“ฉันมีเรื่องจะขออนุญาตนาย” หลังจากจูบกันจนพอใจแล้ว โจไซอาห์ก็ได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปทางด้านหลังของเมอร์ลิน เมอร์ลินจึงหันมองตาม เขาก็เห็นเอกสารมากมายของตัวเองรวมถึงรูปสแกนที่แนบมา มือเรียวรีบหยิบกระดาษเอกสารอื่นปิดทับรูปนั้นทันที
“จะขออะไรครับ” ถามกลับทั้งที่ไม่หันมามองหน้า
“ฉันจะขอเอาเอกสารสำคัญของนายให้กับหมอคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก ...ความพิเศษของนายจะใช้หมอคนไหนก็ได้ไม่ได้เด็ดขาด” เห็นอย่างนี้เขาก็มีพอมีเพื่อนสนิทที่คบอยู่บ้างแม้จะมีคนเดียวก็ตาม เป็นโชคดีที่เพื่อนคนนั้นเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลในเครือโรนัลเดล มีความสามารถมากพอที่จะรับมือกับความพิเศษของเมอร์ลินได้ และเป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจให้เห็นร่างกายเมอร์ลิน ก็เพราะว่าเพื่อนคนนั้นแต่งงานมีครอบครัวเรียบร้อยแล้ว
“คุณไม่จำเป็นต้องขอผมก็ได้ครับ”
“ถึงฉันจะเป็นสามีนายแต่ฉันไม่มีสิทธิ์เอาข้อมูลสำคัญของนายไปให้ใครก็ได้โดยปราศจากการยินยอม ว่าไง?”
“คุณทำแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ นะครับ... เฮ้อ แต่เอาเถอะ ถ้าคุณคิดว่ามันดีกับผม ก็เอาไปเถอะครับ” เมอร์ลินละมือออกจากเอกสารแล้วดันอกกว้างให้ถอยห่างก่อนลงจากโต๊ะทำงาน “ขอบัตรหน่อยสิ ผมจะออกไปข้างนอกหน่อย” พอจบจากเรื่องอันน่าปวดหัว รอยยิ้มของเมอร์ลินก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมพร้อมแบมือกระดิกนิ้วรอบัตร โจไซอาห์ที่กำลังรู้สึกดีกับบรรยากาศเมื่อครู่พลันหน้าตึงราวกับมีคนมาสับสวิตช์
“อะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นครับ? เมื่อกี๊สีหน้าคุณมันไม่ได้เป็นแบบนี้นะ” ถามเหมือนไม่รู้แต่ริมฝีปากที่พยายามกลั้นยิ้มนั่นน่ะคืออะไร?
“นายเพิ่งใช้เงินไปเมื่อไม่สัปดาห์ก่อนเองนะ?”
“ถ้าไม่อยากให้ผมขอบ่อย ๆ ก็ทำบัตรให้ผมสิครับ” เมอร์ลินกอดอกมองหน้าสามีอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ความจริงเรื่องบัญชีธนาคารและบัตรต่าง ๆ ควรจะเสร็จตั้งนานแล้ว แต่เมอร์ลินอยากรอให้ทรัพย์สินของตัวเองมาถึงก่อนแล้วค่อยทำทีเดียว ทว่าทางคาร์ลอฟกลับละเลยจนเวลาล่วงเลยมาห้าปีแถมเขายังลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ คิด ๆ แล้วก็... เขานี่ถูกคาร์ลอฟละเลยยิ่งกว่าขยะอีกนะเนี่ย?
“รอบนี้จะใช้ซื้ออะไร? บ้าน คฤหาสน์ รถ คอนโด ห้าง? หรือเมืองไหนในรันเซีย?”
“ประชดเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ? ไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าคุณประชดเป็นด้วย” เมอร์ลิน
หรี่ตามองหน้าโจไซอาห์อย่างต้องการคำตอบ ปกติคนที่ประชดมันมีแค่เขานี่นะ พอคุณสามีตรงหน้าพูดประชดเป็นมันก็จะเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยถึงปานกลาง
“พอดีตรงหน้าฉันมีคนที่โคตรจะประชดเก่งอยู่ ฉันเรียนรู้มาจากคนคนนั้น” และ คนคนนั้น ที่ว่าก็กำลังถลึงตาใส่เขาอยู่ เหมือนจะรู้ตัวว่าหมายถึงใคร
“คุณนี่มัน... เอาบัตรมาสักทีครับ!”
“นายมัน...!” โจไซอาห์กัดฟันแล้วทำท่าจะชี้หน้าแต่สุดท้ายก็ต้องเก็บนิ้วไปแล้วส่งบัตรเครดิตธรรมดาให้ไปแทน
“อะไรเนี่ย บัตรกาก ๆ นี่คืออะไรครับ?!” ปฏิกิริยาไม่ต่างจากที่คิดไว้ เมอร์ลินมองบัตรเครดิตที่ไร้ซึ่งราศีแล้วมองหน้าสามีที่ทำเป็นไม่เข้าใจ
“รูดเพลินเหมือนกัน เชื่อฉันสิ” มุมปากกระตุกยิ้มแล้วเดินอ้อมกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ เมอร์ลินปรายตามองแก้วกาแฟแล้วทำฮึดฮัดใส่ก่อนจะหมุนตัวรีบเดินออกจากห้อง พอในห้องเหลือแค่เขา โจไซอาห์ก็เก็บเอกสารใส่กระเป๋าดังเดิมก่อนจับหูแก้วกาแฟยกขึ้น เขาหมุนแก้วเบา ๆ ให้กาแฟในแก้ววนเล็กน้อยจากนั้นก็จรดริมฝีปากแล้วรับรสชาติของกาแฟเข้าไป วินาทีที่ลิ้นสัมผัสกับความเย็นชืดและรสชาติอันหวานหยด
แค่ก!
