ตกเย็นของวันถัดมา
“สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า” หญิงสาวยกมือขึ้นสวัสดีหญิงชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งก็เป็นพ่อแม่ของคามิลและขุนเขา เพราะครอบครัวสนิทกันมากแต่ก็ไม่ได้นัดกันมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาด้วยกันบ่อยๆ
“หนูฮาน่า!”
“หนูฮาน่าจริงๆ เหรอเนี่ย ไม่ได้เจอกันแค่ปีเดียว สวยขึ้นเป็นกองเลย” แม่ของคามิลนั้นเอ่ยชมอย่างไม่ขาดปาก เพราะไม่ได้เจอกับฮาน่ามาเป็นปีเลยก็ว่าได้ กลับมาคราวนี้เธอสวยขึ้นเป็นกองเลย
“ขอบคุณค่ะคุณป้า”
“เข้าบ้านกันก่อนเถอะนะ ตรงนี้อากาศร้อน” พ่อของขุนเขาพูดขึ้น
“แล้วนี่ทั้งสองหนุ่มมาหรือยัง” แม่ของฮาน่าเอ่ยถามขึ้น
“โทรตามแล้ว กำลังมาน่ะ”
ฮาน่าไม่ได้พูดอะไรกับใครเลย มีแต่พ่อแม่ของเธอกับพ่อแม่ของคามิลและขุนเขาเท่านั้นที่พูดคุยเล่นกัน เธอยังไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไงถ้าได้เจอกับสองเพื่อนสนิทอีกครั้ง
ผ่านไปสักพักก็ได้ยินเสียงรถสปอร์ตดังมา และไม่นานนักสองหนุ่มสุดหล่อก็เดินเข้ามาพร้อมกัน และกล่าวทักทายลุงป้าน้าอาของตัวเองอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ คุณอาคุณน้า” คามิลพูด
“สวัสดีครับ คุณลุงคุณป้า คุณอาคุณน้า” ขุนเขาพูด
ที่ต้องเรียกต่างกันก็เพราะพ่อแม่ของพวกเขาไม่ได้อายุเท่ากัน ต่อให้จะเป็นเพื่อนกันแต่ก็ไม่ได้อายุเท่ากัน เพราะมาเจอกันก็ช่วงที่ได้เปิดบริษัทแล้ว
“สวัสดีจ้ะหนุ่มๆ หล่อขึ้นกันเป็นกองเชียว” แม่ของฮาน่าเอ่ยทักทายกลับ
“ขอบคุณครับ”
“ฮาน่ากลับมาแล้วนะ เราสองคนยังไม่รู้ใช่ไหม” แม่ของฮาน่าพูด
“ครับ ยังไม่รู้” ขุนเขาตอบกลับเสียงแผ่วเบา พร้อมกับส่งยิ้มแหยๆ ให้กับเธอเพื่อเป็นการทักทาย ทว่าเธอกลับไม่ได้มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนจะรู้กันดีเลยก็คือ ฮาน่าเก็บความรู้สึกเก่งมาก จะเศร้า ดีใจ มีความสุข ทุกอย่างจะมีเพียงใบหน้าที่แสนเรียบนิ่งเท่านั้น
ส่วนคามิลนั้นไม่ได้ทักทายอะไรกลับไป แต่ถึงอย่างนั้นผู้ใหญ่ก็ยังไม่ได้มีความแคลงใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสามคน แต่ก็คิดแค่ว่าเพราะไม่ได้เจอกันนานทั้งสามจึงยังเขินอายกันอยู่ และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป
“แล้วหนูฮาน่ากลับมาแล้วแบบนี้ จะทำงานอะไรต่อเหรอลูก?” แม่ของคามิลเอ่ยถาม ระหว่างที่กำลังนั่งทานข้าวด้วยกันอยู่
“ก็คงจะรับช่วงต่อจากคุณพ่อค่ะ แต่ก็คิดเหมือนกันว่าถ้าอะไรๆ มันลงตัวแล้ว หนูจะเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองสักร้าน แล้วก็คอยแวะเวียนไปดูแลเอา” ฮาน่าตอบ
“หืม...แบบนั้นก็ดีเลยสิคะ ป้าจะได้ไปอุดหนุนทุกวันเลย”
“ก็แค่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าน่ะค่ะ คงอีกนานเลยกว่าจะได้เปิด”
“งั้นป้าจองโต๊ะสำหรับวีไอพีไว้ล่วงหน้าเลยนะจ๊ะ” แม่ของคามิลยังคงพูดกล่อมเธออยู่แบบนั้น จนทำเอาเธอแอบรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อยเลยเหมือนกัน
“แหมเธอก็...กะว่าจะล็อคมงให้หนูฮาน่าเป็นลูกสะใภ้เลยหรือไงจ๊ะ”
“ถ้าได้ก็ดีสิ ครอบครัวเราก็สนิทกันอยู่แล้วอ่ะเนาะ ถ้าได้ดองกันมันคงจะดีไม่น้อยเลย”
“คงต้องแข่งกับฉันหน่อยแล้วล่ะมั้ง” แม่ของขุนเขาหันไปพูดกับแม่ของคามิล
“หนูฮาน่าสวย เก่ง ขนาดนี้ใครบ้างจะไม่อยากได้เป็นลูกสะใภ้ ป้าพูดไว้ตรงนี้เลยนะ ผู้ชายคนไหนที่มันทิ้งหนูมันตาถั่วมากๆ”
“คุณป้าอย่าพูดแบบนั้นสิคะ หนูยังไม่เคยมีแฟนสักหน่อย”
ถึงจะไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนสนิททั้งสองแต่เพราะถูกจี้ไม่หยุดแถมยังชงให้เธอเป็นลูกสะใภ้อีกต่างหาก เป็นใครมันก็ต้องมีรู้สึกเขินบ้างแหละ
เวลาผ่านไปจนกระทั่งกินข้าวด้วยกันอิ่ม จากนั้นก็เป็นการนั่งพูดคุยสนทนากันตามประสาเพื่อนสนิทของครอบครัวเธอและอีกฝ่าย ฮาน่านั่งอยู่ได้สักพักก็ขอตัวเดินออกไปเพราะรู้สึกอึดอัดจนทำตัวไม่ถูกเลย
เธอเดินออกมาโดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าถูกเพื่อนสนิทอย่างขุนเขาตามออกมาเช่นกัน
“ฮาน่า...” น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกดังขึ้นทางด้านหลังของเธอ แม้จะรู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทแต่เธอก็ไม่ได้หันกลับไปทักทายกลับ และก็ไม่ได้สนใจด้วยว่าขุนเขาตั้งใจตามมาเพื่ออะไร
“…..”
