘แบบนี้นี่เองเวลาแฟนคลับเห็นศิลปินสุดหล่อของตัวเองในระยะใกล้ถึงทำตัวไม่ถูก ความหล่อนี่มันช่างมีพลังทำลายล้างสูงเสียจริง ๆ ทำให้คนหลงใหลเคลิบเคลิ้มได้ในชั่วพริบตา’ จ้าวฉือลี่รีบก้มหน้าลงเพราะกลัวสติจะกระเจิงจนเผลอตัวทำอะไรลงไปจนเว่ยเหวินเซียนนั้นจับผิดได้ แต่เมื่อนางก้มลงมาเห็นว่ามือของเขานั้นจับเชือกผ้าคาดเอวของนางเอาไว้ ก็ทำให้นางโกรธขึ้นมาทันทีไม่ว่าเขาจะหล่อเหลามากเพียงใด แต่การที่ทำเช่นนี้ก็เท่ากับไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย ถึงนางจะไม่ได้เกิดในสมัยนี้แต่นางนั้นก็คิดว่าทุกยุคทุกสมัยบุรุษก็ควรให้เกียรติผู้หญิงเพศแม่เพราะตอนที่นางอยู่ในภพชาติของตนเอง นางนั้นต้องเรียนหนังสือไปด้วยหาเงินเลี้ยงตัวเองไปด้วยตั้งแต่อายุ16ปี ไม่ว่างานรับจ้างอะไรจ้าวฉือลี่ก็ไม่เคยเกี่ยง และงานที่ทำเป็นประจำหลังเลิกเรียนคืองานเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหาร ถึงจะได้ทิปดีแต่เธอก็มักถูกลูกค้าแต๊ะอั๋งอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้นางเกลียดผู้ชายประเภทนี้ที่สุดจ้าวฉือลี่หันไปมองฉ
“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นให้ข้าไปส่งดีหรือไม่ อย่างไรก็ทางผ่าน” เว่ยหลิงเฮ่อเอ่ยถามเผยตั้นเยี่ยน“ไม่เพคะ/ไม่ต้อง” จ้าวฉือลี่และเว่ยเหวินเซียนเอ่ยพร้อมกันเว่ยหลิงเฮ่อมองบุรุษและสตรีที่อยู่ตรงหน้าสลับกันไปมา แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้วก็พอเข้าใจ เพราะหากเขาเป็นเผยตั้นเยี่ยนก็ไม่คิดจะให้เขาไปส่งแน่นอน เพราะกลัวว่าจะถูกสังหารส่วนที่เสด็จอาของเขาไม่อยากให้เขาเป็นคนส่งนางกลับ ก็คงเพราะอยากพานางกลับไปจัดการสอบสวนเรื่องตราพยัคฆ์ที่หายไปจึงไม่ยอมให้เขาไปส่งนาง แต่เพราะเหตุนี้แหละที่เว่ยหลิงเฮ่อกลัว เพราะหากเผยตั้นเยี่ยนปริปากบอกว่าขโมยตราพยัคฆ์ไปให้ใคร คราวนี้เสด็จอาของเขาคงไม่ยอมให้เขาขึ้นครองบัลลังก์ได้โดยง่ายอย่างแน่นอน“พอดีว่าสารถีของหม่อมฉันถูกคนของท่านอ๋องช่วยเอาไว้ ตอนนี้อยู่ที่จวนท่านอ๋อง หม่อมฉันเลยจะไปรับเขากลับด้วยเพคะ”จ้าวฉือลี่รู้ดีว่ามันฟังดูไม่ขึ้นเท่าใดนัก แต่ทว่ายามนี้นางนั้นก็หาทางออกไม่ได้แล้วจริง ๆ เพราะนางรู้ดีว่าหากไปกับเว่ยหลิงเฮ่อยามนี้ก็มีแต่ตายอย่างเดียว แต่หากไปกับเว่ยเหวินเซียนที่มีใจให้นาง หากเขาหาหลักฐานมัดตัวนางไม่ได้อย่างน้อยนางก็ยังพอใช้มารยาหญิงทำให้รอดตัวไปได้
