ช่วงสายของวันใหม่ เมอร์ลินเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหนักที่เอว พอลองก้มดูก็เห็นว่าเป็นแขนของสามีเขาที่หลับอยู่ด้านหลังนี้เอง เมอร์ลินจะปลุกแต่ชะงักมือไว้ทันแล้วตัดสินใจปล่อยให้โจไซอาห์นอนต่อไปเพราะขืนปลุกขึ้นมาคงได้จัดกันแต่หัววันแน่ ๆ เมอร์ลินถอนหายใจแล้วทอดสายตามองออกไปที่ระเบียงขณะที่ปลายนิ้วขยับเขี่ยแหวนแต่งงานบนนิ้วสามีเล่นแก้เบื่อ
มาคิด ๆ ดูแล้วเมื่อวานก็เล่นหนักเอาเรื่องจนแทบไม่อยากเชื่อว่าวันนี้จะยังตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นได้ ลองนึกภาพเมื่อคืนที่เขากับคนด้านหลังได้ทำลงไป มีชีวิตมาได้นี่เขาก็คงจะแข็งแกร่งเอาเรื่อง แต่ให้ตายสิ... โจไซอาห์ก็ยังทำตัวเหมือนเคยคือไม่ยอมถอดถอนส่วนนั้นออกไป ทั้งที่บอกจนปากจะฉีกว่าช่วยเอามันออกไปก่อนจะนอนด้วย ...แล้วฟังที่ไหนกันล่ะ? แถมขืนเขาขยับตัวล่ะก็ มีหวังปลุกให้ตื่น ทั้งคนทั้งส่วนนั้นแน่
‘เริ่มหิวแฮะ’ เมอร์ลินผงกหัวขึ้นจากท่อนแขนที่หนุนแล้วปรายตาไปที่โต๊ะอาหาร แน่นอนว่ามันแทบไม่เหลือแล้วเนื่องจากเขากินมันไปเมื่อคืน แถมกินเยอะจนนึกสงสัยเหมือนกันว่าตนเองใช้พลังงานไปกับเซ็กซ์มากแค่ไหน เมอร์ลินขยับตัวให้เบาที่สุดพลางเอื้อมแขนไปที่โต๊ะหัวเตียงด้านในซึ่งมีอินเตอร์คอมให้เขากดหาห้องครัว เมื่อก่อนเขาไม่คิดจะใช้เพราะหากอยากกินอะไรก็แค่เดินลงไปที่ครัว ถือเป็นการออกกำลังกายและยังได้เจอหน้าเหล่าสาวใช้ให้ได้ทำความรู้จักกัน ต้องขอบคุณไอ้ความไม่เคยคิดที่จะใช้นี่แหละ เลยทำให้เมอร์ลินย้ายมันไปไว้ด้านในสุดของโต๊ะ ตอนนี้เขาเลยเริ่มจะตระหนักถึงความสำคัญของมัน
หมับ...
ท่อนแขนที่พาดเอวกระชับขึ้นพร้อมทั้งรั้งให้เข้าประชิดกายแกร่งจนสัมผัสได้ถึงกล้ามหน้าท้องผ่านทางแผ่นหลัง เมอร์ลินมือสั่นเล็กน้อยยามส่วนแข็งขืนถูกดันเข้ามา ...ไม่ใช่ว่าตอนแรกมันยังนุ่มนิ่มอยู่เหรอ? และไม่ต้องหันไปมองให้เมื่อยคอ คำตอบของคำถามนั้นคือการที่สะโพกสอบเริ่มหยัดเข้าหาเนิบนาบ ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดพร้อมสัมผัสจากปลายลิ้นแตะลงบนท้ายทอยเช่นเดียวกัน
“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่?” เมอร์ลินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและลมหายใจที่ติดขัด มือที่หมายมั่นจะกดอินเตอร์คอมได้เปลี่ยนจุดหมายเป็นขยุ้มผ้าปูที่นอนแทน
“ตั้งแต่ที่นายเล่นแหวน” โจไซอาห์ให้คำตอบแล้วไล้ฝ่ามือไปตามหน้าท้องของภรรยา เขากดจูบลงบนลาดไหล่ขาวก่อนมือข้างนั้นจะกอบกุมส่วนแข็งขืนของเมอร์ลินพลันขยับรูดรั้งช้า ๆ เมอร์ลินเริ่มหอบหายใจ ริมฝีปากเม้มแน่น ความรู้สึกของการถูกเล้าโลมในช่วงสายนี่มัน... จะดีเกินไปแล้ว
“ฮื่ออ... อ๊ะ” เมอร์ลินอดใจไม่ไหวต้องขยับสะโพกตอบรับฝ่ามือหนาที่รูดรั้งแกนกายของตน แต่เมื่อไหร่ที่เขาขยับไปด้านหน้า ช่องทางก็จะถอยห่างจากตัวตนของคนด้านหลังและเมื่อเขาขยับสะโพกถอยกลับไป ตัวตนนั้นก็จะเข้ามาลึกพาให้วาบหวิวแถวท้องน้อย โจไซอาห์ใช้มือข้างที่เมอร์ลินหนุนจับใบหน้าภรรยาให้หันมาก่อนริมฝีปากได้รูปจะถูกกดแนบด้วย
