‘จากนี้เป็นต้นไปผมจะไม่กินยาคุม คุณห้ามใส่ถุงยาง ห้ามปล่อยนอก ต้องปล่อยในทุกครั้งแล้วมาดูกันว่าผู้ชายตรงหน้าคุณมันท้องได้จริงหรือไม่จริง’
“เวรเอ้ย นี่ฉันพล่ามบ้าอะไรออกไปวะ” เมอร์ลินกุมขมับอย่างเคร่งเครียดยามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แค่คนพวกนั้นไม่เชื่อ แค่โจไซอาห์ไม่เชื่อ เขาจำเป็นต้องลงทุนทำให้เชื่อด้วยหรือไง? ไม่เลย ใครจะไม่เชื่อก็ช่างหัวมันสิ แค่เชื่อในตัวเองว่าเขามันแปลกประหลาดแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว “ยกเลิกดีไหม...” พึมพำอย่างหมดหวังแล้วปล่อยตัวให้ไหลจมลงก้นอ่างอาบน้ำ ทางโจไซอาห์ที่นั่งมองแผงยาคุมบนพื้นห้องสลับกับประตูห้องน้ำก็พลันคิด หากเมอร์ลินท้องขึ้นมาจริง ๆ เขาควรจะทำยังไง?
“น่ารำคาญจริง” ลงจากเตียงแล้วสวมกางเกงก่อนออกจากห้องนอนมาที่ห้องทำงาน ติดต่อหาบิดาของตนที่คฤหาสน์หลักเพื่อถามอะไรบางอย่าง
“ผมอยากรู้ว่าทางคาร์ลอฟได้ส่งเอกสารยืนยันเรื่องที่เมอร์ลินท้องได้มาหรือเปล่าครับ” ถามบิดาที่อยู่ปลายสายแล้วนั่งลงบนเก้าอี้บุหนังพลางเอนหลังพิงพนัก สองขายกขึ้นพาดบนโต๊ะ
(มาถามเอาอะไรตอนนี้?)
“แค่บอกผมว่ามีหรือไม่มี”
(ไม่มี)
“ฮะ? แต่พ่อก็ทำเชื่อแล้วส่งเอกสารขอแต่งงานไปน่ะนะ? นี่ยกอะไรให้เขาไปบ้าง”
(ทางนั้นไม่ต้องการอะไร นอกจากเชื่อมสัมพันธไมตรีและให้บ้านเรารับเมอร์ลินมา) คำตอบจากบิดาค่อนข้างน่าตกใจพอสมควร โจไซอาห์คิดไว้ว่าคาร์ลอฟคงขอหุ้นจำนวนมากหรือพื้นที่ขยายอำนาจในรันเซีย แต่กลับขอแค่เชื่อมสัมพันธไมตรีและรับเมอร์ลินมางั้นเหรอ?
(แต่แต่งงานมาห้าปีแล้วยังไม่ท้อง มันก็ต้องเป็นเรื่องล้อเล่นถูกไหม?)
“...เปล่าครับ ตลอดเวลาเมอร์ลินกินยาคุมทุกครั้ง ผมยังเคยลองเจาะถุงยางก็แล้วแต่ถูกจับได้ตลอด เลยไม่มีโอกาสได้รู้ความจริงว่าสรุปแล้วมันยังไงกันแน่แต่... แต่เราตกลงกันว่าจะมีลูกแล้วน่ะครับ”
(...ฮะ? อะไรนะ?) แล้วความเงียบก็ปกคลุมสองพ่อลูกที่เรียบเรียงคำพูดต่อไปไม่ได้ สายตัดไปทั้ง ๆ อย่างนั้น โจไซอาห์ถอนหายใจก่อนหลับตาลง ลูกเหรอ... ไม่เคยวางแผนเรื่องนี้ ไม่เคยคิด เพราะเขาเอาเรื่องครอบครัวไว้ทีหลัง ในหัวมีแต่เรื่องการสืบทอดอำนาจและขึ้นเป็นผู้นำตระกูลแทนพ่อ แน่นอนว่าเขาต้องแข่งขันกับพี่ใหญ่ที่เก่งกว่า แล้วถ้าหากมีลูก จะไม่เป็นอุปสรรคต่อเส้นทางเขาหรือยังไง? ...เห็นทีคงต้องคุยกันใหม่แล้วสิ