“เมอร์ลิน!!!” สีหน้าของโจไซอาห์ก็บิดเบี้ยวพร้อมสำลักความหวานของกาแฟ พลันตวาดเสียงแข็งเรียกชื่อของคนที่ยกกาแฟเข้ามาให้ เขาโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เจ้าของชื่อที่ยืนอยู่หน้าห้องหัวเราะคิกคักอย่างพอใจก่อนโผล่หน้ากลับเข้ามาแล้วแลบลิ้นให้สามีที่จ้องตาเขียว
“ผมใส่ความหวานของชีวิตคู่เราลงไปเลยนะ ฮึ ๆ เขินเหรอครับ? หน้าแดงเชียว... บัยย” โบกมือมาด้วยบัตรเครดิและนิ้วกลาง โจไซอาห์ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนเช็ดปากแล้วกดอินเตอร์คอมหาห้องครัวให้เอมี่นำกาแฟกับน้ำเปล่าขึ้นมาให้อย่างด่วนที่สุด
เมอร์ลินขับรถไปตามท้องถนนด้วยความเร็วคงที่ พอหนีออกจากคนคุ้มกันของสามีที่ส่งมาได้ เขาก็ได้อยู่คนเดียวสักที ระหว่างที่ขับรถอยู่ เมอร์ลินพลันคิดถึงกระเป๋าเอกสารที่อยู่บนโต๊ะทำงานของโจไซอาห์ กระเป๋าใบนั้นมันกลับมาที่คาร์ลอฟพร้อมกับตัวเขาที่ออกจากโรงพยาบาล สายตาของครอบครัวที่มองมาหลังจากอ่านเอกสารที่อยู่ข้างในแล้ว... จนวันนี้เมอร์ลินยังจำสายตานั้นได้เป็นอย่างดี อยากจะลืมแต่มันก็ลืมยากเหลือเกิน
บูกัตติเลี้ยวเข้าห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขตอาศัยของโรนัลเดล
เมอร์ลินไม่อยากเสี่ยงไปไกลโดยไร้โรมันหรือไทกิ เขายังไม่ชินทางไกล ๆ เท่าไหร่เพราะทุกครั้งที่ออกมาข้างนอกส่วนมากก็มีคนขับให้ตลอด มิหนำซ้ำใช่ว่าเขาจะได้ออกมาทุกครั้งตามที่ต้องการเมื่อไหร่ เมอร์ลินวนหาที่จอดรถอยู่สักพักก็เจอที่ว่างพอดี พอจอดรถแล้วก็ได้เวลา
“มันนี่ไทม์~” เมอร์ลินเดินเข้าห้างอย่างอารมณ์ดี ได้เที่ยวคนเดียวครั้งแรกมันก็จะดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่
ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มีชื่อว่า ‘Runsia Mall’ เป็นห้างขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงรันเซียแห่งนี้ เมอร์ลินไม่เคยมาที่นี่แต่เขาเคยผ่านมัน บ่อยครั้งที่คิดว่าอยากจะเดินเที่ยวแต่โอกาสก็ไม่มาสักที พอเข้ามาข้างในแล้วสิ่งแรกที่เมอร์ลินมองหาคือของกิน! ท้องของเขาต้องการเติมเต็มด้วยอาหารอร่อย ๆ เมอร์ลินขึ้นมาที่ชั้นสองของห้างซึ่งนับว่ามันเป็นสวรรค์เลยก็ว่าได้ ร้านอาหารต่าง ๆ มากมายหลากหลายสัญชาติเรียงกันให้เต็มสองฝั่งทาง แต่เมอร์ลินก็มีของโปรดที่อยากกินอยู่แถมร้านยังอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง
“เอาทุกเมนูที่อยู่ในหน้านี้มาเลยครับ” เมอร์ลินเข้าร้านที่อยู่ใกล้ที่สุด เป็นร้านที่มีเมนูส่วนใหญ่เป็นอาหารเส้นที่เมอร์ลินชอบ อย่างสปาเก็ตตี้ พาสต้า แต่ใช่ว่าเมนูแบบอื่นเขาจะกินไม่ได้ เมอร์ลินไม่ใช่คนเลือกกิน ใครทำอะไรมาให้เขาก็กินได้หมด เพียงแต่อาหารเส้นมันเป็นของโปรดก็เท่านั้น ระหว่างที่นั่งรอ เมอร์ลินเล่นโทรศัพท์ไปพลางมองนั่นมองนี่ไปพลาง นานมากเหมือนกันนะที่เขาไม่ได้เห็นผู้คนมากมายขนาดนี้ บางครั้งเวลาที่เห็นคนอื่น ๆ ใช้ชีวิตกัน เมอร์ลินก็จะมีความรู้สึกว่าตัวเขาก็ใช้ชีวิตไม่ต่างจากหมู่คนเหล่านั้น แล้วทำไมแค่ท้องได้ถึงได้กลายเป็นตัวประหลาด?