“จะไม่กลับไปที่บ้านของเราอีกแล้วเหรอ”
“ไม่” เป็นการตอบกลับสั้นๆ แต่มันก็ฉะฉานตรงไปตรงมา แม้เธอจะไม่ได้บอกเหตุผลอะไรกับเขาแต่ขุนเขาก็พอจะรู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร
“ยังโกรธเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอวะ?”
“…..”
“ไม่เอาดิวะ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานนะเว้ย เรื่องแบบนี้ก็หยวนๆ ให้เพื่อนหน่อยไม่ได้หรือไงวะ?”
“พูดมาได้นะ ลองให้กูทำแบบที่พวกมึงทำบ้าง มันจะเป็นยังไงวะ”
“เดี๋ยวๆ มันก็ไม่เหมือนกันอยู่ดีนะ มึงเป็นผู้หญิงมันเสียหาย”
“อ้อ...จะบอกว่า ผู้หญิงผู้ชายแบ่งชนชั้นกันว่างั้น?”
“แต่มันก็...”
“พอเลิกพูด กูไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น”
“มีอะไรกัน!?” เสียงของคามิลดังมาแต่ไกล เพราะเห็นว่าทั้งสองนั้นออกมานานพอสมควรเขาจึงตามออกมา บวกกับเขาเองก็ไม่อยากอยู่ที่ตรงนั้นด้วย สถานการณ์มันพาให้อึดอัดจนบอกไม่ถูก ยิ่งแม่ของตัวเองนั่นเชียร์ให้เขากับฮาน่าคบกันมันยิ่งรู้สึกแปลกๆ ไปหมด
ให้คบกับคนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานเนี่ยนะ ถ้ามันจะเป็นไปได้ก็ต้องเปลี่ยนตัวเองกันพอสมควรเลยล่ะ
“ไม่มีอะไร กูแค่มาคุยกับฮาน่าเรื่องบ้าน” ขุนเขาตอบกลับ
“บ้านหลังนั้น กูจะไปถอนชื่อออกเอง”
“มึงพูดอะไร?” คามิลถามพร้อมกับขมวดคิ้วจ้องมองใบหน้าสวยอย่างขุ่นเคือง เรื่องแค่นี้มันไม่น่าจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยนี่นา แค่ทำความสะอาด เก็บกวาด ซ่อมแซม แค่นั้นมันก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง
เขาไม่อยากให้ผู้ใหญ่ต้องมารับรู้เรื่องราวที่มันเกิดขึ้น
“กูจะไม่กลับไปเหยียบที่นั่นอีก”
“ฮาน่า!!”
“เออ สำหรับพวกมึงอ่ะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก กูมันเรื่องมากเองแหละ แต่กูยังยืนยันคำเดิมว่าจะไม่กลับไป”
“งั้นก็ดี ไม่อยากกลับก็แล้วแต่มึงเลยละกัน”
“สัส!!”
“ฮะ ฮาน่า...ใจเย็นก่อนดิวะ” ขุนเขารีบเข้ามาคว้าตัวของฮาน่าเอาไว้ เพราะไม่อย่างนั้นได้เกิดศึกสงครามกลางบ้านอย่างแน่นอน
เป็นเพื่อนสนิทกันรู้จักกันดีว่าแต่ละคนนิสัยเป็นยังไง แต่ปกติทั้งสามคนจะไม่ค่อยมีปัญหากันเท่าไหร่ ทว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนกับครั้งไหนๆ และดูเหมือนว่าความสัมพันธ์นี้มันก็จะไม่มีทางที่จะดีขึ้นด้วย
"มันจะอะไรนักหนาวะ โตๆ กันแล้วนะ เรื่องแค่นี้ถึงกับรับไม่ได้เลยหรือไง" คามิลเองก็ยังคงพูดหาเรื่องไม่หยุด ซึ่งนั่นก็เป็นการกระทำที่ทำให้ฮาน่าไม่พอใจพอสมควรเลย
"งั้นมึงก็รับได้ไปคนเดียวดิ กูรับไม่ได้มันก็เรื่องของกู มีบ้านดีๆ ไม่ชอบ ชอบเป็นพ่อเล้าไงวะ?!"
"มึงนี่มัน...!!"
"เอาจริงนะ กูว่านะเรื่องนี้มันจบลงได้นะ พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานนะเว้ย จะให้ความสัมพันธ์ดีๆ มันจบลงกับอีกแค่เรื่องแค่นี้ไงวะ?" ขุนเขาพูดแทรกขึ้นมา เพราะดูเหมือนว่าทั้งฮาน่าและคามิลก็ไม่มีใครยอมใครเลย ถ้าเอาแต่เถียงกันไปมาแบบนี้ มันจะกลายเป็นเหตุทำให้ทะเลาะกันมากกว่า
"อยากจบก็จบไปเองดิ!"
หญิงสาวสะบัดตัวอย่างแรงเพื่อให้มือของเพื่อนสนิทที่จับตัวของเธออยู่นั้นหลุดออกไป จากนั้นก็เดินออกไปทันที เพื่อนทั้งสองเองก็อยากจะเดินตามไปเหมือนกัน แต่ก็กลัวว่ามันจะเป็นปัญหาใหญ่เข้าไปอีก และที่สำคัญหากผู้ใหญ่รู้เรื่องนี้เข้ามันก็ดูไม่ดีเท่าไหร่ด้วย
"เอายังไงต่อดีวะไอ้มิล?"
"ปล่อยแบบนี้ไปสักพักก่อนเดี๋ยวก็ดีขึ้นเองแหละ"
"อือ..."