ริมฝีปากหนา เมอร์ลินเปิดปากรับเรียวลิ้นของสามีเข้ามาแล้วพันเกี่ยวด้วยลิ้นของตน ทั้งสองต่างนัวลิ้นกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เช่นเดียวกับช่วงล่างที่ต่างฝ่ายต่างขยับเร้าเข้าหากันไม่หยุด
“อยากไประเบียงไหม?” โจไซอาห์เอ่ยถามหลังผละริมฝีปากออก
“จะบ้าหรือไงครับ แฮ่ก ดูเวลาด้วยสิ” เมอร์ลินไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสามีของตนจะพล่ามอะไรไร้สาระออกมาหรือต่อให้เป็นตอนกลางคืนก็ไม่มีทางที่เมอร์ลินจะเลือกไปแน่ ๆ เพราะอะไร? เพราะรอบคฤหาสน์มีแต่คนของโจไซอาห์เต็มไปหมด ใครจะบ้าออกไปกัน
“น่าเสียดายเพราะฉันเริ่มจะเบื่อเตียงแล้วสิ”
เมอร์ลินมั่นใจว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรทำให้เขาอับอายได้เพราะเขานั้นเกิดมาในตระกูลที่เพอร์เฟกต์ที่สุด ทว่าความคิดนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว ทันทีที่ช่วงกลางคืนมาถึง โจไซอาห์กดอินเตอร์คอมสั่งให้ลูกน้องออกจากคฤหาสน์และให้กลับเข้ามาในวันพรุ่งนี้แทน ทันทีที่ไทกิติดต่อมาว่าไม่มีใครอยู่ในคฤหาสน์แล้ว โจไซอาห์ก็พาเมอร์ลินออกมารับลมที่ระเบียง แน่นอนว่ามันไม่ใช่การรับลมธรรมดา
แต่ความอับอายที่เมอร์ลินได้รับมันไม่ได้มาจากการออกมาทำที่ระเบียง แต่มาจากเหล่าพี่น้องของสามีที่พร้อมใจกันตะโกนไล่ให้กลับเข้าไปข้างใน บางคนก็ใช้อุปกรณ์ช่วยจนคฤหาสน์ของทายาทโรนัลเดลคึกคักราวกับมีงานเทศกาล เมอร์ลินได้แต่มุดหน้ากับอกกว้างแล้วสบถด่าโจไซอาห์ไม่หยุดที่พาเขาออกมาอับอาย แล้วแบบนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
โจไซอาห์หัวเราะให้กับคนในอ้อมกอดที่เอาแต่ด่าไม่หยุด เขาเชยคางภรรยาขึ้นมาแล้วมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“นายจะอายไปทำไม? ในเมื่อสีหน้าลามกของนายดูดีกว่าใคร”
“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น! ให้ตายเถอะ คุณนี่สมกับเป็นสามีเฮงซวยจริง ๆ นะครับ!”
‘เลิกจู๋จี๋แล้วไสหัวกลับเข้าไปข้างในเลยนะไอ้น้องเวรตะไล! แค่แต่งงานก่อนก็น่าอิจฉาอยู่แล้วยังจะมาเอากันให้เห็นอีก พี่น้องแกแม่งโสดยกแผงเลยนะเว้ย! เลิกทำร้ายกันสักทีไอ้เลว!’
เจฟรีย์ โรนัลเดล พี่ชายคนรองของโจไซอาห์ให้ลูกน้องในปกครองต่อไมค์ไร้สายแล้วกรอกเสียงใส่ไมค์ไล่น้องชายให้กลับเข้าไป การเล่นใหญ่นี่ขอให้บอก เจฟรีย์ถนัดมากและด้วยความที่คฤหาสน์หันหน้าเข้าหากันในลักษณะครึ่งวงกลมโดยมีคฤหาสน์หลักของบิดาเป็นจุดศูนย์กลาง ระเบียงห้องของพวกเขาจึงอยู่ทางด้านหน้าด้วยเช่นกันเพื่อที่พี่น้องจะได้ออกมาทักทายกันยามเช้า(แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย) หากจะคุยก็ต้องตะโกนให้เจ็บคอ ทว่าวันนี้มันกลับกลายเป็นวันที่พี่น้องโรนัลเดลออกมาอยู่ระเบียงอย่างพร้อมเพรียงเพราะโจไซอาห์กับเมอร์ลิน
ระยะห่างของคฤหาสน์ก็มากพอสมควรเพราะแต่ละคนต้องมีพื้นที่รอบคฤหาสน์เป็นของตนเอง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังมองเห็นกิจกรรมอันร้อนแรงของโจไซอาห์และเมอร์ลิน เพราะแสงไฟภายในห้องนอนส่องสว่างออกมาเป็นแบ็กกราวน์ให้คู่สามีภรรยาน่ะสิ ดังนั้น พวกเขาถึงได้เห็นเต็มสองตา แต่เพราะทั้งสองสวมเสื้อคลุมอาบน้ำเลยทำให้ภาพของทั้งคู่ดู
