“แม่คะ...” หญิงสาวกระชับมือมารดามากุมไว้แน่น “แม่ยังมีจ๋าทั้งคนนะคะ ทุกวันนี้เรามีกันแค่สองคนก็มีความสุขแล้วไม่ใช่หรือคะ”
“จ้ะ...จ้ะลูก” นางดารินข่มเสียงไม่ให้สั่นพลางฝืนยิ้มตอบลูกสาว ทั้งที่กระบอกตาปวดแสบปวดร้อนจนแทบจะกลั้นความชอกช้ำไม่ไหว
“จ๋ารักแม่นะคะ รักที่สุดในโลกเลย”
“ประจบขนาดนี้อยากได้ของขวัญอะไรว่ามาซิ”
“โหย...แม่น่ะ รู้ทันอีกแล้ว” หญิงสาวก้มลงหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ก่อนยิ้มออดอ้อน “จ๋าไม่อยากได้อะไรหรอกค่ะ วันนี้เสียฤกษ์อดกินชาบูในห้างหรูแล้ว งั้นเดี๋ยวเราไปนั่งกินหมูกะทะแถวปากซอยบ้านดีกว่า วันนี้จ๋าเป็นเจ้ามือเอง”
“ก็ไหนว่ากลัวหัวเหม็น” คนเป็นแม่เย้า
“หัวเหม็นก็ดีกว่าหัวร้อนนะคะ ไปเถอะค่ะ นั่นแท็กซี่มาแล้ว” คนพูดยิ้มหวานประจบก่อนหันมาดักคอ “อ๊ะ! อย่ามาบอกให้นั่งรถเมล์เชียว เมื่อยขบมาทั้งวันแล้ว วันนี้หนูขอสบายบ้างซักวันนะคะ”
นางดารินยิ้มอย่างรู้ทันว่าแท้จริงแล้วลูกสาวไม่อยากให้ตนต้องลำบากต่างหาก
โดยสองแม่ลูกหารู้ไม่ว่ามีใครบางคนแอบมองพวกเธออยู่ห่างๆ ด้วยจุดประสงค์บางอย่างที่แอบซุกซ่อนภายในใจ
/////////////
ร่างสูงระหงของหญิงสาววัยยี่สิบสามปีเดินแกมวิ่งไปบนถนนเส้นใหม่ที่พาเธอไปสู่บ้านเช่าหลังน้อยที่อยู่เกือบท้ายซอย ซึ่งเธอกับแม่ย้ายมาอาศัยพักพิงเมื่อไม่กี่ปีก่อน หลังจากต้องเช่าห้องแถวพักกันสองแม่ลูกมานานหลายปี
หลังจากถูกไล่ตะเพิดหัวซุกหัวซุนออกมาจากบ้านหลังเก่าของตัวเองเมื่อหลายปีก่อน สองแม่ลูกก็ซัดเซพเนจรไปหาที่พักกันอย่างลำบากแสนเข็ญ ในเมื่อนางดารินแม่ของเธอไม่เหลือญาติที่ไหนอีก นอกจากน้องสาวคนเดียวที่แต่งงานไปกับชาวต่างชาติและย้ายไปอยู่เมืองนอกนานแล้ว
สองแม่ลูกต้องอดมื้อกินมื้อและมีครั้งหนึ่งต้องไปอาศัยนอนวัดเพราะหาที่พักไม่ได้ ต้องกินข้าวก้นบาตรเพื่อประทังความหิวโหย ลำพังเงินเก็บอันน้อยนิดที่ติดตัวมา พร้อมสมบัติเก่าเล็กน้อยแทบไม่พอให้สองชีวิตรอดได้นานเท่าไหร่ แต่ทว่านางดารินก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เธอมีฝีมือทั้งทำอาหาร ทำขนม เย็บปักถักร้อย จึงไปขอรับจ้างทำงานบ้านไปทั่ว แม้กระทั่งรับจ้างล้างจานที่ร้านก๋วยเตี๋ยวก็ทำมาแล้ว เพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูตัวเองกับลูกสาวสุดที่รัก
โชคดีที่รุจารินเองเป็นเด็กขยัน เรียนดี และใฝ่ดีรู้คิด เธอจึงไม่ยอมอยู่เฉย อะไรที่จะช่วยแบ่งเบาภาระให้แม่ได้เท่าที่เด็กวัยสิบขวบทำได้ เธอทำหมด แม้แต่เรื่องเรียน ความที่เป็นเด็กหัวดีและขยันทำให้เธอสามารถสอบชิงทุนเรียนดีมาได้ทุกเทอมจนได้เรียนฟรีมาตลอดถึงระดับมหาวิทยาลัย นางดารินรับจ้างเย็บผ้าทำขนมไปขายส่งที่ร้านค้าในตลาดจนพอมีเงินเก็บลืมตาอ้าปากได้บ้าง สองแม่ลูกกัดฟันถีบตัวเองขึ้นมาจนมีชีวิตที่ดีขึ้น แม้ไม่ร่ำรวยมั่งมีแต่ก็ไม่ลำบากข้นแค้น
