แชร์

บทที่ 0003

ผู้แต่ง: ดองกี้
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-11 18:23:29

‘จากนี้เป็นต้นไปผมจะไม่กินยาคุม คุณห้ามใส่ถุงยาง ห้ามปล่อยนอก ต้องปล่อยในทุกครั้งแล้วมาดูกันว่าผู้ชายตรงหน้าคุณมันท้องได้จริงหรือไม่จริง’

“เวรเอ้ย นี่ฉันพล่ามบ้าอะไรออกไปวะ” เมอร์ลินกุมขมับอย่างเคร่งเครียดยามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แค่คนพวกนั้นไม่เชื่อ แค่โจไซอาห์ไม่เชื่อ เขาจำเป็นต้องลงทุนทำให้เชื่อด้วยหรือไง? ไม่เลย ใครจะไม่เชื่อก็ช่างหัวมันสิ แค่เชื่อในตัวเองว่าเขามันแปลกประหลาดแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว “ยกเลิกดีไหม...” พึมพำอย่างหมดหวังแล้วปล่อยตัวให้ไหลจมลงก้นอ่างอาบน้ำ ทางโจไซอาห์ที่นั่งมองแผงยาคุมบนพื้นห้องสลับกับประตูห้องน้ำก็พลันคิด หากเมอร์ลินท้องขึ้นมาจริง ๆ เขาควรจะทำยังไง?

“น่ารำคาญจริง” ลงจากเตียงแล้วสวมกางเกงก่อนออกจากห้องนอนมาที่ห้องทำงาน ติดต่อหาบิดาของตนที่คฤหาสน์หลักเพื่อถามอะไรบางอย่าง

“ผมอยากรู้ว่าทางคาร์ลอฟได้ส่งเอกสารยืนยันเรื่องที่เมอร์ลินท้องได้มาหรือเปล่าครับ” ถามบิดาที่อยู่ปลายสายแล้วนั่งลงบนเก้าอี้บุหนังพลางเอนหลังพิงพนัก สองขายกขึ้นพาดบนโต๊ะ

(มาถามเอาอะไรตอนนี้?)

“แค่บอกผมว่ามีหรือไม่มี”

(ไม่มี)

“ฮะ? แต่พ่อก็ทำเชื่อแล้วส่งเอกสารขอแต่งงานไปน่ะนะ? นี่ยกอะไรให้เขาไปบ้าง”

(ทางนั้นไม่ต้องการอะไร นอกจากเชื่อมสัมพันธไมตรีและให้บ้านเรารับเมอร์ลินมา) คำตอบจากบิดาค่อนข้างน่าตกใจพอสมควร โจไซอาห์คิดไว้ว่าคาร์ลอฟคงขอหุ้นจำนวนมากหรือพื้นที่ขยายอำนาจในรันเซีย แต่กลับขอแค่เชื่อมสัมพันธไมตรีและรับเมอร์ลินมางั้นเหรอ?

(แต่แต่งงานมาห้าปีแล้วยังไม่ท้อง มันก็ต้องเป็นเรื่องล้อเล่นถูกไหม?)

“...เปล่าครับ ตลอดเวลาเมอร์ลินกินยาคุมทุกครั้ง ผมยังเคยลองเจาะถุงยางก็แล้วแต่ถูกจับได้ตลอด เลยไม่มีโอกาสได้รู้ความจริงว่าสรุปแล้วมันยังไงกันแน่แต่... แต่เราตกลงกันว่าจะมีลูกแล้วน่ะครับ”

(...ฮะ? อะไรนะ?) แล้วความเงียบก็ปกคลุมสองพ่อลูกที่เรียบเรียงคำพูดต่อไปไม่ได้ สายตัดไปทั้ง ๆ อย่างนั้น โจไซอาห์ถอนหายใจก่อนหลับตาลง ลูกเหรอ... ไม่เคยวางแผนเรื่องนี้ ไม่เคยคิด เพราะเขาเอาเรื่องครอบครัวไว้ทีหลัง ในหัวมีแต่เรื่องการสืบทอดอำนาจและขึ้นเป็นผู้นำตระกูลแทนพ่อ แน่นอนว่าเขาต้องแข่งขันกับพี่ใหญ่ที่เก่งกว่า แล้วถ้าหากมีลูก จะไม่เป็นอุปสรรคต่อเส้นทางเขาหรือยังไง? ...เห็นทีคงต้องคุยกันใหม่แล้วสิ

เมอร์ลินออกจากห้องน้ำมาก็ไม่เจอโจไซอาห์แล้ว เขาจึงลงมือแต่งตัวแล้ววางแผนว่าวันนี้จะทำอะไรบ้าง ทว่าความต้องการของเมอร์ลินมันก็มีเพียงอย่างเดียว เขาอยากออกไปเที่ยวบ้าง ตลอดระยะเวลาแต่งงาน เมอร์ลินแทบไม่ได้ออกไปไหนหากโจไซอาห์ไม่มีงานปาร์ตี้ที่ต้องเข้าร่วมหรืองานสังสรรค์ที่มีคำสั่งให้พาเขาไปด้วย นอกจากนั้นก็คืออยู่แต่ในคฤหาสน์หรือไม่ก็ไปเที่ยวคฤหาสน์หลังอื่นจนตอนนี้สนิทกับพี่น้องสามีทุกคน

“เอมี่ เห็นโจซบ้างไหม?” ออกจากห้องมาก็เอ่ยถามเอมี่ที่กำลังเดินผ่านพอดี

“นายท่านน่าจะอยู่ในห้องทำงานนะคะ”

“ขอบใจ” ยิ้มนิด ๆ แล้วเดินตรงไปยังห้องทำงานของโจไซอาห์ เมอร์ลินไม่เคาะประตูแต่อย่างใด เขาเปิดประตูเข้าไปแล้วส่งยิ้มหวานให้โจไซอาห์ที่มองมา “ไฮ~ ขอบัตรหน่อยครับคุณสามี” เดินเข้าไปหาที่โต๊ะทำงานอย่างร่าเริงพร้อมแบมือรอรับบัตรแบบไม่จำกัดวงเงิน

“จะซื้ออะไร” โจไซอาห์เอ่ยถามอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ ตอนนี้เขาเทความสนใจมาที่งานมากกว่าภรรยาที่ยืนอยู่

“ไม่รู้สิครับ ไม่ได้คิด” ตอบตามตรง ก็ไม่ได้คิดจริง ๆ นี่นะว่าจะซื้ออะไร ก็แค่อยากถือบัตรแล้วไปเดินดูก่อน ถูกใจอะไรก็ค่อยซื้อ

“ถ้าไม่รู้จะซื้ออะไรก็ไม่ต้อง...”