เมอร์ลินออกจากห้องน้ำมาก็ไม่เจอโจไซอาห์แล้ว เขาจึงลงมือแต่งตัวแล้ววางแผนว่าวันนี้จะทำอะไรบ้าง ทว่าความต้องการของเมอร์ลินมันก็มีเพียงอย่างเดียว เขาอยากออกไปเที่ยวบ้าง ตลอดระยะเวลาแต่งงาน เมอร์ลินแทบไม่ได้ออกไปไหนหากโจไซอาห์ไม่มีงานปาร์ตี้ที่ต้องเข้าร่วมหรืองานสังสรรค์ที่มีคำสั่งให้พาเขาไปด้วย นอกจากนั้นก็คืออยู่แต่ในคฤหาสน์หรือไม่ก็ไปเที่ยวคฤหาสน์หลังอื่นจนตอนนี้สนิทกับพี่น้องสามีทุกคน
“เอมี่ เห็นโจซบ้างไหม?” ออกจากห้องมาก็เอ่ยถามเอมี่ที่กำลังเดินผ่านพอดี
“นายท่านน่าจะอยู่ในห้องทำงานนะคะ”
“ขอบใจ” ยิ้มนิด ๆ แล้วเดินตรงไปยังห้องทำงานของโจไซอาห์ เมอร์ลินไม่เคาะประตูแต่อย่างใด เขาเปิดประตูเข้าไปแล้วส่งยิ้มหวานให้โจไซอาห์ที่มองมา “ไฮ~ ขอบัตรหน่อยครับคุณสามี” เดินเข้าไปหาที่โต๊ะทำงานอย่างร่าเริงพร้อมแบมือรอรับบัตรแบบไม่จำกัดวงเงิน
“จะซื้ออะไร” โจไซอาห์เอ่ยถามอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ ตอนนี้เขาเทความสนใจมาที่งานมากกว่าภรรยาที่ยืนอยู่
“ไม่รู้สิครับ ไม่ได้คิด” ตอบตามตรง ก็ไม่ได้คิดจริง ๆ นี่นะว่าจะซื้ออะไร ก็แค่อยากถือบัตรแล้วไปเดินดูก่อน ถูกใจอะไรก็ค่อยซื้อ
“ถ้าไม่รู้จะซื้ออะไรก็ไม่ต้อง...”
ปัง!
เมอร์ลินทุบโต๊ะด้วยความไม่พอใจ โจไซอาห์จึงละสายตาจากงานแล้วมองหน้าภรรยาแทน
“คุณคิดจะให้ผมอยู่แต่ในที่น่าอึดอัดแบบนี้หรือไง?! ผมออกจากเขตโรนัลเดลนับครั้งได้เลยนะครับ ผมเบื่อแล้วก็เบื่อเต็มทนแล้วไอ้...” เมอร์ลินชี้หน้าโจไซอาห์ก่อนระงับความขุ่นเคืองใจที่พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนส่งยิ้มให้โจไซอาห์
“ผมจะออกไปเที่ยว ส่งบัตรมาเดี๋ยวนี้ครับและถ้าไม่ใช่แบล็กการ์ด ผมไม่รับ” รอยยิ้มของเมอร์ลินทำโจไซอาห์หงุดหงิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมส่งแบล็กการ์ดให้อย่างจำใจ ถึงเขาจะรวย จะมีเงิน แต่โจไซอาห์ไม่ใช่คนชอบใช้เงินฟุ่มเฟือย หากเทียบกับเหล่าพี่น้องทั้งหกคนแล้วรวมตัวเขา โจไซอาห์ถือเป็นคนที่รวยที่สุดในบรรดาพี่น้อง ขยันทำงาน ขยันหาเงิน ขยันออม แต่เหมือนเงินนั้นจะต้องปลิวแล้วสิ
“ผมได้ยินจากพี่ใหญ่อย่างพี่รามิเอลว่าคุณเป็นคนที่รวยที่สุดในหมู่พี่น้อง... ไม่เคยใช้เงินเลยเหรอครับ?” เมอร์ลินเอ่ยถามพลางมองแบล็กการ์ดในมือด้วยสายตาเป็นประกาย ตอนอยู่คาร์ลอฟเคยเห็นแต่เอดิสันใช้ เมอร์ลินพอรู้ว่าแบล็กการ์ดไม่ใช่บัตรที่จะได้มาง่าย ๆ ต้องผ่านกระบวนการอะไรมากมายและต้องถูกรับเชิญเท่านั้นถึงจะได้รับ คนในคาร์ลอฟที่มี นอกจากเอดิสันที่เป็นพ่อก็มีพี่ชายร่วมมารดาและพี่ชายต่างมารดาเท่านั้นรวมทั้งสิ้นสามคน แต่คนที่ไม่ใช้เงินอย่างคุณสามีจะถูกรับเชิญได้ยังไง?