‘ยาแย้มสัตย์คืออะไรอีก สวรรค์ท่านจะให้ข้าตายให้ได้เลยใช่หรือไม่’ นางบ่นในใจจ้าวฉือลี่ยังคงมึนงงเพราะนางไม่เคยอ่านเจอยาแย้มสัตย์ในนิยายเรื่องนี้ แต่ทว่านางนั้นก็รีบสาวเท้าตามเขาไป เพราะกลัวว่าหากขัดขืนจะเผยพิรุธให้เขารู้จ้าวฉือลี่เดินตามมาจนถึงเรือนหลักหลังใหญ่ เมื่อนางก้าวเท้าเข้าไปยังห้องนอนของเจ้าของจวนก็ถึงกับตาค้างไปกับของตกแต่งที่เพียงเห็นก็รับรู้ถึงราคาเครื่องใช้เครื่องประดับที่คนอย่างนางนั้นมิมีวันได้เป็นเจ้าของห้องนอนของเว่ยเหวินเซียนกว้างกว่าห้องที่นางเช่าอยู่เกือบสิบเท่า เพียงแค่เตียงนอนของเขาก็มีขนาดเท่ากับห้องเช่าที่นางเช่าอยู่แล้ว นางกวาดตามองไปรอบ ๆ จนได้ยินสุรเสียงเคร่งขรึมของเขาดังขึ้น นางจึงได้เลิกตื่นตาตื่นใจไปกับของตกแต่งห้องนอนของคนสูงศักดิ์“ถอดอาภรณ์และลงไปแช่น้ำในอ่างเสีย”จ้าวฉือลี่เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ พร้อมกับเอียงคอมองเจ้าของห้องบรรทมด้วยความข้องใจว่าสิ่งที่นางได้ยินเป็นเพราะนางหูฟาดไป หรือเขาเอ่ยเช่นนั้นจริง ๆ“เจ้ามิได้ยินหรอกหรือว่าข้าสั่งให้เจ้าถอดอาภรณ์ออกแล้วลงไปแช่น้ำ” สุรเสียงของเว่ยเหวินเซียนดังขึ้นกว่าเก่าอีกทั้งยังปนไปด้วยโทสะจ้าวฉือลี่กางนิ้วมือ
เพียงร่างกายของบุรุษวัยกำหนัดกับหญิงสาววัยออกเรือนได้เสียดสีสัมผัสกันไม่นานนัก อารมณ์ความปรารถนาของบุรุษก็ถูกส่งมอบให้อีกฝ่ายได้รู้สึกตาม ความวาบหวามที่แล่นผ่านเรือนร่างของคนทั้งสอง ทำให้ความต้องการที่จะสัมผัสอีกฝ่ายและให้อีกฝ่ายได้สัมผัสมีมากขึ้น ความละอายจึงค่อย ๆ มลายหายไป ทั้งสองเริ่มที่จะแสดงความรู้สึกออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้หญิงสาวครางเสียงหวานออกมาจากลำคอเมื่อถูกมือหนาของบุรุษหนุ่มกอบกุมพร้อมดูดดึงอกอวบอิ่มบางคราก็ตวัดลิ้นเล่นกับยอดปทุมถันสีชมพูอ่อน เพียงครู่เดียวมือหนาใหญ่ข้างหนึ่งของอ๋องหนุ่มก็ลูบไล้ไปตามส่วนโค้งเว้าของสรีระของหญิงสาวจนไปถึงเนินโหนกนูนที่เปราะบาง เขาลูบวนเนินเนื้ออย่างเนิบนาบก่อนจะใช้ปลายนิ้วลากผ่านเบา ๆ ที่รอยแยกกลางกลีบบุปผางามขึ้นลงช้า ๆ ก่อนจะแหวกกลีบบุปผาทั้งสองข้างออกแล้วใช้นิ้วสะกิดติ่งเกสร ทำให้หญิงสาวสั่นสะท้านด้วยความเสียวซ่านจนไม่อาจหักห้าม เสียงครางแผ่วเบาหลุดออกมาจากลำคอของหญิงสาวเป็นระยะเสียงครางที่สะท้อนความรู้สึกของหญิงสาวกระตุ้นความกำหนัดในตัวของบุรุษหนุ่มให้สูงขึ้น เมื่อมือหนาสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นจากช่องทางรักเขาก็ไม่อาจรอช