ปัง!

เมอร์ลินทุบโต๊ะด้วยความไม่พอใจ โจไซอาห์จึงละสายตาจากงานแล้วมองหน้าภรรยาแทน

“คุณคิดจะให้ผมอยู่แต่ในที่น่าอึดอัดแบบนี้หรือไง?! ผมออกจากเขตโรนัลเดลนับครั้งได้เลยนะครับ ผมเบื่อแล้วก็เบื่อเต็มทนแล้วไอ้...” เมอร์ลินชี้หน้าโจไซอาห์ก่อนระงับความขุ่นเคืองใจที่พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนส่งยิ้มให้โจไซอาห์

“ผมจะออกไปเที่ยว ส่งบัตรมาเดี๋ยวนี้ครับและถ้าไม่ใช่แบล็กการ์ด ผมไม่รับ” รอยยิ้มของเมอร์ลินทำโจไซอาห์หงุดหงิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมส่งแบล็กการ์ดให้อย่างจำใจ ถึงเขาจะรวย จะมีเงิน แต่โจไซอาห์ไม่ใช่คนชอบใช้เงินฟุ่มเฟือย หากเทียบกับเหล่าพี่น้องทั้งหกคนแล้วรวมตัวเขา โจไซอาห์ถือเป็นคนที่รวยที่สุดในบรรดาพี่น้อง ขยันทำงาน ขยันหาเงิน ขยันออม แต่เหมือนเงินนั้นจะต้องปลิวแล้วสิ

“ผมได้ยินจากพี่ใหญ่อย่างพี่รามิเอลว่าคุณเป็นคนที่รวยที่สุดในหมู่พี่น้อง... ไม่เคยใช้เงินเลยเหรอครับ?” เมอร์ลินเอ่ยถามพลางมองแบล็กการ์ดในมือด้วยสายตาเป็นประกาย ตอนอยู่คาร์ลอฟเคยเห็นแต่เอดิสันใช้ เมอร์ลินพอรู้ว่าแบล็กการ์ดไม่ใช่บัตรที่จะได้มาง่าย ๆ ต้องผ่านกระบวนการอะไรมากมายและต้องถูกรับเชิญเท่านั้นถึงจะได้รับ คนในคาร์ลอฟที่มี นอกจากเอดิสันที่เป็นพ่อก็มีพี่ชายร่วมมารดาและพี่ชายต่างมารดาเท่านั้นรวมทั้งสิ้นสามคน แต่คนที่ไม่ใช้เงินอย่างคุณสามีจะถูกรับเชิญได้ยังไง?

“ใช้”

“อา หรือใช้แค่พอให้ได้รับแบล็กการ์ด?” เมอร์ลินลองเดาและคำตอบก็คือใช่ เมอร์ลินเลยยิ้มกริ่มก่อนเดินอ้อมโต๊ะไปหาโจไซอาห์แล้วหมุนเก้าอี้ให้หันมาหา นัยน์ตาคู่คมตวัดมองอย่างไม่สบอารมณ์นักก่อนนัยน์ตาสีเทาจะเบิกกว้างเมื่อริมฝีปากนุ่มกดลงบนแก้ม “ไม่ต้องห่วงนะครับ เพราะจากนี้ผมจะใช้เงินแทนคุณเอง ขยันหาเงินเข้านะครับคุณสามี” เมอร์ลินให้รางวัลด้วยการหอมแก้มก่อนจะเดินฮัมเพลงพลางใช้แบล็กการ์ดพัดที่หน้าเบา ๆ อือ~ กลิ่นหอมของเงินนี่มันหอมจริง ๆ เลยนะ

“...อยากฆ่าชะมัด” กำมือแน่นแล้วพลูลมหายใจ ค่อย ๆ ทำใจให้เย็นลงก่อนเริ่มทำงานที่ค้างอยู่ เขาติดต่อหาไทกิให้ส่งโรมันไปคุ้มกันและคอยห้ามปรามไม่ให้ซื้อของไร้สาระกลับมา แถมตลอดระยะเวลาที่เขานั่งทำงานอยู่ ไอ้ความรู้สึกที่ไม่สบายใจมันก็คอยวนเวียนอยู่รอบตัว นี่มัน... ลางสังหรณ์ของหายนะหรือไง?

ก๊อก ๆ

“เข้ามา” แต่ก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน เขาจึงส่งเสียงอนุญาตให้เข้ามาได้ คนที่เข้ามาคือไทกิ ไทกิเดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะทำงานก่อนค้อมศีรษะเล็กน้อย

“ได้เวลาแล้วครับคุณชาย”

“อืม” โจไซอาห์สลัดเรื่องเมอร์ลินทิ้งไปแล้วเดินออกจากห้อง เวลานี้เรื่องงานต้องมาก่อน เสร็จเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน “ทางนั้นมันยอมรับข้อเสนอหรือยัง” เอ่ยถามไทกิระหว่างเดินไปที่รถ

“ยังครับ นอกจากจะไม่สนใจข้อเสนอของทางเรา พวกมันยังกล้าเสนอเงื่อนไขที่ให้ผลประโยชน์แก่องค์กรของตัวเองเท่านั้น ผมเลยให้วิลสันนำทีมเข้าไปรวบตัวไว้เรียบร้อยแล้วครับ”