เวลาต่อมา
บ้านริฮานน่า
"ฮาน่า..." เสียงของผู้เป็นแม่เอ่ยเรียกดังขึ้น ขณะที่เธอนั้นกำลังเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเดินทางอยู่ ก่อนที่เธอจะรีบตอบกลับไปในทันที
"คะคุณแม่"
"เก็บเสื้อผ้าไปไหนลูก?" คนเป็นแม่เดินเข้ามาและก็ได้เห็นลูกสาวกำลังเก็บเสื้อผ้าพอดี
"หนูว่าจะไปหาคอนโดที่อยู่ใกล้ๆ กับบริษัทของคุณพ่อค่ะ จะได้ไม่ต้องเดินทางไกลด้วย"
"ทำไมถึงไม่อยู่ที่บ้านล่ะ ให้คนขับรถของบ้านเราขับรถไปส่งก็ได้นี่"
"หนูโตแล้วนะคะคุณแม่"
"แหม่! แม่มีลูกสาวคนเดียวนะก็ให้แม่เป็นห่วงหน่อยสิ"
"ที่หนูจะไปหาคอนโดอยู่ก็เพราะอยากทำอะไรที่มันสะดวกๆ กว่านี้น่ะค่ะ อีกอย่างถ้าอยู่ใกล้กับบริษัทของคุณพ่อแล้ว ก็น่าจะเดินทางสะดวกอยู่"
"แล้วที่บ้านที่หนูซื้อตอนเรียนมหาลัยล่ะใครอยู่?"
"ก็สองคนนั้นนั่นแหละค่ะ"
"ได้คุยกันแล้วเหรอ ตอนนั่งกินข้าวอยู่แม่ไม่เห็นเราคุยอะไรกับเพื่อนเลย"
"ก็ได้คุยกันตอนที่ออกไปเดินเล่นค่ะ"
"แล้วไม่กลับไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นอีกเหรอ?"
"คงไม่ได้กลับไปแล้วค่ะ หนูไม่ได้เรียนแล้วนะคะ ถ้าสองคนนั้นจะอยู่ก็ไม่เป็นอะไรค่ะ แต่ถ้าพวกเขาไม่อยู่แล้วจะขายต่อหนูก็ไม่มีปัญหา"
"....."
"อีกอย่างบริษัทของคุณพ่อก็อยู่ไกลกว่าบ้านหลังนั้นเยอะ"
ขณะที่เธอกำลังคุยกับผู้เป็นแม่อยู่ มือของเธอนั้นก็เก็บสัมภาระข้าวของใส่กระเป๋าเดินทางไม่หยุดเช่นกัน หลายอย่างที่เธอต้องใช้หลายอย่างที่เธอต้องเก็บไป โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าเธอกำลังถูกผู้เป็นแม่มองอยู่ และมองด้วยสายตาที่เหมือนเต็มไปด้วยความถามมากมาย
"ฮาน่า..."
"คะ?"
"ลูกจะว่าอะไรไหม ถ้าแม่กับคุณป้าเร็นญาตกลงเรื่องการทาบทามหนู ให้เป็นแฟนกับ...คามิล"
"หนูกับเขาเป็นเพื่อนกันนะคะ เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้ว สนิทกันจนรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วนะคะ มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ"
"ถ้าไม่ลองแล้วเราจะรู้ได้ยังไงกันล่ะ"
"เพราะหนูรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ หนูถึงไม่ลองยังไงล่ะคะ"
"หรือว่าหนูจะมีแฟนแล้ว?"
"ยังไม่มีหรอกค่ะ แล้วหนูก็ยังไม่คิดเรื่องนี้ด้วย คุณแม่อย่ามาบังคับกันเลยนะคะ ตอนนั้นที่หนูไม่ได้พูดอะไร หนูเกรงใจคุณป้ากับคุณลุงต่างหาก หนูแค่อยากให้คุณแม่รู้เอาไว้น่ะค่ะ ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก"
"แม่ขอโทษนะ ถ้าแม่ทำให้หนูต้องหนักใจ"
"ไม่เป็นอะไรเลยค่ะคุณแม่"
ฮาน่าเข้าใจความรู้สึกของแม่เธอ เพราะเธอเป็นลูกคนเดียว ก็ไม่แปลกหรอกที่คนเป็นพ่อแม่อยากเห็นลูกสาวคนเดียวเป็นฝั่งเป็นฝามีคนคอยดูแล แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเธอต้องมีครอบครัวขึ้นมา เธอคิดว่ามันคงไม่ใช่เพื่อนสนิทของเธอ เพราะเธอยังมองไม่ออกเลยว่าจะรักกันและลงเอยกันได้ยังไง
ริฮานน่า Talkเวลาผ่านไปร่วมเดือนได้ ฉันจัดการอะไรต่อมิอะไรลงตัวหมดแล้ว ได้คอนโดที่อยู่ใหม่และก็อยู่ใกล้ๆ กับบริษัทของคุณพ่อด้วย ส่วนพวกเพื่อนสนิทอีกสองคนฉันไม่ได้ติดต่อเลย และก็ไม่คิดที่จะติดต่อไปด้วยตอนนี้ฉันกำลังยืนแต่งตัวไปเที่ยวคลับอยู่ ฉันไม่รู้จะอยู่ทำอะไรเหมือนกัน อยู่คนเดียวที่ห้องมันก็น่าเหนื่อยและก็แสนจะเบื่อมาก ปกติก็จะไปเที่ยวกับสองคนนั้นแหละ ไปไหนเราก็ไปด้วยกันอยู่แล้ว ยิ่งไปเที่ยวคลับตัวยิ่งติดกันอย่างกับปาท่องโก๋ เรียกได้ว่าฉันไม่ต้องกลัวเลยเพราะมีบอดี้การ์ดคอยดูแลอยู่ถึงสองคนแต่ก็ไม่ได้แปลว่านอกเหนือจากสองคนนั้นแล้วฉันจะไม่มีเพื่อนอีกเลย แค่ไม่ได้ติดต่อกันอีกแค่นั้นเองพอแต่งตัวอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็คว้ากระเป๋าสะพายของตัวเอง ลงมาที่ใต้คอนโดและขับรถของตัวเองออกไปแหงล่ะรถคันนี้คุณพ่อเพิ่งจะถอยมาให้ใหม่ๆ เลย ที่ขับรถไปเองเพราะฉัน คิดว่าตัวเองไม่ได้จะไปดื่มอะไรแค่อยากไปเที่ยวเพิ่มสีสันให้หายเบื่อเท่านั้นเองพอมาถึงฉันก็เดินไปตรงเคาน์เตอร์บาร์ที่มีบาร์เทนเดอร์อยู่ทันที ปกติถ้าฉันกับพวกนั้นได้มาเที่ยวคลับเราสามคนก็จะมานั่งกันอยู่ตรงนี้แหละ"สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ
หญิงสาวหันมองไปตามเสียงก็พบว่านั่นคือ คามิล เพื่อนสนิทของเธอที่ไม่ได้คุยกันมานานแล้ว เขากำลังนั่งจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มที่เข้ามาชวนเธอคุย สายตาที่แสนจะเย็นชาและดุดันนั้นทำเอาชายหนุ่มคนนั้นถึงกับต้องรีบหลบสายตาทันทีเธอถอนหายใจออกมาอย่างแรง มันน่าหงุดหงิดนะที่ต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ อุตส่าห์หนีมาจนถึงที่นี่แล้วเชียว“ขอตัวก่อนนะคะ ไว้เจอกันใหม่”“ครับ”พูดจบเธอก็ลุกเดินหนีไปนั่งตรงที่อื่น โดยที่ไม่ได้สนใจสายตาของคามิลที่กำลังจ้องมองตามไปเลยไม่อยากเจอ ไม่อยากคุย ไม่อยากเห็นหน้า ทำไมต้องมาเจอกันที่นี่ด้วยนะ“ฮาน่า...”“…..” หญิงสาวถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เพราะเธอได้เจอ ขุนเขา อีกคนด้วย หรือว่าสองคนนี้จะมาเที่ยวที่นี่เหมือนกันนะ “อย่ามายุ่ง กูจะอยู่คนเดียว”“ยังไม่หายโกรธอีกหรือไง?” ขุนเขาเอ่ยถามเสียงเรียบ ก่อนจะเหลือบมองไปยังหน้าเคาน์เตอร์บาร์ที่คามิลนั่งอยู่ และก็ไม่ต้องเดาอะไรมากไปกว่านั้นเลย “ไอ้มิลมันทำอะไรให้อีกล่ะ?”“บอกแล้วไง ว่าไม่ต้องมายุ่ง”“แต่งตัวแบบนี้ออกมาเที่ยว ไม่กลัวบ้างรึไง”“เรื่องของกู”“ฮาน่า...”“…..”“อย่าดื่มเยอะ”แก้วเครื่องดื่มถูกขุนเขาดึงออกไปขณะที่เธอกำลังยกข
ทั้งสองเดินออกตามหาฮาน่ากันให้ทั่ว เพราะไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหนที่รถของเธอก็ไม่มีและรถก็ยังจอดอยู่ที่เดิมด้วย นั่นจึงทำให้สองเพื่อนใจร้อนเข้าไปใหญ่คามิลแม้จะเห็นว่าผู้ชายคนนั้นหย่อนผงยาลงไปในแก้วแต่ก็ไม่เห็นว่ามันคือยาอะไร และก็ไม่รู้ด้วยว่าหลังจากที่ฮาน่านั้นดื่มเครื่องดื่มที่มีผงยาลงไปแล้วจะเป็นยังไงบ้าง“ไอ้มิล กูว่าต้องแยกกันหาก่อนวะ” ขุนเขาที่กำลังรีบเดินตามพอวนกลับมาเจอกับคามิลอีกครั้งก็เข้ามาพูดด้วยทันทีผ่านไปสักพักทั้งสองแยกย้ายกันออกตามหาจนไม่รู้เลยว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่ทุกวินาทีกับการออกตามหาฮาน่าในตอนนี้มันสำคัญทุกวินาทีเลยก็ว่าได้ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะเป็นยังไงบ้าง หรือกำลังถูกใครลวนลามอยู่หรือเปล่า“อึกฮึก!!” เสียงครางแผ่วเบาที่ดังออกมาจากมุมที่มีต้นไม้ปิดบังอยู่ทำให้คามิลที่กำลังเร่งรีบกับการเดินต้องหยุดชะงักทันที ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปตามเสียงที่ได้ยินมา และก็ได้เห็นหญิงสาวที่กำลังตามหานั้นนั่งขดตัวอยู่ ตัวของเธอสั่นเทาไปหมด แม้จะอยู่ในมุมมืดแต่เขาก็ยังพอจะมองเห็นว่าตัวของเธอนั้นกำลังสั่น“ฮาน่า!!” คามิลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก ก่อนที่เขาจะรีบถอดเส
เช้าวันต่อมาฮาน่ารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา บวกกับอาการที่ปวดหัวนิดๆ คล้ายคนที่กำลังเป็นไข้ แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยทว่าพอเธอได้ลืมตาขึ้นและมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเอง มันถึงได้ทำให้เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ และก็ไม่ใช่คอนโดของเธอด้วยพอฉุกคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เธอก็พอจะจำได้อย่างเลือนลางว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สภาพเนื้อตัวที่ถูกเปลี่ยนเสื้อผ้า บวกกับตรงข้อมือและข้อเท้าที่มีรอยแดงเหมือนกับถูกมัดมันยังไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ ใช่ไหมความบริสุทธิ์ของเธอยังไม่ถูกใครพรากไปใช่ไหมแกร๊ก~"ฟื้นแล้วเหรอ?""ไอ้เหี้ยขุน เป็นมึงเองหรอกเหรอ?""อ-อะไร?!""ไอ้เลวมึงนี่มัน..."ฮาน่าหันกลับไปคว้าหมอนที่อยู่ทางด้านหลังของเธอ จากนั้นก็ปาใส่คนตรงหน้าไปด้วยแรงที่มี แต่ทว่าขุนเขากลับหลบได้ทัน และคนที่โดนก็ดันเป็นคามิลที่เดินเข้ามาพอดี"อะไรอีกวะเนี่ย?""พวกมึงทำอะไรกู?!""เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งคิดแบบนั้น พวกกูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเว้ย" ขุนเขารีบพูดดักเพื่อยับยั้งความคิดของฮาน่า ดูเหมือนว่าเธอนั้นกำ