เมื่อบุรุษตัวโตรับรู้ได้ว่าสตรีใต้ร่างก็มีความปรารถนาไม่ต่างจากเขา จึงได้ผละริมฝีปากออกก่อนจะผงกศีรษะขึ้นและเลื่อนใบหน้าหล่อเหลามาข้างใบหูของนางจากนั้นก็กระซิบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“นับตั้งแต่นี้ไป เจ้าก็คือพระชายาของข้า” เขาเอ่ยบอกนางเป็นนัย ๆ เพราะเรื่องบนเตียงช้าเร็วอย่างไรก็ย่อมเกิดขึ้น เพียงแค่เขาเร่งเวลาให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นหญิงสาวมิใช่คนโง่เพียงได้ยินคำพูดของเขาบวกกับการกระทำ นางก็รู้ว่าเขาต้องการสิ่งใด และอย่างไรวันนี้เขาคงไม่คิดปล่อยนางไปแน่ เช่นนั้นนางย่อมต้องถามเขาให้ชัดเจน เพราะนางไม่มีทางให้เขาเอาเปรียบอย่างเสียเปล่า“ท่านอ๋องคิดจะให้หม่อมฉันเป็นเพียงพระชายาบนเตียงที่รู้กันเพียงสองคนอย่างนั้นหรือเพคะ” เผยตั้นเยี่ยนเอ่ยเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ยามนี้ทั่วเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าจะได้เป็นพระชายาของข้า” เว่ยเหวินเซียนรีบเอ่ยอย่างร้อนใจ เมื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของหญิงสาว“รู้แล้วอย่างไรเพคะ พระราชโองการแต่งตั้งยังไม่มีมาเสียหน่อย หม่อมฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าไทเฮาจะอยากให้หม่อมฉันได้เป็นพระชายาของท่านอ๋องหรือไม่ หากคืนนี้ท่านอ๋องได้ชมเชยหม่อมฉั
“วันนี้ท่านอ๋องคงเหนื่อยล้ามามาก บรรทมเถอะเพคะ แค่เพียงท่านอ๋องมาอยู่ข้าง ๆ หม่อมฉันก็ไม่กลัวสิ่งใดแล้ว” น้ำเสียงของหญิงสาวเจ้าของเตียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด อาจเป็นเพราะความมืดจึงทำให้นางไม่เห็นว่ายามนี้ใบหน้าของเขาอ่อนเพลียเพียงใดนางรู้ข่าวจากสาวใช้ทั้งสองที่เว่ยเหวินเซียนส่งมาว่าตั้งแต่จัดการลงทัณฑ์หยางหวังลี่เสร็จ เว่ยชินอ๋องก็รีบออกจากเมืองไปตามจับโจรทั้งสองคนทันที เพราะกลัวว่านางจะถูกกล่าวหาว่าพูดเท็จต่อหน้าพระพักตร์เพื่อใส่ความหยางหวังลี่และคนตระกูลหยาง ถึงเขาจะไปตามจับโจรแต่ก็ยังไม่วายที่จะคิดเพื่อนาง ไม่เพียงส่งคนมาคุ้มครองยังรีบกลับมาอยู่ข้างนางอีกด้วย“ขอบพระทัยเพคะที่ทำเพื่อหม่อมฉัน ทั้งที่หม่อมฉันมิได้ร้องขอ” เผยตั้นเยี่ยนเอ่ยเมื่อเห็นราง ๆ ว่าดวงตาของบุรุษตรงหน้านั้นยังมิยอมหลับลง“เปลี่ยนจากคำขอบใจเป็นรางวัลได้หรือไม่” ถึงร่างกายของเขาจะอ่อนเพลียมากก็จริง แต่การได้พบหน้านางก็ทำให้กำลังของเขากลับมาหลายส่วน ครั้นคิดว่าจะได้รางวัลจากนางความง่วงที่มาเยือนก่อนหน้าก็มลายหายไปทันที เพราะยามนี้หัวใจเขาเต้นโครมครามลุ้น