“ดี” พูดจบก็ก้าวขึ้นรถไปแล้วรับเอกสารจากคนสนิทที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลมาอ่าน “เหอะ ไม่เข้าใจพ่อเลยแฮะว่าธุรกิจกาก ๆ แบบนี้มีอะไรน่าสนใจ... หรือไปเหยียบเงาของเขาเข้ากัน” อ่านข้อมูลที่รวบรวมไว้แล้วถึงกับยิ้มเหยียด ‘เบเรอร์’ เป็นองค์กรมาเฟียหน้าใหม่ที่ผุดขึ้นมาในรันเซียได้เพียงหกเดือน ช่วงแรกมีข่าวน่าสนใจเกี่ยวกับเบเรอร์มากมาย เอเวอร์เร็ตต์เองก็คิดอยากจะสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่กล้าผุดองค์กรขึ้นมาท่ามกลางรุ่นพี่มากประสบการณ์ ราวกับแกะน้อยบริสุทธิ์หลงทางมาในดงราชสีห์ที่ห่มหนังแกะรอต้อนรับ

ความมั่นใจที่คิดว่าตนเหนือกว่าจนคนรุ่นเก่าอยากร่วมผูกสัมพันธไมตรี ทำให้ ‘จอห์น เบเรอร์’ ผู้นำอายุน้อยหลงระเริงในความมั่งคั่งและอำนาจที่ถูกป้อนเข้าปาก โดยหารู้ไม่ว่าแกะชราที่ป้อนข้าวนั้นแท้จริงเป็นราชสีห์ที่นึกเอ็นดูอยากเย้าแหย่แกะตัวน้อยก็เท่านั้นเอง

รถเบนซ์ไม่ต่ำกว่าหกคันขับเข้ามาจอดในเขตรกร้างของคอนโดแห่งหนึ่ง ไทกิเปิดประตูให้ผู้เป็นนายแล้วค้อมศีรษะจนกระทั่งโจไซอาห์ลงจากรถเดินเข้าไปข้างใน

“สวัสดีครับคุณชาย!” คนของโรนัลเดลทั้งหมดที่รออยู่ ต่างพากันตั้งแถวแล้วก้มศีรษะเก้าสิบองศาพร้อมตะเบ็งเสียงทักทายอย่างดุดัน โจไซอาห์แค่พยักหน้ารับ ก้าวเดินตรงไปยังโซฟาบุหนังสภาพเก่าแต่ยังใช้งานได้ดีแล้วนั่งลง

“...” นัยน์ตาคู่คมมองไปที่ชายคนหนึ่งซึ่งถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา สองมือถูกมัดไพล่หลัง สายตาของมันมองเขาอย่างโกรธแค้น โจไซอาห์แค่ยิ้มแล้วยกขาขึ้นไขว่ห้างก่อนแบมือรอรายงานอีกชุดจากลูกน้อง

“นี่ครับคุณชาย” เอกสารชุดใหม่ถูกวางลงบนฝ่ามือแผ่วเบา เขารับมาแล้วเปิดอ่านสลับมองหน้าของ จอห์น เบเรอร์ จะว่าแล้วพอมองไปนาน ๆ เขาเกิดความรู้สึกคุ้นแปลก ๆ ราวกับรู้จักกันมาก่อน?

“นี่แกจำฉันไม่ได้หรือไงไอ้เวร!” จอห์นตะเบ็งเสียงใส่คนบนโซฟาก่อนถูกเตะเข้าที่สีข้างเพราะบังอาจใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับคุณชายของพวกเขา

“ฉันรู้สึกคุ้นกับหน้าแก แต่นึกให้ตายก็นึกไม่ออก” พูดอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนโจไซอาห์จะชะงักเมื่อได้ยินชื่อหนึ่งออกจากปาก

“โจน ทิมเบอร์ เพื่อนร่วมชั้นที่เคยนอนกับแกไงไอ้... อึก!” จอห์นถูกเตะอีกครั้งและคราวนี้คนที่เตะคือไทกิ แถมเตะแรงกว่าคนก่อนหน้าจนจอห์นร้องครางอย่างเจ็บปวด

“นี่แกเปลี่ยนชื่อเพื่อวงการนี้เลยหรือไง? ทุ่มทุนไปไหมแต่ก็โง่เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน” หัวเราะอย่างสมเพชแล้วเปิดหน้ารายงานอ่านต่อ จอห์นกัดฟันก่อนพ่นประโยคต้องห้ามออกไป

“ทั้งแก ทั้งพ่อแก มันก็ระยำทั้งนั้น!”

ผัวะ!

โจไซอาห์ตวัดเท้าเตะเสยเข้าที่ปลายคางจอห์นเต็มแรง ไม่มีสัญญาณใด ๆ เอ่ยเตือน มีเพียงแรงกระแทกอันหนักหน่วงเข้าที่คาง จอห์นสำลักเลือดเล็กน้อยพร้อมกับความเจ็บร้าวราวกับคางแตก เขามึนไปชั่วขณะกลับกันกับโจไซอาห์ที่เริ่มอารมณ์รุนแรงขึ้นทีละนิด

“ปากระดับต่ำแบบแกไม่มีสิทธิ์เอ่ยถึงพ่อฉัน” แม้เขาจะหงุดหงิดบิดาบ่อยครั้ง แต่

โจไซอาห์ก็เคารพรักและนับถือบิดามาก เป็นต้นแบบของเขาเลยก็ว่าได้ เขาโคตรเกลียด เกลียดที่คนระดับต่ำกล้าเอ่ยถึงบิดาต่อหน้าเขา หากเอ่ยอย่างเคารพก็จะไม่ตำหนิ แต่หากเอ่ยถึงด้วยความหยาบคายเขาก็จะตอบกลับด้วยความหยาบคายที่มากกว่าร้อยเท่าพันเท่า