‘นายจะเป็นตัวประหลาดก็ต่อเมื่อนายมองตัวเองเป็นแบบนั้น’
อยู่ ๆ คำพูดของใครบางคนก็แวบขึ้นมาในหัว เมอร์ลินชะงักไปชั่วขณะก่อนสะบัดศีรษะแรง ๆ แล้วตบแก้มตัวเองเบาๆ นี่เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไงถึงได้ไปนึกถึงคำพูดของคนเฮงซวยนั่น จริง ๆ เลย อุตส่าห์หนีออกมาเที่ยวคนเดียวทั้งที ยังจะตามมาหลอกหลอนกันอีก
“ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารนะครับ” รถเข็นเต็มไปด้วยจานอาหารที่สั่งหยุดลงข้างโต๊ะ พนักงานกล่าวขออนุญาตก่อนยกจานอาหารออกจากรถเข็นแล้ววางลงบนโต๊ะอย่างเบามือ เมอร์ลินมองความสวยงามที่ถูกตกแต่งมาอย่างดีอย่างพึงพอใจ ไหนจะกลิ่นหอม ๆ ที่โชยแตะจมูก มันทำให้ความอยากอาหารทำงานหนักมาก
“ทานให้อร่อยนะครับ” พนักงานค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วเข็นรถที่ว่างเปล่าออกไป เมอร์ลินไม่รีรอรีบหยิบส้อมม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปากทันที
“อืม...” ความสุกของเส้นมันพอดีมาก ๆ หนุบหนับทุกครั้งที่เคี้ยว รสชาติของซอสก็เข้มข้นจนอยากขอซื้อสูตรไปให้แม่ครัวที่โรนัลเดล ความเข้ากันนี่มันอะไรเนี่ย... อร่อยมาก ๆ เลย เมอร์ลินกินไปปลื้มไป ไม่เสียแรงที่ทุ่มทุนหนีออกมา คุ้มแล้วจริง ๆ จานแรกหมดไปต่อด้วยจานที่สองทันที ระหว่างนั้นเองที่ส้อมหยุดชะงักพร้อมกับความรู้สึกว่าเขากำลังถูกใครสักคนมองอยู่
‘จริงสินะ ที่รันเซียไม่ได้มีแค่โรนัลเดล สบายใจมากเกินไปจนลืมเรื่องสำคัญจนได้’ เมอร์ลินบ่นตัวเองในใจแล้วทำตัวตามปกติ ห้ามให้คนเหล่านั้นรู้เด็ดขาดว่าเขารู้ตัวแล้ว
เมอร์ลินกินทุกเมนูที่สั่งมาจนหมด เขาดื่มน้ำแล้วลุกไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า ความจริงเรียกพนักงานมาก็ได้แต่เขาอยากรีบ ๆ ออกไปจากที่นี่
“ขอบคุณครับ อาหารอร่อยมากเลย” พูดยิ้ม ๆ กับพนักงานที่คืนบัตรให้
เมอร์ลินเดินออกจากร้านแล้วขึ้นไปชั้นสาม เขาแสร้งทำเป็นเข้าร้านนู้น ออกร้านนี้ พร้อมกับค้นหาชื่อองค์กรมาเฟียรันเซียในหัว ในวันแต่งงานเขากับโจไซอาห์มีองค์กรไหนมาบ้าง? ขณะที่หัวคิ้วกำลังขมวดอย่างใช้ความคิด เมอร์ลินพลันหัวเราะออกมาพร้อมกับสีหน้าที่คาดเดาไม่ได้ ทว่าในใจเขากลับร้องไห้แล้ว
‘ฉิบหาย จำไม่ได้สักชื่อ’ เมอร์ลินหัวเราะอย่างสิ้นหวังก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วถอนหายใจออกช้า ๆ ควบคุมสติให้กลับเข้าที่ก่อนเลี้ยวเข้าห้องน้ำชายที่ตอนนี้ไร้เงาคน
เมอร์ลินเดินเข้ามาด้านในสุดแล้วหยุดยืนหันหน้าไปทางประตู สองแขนยกกอดอกไร้ซึ่งความหวาดกลัวและทันทีที่คนเหล่านั้นเดินเข้ามา พวกมันก็ดูจะตกใจที่เมอร์ลินไม่ได้แอบแต่อย่างใด
“พวกนายมาจากที่ไหนน่ะ?” เอ่ยถามออกไปตรง ๆ แล้วสำรวจความต่างของสรีระร่างกาย คนพวกนี้ดูตัวหนาและบึกบึนกว่าเขามาก จากจำนวนที่มีเพียงสาม ยังไง ๆ ก็เสียเปรียบแต่ไม่ว่ายังไงเมอร์ลินต้องจัดการพวกมันแล้วกลับออกไปให้ได้ จริง ๆ จะหนีก็ได้อยู่แต่แบบนั้นมันไม่สมกับเป็นตัวเขาเลยน่ะสิ
“...ตกใจเลยนะครับที่คุณดูไม่กลัวพวกผม” คนที่ดูจะเป็นหัวหน้าของอีกสองคนพูดขึ้น ทางนั้นใช้สายตาสำรวจเมอร์ลินอย่างไม่ปิดบัง เสียมารยาทจนอยากจิ้มลูกตานั่นให้บอด
“พ่อสามีฉันน่ากลัวกว่าพวกนายร้อยเท่าพันเท่า ในสายตาฉันเลยเห็นพวกนายเป็นเด็กน้อยน่ะ” เมอร์ลินหัวเราะเบา ๆ แล้วมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบนิ่ง “แน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะแตะต้องฉัน?” ความทะเล้นเมื่อครู่หายไปพร้อมกับน้ำเสียงที่เยือกเย็นเอ่ยถามบุคคลทั้งสามคนตรงหน้า
“พวกผมแค่ต้องการคุยกับคุณเท่านั้นเองครับ”
“หากคนมันมีจุดประสงค์ดีคงเข้ามาทักตั้งแต่อยู่ในร้านอาหารแล้ว แล้วรู้ไหมว่าตอนนี้สายตาพวกนายมองฉันยังไง?” แม้ปากของพวกมันบอกว่าต้องการคุย ทว่าสายตาที่มองมา มันเป็นสายตาที่มองศัตรูชัด ๆ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เข้ามาเลยดีไหม?” สิ้นเสียงของเมอร์ลิน ชายตรงหน้าก็พุ่งเข้าหาพร้อมกับฝ่ามือที่ยื่นมาหมายจะคว้าคอเขา
หมับ! ปึก!