เผยตั้นเยี่ยนไม่คิดรอให้เว่ยเหวินเซียนเอ่ยบทลงโทษสตรีทั้งสอง เพราะนางรู้ว่าหากมีรับสั่งออกมาแล้ว การกลับคำต่อหน้าผู้ใต้บัญชาการจะทำให้บุรุษที่ปกครองเหล่าแม่ทัพอย่างเขาขาดความน่าเชื่อถือได้ จึงรีบกล่าวช่วยสตรีทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับก้าวเท้าลงมาจากเตียง“ท่านอ๋องเพคะ หากจะลงโทษพวกนางก็ลงโทษหม่อมฉันก่อนเถอะเพคะ เพราะหม่อมฉันเป็นคนสั่งให้พวกนางไปซื้อของเอง พวกนางมิได้ละเลยหน้าที่เลยแม้แต่น้อย” เผยตั้นเยี่ยนเอ่ยเสียงหนักแน่นเมื่อเห็นว่าบุรุษสูงศักดิ์นิ่งเงียบ หญิงสาวจึงได้หันไปหาสตรีสองคนที่คุกเข่าอยู่ “พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”ลี่มี่กับเหมิงเหมิงไม่รอช้ารีบลุกขึ้นยอบกายออกจากห้องไปทันที พวกนางรีบกลับไปยังเรือนพักของตนเอง เนื่องจากคืนนี้พวกนางไม่จำเป็นจะต้องเป็นห่วงพระชายาชินอ๋องแล้ว ที่พวกนางมาถึงห้องนอนของเผยตั้นเยี่ยนได้อย่างรวดเร็ว เพราะพวกนางกลัวว่าจะทำหน้าที่พลาดอีก จึงได้เดินสำรวจรอบบริเวณไม่ยอมกลับห้องนอนของตนเองเมื่อสาวรับใช้ทั้งสองเดินมาถึงเรือนนอน ก็พบกับฉุยฉุยที่เพิ่งเดินมาถึงห้องนอนเช่นกัน “เจ้าไปไหนมาอย่างน
“เพราะข้ารู้ถึงได้วางแผนเหล่านี้ให้พวกท่านอย่างไรล่ะเจ้าค่ะ ข้าเคยใช้แซ่เผยต่อให้แต่งออกไปหากตระกูลเผยมีปัญหาข้าเองก็ต้องเดือดร้อน หรือแม้แต่วันหน้าข้าเดือดร้อนตระกูลเผยก็ไม่อาจอยู่เป็นสุขได้ ท่านแม่ว่าจริงหรือไม่” เผยตั้นเยี่ยนไม่รอช้าที่จะตอบกลับ เพื่อจะเอ่ยให้เผยฮูหยินรู้ว่าหากนางมีภัยคนตระกูลเผยก็ต้องช่วยนางเช่นกัน“ในเมื่อไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ข้าจึงอยากจัดการเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะแต่งเข้าจวนอ๋อง เมื่อข้าไปอยู่ที่จวนอ๋องแล้วจะได้ไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง และอีกอย่างหากข้าออกเรือนไปแล้วท่านแม่คิดจะให้ข้านำเงินมาจุนเจือในจวนอีกอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นท่านอ๋องจะมองพวกท่านเช่นไร เช่นนั้นยามที่ข้ายังอยู่ที่จวนมิสู้พวกท่านรีบปูทางให้ตนเองไม่ดีหรือ อย่างไรเสียหากข้าต้องการสิ่งใดเพื่อตระกูลตนเองในยามนี้จะเอ่ยปากกับท่านอ๋องก็ยังมิดูน่าเกลียด ท่านแม่ว่าจริงหรือไม่”ใบหน้าของหลินเยว่ฉีทำให้เผยตั้นเยี่ยนรู้ว่านางสามารถโน้มน้าวได้สำเร็จเป็นแน่ ถึงเผยฮูหยินจะยังไม่พูดออกมาแต่ในใจของสตรีวัยกลางคนก็น่าจะคล้อยตามนา