“แกจะไม่รับข้อเสนอของฉันใช่ไหม?” โจไซอาห์เอ่ยถามหลังควบคุมอารมณ์ได้แล้ว ข้อเสนอของโจไซอาห์คือองค์กรเบเรอร์จะต้องอยู่ใต้อาณัติของโรนัลเดล แต่ยังใช้ชื่อเบเรอร์ได้เหมือนเดิมหากต้องการ โดยสิ่งตอบแทนที่โจไซอาห์ต้องการคือเปอร์เซ็นต์รายได้จากธุรกิจเพียง 20% เท่านั้น ทว่าสิ่งที่เบเรอร์จะได้รับคือหุ้นส่วนของโรนัลเดลที่แบ่งให้ถึง 10% เปอร์เซ็นต์อาจจะดูน้อยแต่หากตีเป็นมูลค่าเงิน มันมากกว่า 20% จากธุรกิจง่อย ๆ ที่เสนอให้ด้วยซ้ำ

“ฉันไม่มีวันรับข้อเสนอของแก! ดูยังไงทางฉันก็เสียเปรียบชัด ๆ !” จอห์นโวย

“นี่... แกฟังฉันนะไอ้เวร ธุรกิจอันงอกง่อยของแกมันจะพังอยู่แล้วและรายได้ของแกมันก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หากแกยอมเข้ามาเป็นของโรนัลเดล ฉันจะชุบธุรกิจเฮงซวยให้แกและกำไรเพียง 20% ต่อเดือนเท่านั้นที่ฉันต้องการในขณะแกได้ไปเต็ม ๆ 80% แถมยังได้หุ้นจาก

โรนัลเดลที่พวกตาเฒ่าก้มหัวอ้อนวอนแทบตายถึง 10% นอกจากนั้นแกยังได้โรนัลเดลคุ้มกะลาหัว ไม่ว่าใครที่แตะต้องพวกแกก็ถือว่าแตะต้องโรนัลเดล ฉันจะจัดการให้แกอย่างสาสม ตรงไหนกันที่แกเสียเปรียบ?” อธิบายให้อย่างใจเย็นทั้งที่ในใจเริ่มเดือด... อีกแล้ว

“นั่นไง! ฉันให้แกตั้งยี่สิบแต่แกให้ฉันแค่สิบเนี่ยนะ?! ไม่เสียเปรียบตรงไหนวะ!” รอบข้างเงียบกริบก่อนพากันถอนหายใจอย่างสมเพช ไทกิได้แต่หลับตากำหมัดแล้วนับแกะในใจหวังให้ความคันเท้าเบาบางลง โจไซอาห์มองหน้าจอห์นก่อนถอนหายใจอย่างสมเพชเวทนาขั้นรุนแรง

“...นี่แกเป็นผู้นำองค์กรเพราะจับไม้สั้นไม้ยาวหรือไง ตอนเรียนก็เหมือนจะฉลาดหรือนั่นก็เพราะโชคช่วย?”

“ใครกันล่ะที่ทำลายชีวิตฉัน” ดูเหมือนจะไม่ตรงคำถามแต่ก็ช่างเถอะ

“แล้วใครใช้ให้แกจริงจังกัน?” โจไซอาห์แค่นยิ้มอย่างสมเพชก่อนพูดต่อ “นอนกันแค่ครั้งเดียวฉันต้องรับผิดชอบชีวิตแกเลยหรือไง แต่ไม่ใช่แกเองเหรอที่ยอมอ้าขาให้ฉันน่ะ?” รอยยิ้มของโจไซอาห์รังแต่จะทำให้จอห์นเจ็บปวดและนึกสมเพชตัวเองมากกว่าเก่า

“ฉันจะให้เวลาแกคิดสามชั่วโมงและอยากจะบอกอะไรแกหน่อย ตัวเลขเปอร์เซ็นต์มันไม่ใช่ตัวตัดสินแต่มูลค่าของมันต่างหากที่คือตัวตัดสินที่ชัดเจนที่สุด กำไรจากธุรกิจเบเรอร์หรือหุ้นจากโรนัลเดล ใช้สมองที่แกครอบครองมายี่สิบแปดปีคิดซะ” ใช้เท้าเตะเบา ๆ ที่แก้มของจอห์นก่อนลุกเดินออกมาแล้วบอกไทกิให้นำบุหรี่มาให้ เขาคิดว่าคุยกับเมอร์ลินเหนื่อยแล้วแต่คุยกับจอห์นเหนื่อยกว่า คนแรกบ้า คนหลังโง่ สินะ

“ติดต่อหาโรมันแล้วถามมันว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ฉันจะไปที่นั่น” บอกกับไทกิที่ยืนอยู่

ไทกิน้อมรับแล้วแยกตัวออกมาเพื่อติดต่อหาโรมัน ระหว่างนั้นโจไซอาห์ก็ออกคำสั่งลูกน้องให้เฝ้าจอห์นให้ดี หากลูกน้องจอห์นบุกมาเพื่อช่วย ก็ให้เจรจาถ้าเจรจาไม่รู้เรื่องก็อนุญาตให้ฆ่าทิ้งได้ทันที

“คุณชายครับ ตอนนี้โรมันกับคุณชายเมอร์ลินอยู่ที่ห้างสรรสินค้าเขตเรนทาวน์” ไทกิมารายงานหลังติดต่อกับโรมันเรียบร้อยแล้ว

“...ไปไกลถึงที่นั่นเลย?” ถึงอำนาจของโรนัลเดลจะไปถึงแต่มันก็ไกลอยู่ดี เดินทางจากที่นี่ก็คงใช้เวลาราวสองชั่วโมง

“โรมันบอกว่าคุณชายเมอร์ลินอยากออกไปไกล ๆ จากสายตาของคุณชายน่ะครับ” ไทกิรายงานตามที่ได้ยิน

“แล้วไปห้างไหนของเรนทาวน์”