“ใช้”
“อา หรือใช้แค่พอให้ได้รับแบล็กการ์ด?” เมอร์ลินลองเดาและคำตอบก็คือใช่ เมอร์ลินเลยยิ้มกริ่มก่อนเดินอ้อมโต๊ะไปหาโจไซอาห์แล้วหมุนเก้าอี้ให้หันมาหา นัยน์ตาคู่คมตวัดมองอย่างไม่สบอารมณ์นักก่อนนัยน์ตาสีเทาจะเบิกกว้างเมื่อริมฝีปากนุ่มกดลงบนแก้ม “ไม่ต้องห่วงนะครับ เพราะจากนี้ผมจะใช้เงินแทนคุณเอง ขยันหาเงินเข้านะครับคุณสามี” เมอร์ลินให้รางวัลด้วยการหอมแก้มก่อนจะเดินฮัมเพลงพลางใช้แบล็กการ์ดพัดที่หน้าเบา ๆ อือ~ กลิ่นหอมของเงินนี่มันหอมจริง ๆ เลยนะ
“...อยากฆ่าชะมัด” กำมือแน่นแล้วพลูลมหายใจ ค่อย ๆ ทำใจให้เย็นลงก่อนเริ่มทำงานที่ค้างอยู่ เขาติดต่อหาไทกิให้ส่งโรมันไปคุ้มกันและคอยห้ามปรามไม่ให้ซื้อของไร้สาระกลับมา แถมตลอดระยะเวลาที่เขานั่งทำงานอยู่ ไอ้ความรู้สึกที่ไม่สบายใจมันก็คอยวนเวียนอยู่รอบตัว นี่มัน... ลางสังหรณ์ของหายนะหรือไง?
ก๊อก ๆ
“เข้ามา” แต่ก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน เขาจึงส่งเสียงอนุญาตให้เข้ามาได้ คนที่เข้ามาคือไทกิ ไทกิเดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะทำงานก่อนค้อมศีรษะเล็กน้อย
“ได้เวลาแล้วครับคุณชาย”
“อืม” โจไซอาห์สลัดเรื่องเมอร์ลินทิ้งไปแล้วเดินออกจากห้อง เวลานี้เรื่องงานต้องมาก่อน เสร็จเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน “ทางนั้นมันยอมรับข้อเสนอหรือยัง” เอ่ยถามไทกิระหว่างเดินไปที่รถ
“ยังครับ นอกจากจะไม่สนใจข้อเสนอของทางเรา พวกมันยังกล้าเสนอเงื่อนไขที่ให้ผลประโยชน์แก่องค์กรของตัวเองเท่านั้น ผมเลยให้วิลสันนำทีมเข้าไปรวบตัวไว้เรียบร้อยแล้วครับ”
“ดี” พูดจบก็ก้าวขึ้นรถไปแล้วรับเอกสารจากคนสนิทที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลมาอ่าน “เหอะ ไม่เข้าใจพ่อเลยแฮะว่าธุรกิจกาก ๆ แบบนี้มีอะไรน่าสนใจ... หรือไปเหยียบเงาของเขาเข้ากัน” อ่านข้อมูลที่รวบรวมไว้แล้วถึงกับยิ้มเหยียด ‘เบเรอร์’ เป็นองค์กรมาเฟียหน้าใหม่ที่ผุดขึ้นมาในรันเซียได้เพียงหกเดือน ช่วงแรกมีข่าวน่าสนใจเกี่ยวกับเบเรอร์มากมาย เอเวอร์เร็ตต์เองก็คิดอยากจะสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่กล้าผุดองค์กรขึ้นมาท่ามกลางรุ่นพี่มากประสบการณ์ ราวกับแกะน้อยบริสุทธิ์หลงทางมาในดงราชสีห์ที่ห่มหนังแกะรอต้อนรับ
ความมั่นใจที่คิดว่าตนเหนือกว่าจนคนรุ่นเก่าอยากร่วมผูกสัมพันธไมตรี ทำให้ ‘จอห์น เบเรอร์’ ผู้นำอายุน้อยหลงระเริงในความมั่งคั่งและอำนาจที่ถูกป้อนเข้าปาก โดยหารู้ไม่ว่าแกะชราที่ป้อนข้าวนั้นแท้จริงเป็นราชสีห์ที่นึกเอ็นดูอยากเย้าแหย่แกะตัวน้อยก็เท่านั้นเอง
รถเบนซ์ไม่ต่ำกว่าหกคันขับเข้ามาจอดในเขตรกร้างของคอนโดแห่งหนึ่ง ไทกิเปิดประตูให้ผู้เป็นนายแล้วค้อมศีรษะจนกระทั่งโจไซอาห์ลงจากรถเดินเข้าไปข้างใน