ทั้งสองจงใจทำลืมเลือนและไม่เคยเอ่ยถึงชายผู้เป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกเธอตกระกำลำบากอีกเลย ราวกับเขาตายไปจากโลกนี้ รุจารินถูกหล่อหลอมให้กลายคนแกร่งทรหดจิตใจเข้มแข็งจนบางคราวดูจะเย็นชาไปบ้าง หากทุกอย่างก็เพื่อไม่สร้างภาระทางใจให้มารดา ทั้งสองแม่ลูกจึงอยู่อย่างมีความสุขเรื่อยมา
รุจารินในวันนี้หากเปรียบกับดอกไม้ก็คงเป็นกุหลาบสวยที่มีหนามแหลมคงทนต่อฟ้าฝน แม้จะผลิดอกงดงามสะพรั่งจนต้องตาหนุ่มๆ รุ่นพี่รุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยหลายคน แต่เธอกลับไม่เคยเปิดใจให้ใครเข้ามา เพราะเข็ดขยาดกับเหตุการณ์ฝังใจในอดีต
วันนี้หญิงสาวเพิ่งเริ่มต้นทำงานในบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่งเป็นวันแรก แม้ไม่มีประสบการณ์เพราะเพิ่งเรียนจบใหม่ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหา ในเมื่อเธอเป็นคนขยันใฝ่รู้ทั้งยังอดทนหนักเอาเบาสู้ ทุกอย่างเพียงเพื่ออยากให้คนอันเป็นที่รักได้สบาย
ต่อไปหากมีงานทำแม่ของเธอก็ไม่ต้องนั่งทำขนมหรือเย็บผ้าหลังขดหลังแข็งอีก ต่อไปเธอจะเป็นคนคอยดูแลแม่ให้สมกับที่แม่อดทนเลี้ยงดูทะนุถนอมเธอมาอย่างดีตลอดชีวิตนั่นเอง หญิงสาวยิ้มกับตัวเองอย่างมีความสุข
บ้านชั้นเดียวกลางเก่ากลางใหม่ตั้งอยู่เกือบท้ายซอย แม้จะไม่กว้างใหญ่เท่าบ้านเก่าที่เคยอาศัย แต่ก็น่าอยู่เพราะเจ้าของดูแลรักษา นางดารินเป็นคนมีระเบียบรักความสะอาดและรักต้นไม้ ประกอบกับเป็นคนมือเย็นทำให้ปลูกอะไรก็งาม ส่วนลูกสาวหวังช่วยแม่ประหยัดค่าอาหารจึงทำแปลงผักสวนครัวไว้ โดยเจ้าตัวดูแลอย่างดีจนออกดอกผลงอกงาม พอเหลือกินเธอก็เก็บไปฝากขายในตลาดหารายได้เสริมมาช่วยมารดาอีกแรง จนคนในละแวกนั้นพลอยชื่นชมในความขยันของสองแม่ลูก
ทันทีที่เปิดประตูเข้าบ้านมา กลิ่นหอมฟุ้งก็โชยชายมาทักทาย รุจารินคลี่ยิ้ม ก่อนแอบย่องไปทางห้องครัวหลังบ้าน ซึ่งเป็นต้นเหตุของกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอนั่น
“อุ้ย!” แม่ครัวเอกสะดุ้งโหยงเมื่อมีแขนเรียวเสลาเข้ามาสวมกอดจากด้านหลังพร้อมจมูกโด่งสวยที่ยื่นมาหอมแก้มเธอฟอดใหญ่
“หอมจังเลย วันนี้แม่ทำอะไรให้จ๋ากินบ้างเอ่ย”
นางดารินมองคนขี้อ้อนอย่างเอ็นดูรักใคร่ “ฉลองทำงานวันแรกด้วยแกงส้มชะอมไข่ หมูทอด ปลานึ่งบ๊วย แล้วก็ตบท้ายด้วยบัวลอยไข่หวานของโปรดลูกสาวคนเก่งของแม่เป็นยังไง”“หูย...