“The Car’s mall ครับ” ไทกิหลบสายตาทันทีที่บอกชื่อห้าง

The Car’s mall เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดในรันเซีย เป็นสถานที่ที่ขายเฉพาะซุปเปอร์คาร์หรือรถยนต์ราคาแพงทั้งนั้น ราคาถูกสุดจะอยู่ที่ 200000[1] ดอลลาร์ ส่วนแพงสุดยังไม่มีจุดตายตัวเพราะรถรุ่นใหม่ที่ออกมามักมีราคาสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะบูกัตติ, เบนซ์, เฟอร์รารี่, แลมโบกินี่ และอื่น ๆ อีกมากมาย มันถึงได้เป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในรันเซียและโรนัลเดลก็เป็นหุ้นส่วนของห้างสรรพสินค้านั้นถึง 70% ไม่รวมหุ้นจากธุรกิจอื่น ๆ มันเป็นสวรรค์ของคนชอบรถและชอบล้างผลาญเงินโดยเฉพาะ

“ทำไม... ทำไมโรมันถึงไม่ห้ามเมอร์ลิน” โจไซอาห์กัดฟันถามอย่างอดทนอดกลั้น เงินของเขามันจะไปปลิวเข้าที่นั่นจริง ๆ เหรอ? ถึงจะได้กลับมาแต่... รถเนี่ยนะ? แค่รถที่จอดเรียงกันในโรงรถของคฤหาสน์ยังไม่พอหรือไง

“เอ่อ เสียงของโรมันก็เหมือนจะร้องไห้อยู่นะครับ ผมคิดว่าเจ้านั่นมันทำดีที่สุดแล้ว”

“รีบไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ แล้วบอกพวกวิลสันให้พาจอห์นกลับไปที่ ‘รูม’ เห็นทีเวลาสามชั่วโมงที่ฉันยื่นให้มันจะต้องยืดออกไปหน่อยแล้ว”

“รับทราบครับคุณชาย” ไทกิรีบน้อมรับแล้วก้าวยาว ๆ ไปหาวิลสันเพื่อแจ้งคำสั่งให้เร็วที่สุด โจไซอาห์ขึ้นรถมาก็เรียกหาบุหรี่อีกมวน ให้ตายสิ ทำไมวันนี้เขาถึงเหนื่อยกว่าทุกวัน

The Car’s mall

เมอร์ลินกำลังอยู่ในสรวงสวรรค์ของคนชอบผลาญเงิน นัยน์ตาคู่สวยกวาดมองรถมากแบบมากราคาที่จอดโชว์อย่างตื่นเต้น ในใจอยากได้คันนั้น อยากได้คันนี้ แบล็กการ์ดในมือมันก็สั่นราวกับบอกให้รีบ ๆ ใช้มันเดี๋ยวนี้ เมอร์ลินก้าวเท้าไปตามทางและเข้าไปดูรถของ

แบรนด์นั้นที แบรนด์นี้ที แถมแต่ละแบรนด์ก็มีรุ่นที่ออกมาแตกต่างกันไป ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งเครื่องยนต์ ทั้งที่อยู่ภายใต้แบรนด์เดียวกัน แต่ที่เมอร์ลินสนใจมากที่สุดคือ บูกัตติ ลา วัวตูร์ นัวร์ ด้วยรูปลักษณ์ที่ดุดันและสีดำดูน่าเกรงขามแถมเป็นสีที่เขาชอบ คำตอบเดียวแบบไม่ต้องคิดมากให้ปวดหัว

“จัดการให้ผมเดี๋ยวนี้ครับ” ส่งแบล็กการ์ดให้ไปทั้งที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่บูกัตติคันงาม เขาชอบมันอย่างไม่ต้องสงสัย อยากจะเข้าไปขับแล้วด้วยซ้ำ โรมันมองราคาแล้วได้แต่กลืนน้ำลายพลางปาดเหงื่อที่อยู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมา เจ้านายต้องว่าเขาที่ไม่ห้ามปรามแต่ก็คงรู้ว่าตนไม่มีทางห้ามคุณชายเมอร์ลินได้แน่

“ค คุณชาย...”

“หุบปากน่าโรมัน ไม่ต้องคิดมาห้ามฉันเลยจะดีที่สุดเพราะแค่สิบล้านดอลคงไม่ทำให้เจ้านายนายจนลงหรอก ฝากจัดการที่เหลือด้วย ฉันจะไปเดินดูแบรนด์อื่น” พูดจบก็เดินออกจากโชว์รูมของบูกัตติแล้วตรงไปทางแลมโบกินี่ โรมันจำต้องเข้าไปจัดการเอกสารการซื้อรถและเมื่อบอกว่าจะให้ส่งไปที่ไหน โรมันก็แทบไม่ต้องทำอะไรเพราะพนักงานพร้อมใจกันนำเอกสารไปถวายถึงที่ นี่แหละคือความสะดวกสบายของอำนาจและเงิน

“อยากจะเหมาให้หมด...” เมอร์ลินพึมพำกับตัวเองขณะเดินเข้าโชว์รูมแบรนด์นั้นที โชว์รูมแบรนด์นี้ที เมอร์ลินไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยเลยเพราะตอนนี้ในหัวมีแต่คำว่า ‘อยากซื้อให้หมดจังเลยนะ’

Rrrrrrrr

ระหว่างนั้นเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น เมอร์ลินนำโทรศัพท์ออกมาก่อนกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปอย่างร่าเริง

“ไงครับคุณสามีเฮงซวย”

(นายอยู่โชว์รูมไหน) เมอร์ลินขมวดคิ้วเล็กน้อยที่โจไซอาห์รู้ว่าเขาอยู่ไหน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าโรมันที่มากับเขาคงเป็นคนรายงานไป

“ผมกำลังเดินดูแอสตันมาร์ตินครับ จะมาหาหรือไง?” ถามขำ ๆ แต่คำตอบที่ได้มันไม่ขำเท่าไหร่

(ใช่ ฉันเห็นนายแล้ว) สายตัดไปทันทีก่อนเมอร์ลินจะหันหลังไปสบตาเข้ากับคุณสามีโจไซอาห์พอดี เมอร์ลินยิ้มแล้วกวักมือเรียก