“อึก!” แต่เมอร์ลินเบี่ยงตัวหลบได้ทันแล้วคว้าข้อมือที่พุ่งเข้ามาด้วยมือขวาก่อนมือซ้ายจะยกสับเข้าที่แขนเต็มแรงและมันก็มากพอให้รู้สึกปวดร้าวไปชั่วขณะ ไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว ทันทีที่สับแขนแล้วก็กระชากเข้าหาตัวทันทีจนมันถลามาตามแรง
พลั่ก! ปัก!
ทั้งศอกขวาที่เข้าใบหน้าและเข่าขวาที่แทงเข้าท้องด้วยแรงทั้งหมดของเมอร์ลิน ความมึนงง ความจุก เข้าโจมตีฉับพลันท่ามกลางความตกตะลึงของอีกสองคนที่ยืนดูอยู่ แล้วก่อนที่หน้ามันจะได้จูบพื้น
ผัวะ!
“อั่ก แค่ก!” เมอร์ลินก็แถมด้วยการเตะเสยเข้าที่ปลายคาง สายตาสองคู่มองตามเรียวขาที่ยกขึ้นสูงก่อนมันจะดิ่งลงพร้อมกับส้นเท้าสับเข้าที่ท้ายทอยของหัวหน้าพวกมันเต็มแรง
ปัก!
“เอาล่ะ” เมอร์ลินเหยียบท้ายทอยของคนที่นอนโอดครวญพร้อมกับขยี้ส้นเท้าหนัก ๆ เสริมด้วยกระทืบเล็กน้อย “จะยอมถอยก่อนไหม?” เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มแล้วภาวนาในใจว่าขอให้พวกยอมถอยไป ตอนนี้เขาเหนื่อยแล้วและเขาสู้กับอีกสองคนไม่ไหวแน่นอน แค่คนเดียวก็ต้องงัดแรงทั้งหมดที่มีเข้าใส่ ต่อให้มีเทคนิคดีแค่ไหน หากเรี่ยวแรงติดลบก็ไม่ต่างอะไรกับกระสอบทรายนั่นแหละ หงุดหงิด... หงุดหงิดตัวเองที่อ่อนแอลง
‘อยู่ดีกินดีเกินไปสินะเรา’ บ่นตัวเองในใจ เพราะอยู่แต่ในเขตของโรนัลเดล ความปลอดภัยมันเลยสูงจนไม่ต้องกังวลอะไร แถมไม่ต้องแข่งกับใครเหมือนตอนอยู่ในคาร์ลอฟ เมอร์ลินเลยละเลยเรื่องการออกกำลังกาย เห็นทีคราวนี้กลับไปคงต้องจริงจังกับเรื่องนี้แล้วสิ
“พวกผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่บอกโรนัลเดล”
“ก่อนจะตอบคำถาม พวกนายรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นใคร?” เมอร์ลินสงสัยตรงนี้มากที่สุด บนหน้าเขาไม่ได้เขียนข้อความไว้สักหน่อยว่ามาจากไหนหรือเป็นคนของใคร
“นายท่านพวกผมได้เข้าร่วมงานแต่งของคุณ พวกเราเลยจำคุณได้”
“แต่ฉันแทบจะไม่ได้ออกจากโรนัลเดลเลยตลอดเวลาห้าปีนี้ แกจำฉันได้ยังไง?” หรือจะมีสปายอยู่ในโรนัลเดล?
“คุณแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยนะครับ นอกจากความสูงที่เพิ่มเล็กน้อย”
“...หัวร้อนกับคำตอบว่ะ” ว่าแล้วก็ออกแรงที่เท้าจนคนที่โดนเหยียบร้องขอให้พอ “ฉันจะไม่บอกโรนัลเดลแน่นอนเพราะฉันก็ไม่ได้รักโรนัลเดลขนาดนั้น ถอยไป ฉันจะกลับ” พวกมันดูลังเลแต่เพราะหัวหน้ามันบอกให้ปล่อยไป เมอร์ลินจึงเดินผ่านออกมาง่าย ๆ ทว่าก่อนจะออกจากห้องน้ำ เขาหยุดตรงหน้าประตู หันมองทั้งสามคนแล้วพูดออกไปว่า
“แต่ฉันจะบอกสามี พวกแกเตรียมฉิบหายได้เลย ไอ้พวกx-วย” ชูนิ้วกลางพร้อมแลบลิ้นให้อย่างทะเล้นแล้ววิ่งหนีมาท่ามกลางเสียงหัวเราะ พอลงมาถึงชั้นแรกของห้างก็อยากจะเดินดูของหน่อยแต่เดี๋ยวเจอกับพวกนั้นจะซวยเอา แถมวิ่งจากชั้นสามลงมาชั้นแรก เรี่ยวแรงก็ถูกสูบออกไปอีก ไม่มีแรงให้วิ่งหนีแล้ว คิดแบบนั้นก็ฮัมเพลงเตรียมออกจากห้าง ทว่า...