นี่แม่กะจะขุนลูกสาวให้อ้วนเป็นหมูเลยเหรอคะ เกิดหนูอ้วนจนใส่ชุดทำงานไม่ได้ขึ้นมาใครจะรับผิดชอบละคะเนี่ย”“จะยากอะไร แม่ก็แค่ตัดชุดใหม่ให้ลูกใส่เองก็เท่านั้น” รุจารินหัวเราะกิ๊ก“งั้นก็เตรียมตัดไว้เลยสิบชุดค่ะ เพราะวันนี้จ๋าจะทานข้าวสองจาน แถมบัวลอยอีกสองชามด้วย” คนพูดหอมแก้มมารดาอีกฟอดด้วยความรักใคร่ ก่อนเดินไปช่วยหยิบถ้วยจานมาจัดแจงตั้งโต๊ะเหมือนเช่นทุกวัน“แล้วเริ่มงานใหม่วันแรกเป็นยังไงบ้างล่ะลูก เหนื่อยไหม”“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะแม่ จ๋าสบายมาก เห็นพี่ที่ทำงานบอกว่ากว่าเจ้านายโดยตรงของจ๋าจะกลับจากเมืองนอกก็ปลายๆ เดือนนู่น ตอนนี้จ๋าก็เลยต้องเรียนรู้งานทุกอย่างไปก่อน แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ลูกสาวคนนี้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก งานแค่นี้สบายมาก”“จ้า...คนเก่ง กลับมาเหนื่อยๆ ก็ไปล้างหน้าล้างตาก่อนไปลูก แล้วค่อยมากินข้าวกัน ที่เหลือแม่จัดการเอง”“ก็ได้ค่ะ” เจ้าของร่างโปร่งระหงยอมรามือเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว หากยังไม่ทันได้ทำตา
ช่วงเย็นของร้านชาบูแบบบุฟเฟ่ต์ใจกลางห้างดังเนืองแน่นด้วยลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามารับประทาน โดยเฉพาะเป็นช่วงที่มีการเลี้ยงฉลองรับปริญญาของเหล่าบัญฑิตจบใหม่จึงทำให้บรรยากาศของร้านคึกคักเป็นพิเศษ“ต้องรอคิวนานไหมคะ”พนักงานหน้าร้านเงยหน้ามองลูกค้าสาวที่คงเป็นหนึ่งในเหล่าบัณฑิตจบใหม่เพราะเธอสวมชุดนักศึกษาและมีชุดครุยพาดที่แขนเรียวสวย ใบหน้าหมดจดสะดุดตาแต้มแต่งด้วยเครื่องสำอางบางๆ แต่กลับดูงามผุดผ่อง ที่โดดเด่นคือดวงตากลมโตที่คมกริบดูเฉลียวฉลาดและเอาเรื่องคู่นั้น“ไม่ทราบว่ามากี่ท่านคะ”“สองค่ะ”“ถ้าเป็นแบบโต๊ะรวมก็อีกสามคิวเท่านั้นค่ะ แต่ถ้านั่งแบบเดี่ยวๆ แยกหม้อ ก็รออีกหกคิวค่ะ สนใจแบบไหนดีคะ”“โต๊ะรวมค่ะ ลงชื่อจองคือรุจารินนะคะ” บัณฑิตสาวหน้าใสเอ่ย พร้อมกับรอรับบัตรจองคิว และเดินกลับไปหาหญิงวัยกลางคนที่ยืนรอบริเวณหน้าร้าน“แม่นั่งตรงนี้ก่อนนะคะ รออีกสามคิวเท่านั้นเอง”“คนเยอะแบบนี้ไว้เราค่อยมาวันหลังไม่ดีหรือลูก หรือไปกินที่ร้านอื่นก็ได้ ร้านหมูกะทะแถวบ้านเราไงลูก ราคาไม่แพงด้วย”รุจาริน พิชารักษ์ หรือ จ๋า ส่งยิ้มหวานให้มารดา เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดคำนวนค่าอาหารในใจด้วยความเสียดายเงินท
รุจาริน พิชารักษ์ ไม่เคยลบเลือนภาพในวันนั้นออกไปจากสมองและหัวใจได้ แม้เวลาจะผ่านไปอีกกี่ปี เธอจำได้แม่นว่ามันคือวันเกิดปีที่ครบรอบสิบขวบ และยังเป็นวันที่ผลสอบปลายภาคออกอีกด้วยเด็กหญิงรุจาริน เปรมจิตติ ในวันนั้นเดินแกมวิ่งไปบนถนนที่ทอดไปสู่บ้านน้อยกลางซอยของเธอด้วยใจที่เบิกบานที่หนึ่งอีกครั้ง!