“ไหน ๆ ก็มาแล้ว มาดูรถเป็นของขวัญแต่งงานให้ผมสิครับ” กอดแขนทันทีพร้อมกับทำอ้อนก่อนถูกมือหนาดันใบหน้าให้ออกห่าง

“นายได้ไปแล้ว ยังจะเอาอีกหรือไง?” ตอนรู้ราคาก็แอบคิ้วกระตุกเล็กน้อยถึงมากที่สุด ราคาสูงกว่าเบนซ์ที่โรนัลเดลใช้หลายเท่าแถมแพงกว่ารถลูกรักของผู้นำโรนัลเดลเสียอีก เมอร์ลินจะรู้ไหมว่ารถของเอเวอร์เร็ตต์ราคาแค่สองแสนกว่าดอลล่าร์ซึ่งถูกกว่ารถที่เมอร์ลินซื้อหลายเท่าตัวแถมยังใช้งานมานานกว่ายี่สิบปี ไม่มีความคิดที่จะซื้อใหม่เลยสักนิดแต่ตอนนี้ลูกสะใภ้กลับได้ใช้รถที่ราคาเจ็บแสบเป็นที่สุด

“อะไรเนี่ย คุณเป็นถึงโรนัลเดลนะครับ อย่ามาทำตัวขี้เหนียวได้ไหมแล้วเราก็แต่งงานมาห้าปี ผมยังไม่เคยได้ของขวัญจากคุณเลยเหอะ” เมอร์ลินเริ่มมองแรง จากที่อารมณ์ดีก็เริ่มจะขุ่นมัวขึ้นเล็กน้อย

“ได้ไปแล้วนี่กับบูกัตติสิบล้านดอลลาร์ของนาย นั่นน่ะของขวัญ”

“ผมซื้อเองมันจะเป็นของขวัญจากคุณได้ยังไง”

“แต่เงินฉัน”

“เงินคุณก็เหมือนเงินผมเพราะผมเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย คุณแม่อลิซกับคุณแม่อเดลท่านบอกผมมาว่าของของสามีก็คือของของภรรยาเช่นกันแล้วคุณสามีรู้อะไรไหมครับ” เมอร์ลินขยับเข้าใกล้จนระยะห่างเหลือเพียงนิดพร้อมสองมือยกประคองใบหน้าหล่อเหลาที่แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ เมอร์ลินยิ้มก่อนรั้งใบหน้าโจไซอาห์เข้ามาจนปลายจมูกแตะกัน

“สิบล้านดอลลาร์ยังไม่ใช่มูลค่าที่แท้จริงของร่างกายนี้เลยนะครับ คุณเองก็รู้ดีนี่ครับเพราะคุณไม่เคยพอในรอบเดียวเลยสักครั้ง” กดริมฝีปากแนบชิดแล้วผละออก เมอร์ลินฮัมเพลงก่อนแกล้งสะดุดล้มนั่งบนกระโปรงหน้ารถแอสตันมาร์ตินที่อยู่ใกล้ที่สุด

“...” โจไซอาห์กัดฟันจนกรามขึ้นเป็นสัน เส้นเลือดตามลำคอปูดขึ้นเต้นตุบ ๆ พอ ๆ กับเส้นเลือดในสมองที่แทบจะแตกตายขณะมองเมอร์ลินที่นั่งหน้ารถราวกับเป็นพรีเซนเตอร์ทั้งที่จงใจล้มเอง

“ทำไงดี ผมล้มลงบนรถเลยทำให้เสียหายเลย... เราซื้...”

“ไม่” โจไซอาห์รีบห้ามแต่ทว่า...

“ซื้อไว้ให้ลูกดีกว่าครับ เด็ก ๆ น่ะโตไวจะตาย เนอะ?” เมอร์ลินยิ้มหวานแล้วหันไปบอกกับพนักงานว่าเขาจะซื้อคันนี้และขอโทษที่ทำให้รถเสียหาย คิดค่าซ่อมไปได้เลยแต่พนักงานนั้นรู้ดีว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุแต่ตัวเขาก็ไม่กล้าขัด โจไซอาห์ที่แย้งไม่ได้ห้ามไม่ฟัง ได้แต่ส่งแบล็กการ์ดที่ได้คืนจากโรมันให้ไป แล้วแอสตันมาร์ตินรุ่นล่าสุดที่เพิ่งจะออกก็ถูกทายาทลำดับที่สองของโรนัลเดลซื้อเรียบร้อย

ส่วนเมอร์ลินก็ดูจะพอใจอย่างมาก ทั้งสองเดินดูรถด้วยกันท่ามกลางเสียงทะเลาะ ไม่สิ ต้องบอกว่าโจไซอาห์หัวเสียเพราะถูกเมอร์ลินแหย่มากกว่า แถมเมอร์ลินยังกล้าทำกล้าพูดอย่างไม่อาย เพื่อจะปิดปากนั่นก็มีแต่ต้องยื่นแบล็กการ์ดให้อย่างเดียว เมอร์ลินหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจก่อนจะดึงโจไซอาห์ที่ขยับหนีเพราะความรำคาญเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหูไปว่า

“คืนนี้ผมจะใช้ร่างกายในส่วนสิบล้านดอลลาร์เพื่อคุณสามีนะครับ”

“แล้วส่วนของแปดแสนดอลลาร์นั่นล่ะ?” โจไซอาห์ถามกลับพลางยกยิ้มมุมปากที่เห็นเมอร์ลินขมวดคิ้ว แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เห็นเมอร์ลินอารมณ์เสีย เขาก็มีความสุขราวกับได้ชนะคนทั้งโลกแล้ว

“เออครับ เดี๋ยวทบต้นทบดอกให้จนกว่าจะพอใจเลย!”