โชคดีที่เผยตั้นเหม่ยเป็นคนอ่านง่าย เมื่อสนทนากันจึงรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร ทั้งคู่ราวไม่รู้จักกันมาก่อนเผยตั้นเยี่ยนจึงเริ่มจากการถามถึงความชอบและสิ่งที่อยากทำ คำตอบของน้องสาวต่างมารดาช่างสมกับเป็นสตรีในยุคนี้ เพราะความต้องการของนางมีเพียงแต่งงานกับบุรุษตระกูลใหญ่ที่รักและให้เกียรตินางเมื่อรับรู้เช่นนั้นหญิงยุคใหม่ก็มิอาจจะทนอยู่เฉยได้ เพราะไม่ว่าจะยุคไหนหากเป็นที่รักก็ไม่จำเป็นต้องพูดว่าผู้ชายจะปรนนิบัติดีเพียงใด แต่เมื่อใดไร้รักการที่สตรีต้องพึ่งพาแต่บุรุษย่อมต้องอดทนกล้ำกลืนเท่านั้น เพราะมิว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดให้เจ็บช้ำใจมากเท่าใดก็ตาม หญิงสาวที่ไม่มีหนทางให้ไปก็ทำได้เพียงทนอยู่ เผยตั้นเยี่ยนจึงต้องเอ่ยเตือนสติหญิงสาวอายุน้อยกว่า“น้องสาม ถึงข้าจะยังมิได้ออกเรือนและไม่รู้ว่าบุรุษที่เจ้าจะแต่งงานด้วยนั้นเป็นคนดีมากเพียงใด แต่ในฐานะที่เป็นพี่หญิงของเจ้าข้าก็อยากให้เจ้าพึ่งพาตนเองได้ มิใช่ยังมิแต่งงานก็อาศัยบิดามารดาแต่งออกไปก็อาศัยสามี หากวันหน้าเกิดอันใดขึ้นอย่างน้อยเจ้าก็สามารถช่วยตนเองหรือสามีของเจ้าได้ หรือไม่หากสามีของเจ้าทำให้เจ้าคับข้องใจ เจ้าก็ยังมิต้องอด
เผยจือคุนและเผยจือชิ่นออกไปทำงานตามปกติ แต่เพียงทั้งสองทราบข่าวเรื่องจวนตระกูลหยางในหัวก็คิดถึงความปลอดภัยของคนในจวนวนซ้ำ ๆ ไม่รู้จบ เพราะเมื่อวานนี้เผยตั้นเหม่ยเล่าเรื่องราวทั้งหมดในวังให้พวกเขาฟังหมดแล้ว จึงรู้ว่าผู้ตายในจวนตระกูลหยางเป็นใคร สองพ่อลูกรู้ดีว่าผู้นำตระกูลหยางมิยอมจบง่าย ๆ เป็นแน่ และจะให้ไปทวงหนี้ชีวิตนี้กับเว่ยชินอ๋องก็คงไม่ได้ เช่นนั้นบัญชีแค้นนี้ก็คงหนีไม่พ้นเผยตั้นเยี่ยนที่จะต้องเป็นผู้ชดใช้ และเพราะยังไม่ได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่มีอำนาจใด ๆ จะสั่งเหล่าทหารหรือองครักษ์มาคอยคุ้มกัน ทำให้บุรุษสกุลเผยทั้งสองอดที่จะร้อนรนพะวงใจไม่ได้วันนี้นอกจากความว้าวุ่นที่อยู่ในใจ ทั้งสองพ่อลูกยังจะต้องหนักใจเมื่อต้องรับมือกับคนรอบข้างในที่ทำงานอีกด้วย ถึงแม้ทั้งสองจะทำงานต่างที่กันแต่ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกันเมื่อรับรู้ได้ว่าคนที่ทำงานต่างมองพวกเขาต่างออกไปจากเดิม คนที่มักทักทายแปรเปลี่ยนไปราวกับมีท่าทีจะหลบเลี่ยงไม่อยากพบหน้า หรือไม่ก็ทำเมินเฉยราวกับไม่รู้จัก คำพูดยามสนทนาก็ห้วน ๆ สั้น ๆ เหมือนไม่อยากพูดคุยด้วย บุรุษแซ่เผยทั้งสองจึงคิดทบทวนเรื่องที่เผยตั้นเยี่