ริมฝีปากชมพูจิ้มลิ้มยิ้มร่า อันที่จริงก็ไม่ต่างจากทุกครั้งตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน เด็กหญิงไม่เคยมีผลการเรียนต่ำกว่าที่หนึ่งของห้องเลยสักครั้ง แต่ที่พิเศษคือครั้งนี้พ่อของเธอสัญญาว่าจะซื้อจักรยานให้ลูกสาวคนเก่งไว้ขับไปโรงเรียน หลังจากที่เขาไปทำงานที่ต่างจังหวัดอยู่นานกว่าสองปี และพ่อคงจะพาเธอและแม่ไปทานอะไรอร่อยๆ ฉลอง พร้อมกับมีขนมเค้กสวยๆ มาให้เธอเป่าเทียนวันเกิดด้วย ส่วนนางดารินแม่ของเธอนั้นให้ของขวัญก่อนล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มันคือชุดเดรสสีชมพูแสนหวานที่ตัดเย็บเองกับมือ ซึ่งเธอรบเร้าอยากได้ เพื่อใส่ไปงานฉลองปิดภาคเรียนที่เธอได้รับเลือกให้แสดงโชว์บนเวทีนั่นไง! รถเก๋งของพ่อเธอจอดอยู่หน้าบ้านแล้ว เด็กหญิงยิ้มร่า หัวใจพองโต มันนานมากที่เธอไม่ได้เจอพ่อ ความคิดถึงท่วมท้นหัวใจ มือที่กำสมุดพกสั
“เอ่อ...”“อุ๊ยต๊าย...นี่คงเป็นหนูจ๋าลูกสาวคุณใช่ไหมคะ หน้าตาสวยน่ารักจริง” น้ำเสียงแหลมใสเอ่ยทักเป็นคำแรก หากนัยน์ตาคนพูดกลับไม่ได้ยิ้มแย้มเท่าปากของนาง “ฉันชื่อปราณีนะ ส่วนนี่ก็คือปิยะดาหรือหนูแป้ง น้องสาวของหนูไงละจ๊ะ”“น้องสาว!” รุจารินทวนคำอย่างฉงน เพราะตั้งแต่เกิดมา เธอรับรู้ว่าเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว เคยคิดว่าอยากมีน้องเหมือนกัน แต่แม่เธอไม่ค่อยแข็งแรงนัก ตอนเธอคลอดก็ลำบากจนแทบจะเสียชีวิตทั้งแม่ทั้งลูกด้วยซ้ำ แล้วน้องสาวตรงหน้านี่โผล่มาจากไหน “แต่จ๋าเป็นลูกคนเดียว! ไม่เคยมีน้องสาว”“ยายจ๋า! ฟังพ่อก่อนลูก”“หยุดนะ! พี่ยะ อย่าได้เอาเรื่องรกหูนี่มาพูดกับลูกสาวคนเดียวของฉัน พี่จะไปทำตัวเหลวไหลเละเทะหรือไปมั่วกับใครยังไงมาก็อย่าได้ทำให้ลูกฉันต้องมารับรู้เรื่องเลวๆ นี่” นางดารินตวาดใส่เสียงสั่นเครือ นางพยายามประคองตัวเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลโดยมีลูกสาวตัวน้อยช่วยประคับประคอง แม้จะข่มใจให้เข้มแข็งทั้งๆ ที่ภายในหัวใจมันแหลกราญด้วยฝีมือคนที่รักจนชาไปหมดแล้ว เมื่อต้องเป็นหลักให้ลูกสาวสุดที่รัก เธอจะอ่อนแอไม่ได้“นี่ดา พี่บอกแล้วไงว่าให้พูดกันดีๆ คุณณีกับลูกเขาก็เป็นครอบครัวเดียวกันกับเ
“ถ้าไม่ยอม เธอก็ต้องไปอยู่ที่อื่นแล้วละ เพราะบ้านนี้คุณณีจ่ายเงินไถ่ถอนมาเป็นชื่อเขาเสียแล้ว”“แปลว่า...พี่เลือกผู้หญิงคนนั้นงั้นเหรอ” นางดารินแผดเสียงใส่สามีชนิดที่ไม่เคยทำมาก่อน น้ำตาใสๆ ไหลอาบแก้มด้วยความผิดหวังสุดขีด“พี่เสียใจ...แต่พี่ทิ้งคุณณีกับลูกแป้งไม่ได้”สองแม่ลูกรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่ากลางหัวใจ รุจารินมองหน้าพ่อสุดที่รักของเธออย่างไม่เชื่อหู ผู้ชายเห็นแก่ตัวตรงหน้านี่คือพ่อของเธอจริงๆ งั้นหรือ ทำไมเขาช่างพูดง่ายเหลือเกิน นี่เป็นบ้านที่เธอกับแม่อาศัยมาตั้งแต่เธอเกิด แต่จู่ๆ ก็มากลายเป็นของคนอื่น ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียน้อยมาทีหลัง