“สวัสดีครับคุณชาย!” คนของโรนัลเดลทั้งหมดที่รออยู่ ต่างพากันตั้งแถวแล้วก้มศีรษะเก้าสิบองศาพร้อมตะเบ็งเสียงทักทายอย่างดุดัน โจไซอาห์แค่พยักหน้ารับ ก้าวเดินตรงไปยังโซฟาบุหนังสภาพเก่าแต่ยังใช้งานได้ดีแล้วนั่งลง
“...” นัยน์ตาคู่คมมองไปที่ชายคนหนึ่งซึ่งถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา สองมือถูกมัดไพล่หลัง สายตาของมันมองเขาอย่างโกรธแค้น โจไซอาห์แค่ยิ้มแล้วยกขาขึ้นไขว่ห้างก่อนแบมือรอรายงานอีกชุดจากลูกน้อง
“นี่ครับคุณชาย” เอกสารชุดใหม่ถูกวางลงบนฝ่ามือแผ่วเบา เขารับมาแล้วเปิดอ่านสลับมองหน้าของ จอห์น เบเรอร์ จะว่าแล้วพอมองไปนาน ๆ เขาเกิดความรู้สึกคุ้นแปลก ๆ ราวกับรู้จักกันมาก่อน?
“นี่แกจำฉันไม่ได้หรือไงไอ้เวร!” จอห์นตะเบ็งเสียงใส่คนบนโซฟาก่อนถูกเตะเข้าที่สีข้างเพราะบังอาจใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับคุณชายของพวกเขา
“ฉันรู้สึกคุ้นกับหน้าแก แต่นึกให้ตายก็นึกไม่ออก” พูดอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนโจไซอาห์จะชะงักเมื่อได้ยินชื่อหนึ่งออกจากปาก
“โจน ทิมเบอร์ เพื่อนร่วมชั้นที่เคยนอนกับแกไงไอ้... อึก!” จอห์นถูกเตะอีกครั้งและคราวนี้คนที่เตะคือไทกิ แถมเตะแรงกว่าคนก่อนหน้าจนจอห์นร้องครางอย่างเจ็บปวด
“นี่แกเปลี่ยนชื่อเพื่อวงการนี้เลยหรือไง? ทุ่มทุนไปไหมแต่ก็โง่เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน” หัวเราะอย่างสมเพชแล้วเปิดหน้ารายงานอ่านต่อ จอห์นกัดฟันก่อนพ่นประโยคต้องห้ามออกไป
“ทั้งแก ทั้งพ่อแก มันก็ระยำทั้งนั้น!”
ผัวะ!
โจไซอาห์ตวัดเท้าเตะเสยเข้าที่ปลายคางจอห์นเต็มแรง ไม่มีสัญญาณใด ๆ เอ่ยเตือน มีเพียงแรงกระแทกอันหนักหน่วงเข้าที่คาง จอห์นสำลักเลือดเล็กน้อยพร้อมกับความเจ็บร้าวราวกับคางแตก เขามึนไปชั่วขณะกลับกันกับโจไซอาห์ที่เริ่มอารมณ์รุนแรงขึ้นทีละนิด
“ปากระดับต่ำแบบแกไม่มีสิทธิ์เอ่ยถึงพ่อฉัน” แม้เขาจะหงุดหงิดบิดาบ่อยครั้ง แต่
โจไซอาห์ก็เคารพรักและนับถือบิดามาก เป็นต้นแบบของเขาเลยก็ว่าได้ เขาโคตรเกลียด เกลียดที่คนระดับต่ำกล้าเอ่ยถึงบิดาต่อหน้าเขา หากเอ่ยอย่างเคารพก็จะไม่ตำหนิ แต่หากเอ่ยถึงด้วยความหยาบคายเขาก็จะตอบกลับด้วยความหยาบคายที่มากกว่าร้อยเท่าพันเท่า
“แกจะไม่รับข้อเสนอของฉันใช่ไหม?” โจไซอาห์เอ่ยถามหลังควบคุมอารมณ์ได้แล้ว ข้อเสนอของโจไซอาห์คือองค์กรเบเรอร์จะต้องอยู่ใต้อาณัติของโรนัลเดล แต่ยังใช้ชื่อเบเรอร์ได้เหมือนเดิมหากต้องการ โดยสิ่งตอบแทนที่โจไซอาห์ต้องการคือเปอร์เซ็นต์รายได้จากธุรกิจเพียง 20% เท่านั้น ทว่าสิ่งที่เบเรอร์จะได้รับคือหุ้นส่วนของโรนัลเดลที่แบ่งให้ถึง 10% เปอร์เซ็นต์อาจจะดูน้อยแต่หากตีเป็นมูลค่าเงิน มันมากกว่า 20% จากธุรกิจง่อย ๆ ที่เสนอให้ด้วยซ้ำ