เวลาผ่านล่วงเลยไปจนกระทั่งวันหยุดแม้จะไม่อยากลับบ้านแต่ฮาน่าก็ทนการถูกรบเร้าของผู้เป็นแม่ไม่ได้ ไม่รู้ว่าแม่ของเธอนั้นอยากให้ไปเจอใคร แต่ก็แอบคิดว่าคงไม่ใช่คามิลหรอกนะ"คุณแม่คะหนูกลับมาแล้วค่ะ" เสียงหวานเอื้อนเอ่ยเหมือนคนที่กำลังเหนื่อยล้า พร้อมกับลากสังขารของตัวเองเดินเข้าไปในบ้าน แต่ทว่าคนที่เดินออกมารับเธอกลับเป็นแม่บ้าน"สวัสดีค่ะคุณหนู""ป้าบัวคะคุณแม่ไปไหน""เห็นว่าจะขอขึ้นไปแช่น้ำอุ่นข้างบนน่ะค่ะ ให้ป้าขึ้นไปตามให้ไหมคะ""ไม่เป็นอะไรค่ะ ป้าบัวไปทำงานต่อเถอะ""ค่ะคุณหนู"ฮาน่าทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้โซฟา ใบหน้าสวยหลับตาพริ้มคล้ายกับคนที่กำลังนอนหลับ แต่เธอก็แค่พักสายตาเฉยๆ เท่านั้นแหละ..........ผ่านไปสักพัก"ลูกสาว...""....." ฮาน่าค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อได้ยินเสียงของ คุณหญิงเกวลิน แม่สุดที่รักของเธอเองนั่นแหละ "อืม... ไหนคุณแม่บอกว่าจะมีคนมาไงคะ นี่หนูมารอตั้งนานแล้วไม่เห็นมีใครมาเลย""แม่บอกว่าตอนเย็นนะ เราไม่ได้ฟังหรือเปล่า""....." ฮาน่าก้มลงมองดูนาฬิกาตรงข้อมือของตัวเอง ก่อนที่เธอนั้นจะถอนหายใจออกมาอย่างแรง นี่มันยังไม่เที่ยงเลยแต่เธอก็มาก่อนซะแล้ว ที่จริงเธอจำคำพูดของแม่ท
ณ บริษัทใหญ่KMกรุ๊ปฮาน่าเดินเข้าไปในบริษัทของคามิลเพราะได้รับคำเชิญให้มาร่วมการประชุมของประธานบริษัทต่างๆ แม้เธอจะยังไม่ได้รับตำปหน่งหน้าที่นี้เต็มตัวแต่เธอก็มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาร่วมประชุม“สวัสดีค่ะคุณฮาน่า”“ค่ะ”“เชิญด้านในเลยค่ะ”“ขอบคุณค่ะ”ฮาน่าเข้าไปในห้องประชุมโดยที่มีผู้ช่วยของคามิลเป็นคนเปิดประตูให้ พอเดินเข้าไปเธอก็เห็นคามิลและขุนเขานั่งรออยู่แล้ว ซึ่งมันก็ไม่แปลกเพราะทั้งสองเป็นหุ้นส่วนกัน แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะมีใครมาอีกหรือเปล่า“หวัดดีฮาน่า” ขุนเขายกมือโบกทักทายหญิงสาวที่เข้ามาใหม่เล็กน้อย พร้อมกับยิ้มด้วยท่าทางอารมณ์ดี“อืม...มากันเร็วนะ”“เดินมาแค่นี้ ไม่เร็วก็ให้มันรู้ไปสิ” คามิลตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แต่ไอ้น้ำเสียงแบบนี้แหละที่มันทำให้ฮาน่ารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดจากวนประสาท“กวนตีน!” ฮาน่าหันไปด่าเข้าให้ รู้อยู่หรอกว่าอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่คิดว่าทั้งสองจะมาเร็วแบบนี้ กว่าจะถึงเวลาประชุมก็ยังอีกตั้ง 15 นาทีเลย เป็นเจ้าของที่นี่เดินจากห้องทำงานมาสามก้าวก็ถึงแล้ว“แฮ่ม! ใจเย็นก่อนหนุ่มๆ สาวๆ” เสียงทุ้มเอ่ยทักดังขึ้นมา ทำให้ฮาน่าหันไปมองพร้อมกับทำหน้าเหวอ เพราะบุคคลนั้นคือ
หลายเดือนถัดมาครืด ครืด ครืดโทรศัพท์เครื่องหรูของฮาน่าสั่นครืดขณะที่เธอกำลังนั่งทำงานและวางมือถือไว้ข้างๆ ตัวเอง ก่อนที่มือเรียวเล็กจะจับมือถือเครื่องหรูของตัวเองขึ้นมาและกดรับสาย“อืม ว่ามา” เธอกดรับสายพร้อมกับเปิดลำโพงและวางโทรศัพท์ไว้ตรงที่เดิม และก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารตรงหน้าต่อ( กลางวันไปกินข้าวกัน ไอ้มิลจะเลี้ยง )“…..” พอได้ยินอย่างนั้นแล้วฮาน่าก็เหลือบไปมองที่นาฬิกาตรงข้อมือของเธอเอง เพราะมัวแต่ทำงานจึงไม่ได้ดูเวลาพักเลยนี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว( ฮาน่า )“อะไร?”( เธองานยุ่งเหรอ )“นิดหน่อยอ่ะ”การถูกชักชวนในเรื่องแบบนี้น้อยนักที่เธอจะพลาด แต่ตอนนี้งานของเธอมันล้นตัวจริงๆ แทบจะกระดิกไปทางไหนไม่ได้แล้ว( ฮะ เฮ้ย! กูคุยอยู่เนี่ย!! ) เสียงของคนปลายสายดังขึ้นเหมือนกับว่ากำลังทะเลาะกับใครบางคน ทำให้ฮาน่ามองไปที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือโดยอัตโนมัติ( กูเองนะฮาน่า เดี๋ยวแวะไปหา ซื้อของกินไปด้วย ) น้ำเสียงนั้นเอ่ยขึ้นมาอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้อ้าปากพูดตอบอะไรกลับไป ปลายสายก็กดวางไปซะก่อนแล้ว แบบนี้เธอจะไปทำอะไรได้ล่ะ“วุ่นวายกันจริงๆ ไอ้พวกนี้” ฮาน่าพึมพำกับตัวเองอย่างจ