และมาแย่งพ่อไปจากเธอกับแม่ หัวใจเด็กหญิงวัยเพียงสิบปีแทบแตกสลาย เสียพ่อ เสียบ้าน ทุกอย่างพังทลายไปเพราะน้ำมือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด“ไปกันเถอะลูกจ๋า...” นางดารินหันมาเอ่ยด้วยเสียงเครือแต่เด็ดขาด “ลำบากหน่อยแต่แม่จะไม่ยอมทิ้งให้ลูกต้องอยู่กับคนทรยศพวกนี้ให้ถูกรังแก เราไปตายเอาดาบหน้าก็ได้นะลูกนะ”“ดาริน! ทำไมสิ้นคิดแบบนี้ จะเอาลูกไปลำบากทำไม” นายปิยะต่อว่าภรรยาที่กำลังจะกลายเป็นอดีตอย่างหัวเสีย “ถ้าเธอจะไปก็ไปคนเดียว ทิ้งให้ลูกจ๋าอยู่ที่
หากไม่เห็นภรรยาเก่าที่เดินตามมา เขาคงไม่รู้ว่าเป็นลูกสาว“เอ๊ะ! นั่นชุดครุยนี่นา” ชายกลางคนอุทานด้วยสุ้มเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายภูมิใจจนปิดไม่มิด“นี่หนูเรียนจบปริญญาแล้วหรือลูก”รุจารินตอบกลับคำถามนั้นด้วยสายตาเย็นชาหมางเมิน ก่อนหันมาเอ่ยกับผู้เป็นมารดาที่ยังคงอึ้งไม่หายเพราะไม่ได้คิดเตรียมใจมาก่อน“แม่คะ จ๋าไม่อยากกินร้านนี้แล้ว เราไปที่อื่นดีกว่านะคะ”“ต๊าย! ยังจองหองเหมือนแม่ไม่มีผิด” ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ยามตวัดมองคนสาระแนพูดแทรกอย่างไม่พอใจ พอรับรู้ได้ถึงอาการมือสั่นของมารดาที่คงตกใจไม่น้อย ทำให้เธอกระชับมือข้างนั้นไว้ไม่ยอมปล่อย วันนี้เธอจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกแม่ได้อีก ข้ามศพเธอไปก่อนเถอะ!“หึ! จองหอง...ก็ยังดีกว่าหน้าด้านไม่ใช่หรือคะ” หญิงสาวลอยหน้าเอ่ยหน้าตาเฉย ปกติเธอไม่ชอบหาเรื่องใครก่อน แต่ก็ไม่ยอมอยู่เฉยหากโดนใครมาหาเรื่อง“เอ๊ะ! แก...”นางปราณีชักสีหน้าใส่ รู้สึกขัดตาเมื่อเห็นความสำเร็จของลูกติดสามี พอนึกเปรียบเทียบกับลูกสาวตนที่หัวไม่ค่อยดีจนเกือบเรียนซ้ำชั้นก็รู้สึกอิจฉา ยิ่งความงามนั้นยิ่งไม่ต้องเทียบกัน เพราะปิยะดาดูจืดสนิทยามยืนเทียบกับหญิงสาวตรงหน้า ไม่บอก
นางดารินมองคนขี้อ้อนอย่างเอ็นดูรักใคร่ “ฉลองทำงานวันแรกด้วยแกงส้มชะอมไข่ หมูทอด ปลานึ่งบ๊วย แล้วก็ตบท้ายด้วยบัวลอยไข่หวานของโปรดลูกสาวคนเก่งของแม่เป็นยังไง”“หูย...นี่แม่กะจะขุนลูกสาวให้อ้วนเป็นหมูเลยเหรอคะ เกิดหนูอ้วนจนใส่ชุดทำงานไม่ได้ขึ้นมาใครจะรับผิดชอบละคะเนี่ย”“จะยากอะไร แม่ก็แค่ตัดชุดใหม่ให้ลูกใส่เองก็เท่านั้น” รุจารินหัวเราะกิ๊ก“งั้นก็เตรียมตัดไว้เลยสิบชุดค่ะ เพราะวันนี้จ๋าจะทานข้าวสองจาน แถมบัวลอยอีกสองชามด้วย” คนพูดหอมแก้มมารดาอีกฟอดด้วยความรักใคร่ ก่อนเดินไปช่วยหยิบถ้วยจานมาจัดแจงตั้งโต๊ะเหมือนเช่นทุกวัน“แล้วเริ่มงานใหม่วันแรกเป็นยังไงบ้างล่ะลูก เหนื่อยไหม”“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะแม่ จ๋าสบายมาก เห็นพี่ที่ทำงานบอกว่ากว่าเจ้านายโดยตรงของจ๋าจะกลับจากเมืองนอกก็ปลายๆ เดือนนู่น ตอนนี้จ๋าก็เลยต้องเรียนรู้งานทุกอย่างไปก่อน แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ลูกสาวคนนี้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก งานแค่นี้สบายมาก”“จ้า...