“ฉันไม่มีวันรับข้อเสนอของแก! ดูยังไงทางฉันก็เสียเปรียบชัด ๆ !” จอห์นโวย
“นี่... แกฟังฉันนะไอ้เวร ธุรกิจอันงอกง่อยของแกมันจะพังอยู่แล้วและรายได้ของแกมันก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หากแกยอมเข้ามาเป็นของโรนัลเดล ฉันจะชุบธุรกิจเฮงซวยให้แกและกำไรเพียง 20% ต่อเดือนเท่านั้นที่ฉันต้องการในขณะแกได้ไปเต็ม ๆ 80% แถมยังได้หุ้นจาก
โรนัลเดลที่พวกตาเฒ่าก้มหัวอ้อนวอนแทบตายถึง 10% นอกจากนั้นแกยังได้โรนัลเดลคุ้มกะลาหัว ไม่ว่าใครที่แตะต้องพวกแกก็ถือว่าแตะต้องโรนัลเดล ฉันจะจัดการให้แกอย่างสาสม ตรงไหนกันที่แกเสียเปรียบ?” อธิบายให้อย่างใจเย็นทั้งที่ในใจเริ่มเดือด... อีกแล้ว
“นั่นไง! ฉันให้แกตั้งยี่สิบแต่แกให้ฉันแค่สิบเนี่ยนะ?! ไม่เสียเปรียบตรงไหนวะ!” รอบข้างเงียบกริบก่อนพากันถอนหายใจอย่างสมเพช ไทกิได้แต่หลับตากำหมัดแล้วนับแกะในใจหวังให้ความคันเท้าเบาบางลง โจไซอาห์มองหน้าจอห์นก่อนถอนหายใจอย่างสมเพชเวทนาขั้นรุนแรง
“...นี่แกเป็นผู้นำองค์กรเพราะจับไม้สั้นไม้ยาวหรือไง ตอนเรียนก็เหมือนจะฉลาดหรือนั่นก็เพราะโชคช่วย?”
“ใครกันล่ะที่ทำลายชีวิตฉัน” ดูเหมือนจะไม่ตรงคำถามแต่ก็ช่างเถอะ
“แล้วใครใช้ให้แกจริงจังกัน?” โจไซอาห์แค่นยิ้มอย่างสมเพชก่อนพูดต่อ “นอนกันแค่ครั้งเดียวฉันต้องรับผิดชอบชีวิตแกเลยหรือไง แต่ไม่ใช่แกเองเหรอที่ยอมอ้าขาให้ฉันน่ะ?” รอยยิ้มของโจไซอาห์รังแต่จะทำให้จอห์นเจ็บปวดและนึกสมเพชตัวเองมากกว่าเก่า
“ฉันจะให้เวลาแกคิดสามชั่วโมงและอยากจะบอกอะไรแกหน่อย ตัวเลขเปอร์เซ็นต์มันไม่ใช่ตัวตัดสินแต่มูลค่าของมันต่างหากที่คือตัวตัดสินที่ชัดเจนที่สุด กำไรจากธุรกิจเบเรอร์หรือหุ้นจากโรนัลเดล ใช้สมองที่แกครอบครองมายี่สิบแปดปีคิดซะ” ใช้เท้าเตะเบา ๆ ที่แก้มของจอห์นก่อนลุกเดินออกมาแล้วบอกไทกิให้นำบุหรี่มาให้ เขาคิดว่าคุยกับเมอร์ลินเหนื่อยแล้วแต่คุยกับจอห์นเหนื่อยกว่า คนแรกบ้า คนหลังโง่ สินะ
“ติดต่อหาโรมันแล้วถามมันว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ฉันจะไปที่นั่น” บอกกับไทกิที่ยืนอยู่
ไทกิน้อมรับแล้วแยกตัวออกมาเพื่อติดต่อหาโรมัน ระหว่างนั้นโจไซอาห์ก็ออกคำสั่งลูกน้องให้เฝ้าจอห์นให้ดี หากลูกน้องจอห์นบุกมาเพื่อช่วย ก็ให้เจรจาถ้าเจรจาไม่รู้เรื่องก็อนุญาตให้ฆ่าทิ้งได้ทันที
“คุณชายครับ ตอนนี้โรมันกับคุณชายเมอร์ลินอยู่ที่ห้างสรรสินค้าเขตเรนทาวน์” ไทกิมารายงานหลังติดต่อกับโรมันเรียบร้อยแล้ว
“...ไปไกลถึงที่นั่นเลย?” ถึงอำนาจของโรนัลเดลจะไปถึงแต่มันก็ไกลอยู่ดี เดินทางจากที่นี่ก็คงใช้เวลาราวสองชั่วโมง