“สนุกมากไหม?” ออกมาก็เจอกับสามีที่กำลังจะเดินเข้าห้างพอดีแล้วพอมองไปทางด้านหลัง กลุ่มคนคุ้มกันของเมอร์ลินก็มีรอยช้ำที่มุมปากกันทุกคนแล้วพอมองหน้าโจไซอาห์ อืม คนร้ายคือคนนี้นี่เอง
“อยู่นั่นไง!” แต่โชคดีเหลือเกินที่ไอ้พวกเวรนั่นตามมาพอดี เมอร์ลินได้ทีแกล้งถลาเข้าหาอกกว้างแล้วกอดเอวหนาด้วยสองแขน เงยหน้ามองสามีตาปริบ ๆ
“ไอ้สามคนนั้นมันตามล่าผม แถมตามเข้าไปในห้องน้ำด้วย เกือบถูกลวนลามแล้วครับ” ทำหน้าจะร้องไห้ ส่วนโจไซอาห์มีสีหน้าเอือมระอาไม่แม้จะสนใจสายตาปริบ ๆ ของภรรยาที่พยายามเต็มที่ เขาเลื่อนสายตาหาคนสนิทแล้วออกคำสั่ง
“โรมัน ไทกิ ไปจับไอ้สามตัวนั่นมา”
“รับทราบครับคุณชาย” ไทกินำคนเข้าไปด้านในห้างส่วนโรมันนำคนล้อมรอบห้างสรรพสินค้าไว้ โจไซอาห์มองลูกน้องที่เริ่มทำตามคำสั่งอย่างพอใจ แล้วละสายตามามองเมอร์ลินที่ตอนนี้ผละออกพร้อมยืนกอดอกอยู่ข้างเขา
“นายรู้สึกผิดบ้างไหม?”
“รู้สึกผิดอะไรครับ?”
“เพราะนายหนีมา พวกมันถึงต้องโดนลงโทษ ไม่รู้สึกผิดเลยหรือไง?”
“รู้สึกผิดสิครับ แต่จะให้ผมทำยังไงในเมื่อผมอึดอัดเวลามีพวกนั้นอยู่ด้วย คุณเคยถามความต้องการผมบ้างไหมว่าผมอยากให้มีทีมคุ้มกันอะไรนั่นหรือเปล่า” เมอร์ลินมองหน้าคนข้างกายด้วยสายตาจริงจัง “แค่คนเดียวก็พอแล้วครับ แต่นี่ห้าคนเลยนะ แค่เห็นก็อึดอัดจะแย่แล้ว” ตอนเมอร์ลินเดินมาที่โรงรถเตรียมพาลูกรักออกไปชมวิว เขาก็ต้องงงกับจำนวนคนคุ้มกันที่คอยเดินตามหลังถึงห้าคน พอถามก็ได้ความว่าสามีส่งมาดูแล ทั้งที่ตอนไปดูรถยังมีแค่โรมันคนเดียวอยู่เลย คิดจะเพิ่มก็เพิ่มโดยไม่บอกกันหรือไง
“พวกมันเพิ่งจะมาคุ้มกันนายวันแรก แค่ยังไม่ถึงสิบนาทีนายอึดอัดก็เลยหนีออกมา? พอไม่มีคนคุ้มกันแล้วเป็นยังไง? ตกเป็นเป้าหมายของพวกมันเลยไม่ใช่หรือไง?”
“จะชวนผมทะเลาะเหรอครับ? นอกบ้านเนี่ยนะ?”
“ฉันไม่ได้ชวนทะเลาะ”
“เห็น ๆ อยู่ว่าชวนทะเลาะ” ยังไงก็มั่นใจว่าชวนทะเลาะแน่นอน
“ส่วนไหนที่ชวนทะเลาะ?”
“ทุกส่วนที่คุณพูดมาทั้งหมด”
“ฉันแค่บ่นนายเรื่องที่นายหนีมา มันชวนทะเลาะตรงไหน?”
“ตรงที่คุณเป็นคนพูด” โจไซอาห์ถึงกับนิ่งกับสิ่งที่ได้ยิน เขาถอนหายใจอย่างปลงกับชีวิตก่อนมองเมอร์ลินที่ดูเงียบไป
“เป็นอะไร?”