คนเก่ง กลับมาเหนื่อยๆ ก็ไปล้างหน้าล้างตาก่อนไปลูก แล้วค่อยมากินข้าวกัน ที่เหลือแม่จัดการเอง”“ก็ได้ค่ะ” เจ้าของร่างโปร่งระหงยอมรามือเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว หากยังไม่ทันได้ทำตา
“แม่คะ...” หญิงสาวกระชับมือมารดามากุมไว้แน่น “แม่ยังมีจ๋าทั้งคนนะคะ ทุกวันนี้เรามีกันแค่สองคนก็มีความสุขแล้วไม่ใช่หรือคะ”“จ้ะ...จ้ะลูก” นางดารินข่มเสียงไม่ให้สั่นพลางฝืนยิ้มตอบลูกสาว ทั้งที่กระบอกตาปวดแสบปวดร้อนจนแทบจะกลั้นความชอกช้ำไม่ไหว“จ๋ารักแม่นะคะ รักที่สุดในโลกเลย”“ประจบขนาดนี้อยากได้ของขวัญอะไรว่ามาซิ”“โหย...แม่น่ะ รู้ทันอีกแล้ว” หญิงสาวก้มลงหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ก่อนยิ้มออดอ้อน “จ๋าไม่อยากได้อะไรหรอกค่ะ วันนี้เสียฤกษ์อดกินชาบูในห้างหรูแล้ว งั้นเดี๋ยวเราไปนั่งกินหมูกะทะแถวปากซอยบ้านดีกว่า วันนี้จ๋าเป็นเจ้ามือเอง”“ก็ไหนว่ากลัวหัวเหม็น” คนเป็นแม่เย้า“หัวเหม็นก็ดีกว่าหัวร้อนนะคะ ไปเถอะค่ะ นั่นแท็กซี่มาแล้ว” คนพูดยิ้มหวานประจบก่อนหันมาดักคอ “อ๊ะ! อย่ามาบอกให้นั่งรถเมล์เชียว เมื่อยขบมาทั้งวันแล้ว วันนี้หนูขอสบายบ้างซักวันนะคะ”นางดารินยิ้มอย่างรู้ทันว่าแท้จริงแล้วลูกสาวไม่อยากให้ตนต้องลำบากต่างหากโดยสองแม่ลูกหารู้ไม่ว่ามีใครบางคนแอบมองพวกเธออยู่ห่างๆ ด้วยจุดประสงค์บางอย่างที่แอบซุกซ่อนภายในใจ/////////////ร่างสูงระหงของหญิงสาววัยยี่สิบสามปีเดินแกมวิ่งไปบนถนนเส้นใหม่ที่พาเธอไปสู่
หากไม่เห็นภรรยาเก่าที่เดินตามมา เขาคงไม่รู้ว่าเป็นลูกสาว“เอ๊ะ! นั่นชุดครุยนี่นา” ชายกลางคนอุทานด้วยสุ้มเสียงตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายภูมิใจจนปิดไม่มิด“นี่หนูเรียนจบปริญญาแล้วหรือลูก”รุจารินตอบกลับคำถามนั้นด้วยสายตาเย็นชาหมางเมิน ก่อนหันมาเอ่ยกับผู้เป็นมารดาที่ยังคงอึ้งไม่หายเพราะไม่ได้คิดเตรียมใจมาก่อน“แม่คะ จ๋าไม่อยากกินร้านนี้แล้ว เราไปที่อื่นดีกว่านะคะ”“ต๊าย! ยังจองหองเหมือนแม่ไม่มีผิด” ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ยามตวัดมองคนสาระแนพูดแทรกอย่างไม่พอใจ พอรับรู้ได้ถึงอาการมือสั่นของมารดาที่คงตกใจไม่น้อย ทำให้เธอกระชับมือข้างนั้นไว้ไม่ยอมปล่อย วันนี้เธอจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกแม่ได้อีก ข้ามศพเธอไปก่อนเถอะ!“หึ! จองหอง...ก็ยังดีกว่าหน้าด้านไม่ใช่หรือคะ” หญิงสาวลอยหน้าเอ่ยหน้าตาเฉย ปกติเธอไม่ชอบหาเรื่องใครก่อน แต่ก็ไม่ยอมอยู่เฉยหากโดนใครมาหาเรื่อง“เอ๊ะ! แก...”นางปราณีชักสีหน้าใส่ รู้สึกขัดตาเมื่อเห็นความสำเร็จของลูกติดสามี พอนึกเปรียบเทียบกับลูกสาวตนที่หัวไม่ค่อยดีจนเกือบเรียนซ้ำชั้นก็รู้สึกอิจฉา ยิ่งความงามนั้นยิ่งไม่ต้องเทียบกัน เพราะปิยะดาดูจืดสนิทยามยืนเทียบกับหญิงสาวตรงหน้า ไม่บอก