“สองคนนั้นทำไมไปนานจัง” ฮาน่าพึมพำออกมา เพราะคามิลและธารานั้นหายออกไปหยิบจานกันนานแล้ว หวังว่ามันจะไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกนะถึงจะรู้จักนิสัยของคามิลเป็นอย่างดี แต่ก็ยังรู้ดีอีกว่า คามิลนั้นเป็นคนที่ปากปีจอใช้ได้เลยทว่าสิ้นสุดคำพูดของเธอเท่านั้นได้ไม่นานนักทั้งสองก็พากันเดินออกมา“รอนานไหมครับน้องฮาน่า”“ไม่นานเลยค่ะ”ธาราจัดการเตรียมอาหารใส่จานให้กับฮาน่าและเพื่อนของเธออีกสองคนอย่างพิถีพิถันตามประสาคนที่เป็นเชฟไม่นานนักเธอก็ได้ชิมรสชาติอาหารเหล่านั้น ดวงตากลมสวยเบิกกว้างพร้อมกับใบหน้าที่แสดงออกถึงความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง“อย่ามัวแต่ยิ้มสิ พี่อยากรู้ว่าเป็นยังไง” ธาราที่กำลังรอคำตอบจากหญิงสาวก็เอ่ยถามขึ้น เพราะเธอเอาแต่ยิ้มอยู่แบบนั้นเขาเลยไม่รู้ว่ารสชาติมันเป็นยังไง“อร่อยมากค่ะ” มือสวยป้องปากตัวเองขณะที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่ ดวงตาของเธอนั้นเป็นประกายแวววับบ่งบอกถึงความสุขที่ได้ลิ้มลองรสชาติอาหารนี้ทว่าความสุขของเธอก็ถูกขัดจากเพื่อนสนิทอย่าง คามิล“จืดชืด เป็นเชฟได้ยังไงวะ สงสัยเรียนจากมหาลัยเถื่อนชัวร์” แม้จะเป็นคำพูดที่เหมือนกำลังพึมพำอยู่กับตัวเอง แต่การที่อยู่ใกล้กันแบบนี้ก็ไม่แปลก
“สองคนนั้นทำไมไปนานจัง” ฮาน่าพึมพำออกมา เพราะคามิลและธารานั้นหายออกไปหยิบจานกันนานแล้ว หวังว่ามันจะไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกนะถึงจะรู้จักนิสัยของคามิลเป็นอย่างดี แต่ก็ยังรู้ดีอีกว่า คามิลนั้นเป็นคนที่ปากปีจอใช้ได้เลยทว่าสิ้นสุดคำพูดของเธอเท่านั้นได้ไม่นานนักทั้งสองก็พากันเดินออกมา“รอนานไหมครับน้องฮาน่า”“ไม่นานเลยค่ะ”ธาราจัดการเตรียมอาหารใส่จานให้กับฮาน่าและเพื่อนของเธออีกสองคนอย่างพิถีพิถันตามประสาคนที่เป็นเชฟไม่นานนักเธอก็ได้ชิมรสชาติอาหารเหล่านั้น ดวงตากลมสวยเบิกกว้างพร้อมกับใบหน้าที่แสดงออกถึงความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง“อย่ามัวแต่ยิ้มสิ พี่อยากรู้ว่าเป็นยังไง” ธาราที่กำลังรอคำตอบจากหญิงสาวก็เอ่ยถามขึ้น เพราะเธอเอาแต่ยิ้มอยู่แบบนั้นเขาเลยไม่รู้ว่ารสชาติมันเป็นยังไง“อร่อยมากค่ะ” มือสวยป้องปากตัวเองขณะที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่ ดวงตาของเธอนั้นเป็นประกายแวววับบ่งบอกถึงความสุขที่ได้ลิ้มลองรสชาติอาหารนี้ทว่าความสุขของเธอก็ถูกขัดจากเพื่อนสนิทอย่าง คามิล“จืดชืด เป็นเชฟได้ยังไงวะ สงสัยเรียนจากมหาลัยเถื่อนชัวร์” แม้จะเป็นคำพูดที่เหมือนกำลังพึมพำอยู่กับตัวเอง แต่การที่อยู่ใกล้กันแบบนี้ก็ไม่แปลก
หลายเดือนถัดมาครืด ครืด ครืดโทรศัพท์เครื่องหรูของฮาน่าสั่นครืดขณะที่เธอกำลังนั่งทำงานและวางมือถือไว้ข้างๆ ตัวเอง ก่อนที่มือเรียวเล็กจะจับมือถือเครื่องหรูของตัวเองขึ้นมาและกดรับสาย“อืม ว่ามา” เธอกดรับสายพร้อมกับเปิดลำโพงและวางโทรศัพท์ไว้ตรงที่เดิม และก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารตรงหน้าต่อ( กลางวันไปกินข้าวกัน ไอ้มิลจะเลี้ยง )“…..” พอได้ยินอย่างนั้นแล้วฮาน่าก็เหลือบไปมองที่นาฬิกาตรงข้อมือของเธอเอง เพราะมัวแต่ทำงานจึงไม่ได้ดูเวลาพักเลยนี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว( ฮาน่า )“อะไร?”( เธองานยุ่งเหรอ )“นิดหน่อยอ่ะ”การถูกชักชวนในเรื่องแบบนี้น้อยนักที่เธอจะพลาด แต่ตอนนี้งานของเธอมันล้นตัวจริงๆ แทบจะกระดิกไปทางไหนไม่ได้แล้ว( ฮะ เฮ้ย! กูคุยอยู่เนี่ย!! ) เสียงของคนปลายสายดังขึ้นเหมือนกับว่ากำลังทะเลาะกับใครบางคน ทำให้ฮาน่ามองไปที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือโดยอัตโนมัติ( กูเองนะฮาน่า เดี๋ยวแวะไปหา ซื้อของกินไปด้วย ) น้ำเสียงนั้นเอ่ยขึ้นมาอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้อ้าปากพูดตอบอะไรกลับไป ปลายสายก็กดวางไปซะก่อนแล้ว แบบนี้เธอจะไปทำอะไรได้ล่ะ“วุ่นวายกันจริงๆ ไอ้พวกนี้” ฮาน่าพึมพำกับตัวเองอย่างจ
ณ บริษัทใหญ่KMกรุ๊ปฮาน่าเดินเข้าไปในบริษัทของคามิลเพราะได้รับคำเชิญให้มาร่วมการประชุมของประธานบริษัทต่างๆ แม้เธอจะยังไม่ได้รับตำปหน่งหน้าที่นี้เต็มตัวแต่เธอก็มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาร่วมประชุม“สวัสดีค่ะคุณฮาน่า”“ค่ะ”“เชิญด้านในเลยค่ะ”“ขอบคุณค่ะ”ฮาน่าเข้าไปในห้องประชุมโดยที่มีผู้ช่วยของคามิลเป็นคนเปิดประตูให้ พอเดินเข้าไปเธอก็เห็นคามิลและขุนเขานั่งรออยู่แล้ว ซึ่งมันก็ไม่แปลกเพราะทั้งสองเป็นหุ้นส่วนกัน แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะมีใครมาอีกหรือเปล่า“หวัดดีฮาน่า” ขุนเขายกมือโบกทักทายหญิงสาวที่เข้ามาใหม่เล็กน้อย พร้อมกับยิ้มด้วยท่าทางอารมณ์ดี“อืม...มากันเร็วนะ”“เดินมาแค่นี้ ไม่เร็วก็ให้มันรู้ไปสิ” คามิลตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แต่ไอ้น้ำเสียงแบบนี้แหละที่มันทำให้ฮาน่ารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดจากวนประสาท“กวนตีน!” ฮาน่าหันไปด่าเข้าให้ รู้อยู่หรอกว่าอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่คิดว่าทั้งสองจะมาเร็วแบบนี้ กว่าจะถึงเวลาประชุมก็ยังอีกตั้ง 15 นาทีเลย เป็นเจ้าของที่นี่เดินจากห้องทำงานมาสามก้าวก็ถึงแล้ว“แฮ่ม! ใจเย็นก่อนหนุ่มๆ สาวๆ” เสียงทุ้มเอ่ยทักดังขึ้นมา ทำให้ฮาน่าหันไปมองพร้อมกับทำหน้าเหวอ เพราะบุคคลนั้นคือ