“แค่คิดอะไรนิดหน่อยครับ” ตอบกลับมาแค่นั้นแล้วเงียบอีกครั้ง เมอร์ลินมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “ไม่รู้สึกเบื่อเหรอครับที่ทำอะไร ๆ ก็ต้องมีคนคอยตามหลังตลอด เห็นคนเหล่านั้นไหมครับ” นิ้วเรียวชี้ไปยังผู้คนมากมายที่เดินกันขวักไขว่แม้จะมีชายชุดดำวิ่งไปมาก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่ได้ตื่นกลัวเลย กลับกันอาจจะมีตกใจบ้าง แต่ก็กลับไปร่าเริงกับเพื่อน ครอบครัว คนรัก เหมือนเดิม แล้วย้อนกลับมาที่เขากับโจไซอาห์สิ ด้านหลังมีแต่ลูกน้องที่พร้อมเข้าปกป้องทุกเมื่อ แม้จะมีเพียงเรื่องเล็กน้อยเกิดขึ้นก็ตาม
“ผมอยากใช้ชีวิตแบบพวกเขา แค่วันเดียวก็ยังดี”
“...” โจไซอาห์มองคนข้างกาย สายตาของเมอร์ลินที่มองตรงไปข้างหน้าดูเศร้ายังไงชอบกล แล้วเขาก็ไม่ชอบเลย ไม่ชอบความรู้สึกที่ประดังเข้ามายามเห็นเมอร์ลินเศร้าเสียใจ
“...ทำอะไรของคุณเนี่ย?” เมอร์ลินได้ยินเสียงเสียดสีของเนื้อผ้าจึงมาหันมองสามีที่อยู่ข้างกาย เขาตกใจมากที่อยู่ ๆ ก็ถอดเสื้อสูทออกแล้วโยนไปให้ลูกน้องที่อยู่ด้านหลัง ตามด้วยเนกไท จัดการปลดกระดุมสองเม็ดบนพร้อมพับแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นมาถึงข้อศอก
“พวกแกห้ามตามฉันมาแม้แต่คนเดียว” หันไปบอกกับลูกน้องที่ค้อมศีรษะให้ก่อนมือหนาจะจับมือของภรรยาพลางออกแรงดึงเบา ๆ ให้ก้าวเดินไปด้วยกัน เมอร์ลินหันมองไปด้านหลังก็พบว่าลูกน้องของโจไซอาห์ถอยออกไปหมดจนหน้าประตูห้างเหลือเพียงรปภ. เท่านั้น แล้วพอหันกลับมามองโจไซอาห์ เขาก็เกิดความรู้สึกบางอย่างก่อนจะเอ่ยออกไป
“ขอบคุณนะครับ ว่าแต่เราจะเดตกันเหรอ?” เมอร์ลินถามยิ้ม ๆ แล้วกระชับมือหนาที่จับพลางดึงแรง ๆ ให้สามีเซมาหาพอให้ต้นแขนชนกัน โจไซอาห์หันมองเมอร์ลินแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
“เดตอะไรของนาย”
“ไม่ต้องเขินน่า อยากเดตกับผมก็บอกมาเถอะ” ได้ทีก็เอาใหญ่เลย
“นายมากกว่าที่อยากเดตกับฉัน เพราะคนที่นึกถึงคำว่าเดตก่อนมันคือนายนี่?”
โจไซอาห์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางยิ้มอย่างพอใจที่เมอร์ลินดูหงุดหงิดกับคำพูดของเขา
“คุณนั่นแหละที่อยากเดตกับผม!” เบ้ปากใส่แล้วเถียงกลับไป
“นายนั่นแหละ”
“คุณนั่นแหละ”
“นายนั่นแหละ”
“คุณนั่นแหละ”
“นาย”
“คุณ”
“นาย”
“คุณ”
“เมอร์”
“....ขี้โกงแล้วครับ” เมอร์ลินเบือนหน้าหนีพลางยกมืออีกข้างทำเป็นเช็ดปาก แท้จริงก็แค่ซ่อนความเขินที่ไม่รู้ที่มาที่ไป มุมปากของสามียกยิ้มน้อย ๆ ก่อนโน้มหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบข้างหูว่า
“ยกนี้ฉันชนะ”
“เหอะ!”
ผ่านมาแล้วหนึ่งสัปดาห์นับจากวันนั้น เมอร์ลินยังคงจดจำวันที่เขาและสามีเดินเที่ยวในห้างด้วยกันสองคนได้เป็นอย่างดี มันเป็นความทรงจำที่ดีมาก ๆ มากกว่าทุกความทรงจำที่เมอร์ลินมีเลยก็ว่าได้ เขาไม่คิดเลยว่าการเที่ยวกับโจไซอาห์จะสนุกขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องมีการ์ดเดินตามเพื่อคอยดูแลหรือช่วยเหลือ ต่างคนต่างดูแลกัน ต่างคนต่างช่วยกันถือของ บ้างก็แย่งกันถือก็มี เมอร์ลินมีความสุขจนหาคำไหนมาเปรียบไม่ได้และนั่นอาจจะเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ เป็นโดยที่ไม่ต้องคอยพูดหรือคอยเรียกกันว่าสามี ภรรยา ทุกครั้งไป
“นี่คุณสามีครับ” แต่ไม่ใช่ครั้งนี้... “ไม่ใช่ว่าวันนี้คุณนัดเพื่อนไว้หรอกเหรอ?” เมอร์ลินเบือนหน้าหลบเลยทำให้ริมฝีปากหนากดจูบลงบนคอแทน
“เหลือเวลาตั้งเท่าไหร่” ตอบกลับไปแล้วทำรอยลงบนคอภรรยา เมอร์ลินขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะคนด้านบนดูดคอเขาแรงไปนิด ช่วงนี้ ไม่สิ ต้องบอกว่าหลังจากกลับมาจากห้าง ระยะห่างของพวกเขาดูเหมือนจะลดลงเล็กน้อย เล็กน้อยจริง ๆ เว้นแต่เรื่องเซ็กซ์ที่ดูเหมือนจะถี่ขึ้น จากที่อยากทำช่วงไหนให้ตกลงกันไว้แล้วโจไซอาห์จะได้หาเวลา
สามวันติดโดยไม่ออกจากห้อง นั่นคือข้อตกลงของเซ็กซ์ที่ได้จากคืนแรกแล้วยึดหลักนั้นมาเรื่อย ๆ ทว่า เร็ว ๆ นี้ก็คือแทบจะวันเว้นวัน ถึงจะมากสุดแค่สองรอบ แต่รอบนึงมันหนักมากเลยนะ...