“โรมันบอกว่าคุณชายเมอร์ลินอยากออกไปไกล ๆ จากสายตาของคุณชายน่ะครับ” ไทกิรายงานตามที่ได้ยิน
“แล้วไปห้างไหนของเรนทาวน์”
“The Car’s mall ครับ” ไทกิหลบสายตาทันทีที่บอกชื่อห้าง
The Car’s mall เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดในรันเซีย เป็นสถานที่ที่ขายเฉพาะซุปเปอร์คาร์หรือรถยนต์ราคาแพงทั้งนั้น ราคาถูกสุดจะอยู่ที่ 200000[1] ดอลลาร์ ส่วนแพงสุดยังไม่มีจุดตายตัวเพราะรถรุ่นใหม่ที่ออกมามักมีราคาสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะบูกัตติ, เบนซ์, เฟอร์รารี่, แลมโบกินี่ และอื่น ๆ อีกมากมาย มันถึงได้เป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในรันเซียและโรนัลเดลก็เป็นหุ้นส่วนของห้างสรรพสินค้านั้นถึง 70% ไม่รวมหุ้นจากธุรกิจอื่น ๆ มันเป็นสวรรค์ของคนชอบรถและชอบล้างผลาญเงินโดยเฉพาะ
“ทำไม... ทำไมโรมันถึงไม่ห้ามเมอร์ลิน” โจไซอาห์กัดฟันถามอย่างอดทนอดกลั้น เงินของเขามันจะไปปลิวเข้าที่นั่นจริง ๆ เหรอ? ถึงจะได้กลับมาแต่... รถเนี่ยนะ? แค่รถที่จอดเรียงกันในโรงรถของคฤหาสน์ยังไม่พอหรือไง
“เอ่อ เสียงของโรมันก็เหมือนจะร้องไห้อยู่นะครับ ผมคิดว่าเจ้านั่นมันทำดีที่สุดแล้ว”
“รีบไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ แล้วบอกพวกวิลสันให้พาจอห์นกลับไปที่ ‘รูม’ เห็นทีเวลาสามชั่วโมงที่ฉันยื่นให้มันจะต้องยืดออกไปหน่อยแล้ว”
“รับทราบครับคุณชาย” ไทกิรีบน้อมรับแล้วก้าวยาว ๆ ไปหาวิลสันเพื่อแจ้งคำสั่งให้เร็วที่สุด โจไซอาห์ขึ้นรถมาก็เรียกหาบุหรี่อีกมวน ให้ตายสิ ทำไมวันนี้เขาถึงเหนื่อยกว่าทุกวัน
The Car’s mall
เมอร์ลินกำลังอยู่ในสรวงสวรรค์ของคนชอบผลาญเงิน นัยน์ตาคู่สวยกวาดมองรถมากแบบมากราคาที่จอดโชว์อย่างตื่นเต้น ในใจอยากได้คันนั้น อยากได้คันนี้ แบล็กการ์ดในมือมันก็สั่นราวกับบอกให้รีบ ๆ ใช้มันเดี๋ยวนี้ เมอร์ลินก้าวเท้าไปตามทางและเข้าไปดูรถของ
แบรนด์นั้นที แบรนด์นี้ที แถมแต่ละแบรนด์ก็มีรุ่นที่ออกมาแตกต่างกันไป ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งเครื่องยนต์ ทั้งที่อยู่ภายใต้แบรนด์เดียวกัน แต่ที่เมอร์ลินสนใจมากที่สุดคือ บูกัตติ ลา วัวตูร์ นัวร์ ด้วยรูปลักษณ์ที่ดุดันและสีดำดูน่าเกรงขามแถมเป็นสีที่เขาชอบ คำตอบเดียวแบบไม่ต้องคิดมากให้ปวดหัว
“จัดการให้ผมเดี๋ยวนี้ครับ” ส่งแบล็กการ์ดให้ไปทั้งที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่บูกัตติคันงาม เขาชอบมันอย่างไม่ต้องสงสัย อยากจะเข้าไปขับแล้วด้วยซ้ำ โรมันมองราคาแล้วได้แต่กลืนน้ำลายพลางปาดเหงื่อที่อยู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมา เจ้านายต้องว่าเขาที่ไม่ห้ามปรามแต่ก็คงรู้ว่าตนไม่มีทางห้ามคุณชายเมอร์ลินได้แน่
“ค คุณชาย...”