เวลาผ่านล่วงเลยไปจนกระทั่งวันหยุดแม้จะไม่อยากลับบ้านแต่ฮาน่าก็ทนการถูกรบเร้าของผู้เป็นแม่ไม่ได้ ไม่รู้ว่าแม่ของเธอนั้นอยากให้ไปเจอใคร แต่ก็แอบคิดว่าคงไม่ใช่คามิลหรอกนะ"คุณแม่คะหนูกลับมาแล้วค่ะ" เสียงหวานเอื้อนเอ่ยเหมือนคนที่กำลังเหนื่อยล้า พร้อมกับลากสังขารของตัวเองเดินเข้าไปในบ้าน แต่ทว่าคนที่เดินออกมารับเธอกลับเป็นแม่บ้าน"สวัสดีค่ะคุณหนู""ป้าบัวคะคุณแม่ไปไหน""เห็นว่าจะขอขึ้นไปแช่น้ำอุ่นข้างบนน่ะค่ะ ให้ป้าขึ้นไปตามให้ไหมคะ""ไม่เป็นอะไรค่ะ ป้าบัวไปทำงานต่อเถอะ""ค่ะคุณหนู"ฮาน่าทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้โซฟา ใบหน้าสวยหลับตาพริ้มคล้ายกับคนที่กำลังนอนหลับ แต่เธอก็แค่พักสายตาเฉยๆ เท่านั้นแหละ..........ผ่านไปสักพัก"ลูกสาว...""....." ฮาน่าค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อได้ยินเสียงของ คุณหญิงเกวลิน แม่สุดที่รักของเธอเองนั่นแหละ "อืม... ไหนคุณแม่บอกว่าจะมีคนมาไงคะ นี่หนูมารอตั้งนานแล้วไม่เห็นมีใครมาเลย""แม่บอกว่าตอนเย็นนะ เราไม่ได้ฟังหรือเปล่า""....." ฮาน่าก้มลงมองดูนาฬิกาตรงข้อมือของตัวเอง ก่อนที่เธอนั้นจะถอนหายใจออกมาอย่างแรง นี่มันยังไม่เที่ยงเลยแต่เธอก็มาก่อนซะแล้ว ที่จริงเธอจำคำพูดของแม่ท
เช้าวันต่อมาฮาน่ารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา บวกกับอาการที่ปวดหัวนิดๆ คล้ายคนที่กำลังเป็นไข้ แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยทว่าพอเธอได้ลืมตาขึ้นและมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเอง มันถึงได้ทำให้เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ และก็ไม่ใช่คอนโดของเธอด้วยพอฉุกคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เธอก็พอจะจำได้อย่างเลือนลางว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สภาพเนื้อตัวที่ถูกเปลี่ยนเสื้อผ้า บวกกับตรงข้อมือและข้อเท้าที่มีรอยแดงเหมือนกับถูกมัดมันยังไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ ใช่ไหมความบริสุทธิ์ของเธอยังไม่ถูกใครพรากไปใช่ไหมแกร๊ก~"ฟื้นแล้วเหรอ?""ไอ้เหี้ยขุน เป็นมึงเองหรอกเหรอ?""อ-อะไร?!""ไอ้เลวมึงนี่มัน..."ฮาน่าหันกลับไปคว้าหมอนที่อยู่ทางด้านหลังของเธอ จากนั้นก็ปาใส่คนตรงหน้าไปด้วยแรงที่มี แต่ทว่าขุนเขากลับหลบได้ทัน และคนที่โดนก็ดันเป็นคามิลที่เดินเข้ามาพอดี"อะไรอีกวะเนี่ย?""พวกมึงทำอะไรกู?!""เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งคิดแบบนั้น พวกกูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเว้ย" ขุนเขารีบพูดดักเพื่อยับยั้งความคิดของฮาน่า ดูเหมือนว่าเธอนั้นกำ
ทั้งสองเดินออกตามหาฮาน่ากันให้ทั่ว เพราะไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหนที่รถของเธอก็ไม่มีและรถก็ยังจอดอยู่ที่เดิมด้วย นั่นจึงทำให้สองเพื่อนใจร้อนเข้าไปใหญ่คามิลแม้จะเห็นว่าผู้ชายคนนั้นหย่อนผงยาลงไปในแก้วแต่ก็ไม่เห็นว่ามันคือยาอะไร และก็ไม่รู้ด้วยว่าหลังจากที่ฮาน่านั้นดื่มเครื่องดื่มที่มีผงยาลงไปแล้วจะเป็นยังไงบ้าง“ไอ้มิล กูว่าต้องแยกกันหาก่อนวะ” ขุนเขาที่กำลังรีบเดินตามพอวนกลับมาเจอกับคามิลอีกครั้งก็เข้ามาพูดด้วยทันทีผ่านไปสักพักทั้งสองแยกย้ายกันออกตามหาจนไม่รู้เลยว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่ทุกวินาทีกับการออกตามหาฮาน่าในตอนนี้มันสำคัญทุกวินาทีเลยก็ว่าได้ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะเป็นยังไงบ้าง หรือกำลังถูกใครลวนลามอยู่หรือเปล่า“อึกฮึก!!” เสียงครางแผ่วเบาที่ดังออกมาจากมุมที่มีต้นไม้ปิดบังอยู่ทำให้คามิลที่กำลังเร่งรีบกับการเดินต้องหยุดชะงักทันที ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปตามเสียงที่ได้ยินมา และก็ได้เห็นหญิงสาวที่กำลังตามหานั้นนั่งขดตัวอยู่ ตัวของเธอสั่นเทาไปหมด แม้จะอยู่ในมุมมืดแต่เขาก็ยังพอจะมองเห็นว่าตัวของเธอนั้นกำลังสั่น“ฮาน่า!!” คามิลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก ก่อนที่เขาจะรีบถอดเส