“ถ้าไม่ยอม เธอก็ต้องไปอยู่ที่อื่นแล้วละ เพราะบ้านนี้คุณณีจ่ายเงินไถ่ถอนมาเป็นชื่อเขาเสียแล้ว”“แปลว่า...พี่เลือกผู้หญิงคนนั้นงั้นเหรอ” นางดารินแผดเสียงใส่สามีชนิดที่ไม่เคยทำมาก่อน น้ำตาใสๆ ไหลอาบแก้มด้วยความผิดหวังสุดขีด“พี่เสียใจ...แต่พี่ทิ้งคุณณีกับลูกแป้งไม่ได้”สองแม่ลูกรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่ากลางหัวใจ รุจารินมองหน้าพ่อสุดที่รักของเธออย่างไม่เชื่อหู ผู้ชายเห็นแก่ตัวตรงหน้านี่คือพ่อของเธอจริงๆ งั้นหรือ ทำไมเขาช่างพูดง่ายเหลือเกิน นี่เป็นบ้านที่เธอกับแม่อาศัยมาตั้งแต่เธอเกิด แต่จู่ๆ ก็มากลายเป็นของคนอื่น ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียน้อยมาทีหลัง และมาแย่งพ่อไปจากเธอกับแม่ หัวใจเด็กหญิงวัยเพียงสิบปีแทบแตกสลาย เสียพ่อ เสียบ้าน ทุกอย่างพังทลายไปเพราะน้ำมือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด“ไปกันเถอะลูกจ๋า...” นางดารินหันมาเอ่ยด้วยเสียงเครือแต่เด็ดขาด “ลำบากหน่อยแต่แม่จะไม่ยอมทิ้งให้ลูกต้องอยู่กับคนทรยศพวกนี้ให้ถูกรังแก เราไปตายเอาดาบหน้าก็ได้นะลูกนะ”“ดาริน! ทำไมสิ้นคิดแบบนี้ จะเอาลูกไปลำบากทำไม” นายปิยะต่อว่าภรรยาที่กำลังจะกลายเป็นอดีตอย่างหัวเสีย “ถ้าเธอจะไปก็ไปคนเดียว ทิ้งให้ลูกจ๋าอยู่ที่
“เอ่อ...”“อุ๊ยต๊าย...นี่คงเป็นหนูจ๋าลูกสาวคุณใช่ไหมคะ หน้าตาสวยน่ารักจริง” น้ำเสียงแหลมใสเอ่ยทักเป็นคำแรก หากนัยน์ตาคนพูดกลับไม่ได้ยิ้มแย้มเท่าปากของนาง “ฉันชื่อปราณีนะ ส่วนนี่ก็คือปิยะดาหรือหนูแป้ง น้องสาวของหนูไงละจ๊ะ”“น้องสาว!” รุจารินทวนคำอย่างฉงน เพราะตั้งแต่เกิดมา เธอรับรู้ว่าเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว เคยคิดว่าอยากมีน้องเหมือนกัน แต่แม่เธอไม่ค่อยแข็งแรงนัก ตอนเธอคลอดก็ลำบากจนแทบจะเสียชีวิตทั้งแม่ทั้งลูกด้วยซ้ำ แล้วน้องสาวตรงหน้านี่โผล่มาจากไหน “แต่จ๋าเป็นลูกคนเดียว! ไม่เคยมีน้องสาว”“ยายจ๋า! ฟังพ่อก่อนลูก”“หยุดนะ! พี่ยะ อย่าได้เอาเรื่องรกหูนี่มาพูดกับลูกสาวคนเดียวของฉัน พี่จะไปทำตัวเหลวไหลเละเทะหรือไปมั่วกับใครยังไงมาก็อย่าได้ทำให้ลูกฉันต้องมารับรู้เรื่องเลวๆ นี่” นางดารินตวาดใส่เสียงสั่นเครือ นางพยายามประคองตัวเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลโดยมีลูกสาวตัวน้อยช่วยประคับประคอง แม้จะข่มใจให้เข้มแข็งทั้งๆ ที่ภายในหัวใจมันแหลกราญด้วยฝีมือคนที่รักจนชาไปหมดแล้ว เมื่อต้องเป็นหลักให้ลูกสาวสุดที่รัก เธอจะอ่อนแอไม่ได้“นี่ดา พี่บอกแล้วไงว่าให้พูดกันดีๆ คุณณีกับลูกเขาก็เป็นครอบครัวเดียวกันกับเ