“โอ้ย กัดทำไมครับ?” เมอร์ลินถลึงตามองหน้าสามีพลางยกมือกุมไหล่ที่ถูกกัด “เป็นหมาเหรอ”
“ไม่ชอบหรือไง?”
“มาให้กัดคืนเลยครับ” ยกแขนโอบรอบคอหนาแล้วรั้งลงมา เมอร์ลินอ้าปากกัดคอแทนไหล่เข้าไปเต็ม ๆ โจไซอาห์หัวเราะก่อนจับต้นขาของคนข้างใต้ดันโน้มมาด้านหน้าเล็กน้อย ขณะที่ส่วนแข็งขืนของสามีขยับถูกับของภรรยา เมอร์ลินก็ละมือข้างหนึ่งลงมาแล้วจับแกนกายของสามีให้ส่วนหัวกดจ่อที่ปากทางจากนั้นออกแรงดันเล็กน้อยจนมันผลุบเข้ามา
“อึก... ยิ่งเวลาเหลือน้อยก็ต้องรีบไม่ใช่เหรอครับ อือ...!” ดันสะโพกสวนเข้าหาตัวตนแข็งขืนรวดเดียวจนสุดความยาว ตามด้วยสะโพกสอบที่หยัดกระแทกเข้าออกรัวแรงจนเสียงเนื้อกระทบกันดังก้องห้อง เมอร์ลินกอดคอสามีแน่นพร้อมซุกหน้าเข้ากับไหล่กว้าง เหลือเวลาไม่มากก่อนถึงเวลานัด ดังนั้น ต้องใส่ทุกอย่างที่มีเพื่อให้เสร็จก่อนเวลา โจไซอาห์ปล่อยมือออกจากต้นขาแล้วมาโอบเอวภรรยาพร้อมเปลี่ยนมาอยู่ในท่านั่ง เขาพิงหัวเตียงก่อนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของเมอร์ลิน
นัยน์ตาคู่สวยลุกวาวพร้อมริมฝีปากขยับยิ้มก่อนพูดออกมาว่า
“กำลังจะขอเลยครับ...” เพียงสิ้นเสียง สะโพกของเมอร์ลินก็ขย่มยกตัวขึ้นลงสลับกับหมุนควงเป็นวงกลมพาให้ส่วนแข็งขืนถูรอบผนังอ่อน มือเรียวสอดเข้าที่กลุ่มผมช่วงท้ายทอยของสามีพร้อมจิกดึงจนใบหน้าหล่อเหลาหงายขึ้น แลบลิ้นเลียริมฝีปากหนาอย่างอ้อยอิ่ง แล้วสอดเข้าไปควานหาเรียวลิ้นของโจไซอาห์ ทันทีที่การนัวลิ้นได้เริ่มขึ้น สะโพกเมอร์ลินก็ควบถี่ยิบ เคล้าคลอด้วยเสียงครางอืออึงในลำคอของทั้งคู่ เมอร์ลินต้องทุ่มทุกอย่างเพื่อให้สามีไปทันนัด แต่...
“ฮ่า...” ถอนริมฝีปากออกแล้วเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อกอบโกยอากาศเข้าปอดแล้วมองหน้าสามี “เลื่อนนัด... ไปอีกชั่วโมงได้หรือเปล่าครับ?”
ปึก...
นาฬิกาดิจิตอลถูกคว่ำหน้าลงทันทีที่ภรรยาขอ ไม่มีคำพูดใด ๆ เพิ่มเติมนอกจากรอยยิ้มของเมอร์ลินและบทรักที่คนเป็นภรรยาขอเป็นฝ่ายควบคุมเอง
บนเตียงที่หลงเหลือร่องรอยของความดุเดือดเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ตอนนี้เหลือเพียงเมอร์ลินที่นอนเล่นโทรศัพท์ของสามี ส่วนตัวเจ้าของออกไปตามนัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมอร์ลินไม่คิดว่าโจไซอาห์จะยอมให้โทรศัพท์ง่าย ๆ เพียงแค่เขาพูดว่าขอดูโทรศัพท์หน่อย ก็โยนให้ทันทีแล้วออกไปโดยไม่รอรับคืน เมอร์ลินแค่อยากจะดูเฉย ๆ ว่ามีอะไรน่าสนใจหรือเปล่า แต่นอกจากแอปพลิเคชันพื้นฐานที่ติดมา ในเครื่องก็ไม่มีอะไรเลย...