“หุบปากน่าโรมัน ไม่ต้องคิดมาห้ามฉันเลยจะดีที่สุดเพราะแค่สิบล้านดอลคงไม่ทำให้เจ้านายนายจนลงหรอก ฝากจัดการที่เหลือด้วย ฉันจะไปเดินดูแบรนด์อื่น” พูดจบก็เดินออกจากโชว์รูมของบูกัตติแล้วตรงไปทางแลมโบกินี่ โรมันจำต้องเข้าไปจัดการเอกสารการซื้อรถและเมื่อบอกว่าจะให้ส่งไปที่ไหน โรมันก็แทบไม่ต้องทำอะไรเพราะพนักงานพร้อมใจกันนำเอกสารไปถวายถึงที่ นี่แหละคือความสะดวกสบายของอำนาจและเงิน
“อยากจะเหมาให้หมด...” เมอร์ลินพึมพำกับตัวเองขณะเดินเข้าโชว์รูมแบรนด์นั้นที โชว์รูมแบรนด์นี้ที เมอร์ลินไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยเลยเพราะตอนนี้ในหัวมีแต่คำว่า ‘อยากซื้อให้หมดจังเลยนะ’
Rrrrrrrr
ระหว่างนั้นเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น เมอร์ลินนำโทรศัพท์ออกมาก่อนกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปอย่างร่าเริง
“ไงครับคุณสามีเฮงซวย”
(นายอยู่โชว์รูมไหน) เมอร์ลินขมวดคิ้วเล็กน้อยที่โจไซอาห์รู้ว่าเขาอยู่ไหน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าโรมันที่มากับเขาคงเป็นคนรายงานไป
“ผมกำลังเดินดูแอสตันมาร์ตินครับ จะมาหาหรือไง?” ถามขำ ๆ แต่คำตอบที่ได้มันไม่ขำเท่าไหร่
(ใช่ ฉันเห็นนายแล้ว) สายตัดไปทันทีก่อนเมอร์ลินจะหันหลังไปสบตาเข้ากับคุณสามีโจไซอาห์พอดี เมอร์ลินยิ้มแล้วกวักมือเรียก
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว มาดูรถเป็นของขวัญแต่งงานให้ผมสิครับ” กอดแขนทันทีพร้อมกับทำอ้อนก่อนถูกมือหนาดันใบหน้าให้ออกห่าง
“นายได้ไปแล้ว ยังจะเอาอีกหรือไง?” ตอนรู้ราคาก็แอบคิ้วกระตุกเล็กน้อยถึงมากที่สุด ราคาสูงกว่าเบนซ์ที่โรนัลเดลใช้หลายเท่าแถมแพงกว่ารถลูกรักของผู้นำโรนัลเดลเสียอีก เมอร์ลินจะรู้ไหมว่ารถของเอเวอร์เร็ตต์ราคาแค่สองแสนกว่าดอลล่าร์ซึ่งถูกกว่ารถที่เมอร์ลินซื้อหลายเท่าตัวแถมยังใช้งานมานานกว่ายี่สิบปี ไม่มีความคิดที่จะซื้อใหม่เลยสักนิดแต่ตอนนี้ลูกสะใภ้กลับได้ใช้รถที่ราคาเจ็บแสบเป็นที่สุด
“อะไรเนี่ย คุณเป็นถึงโรนัลเดลนะครับ อย่ามาทำตัวขี้เหนียวได้ไหมแล้วเราก็แต่งงานมาห้าปี ผมยังไม่เคยได้ของขวัญจากคุณเลยเหอะ” เมอร์ลินเริ่มมองแรง จากที่อารมณ์ดีก็เริ่มจะขุ่นมัวขึ้นเล็กน้อย
“ได้ไปแล้วนี่กับบูกัตติสิบล้านดอลลาร์ของนาย นั่นน่ะของขวัญ”
“ผมซื้อเองมันจะเป็นของขวัญจากคุณได้ยังไง”
“แต่เงินฉัน”