“ดีล” พูดจบก็หอมแก้มขาวไปฟอดใหญ่ก่อนจับมือเรียวขึ้นมาแล้ววางแบล็กการ์ดลงไป “อยากใช้เท่าไหร่ก็ตามใจนายเลย” ถึงจะไม่พูดอะไรต่อแต่เมอร์ลินก็รู้ว่าถ้าเขาใช้ เขาก็ต้องตามทบต้นทบดอกที่เพิ่มขึ้นมาน่ะสิ

“ก็ถ้าจะให้ทบต้นทบดอกขนาดนี้ ผมขอใช้เงินไปให้สุดเลยแล้วกัน”

บทที่เกี่ยวข้อง

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0004

    เสียงเครื่องยนต์บูกัตติคันใหม่ดังกระหึ่มทั่วเขตอาศัยของโรนัลเดล ส่วนโจไซอาห์ยืนกอดอกเฝ้าเมอร์ลินไม่ให้ขับไปไหน เขายอมให้ลองเครื่องได้แต่ต้องอยู่ที่เขตของคฤหาสน์เขาเท่านั้น ตามจริงคนเฝ้าไม่ใช่เขาแต่ลูกน้องเอาเมอร์ลินไม่อยู่ เขาถึงต้องมาเฝ้าด้วยตัวเอง ทางเมอร์ลินที่กำลังลองบูกัตติคันงามก็ลองไปพลางหลับ

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0005

    หยาดเหงื่อผุดซึมตามใบหน้าและร่างกายยามความร้อนของบทรักแผดเผาพวกเขาทีละเล็กทีละน้อย เสียงเครือครางเคล้าคลอร่วมกับเสียงเนื้อที่กระทบกันอย่างหยาบโลนส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายพลันสูงขึ้น เมอร์ลินผ่อนลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่ายามส่วนแข็งขืนสอดผสานเข้ากับช่องทาง ซ้ำรีบเร่งกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ลดละ มอบความเสีย

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0006

    ช่วงสายของวันใหม่ เมอร์ลินเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหนักที่เอว พอลองก้มดูก็เห็นว่าเป็นแขนของสามีเขาที่หลับอยู่ด้านหลังนี้เอง เมอร์ลินจะปลุกแต่ชะงักมือไว้ทันแล้วตัดสินใจปล่อยให้โจไซอาห์นอนต่อไปเพราะขืนปลุกขึ้นมาคงได้จัดกันแต่หัววันแน่ ๆ เมอร์ลินถอนหายใจแล้วทอดสายตามองออกไปที่ระเบ

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0007

    “ฉันมีเรื่องจะขออนุญาตนาย” หลังจากจูบกันจนพอใจแล้ว โจไซอาห์ก็ได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปทางด้านหลังของเมอร์ลิน เมอร์ลินจึงหันมองตาม เขาก็เห็นเอกสารมากมายของตัวเองรวมถึงรูปสแกนที่แนบมา มือเรียวรีบหยิบกระดาษเอกสารอื่นปิดทับรูปนั้นทันที“จะขออะไรครับ” ถามกลับทั้งที่ไม่หันมามองหน้า“ฉันจะขอเอาเอกสารสำคัญขอ

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0008

    ร้านอาหารอิตาเลียนเปิดใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงรันเซีย คือสถานที่นัดพบระหว่างสูตินรีแพทย์อิดอน เลสเตอร์ และโจไซอาห์ เดิมทีสถานที่นัดพบของพวกเขาต้องเป็นร้านอาหารที่มีโซนส่วนตัวให้เลือก ทว่ารอบนี้โจไซอาห์ขอเปลี่ยนสถานที่เนื่องจากเหตุผลบางอย่างแต่ไม่ได้บอกมา อิดอนเพียงแต่ตกลงรับนัดของเพื่อนสนิทแล้วหาเ

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0009

    “นั่นสินะ” อิดอนนึกถึงผู้ป่วยที่โรงพยาบาลขึ้นมา แม้พวกเขาจะเจ็บปวดและทรมานกับโรคที่เป็นแค่ไหน พวกเขาก็ยังมีจิตใจที่เข้มแข็งกว่าที่เขาคิดไว้มาก ความอยากมีชีวิตอยู่ต่อเป็นแรงผลักดันให้ต่อสู้กับโรคร้าย ถึงท้ายที่สุดจะต้องจากไปแต่ไม่มีใครรู้สึกเสียดายหรือเสียใจ เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ได้ต่อสู้อย่างกล้าหา

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0010

    “ผมจะไปถึกกว่าพี่เจฟได้ยังไงครับ” เมอร์ลินแทบไม่เชื่อหูว่าจะได้ยินพี่คนนี้พูดอะไรแบบนี้ออกมา ทั้งที่ตัวเองนั่นแหละถึกกว่าใครเขาหมด“แล้วทำไมพี่ถึงป่วยล่ะคะ? บอกได้ไหมอะ พอดีพวกเราเป็นห่วงพี่จริง ๆ” เอมมิเลียที่คลานขึ้นเตียงมานั่งข้าง ๆ พูดขึ้น สีหน้าแสดงออกว่าเป็นห่วงเมอร์ลินจริง ๆ เวโรนิก้าพยักหน้า

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0011

    “ให้มันตอบเอง” พูดจบก็นั่งลงที่ปลายเตียงแล้วมองหน้าเมอร์ลินเงียบ ๆ เมอร์ลินไม่เข้าใจเลยมองหน้าหมอเพื่อขอคำตอบ อิดอนรู้สึกอะไรวะอยู่ในใจเล็กน้อยแต่เขาก็ยิ้มแล้วเริ่มอธิบาย“พอโจซมันได้ยินว่าคุณดูไม่ดีเท่าไหร่ มันก็เลยพาผมมาน่ะครับ เป็นสามีที่ห่วงภรรยาจริง ๆ เลยนะ ฮ่า ๆ” อิดอนหัวเราะแต่สองคนในห้องที่ข