“หือ ไอจี?” เมอร์ลินดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างตื่นเต้นแล้วแตะไอคอนอินสตราแกรมทันที แต่จากที่ตื่นเต้นก็ค่อย ๆ ไร้อารมณ์เมื่อเขาเห็นชื่อไอจีของสามี
[abcdefghigk01111]
“ถามจริง?” ราวกับนั่งกดไปทีละตัวเพื่อไล่เช็กว่าชื่อใช้ได้ไหม รูปก็ไม่มีลงสักรูป พอกดดูที่ประวัติการค้นหากลับมีเพียงไอจีของเขาแสดงขึ้นมา “อา...” แอบเขินนิด ๆ เขินที่เขินจริง ๆ ด้วยความอยากรู้ว่าจะมีกดใจให้กันบ้างไหม เมอร์ลินเลยเข้าส่องอินสตราแกรมของตนเองในนามของสามี แตะดูที่รูปแรกก็เห็นว่ากดใจให้ด้วย ริมฝีปากเริ่มยิ้ม รูปที่สองเริ่มยิ้มกว้างกว่าเดิม จนกระทั่งสาม สี่ ห้า ไปเรื่อย ๆ จนถึงรูปแรกสุดที่ลง
“บ้าเอ้ย กดทุกรูปเลยเหรอเนี่ย” เมอร์ลินชันเข่าขึ้นมาแล้วซบหน้าลงบนหัวเข่า เขาเขินจนหน้าแดงไปหมดแล้ว ริมฝีปากหุบยิ้มไม่ได้ แม้จะพยายามไม่ยิ้มก็ตาม แล้วพอเลื่อนดูทุกรูปใหม่อีกครั้ง มันก็แสดงหัวใจสีแดงทุกรูปเหมือนเดิม
“แล้วจะมองหน้ายังไงไม่ให้เขินล่ะเนี่ย...” นึกภาพไม่ออกเลยว่าเขาจะมองหน้า
โจไซอาห์โดยไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ได้ยังไง
ก๊อก ๆ
“คุณชายเมอร์ลินคะ ขออนุญาตเข้าไปได้หรือเปล่าคะ?”
“เข้ามาเลยเอมี่” เมอร์ลินวางโทรศัพท์ลงแล้วส่งเสียงบอกคนหน้าประตู เอมี่เปิดประตูห้องแล้วยิ้มให้ก่อนเข็นรถที่เต็มไปด้วยของกินเข้ามา
“นายท่านสั่งไว้ก่อนจะออกไปน่ะค่ะว่าให้เตรียมอาหารไว้ให้คุณชาย แต่ฉันเห็นว่าคุณชายยังไม่ลงมาเสียทีเลยถือวิสาสะนำขึ้นมาให้ คงไม่ว่ากันนะคะ”
“ขอบใจนะ ว่าแต่มีอะไรกินบ้า...” เมอร์ลินชะงักเมื่อกลิ่นอาหารที่เคยหอมกลายเป็นกลิ่นเหม็นแปลก ๆ จนพาลให้รู้สึกอยากอาเจียน ทั้งที่หน้าตาของอาหารยังดูสดใหม่อยู่เลยแท้ ๆ แต่เมอร์ลินก็ไม่ได้พูดออกไป เขากล้ำกลืนฝืนทนทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นขณะที่สองมือกำผ้าห่มแน่น
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณชาย?” เอมี่ถามอย่างสงสัยที่อยู่ ๆ เสียงของคุณชายก็เงียบไป เมอร์ลินยิ้มแล้วส่ายหน้าเบา ๆ แต่ในใจตอนนี้เขาอยากอาเจียนและอยากให้เอมี่ยกมันออกไปมาก “เรียบร้อยแล้วค่ะ เชิญคุณชายทานได้เลยนะคะ” เอมี่หันมายิ้มให้หลังจากจัดโต๊ะเรียบร้อย
“อืม” พยักหน้าแล้วดึงผ้าห่มออกไปก่อนก้าวลงจากเตียง ทันทีที่ยืนขึ้นเต็มความสูง ในหัวมันก็วิงเวียนจนซวนเซเล็กน้อย เอมี่ที่สังเกตเห็นรีบวิ่งอ้อมมาหาอย่างรวดเร็ว
“คุณชายโอเคหรือเปล่าคะ?” ถามด้วยความเป็นห่วงแล้วช่วยประคองให้นั่งลงบนเตียง เมอร์ลินเกาะแขนเอมี่แน่นขณะที่อาการพะอืดพะอมเริ่มหนักขึ้น
“ห้อ... น...”
“คะ?”
“ห้อง น้ำ...” ได้ยินแบบนั้นก็รีบพาเมอร์ลินมาที่ห้องน้ำ พอเข้ามาแล้ว เมอร์ลินพุ่งตรงไปที่ชักโครกพร้อมกับอาเจียนออกมาทันที เอมี่ที่ได้ยินเสียงอาเจียนดังออกมาได้แต่ยืนงงและทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“เรื่องจริงงั้นเหรอ?!” พึมพำขึ้นมาอย่างตกใจพลางยกมือปิดปากก่อนจะรีบเข้าไปหาเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตน
‘แย่ที่สุด...’ เมอร์ลินคิดในใจขณะเอื้อมมือไปกดชักโครกแล้วส่งเสียงเรียกเอมี่ มือเรียวยกเช็ดปากลวก ๆ ก่อนให้เอมี่ช่วยประคองกลับมาที่เตียง แต่พอได้กลิ่นอาหาร ก็เริ่มอาเจียนรอบสองทันที มันวนเวียนอยู่แบบนี้แม้เอมี่จะเอาอาหารออกไปแล้วก็ตาม พอได้พักหน่อยก็เหมือนจะดีขึ้นมาบ้าง เมอร์ลินขยับกายนอนตะแคง มือเรียวควานหาก่อนหยิบโทรศัพท์ของโจไซอาห์แล้วกำมันแน่น
“ฮึ ๆ” ทว่าพอนึกถึงเรื่องชื่อที่ตั้งในอินสตราแกรมแล้ว ความรู้สึกแย่ ๆ ที่เกิดขึ้นก็พลันหายไปแต่แทรกด้วยความตลกขบขันที่สามีทำโดยไม่ตั้งใจ
abcdefghijk01111
เห็นทีหากกลับมาแล้ว คงต้องบอกให้เปลี่ยนแล้วสิ