เมื่อถึงเวลาประชุมเช้า ขุนนางทุกคนก็เข้ายืนประจำที่ของตน วันนี้ไม่เพียงเสนาบดีสำนักราชเลขานุการหยางกับรองเสนาบดีสำนักราชเลขานุการหยางที่ไม่มาร่วมประชุม แต่เว่ยเหวินเซียนก็ไม่มาเช่นกันเพราะปกติเขาจะเข้ามายังท้องพระโรงก็ต่อเมื่อมีเรื่องสำคัญจริง ๆ หรือไม่ก็เหวินหลิงฮ่องเต้เรียกให้เข้าประชุมด้วย ขุนนางที่อยู่ฝ่ายอำนาจของตระกูลหยางจึงได้ทีเอ่ยเรื่องคุณหนูตระกูลหยางขึ้นมาหลังจากที่ทูลเรื่องอื่น ๆ ของราชสำนักเสร็จแล้ว“ฝ่าบาทพวกกระหม่อมขอบังอาจทูลทวงความเป็นธรรมให้คุณหนูตระกูลหยางพ่ะย่ะค่ะ ถึงนางจะตายไปแล้วแต่เรื่องที่ไม่ได้ทำก็ไม่ควรให้คนตายต้องแบกรับ และยิ่งไม่ควรให้ใครมากล่าวถึงตระกูลหยางแบบเสีย ๆ หาย ๆ ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางวัยกลางคนเอ่ยขึ้น“กระหม่อมก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเสียคุณหนูตระกูลเผยก็กล่าวโดยไม่มีหลักฐาน จึงควรจะสอบสวนเรื่องนี้เพื่อมิให้ชื่อเสียงของตระกูลขุนนางใหญ่ต้องเสียหายเพียงเพราะถูกคุณหนูผู้หนึ่งกล่าวหานะพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางอีกคนรีบกล่าวเสริมเหวินหลิงฮ่องเต้นิ่งเงียบไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ใช้เพียงสายตากวาดมองขุนนางคนอื่น ๆ ที่ยื
หยางฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับเป็นลมล้มพับไปทันที หยางหวังหย่งจึงต้องเรียกคนที่อยู่ด้านนอกมาพามารดาออกไป ส่วนหยางฮูหยินถึงจะหน้ามืดยืนเซไร้เรี่ยวแรงราวกับจะเป็นลมไปอีกคน กลับพยายามทนฝืนเพราะอยากอยู่ข้าง ๆ บุตรสาว สาวรับใช้ที่เข้ามาพยุงจึงประคองพาไปนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ เตียงนอนบุรุษทั้งสองต่างเอ่ยวิงวอนขอร้องไห้หมอหลวงที่ตามมายื้อชีวิตคุณหนูสายตรงของจวนที่นอนอยู่ ทว่าหมอหลวงกลับทำได้เพียงส่ายหน้าไปมาอย่างละอายใจที่ไร้ความสามารถไม่อาจช่วยคุณหนูตระกูลหยางให้พ้นเงื้อมมือมัจจุราชได้เมื่อไม่อาจช่วยเหลือได้หมอหลวงจึงขอตัวออกมาจากห้องนอนของหญิงสาว เพื่อไปตรวจหยางฮูหยินผู้เฒ่า และเพื่อปล่อยให้ผู้ที่กำลังหายใจอ่อนแรงได้มีโอกาสร่ำลาคนในครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินทางไปยังแม่น้ำลืมเลือน ผู้เป็นปู่เป็นพ่อถึงจะเศร้าเสียใจแต่ก็ยังพอรักษาท่าทีขุนนางใหญ่เอาไว้ได้ มีเพียงน้ำตาที่ไม่อาจกลั้นเอาไว้อยู่ที่หลั่งไหลออกมาแทนความรู้สึกที่มีอยู่ในใจทว่าหยางฮูหยินผู้เป็นมารดาไม่อาจยับยั้งอารมณ์ของตนได้ นางร่ำไห้ออกมาเมื่อเห็นสตรีร่างบางที่นางเลี้ยงมาอย่างถนอมมีสภาพบอบช้ำมากถึงเพียงนี้ ห