หญิงสาวหันมองไปตามเสียงก็พบว่านั่นคือ คามิล เพื่อนสนิทของเธอที่ไม่ได้คุยกันมานานแล้ว เขากำลังนั่งจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มที่เข้ามาชวนเธอคุย สายตาที่แสนจะเย็นชาและดุดันนั้นทำเอาชายหนุ่มคนนั้นถึงกับต้องรีบหลบสายตาทันทีเธอถอนหายใจออกมาอย่างแรง มันน่าหงุดหงิดนะที่ต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ อุตส่าห์หนีมาจนถึงที่นี่แล้วเชียว“ขอตัวก่อนนะคะ ไว้เจอกันใหม่”“ครับ”พูดจบเธอก็ลุกเดินหนีไปนั่งตรงที่อื่น โดยที่ไม่ได้สนใจสายตาของคามิลที่กำลังจ้องมองตามไปเลยไม่อยากเจอ ไม่อยากคุย ไม่อยากเห็นหน้า ทำไมต้องมาเจอกันที่นี่ด้วยนะ“ฮาน่า...”“…..” หญิงสาวถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เพราะเธอได้เจอ ขุนเขา อีกคนด้วย หรือว่าสองคนนี้จะมาเที่ยวที่นี่เหมือนกันนะ “อย่ามายุ่ง กูจะอยู่คนเดียว”“ยังไม่หายโกรธอีกหรือไง?” ขุนเขาเอ่ยถามเสียงเรียบ ก่อนจะเหลือบมองไปยังหน้าเคาน์เตอร์บาร์ที่คามิลนั่งอยู่ และก็ไม่ต้องเดาอะไรมากไปกว่านั้นเลย “ไอ้มิลมันทำอะไรให้อีกล่ะ?”“บอกแล้วไง ว่าไม่ต้องมายุ่ง”“แต่งตัวแบบนี้ออกมาเที่ยว ไม่กลัวบ้างรึไง”“เรื่องของกู”“ฮาน่า...”“…..”“อย่าดื่มเยอะ”แก้วเครื่องดื่มถูกขุนเขาดึงออกไปขณะที่เธอกำลังยกข
ริฮานน่า Talkเวลาผ่านไปร่วมเดือนได้ ฉันจัดการอะไรต่อมิอะไรลงตัวหมดแล้ว ได้คอนโดที่อยู่ใหม่และก็อยู่ใกล้ๆ กับบริษัทของคุณพ่อด้วย ส่วนพวกเพื่อนสนิทอีกสองคนฉันไม่ได้ติดต่อเลย และก็ไม่คิดที่จะติดต่อไปด้วยตอนนี้ฉันกำลังยืนแต่งตัวไปเที่ยวคลับอยู่ ฉันไม่รู้จะอยู่ทำอะไรเหมือนกัน อยู่คนเดียวที่ห้องมันก็น่าเหนื่อยและก็แสนจะเบื่อมาก ปกติก็จะไปเที่ยวกับสองคนนั้นแหละ ไปไหนเราก็ไปด้วยกันอยู่แล้ว ยิ่งไปเที่ยวคลับตัวยิ่งติดกันอย่างกับปาท่องโก๋ เรียกได้ว่าฉันไม่ต้องกลัวเลยเพราะมีบอดี้การ์ดคอยดูแลอยู่ถึงสองคนแต่ก็ไม่ได้แปลว่านอกเหนือจากสองคนนั้นแล้วฉันจะไม่มีเพื่อนอีกเลย แค่ไม่ได้ติดต่อกันอีกแค่นั้นเองพอแต่งตัวอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันก็คว้ากระเป๋าสะพายของตัวเอง ลงมาที่ใต้คอนโดและขับรถของตัวเองออกไปแหงล่ะรถคันนี้คุณพ่อเพิ่งจะถอยมาให้ใหม่ๆ เลย ที่ขับรถไปเองเพราะฉัน คิดว่าตัวเองไม่ได้จะไปดื่มอะไรแค่อยากไปเที่ยวเพิ่มสีสันให้หายเบื่อเท่านั้นเองพอมาถึงฉันก็เดินไปตรงเคาน์เตอร์บาร์ที่มีบาร์เทนเดอร์อยู่ทันที ปกติถ้าฉันกับพวกนั้นได้มาเที่ยวคลับเราสามคนก็จะมานั่งกันอยู่ตรงนี้แหละ"สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ
ตกเย็นของวันถัดมา“สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า” หญิงสาวยกมือขึ้นสวัสดีหญิงชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งก็เป็นพ่อแม่ของคามิลและขุนเขา เพราะครอบครัวสนิทกันมากแต่ก็ไม่ได้นัดกันมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาด้วยกันบ่อยๆ“หนูฮาน่า!”“หนูฮาน่าจริงๆ เหรอเนี่ย ไม่ได้เจอกันแค่ปีเดียว สวยขึ้นเป็นกองเลย” แม่ของคามิลนั้นเอ่ยชมอย่างไม่ขาดปาก เพราะไม่ได้เจอกับฮาน่ามาเป็นปีเลยก็ว่าได้ กลับมาคราวนี้เธอสวยขึ้นเป็นกองเลย“ขอบคุณค่ะคุณป้า”“เข้าบ้านกันก่อนเถอะนะ ตรงนี้อากาศร้อน” พ่อของขุนเขาพูดขึ้น“แล้วนี่ทั้งสองหนุ่มมาหรือยัง” แม่ของฮาน่าเอ่ยถามขึ้น“โทรตามแล้ว กำลังมาน่ะ”ฮาน่าไม่ได้พูดอะไรกับใครเลย มีแต่พ่อแม่ของเธอกับพ่อแม่ของคามิลและขุนเขาเท่านั้นที่พูดคุยเล่นกัน เธอยังไม่รู้เลยว่าจะต้องทำยังไงถ้าได้เจอกับสองเพื่อนสนิทอีกครั้งผ่านไปสักพักก็ได้ยินเสียงรถสปอร์ตดังมา และไม่นานนักสองหนุ่มสุดหล่อก็เดินเข้ามาพร้อมกัน และกล่าวทักทายลุงป้าน้าอาของตัวเองอย่างนอบน้อม“สวัสดีครับ คุณอาคุณน้า” คามิลพูด“สวัสดีครับ คุณลุงคุณป้า คุณอาคุณน้า” ขุนเขาพูดที่ต้องเรียกต่างกันก็เพราะพ่อแม่ของพวกเขาไม่ได้อายุเท่ากัน ต่อให้จะเ