“เงินคุณก็เหมือนเงินผมเพราะผมเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย คุณแม่อลิซกับคุณแม่อเดลท่านบอกผมมาว่าของของสามีก็คือของของภรรยาเช่นกันแล้วคุณสามีรู้อะไรไหมครับ” เมอร์ลินขยับเข้าใกล้จนระยะห่างเหลือเพียงนิดพร้อมสองมือยกประคองใบหน้าหล่อเหลาที่แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ เมอร์ลินยิ้มก่อนรั้งใบหน้าโจไซอาห์เข้ามาจนปลายจมูกแตะกัน
“สิบล้านดอลลาร์ยังไม่ใช่มูลค่าที่แท้จริงของร่างกายนี้เลยนะครับ คุณเองก็รู้ดีนี่ครับเพราะคุณไม่เคยพอในรอบเดียวเลยสักครั้ง” กดริมฝีปากแนบชิดแล้วผละออก เมอร์ลินฮัมเพลงก่อนแกล้งสะดุดล้มนั่งบนกระโปรงหน้ารถแอสตันมาร์ตินที่อยู่ใกล้ที่สุด
“...” โจไซอาห์กัดฟันจนกรามขึ้นเป็นสัน เส้นเลือดตามลำคอปูดขึ้นเต้นตุบ ๆ พอ ๆ กับเส้นเลือดในสมองที่แทบจะแตกตายขณะมองเมอร์ลินที่นั่งหน้ารถราวกับเป็นพรีเซนเตอร์ทั้งที่จงใจล้มเอง
“ทำไงดี ผมล้มลงบนรถเลยทำให้เสียหายเลย... เราซื้...”
“ไม่” โจไซอาห์รีบห้ามแต่ทว่า...
“ซื้อไว้ให้ลูกดีกว่าครับ เด็ก ๆ น่ะโตไวจะตาย เนอะ?” เมอร์ลินยิ้มหวานแล้วหันไปบอกกับพนักงานว่าเขาจะซื้อคันนี้และขอโทษที่ทำให้รถเสียหาย คิดค่าซ่อมไปได้เลยแต่พนักงานนั้นรู้ดีว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุแต่ตัวเขาก็ไม่กล้าขัด โจไซอาห์ที่แย้งไม่ได้ห้ามไม่ฟัง ได้แต่ส่งแบล็กการ์ดที่ได้คืนจากโรมันให้ไป แล้วแอสตันมาร์ตินรุ่นล่าสุดที่เพิ่งจะออกก็ถูกทายาทลำดับที่สองของโรนัลเดลซื้อเรียบร้อย
ส่วนเมอร์ลินก็ดูจะพอใจอย่างมาก ทั้งสองเดินดูรถด้วยกันท่ามกลางเสียงทะเลาะ ไม่สิ ต้องบอกว่าโจไซอาห์หัวเสียเพราะถูกเมอร์ลินแหย่มากกว่า แถมเมอร์ลินยังกล้าทำกล้าพูดอย่างไม่อาย เพื่อจะปิดปากนั่นก็มีแต่ต้องยื่นแบล็กการ์ดให้อย่างเดียว เมอร์ลินหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจก่อนจะดึงโจไซอาห์ที่ขยับหนีเพราะความรำคาญเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหูไปว่า
“คืนนี้ผมจะใช้ร่างกายในส่วนสิบล้านดอลลาร์เพื่อคุณสามีนะครับ”
“แล้วส่วนของแปดแสนดอลลาร์นั่นล่ะ?” โจไซอาห์ถามกลับพลางยกยิ้มมุมปากที่เห็นเมอร์ลินขมวดคิ้ว แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เห็นเมอร์ลินอารมณ์เสีย เขาก็มีความสุขราวกับได้ชนะคนทั้งโลกแล้ว
“เออครับ เดี๋ยวทบต้นทบดอกให้จนกว่าจะพอใจเลย!”
“ดีล” พูดจบก็หอมแก้มขาวไปฟอดใหญ่ก่อนจับมือเรียวขึ้นมาแล้ววางแบล็กการ์ดลงไป “อยากใช้เท่าไหร่ก็ตามใจนายเลย” ถึงจะไม่พูดอะไรต่อแต่เมอร์ลินก็รู้ว่าถ้าเขาใช้ เขาก็ต้องตามทบต้นทบดอกที่เพิ่มขึ้นมาน่ะสิ
“ก็ถ้าจะให้ทบต้นทบดอกขนาดนี้ ผมขอใช้เงินไปให้สุดเลยแล้วกัน”