บทล่าสุด

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0274

    ฝ่ามือเรียวที่เหี่ยวย่นตามวัยวางกรอบรูปกรอบใหม่ลงบนโต๊ะที่อัดแน่นด้วยกรอบรูปมากมาย เศษกระดาษที่ถูกตัดถูกขยำรวบใส่ถังขยะ ก่อนจะยกถังขยะนั้นกลับไปไว้ที่ของมัน มารีแอนน์มองภาพเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันหลังให้เมื่อมีเสียงเรียก ประตูบ้านถูกเปิดออกพร้อมแสงสว่างของช่วงสายสาดส่องเข้ามาด้านในกรอบรูปที่ติ

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0273

    “พี่เมอร์ลิน เอ่อ ยินดีด้วยนะครับกับการแต่งงาน” อูรีเอลเอ่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ“เออ ขอบใจ” และเมอร์ลินก็ขอบใจห้วน ๆ เพราะยังไม่ชอบหน้าอูรีเอลเหมือนเคย“ผมรู้ว่านายเกลียดผม แต่ช่วยรับของขวัญชิ้นนี้ได้หรือเปล่า?” อิการาชิพูดขึ้นมาก่อนวางกล่องบางอย่างที่มีขนาดเท่าฝ่ามือลง เมอร์ลินไม่ได้แสดงท่าทางรังเกีย

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0272

    เมื่อได้เวลาอันสมควร เรเธเซียก็ถูกเมอร์ลินอุ้มพามาที่กลางสนาม จากซุ้มแต่งงานกลายเป็นโต๊ะที่มีเค้กช็อกโกแลตและลูกสตอเบอร์รี่วางเรียงเป็นชั้น ๆ บนเค้กมีเทียนเลขสามปักอยู่พร้อมตัวอักษร HBD.SIASIA เขียนอยู่ ผู้คนมากมายที่รายล้อมล้วนเป็นคนที่รักหนูน้อยเรเธเซียคนนี้ แต่เสียใจด้วยที่ในสายตาของเรเธเซียมีแต่

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0271

    “แต่เรเธเซียคงยังไม่รู้สินะว่าตัวเองจะเป็นพี่สาวแล้ว” พอพูดแล้วก็หันมองเจ้าหญิงน้อยที่สนใจแต่เล่นกับคุณลุงมาเวอริค เมอร์ลินยิ้มบางก่อนสายตาจะสะดุดกับใบหน้าที่ดูซีดเล็กน้อยของอิการาชิ ตามจริงไม่จำเป็นต้องใส่ใจ แต่เขาก็ไม่อยากให้ใครมาตายในที่ของเขา เมอร์ลินจึงขอตัวแล้วเดินเข้ามาหาพี่ชาย“จะตายเหรอ? ถ้

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0270

    ‘ถ้าเซียเซียเห็นดาดี๊กับมามี๊จุ๊บ ๆ กัน เซียเซียต้องปิดตาแบบนี้นะคะ’ทั้งบอกและทำให้ดูเป็นตัวอย่าง การอบรมของคุณอาฝาแฝดก็เลยประสบความสำเร็จ ยกเว้นโอนิกซ์ที่ยืนจ้องตาแป๋ว ซึ่งแน่นอนว่ารามิเอลกับอิดอนได้แต่กำหมัดอยากซัดหน้าโจไซอาห์เหลือเกินช่วงเวลานี้นับเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขรองลงมาจากตอนเห็นหน้าลู

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0269

    โจไซอาห์ทำให้พี่ชายอย่างมาเวอริครู้สึกอุ่นใจที่จะฝากน้องชาย แม้ความเป็นจริงเขาจะไม่มีสิทธิ์เข้ายุ่งเพราะทั้งคู่เคยแต่งงานกันแล้ว แต่พอได้รับหน้าที่พี่ชายจากเมอร์ลิน ความหวงน้องมันก็ทำงานเกินหน้าตาทันที“พ่อได้ยินและได้รับรู้ถึงความรักที่ลูกมีต่อภรรยา ขอให้พระเจ้าทรงมอบพรแด่ลูก” บาทหลวงกล่าวขึ้นพร้อม

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0268

    เมอร์ลินอยากจะจับมาฟัดให้รู้แล้วรู้รอดเพราะความน่ารักของลูกสาวและอยากขอบคุณฝาแฝด เพราะฝาแฝดเลยนะ เรเธเซียถึงได้น่ารักน่าชังและสวยสมเป็นเจ้าหญิงน้อย ส่วนมงกุฎดอกไม้นี้สองสาวก็คงร่วมแรงด้วยแต่น่าจะให้เรเธเซียได้มีส่วนทำมากกว่า คนที่บอกให้เอามาให้ก็คงเป็นสองคนนั้นอีก ซึ่งความเป็นจริงก็ตรงตามที่เมอร์ลิน

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0267

    “อะไรล่ะ ว่ามาเลย พี่ให้เราได้ทุกอย่าง” มาเวอริคยกมือจับไหล่น้องชายแล้วบีบเบา ๆ หวังให้เมอร์ลินได้ใจเย็นลง“มันไม่มีโอกาสพูดแล้วนอกจากวันนี้เท่านั้น ผมเลยจะขอทำตัวเป็นน้องชายขี้แยครั้งแรกและครั้งสุดท้ายนะครับ” สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนยกมือทาบทับลงบนหลังมือพี่ชายที่บีบไหล่ตน “ตั้งแต่เกิดจนออกจากตระกู

  • What is a divorce? [Mpreg]   บทที่ 0266

    เมื่อครอบครัวทางฝ่ายเจ้าสาวมาครบ ต่อไปก็เป็นครอบครัวทางฝ่ายเจ้าบ่าว รถเบนซ์วิ่งยาวมาเป็นขบวน คันแรกที่จอดเป็นของผู้นำตระกูลและภรรยาฝาแฝดที่ขนาบข้าง ตามด้วยลูกชายคนโต คนรอง คนกลางและลูกสาวฝาแฝด เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าครอบครัวนี้ไม่จำเป็นต้องบรรยายความหรูหราและความดูดีใด ๆ หากไม่นับเรื่องความดีของพ

DMCA.com Protection Status