รุจาริน พิชารักษ์ ไม่เคยลบเลือนภาพในวันนั้นออกไปจากสมองและหัวใจได้ แม้เวลาจะผ่านไปอีกกี่ปี เธอจำได้แม่นว่ามันคือวันเกิดปีที่ครบรอบสิบขวบ และยังเป็นวันที่ผลสอบปลายภาคออกอีกด้วยเด็กหญิงรุจาริน เปรมจิตติ ในวันนั้นเดินแกมวิ่งไปบนถนนที่ทอดไปสู่บ้านน้อยกลางซอยของเธอด้วยใจที่เบิกบานที่หนึ่งอีกครั้ง!ริมฝีปากชมพูจิ้มลิ้มยิ้มร่า อันที่จริงก็ไม่ต่างจากทุกครั้งตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน เด็กหญิงไม่เคยมีผลการเรียนต่ำกว่าที่หนึ่งของห้องเลยสักครั้ง แต่ที่พิเศษคือครั้งนี้พ่อของเธอสัญญาว่าจะซื้อจักรยานให้ลูกสาวคนเก่งไว้ขับไปโรงเรียน หลังจากที่เขาไปทำงานที่ต่างจังหวัดอยู่นานกว่าสองปี และพ่อคงจะพาเธอและแม่ไปทานอะไรอร่อยๆ ฉลอง พร้อมกับมีขนมเค้กสวยๆ มาให้เธอเป่าเทียนวันเกิดด้วย ส่วนนางดารินแม่ของเธอนั้นให้ของขวัญก่อนล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มันคือชุดเดรสสีชมพูแสนหวานที่ตัดเย็บเองกับมือ ซึ่งเธอรบเร้าอยากได้ เพื่อใส่ไปงานฉลองปิดภาคเรียนที่เธอได้รับเลือกให้แสดงโชว์บนเวทีนั่นไง! รถเก๋งของพ่อเธอจอดอยู่หน้าบ้านแล้ว เด็กหญิงยิ้มร่า หัวใจพองโต มันนานมากที่เธอไม่ได้เจอพ่อ ความคิดถึงท่วมท้นหัวใจ มือที่กำสมุดพกสั
ช่วงเย็นของร้านชาบูแบบบุฟเฟ่ต์ใจกลางห้างดังเนืองแน่นด้วยลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามารับประทาน โดยเฉพาะเป็นช่วงที่มีการเลี้ยงฉลองรับปริญญาของเหล่าบัญฑิตจบใหม่จึงทำให้บรรยากาศของร้านคึกคักเป็นพิเศษ“ต้องรอคิวนานไหมคะ”พนักงานหน้าร้านเงยหน้ามองลูกค้าสาวที่คงเป็นหนึ่งในเหล่าบัณฑิตจบใหม่เพราะเธอสวมชุดนักศึกษาและมีชุดครุยพาดที่แขนเรียวสวย ใบหน้าหมดจดสะดุดตาแต้มแต่งด้วยเครื่องสำอางบางๆ แต่กลับดูงามผุดผ่อง ที่โดดเด่นคือดวงตากลมโตที่คมกริบดูเฉลียวฉลาดและเอาเรื่องคู่นั้น“ไม่ทราบว่ามากี่ท่านคะ”“สองค่ะ”“ถ้าเป็นแบบโต๊ะรวมก็อีกสามคิวเท่านั้นค่ะ แต่ถ้านั่งแบบเดี่ยวๆ แยกหม้อ ก็รออีกหกคิวค่ะ สนใจแบบไหนดีคะ”“โต๊ะรวมค่ะ ลงชื่อจองคือรุจารินนะคะ” บัณฑิตสาวหน้าใสเอ่ย พร้อมกับรอรับบัตรจองคิว และเดินกลับไปหาหญิงวัยกลางคนที่ยืนรอบริเวณหน้าร้าน“แม่นั่งตรงนี้ก่อนนะคะ รออีกสามคิวเท่านั้นเอง”“คนเยอะแบบนี้ไว้เราค่อยมาวันหลังไม่ดีหรือลูก หรือไปกินที่ร้านอื่นก็ได้ ร้านหมูกะทะแถวบ้านเราไงลูก ราคาไม่แพงด้วย”รุจาริน พิชารักษ์ หรือ จ๋า ส่งยิ้มหวานให้มารดา เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดคำนวนค่าอาหารในใจด้วยความเสียดายเงินท