อิโรติกมากกว่าดูเป็นพวกชอบโชว์
“เจ้าพวกนั้นมันตลกชะมัด” รามิเอลส่ายหัวยิ้ม ๆ ให้กับเหล่าน้องชายน้องสาวก่อนกลับเข้าห้องมา ประตูระเบียงถูกปิดพร้อมกับไฟห้องดับลง เจฟรีย์ยังคงไล่น้องชายอยู่แต่เพียงครู่เดียวก็ต้องกลับเข้าห้องปิดประตูระเบียงเพราะบิดาต่อสายตรงมาหาว่าเสียงของเขามันดังจนน่ารำคาญ เจ็บใจที่อิจฉาน้องชายไม่พอยังต้องเจ็บที่ถูกพ่อบอกเสียงน่ารำคาญ พอร์ชเห็นน้องชายดูมีความสุขก็ได้แต่คิดว่าเขากับเอมี่จะมีวันนั้นหรือเปล่านะ
ทางด้านฝาแฝดที่กลับเข้าไปในเวลาไล่เลี่ยกับรามิเอลเกิดความคิดอยากจะมีคู่เหมือนพี่ชายบ้างแต่แน่นอนว่ามันยากสำหรับพวกเธอ ไหนจะพี่ชายที่หวงหนัก พ่อที่ไม่คิดจะหาสามีหรือจับแต่งงานการเมือง ยิ่งเป็นคนจากโรนัลเดล ชาตินี้จะได้มีหรือเปล่าเถอะ...
เมอร์ลินถูกพากลับเข้ามาข้างในห้องเป็นที่เรียบร้อย ใบหน้าบึ้งตึงไร้ซึ่งความแสบทะเล้นเหมือนอย่างที่เป็น นัยน์ตาคู่สวยมองไปทางอื่นและไม่คิดจะปรายตามองหน้าสามีเลยแม้แต่น้อย ทว่าโจไซอาห์กลับรู้สึกสนุกที่ได้เห็นเมอร์ลินหัวเสีย ในความทรงจำที่แต่งงานมาห้าปีนี่เป็นครั้งที่สองเห็นจะได้ที่เขาถูกเมอร์ลินโกรธเคืองจริงจัง
“โกรธฉันหรือไง?” ถามทั้งที่รู้คำตอบ เมอร์ลินไม่ชอบเลยสักนิด แขนเรียวยกขึ้นพาดบริเวณดวงตา ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น จากที่สนุก ตอนนี้โจไซอาห์เริ่มรู้สึกว่าคนตรงหน้าเขาโกรธหนักจริง ๆ และในความโกรธนั้นคงมีความอับอายผสมอยู่ด้วยมากและมันคงมากพอที่ทำให้เมอร์ลินเสียน้ำตา
แปล๊บ...
บริเวณหน้าอกด้านซ้ายเจ็บแปล๊บขึ้นมาราวกับมีใครสักคนกำลังบีบหัวใจของตน
โจไซอาห์เพิ่งเคยเห็นน้ำตาของเมอร์ลิน เขาทำอะไรไม่ถูกแต่ความรู้สึกบางอย่างมันบอกให้เขารวบตัวเมอร์ลินเข้ามากอด กอดด้วยอ้อมแขนที่แข็งแรงของตัวเขา เมอร์ลินไม่อยากอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ทำให้อับอายแต่ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน หน้าผากชนเข้ากับไหล่กว้าง สองมือขยุ้มเสื้อด้านหลังของสามีแน่น
“ไอ้คนเฮงซวย! คุณแม่งโคตรเฮงซวยเลย!” เมอร์ลินตะเบ็งเสียงด่าทั้งน้ำตาโดยมีมือหนาคอยลูบศีรษะอย่างแผ่วเบา
“เบื่อคำนี้แล้ว ด่าคำใหม่สักที” โจไซอาห์หัวเราะก่อนถูกมือเรียวทุบเข้าที่หลัง
“ไอ้x-วย!”
“ที่อยู่ในตัวนายน่ะเหรอ?”
“เออ! จะทำให้แม่งหักไปเลยจะได้เลิกทำตัวหัวx-วยสักที!”
“ปากนายนี่มัน... มาให้ฉันกัดสักที” แต่กว่าจะได้กัดปากก็ต้องถูกด่าไปอีกหลายสิบคำ เมอร์ลินด่าจนพอใจแล้วก็ดันตัวออกจากอ้อมกอดก่อนมองหน้าสามีเขม็ง โจไซอาห์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย รอว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไรพลางสำรวจหน้าเมอร์ลินที่แดงระเรื่อจากการร้องไห้ ไม่คิดมาก่อนว่านอกจากสีหน้าลามกแล้วยังมีสีหน้าอย่างอื่นอยู่อีก ดูดีจนอยากเก็บไว้คนเดียว
“ถึงจะยอมให้ผมด่าแต่ผมยังไม่หายเคืองคุณหรอกนะครับ”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง นายถึงจะหายเคืองฉัน”
“แคร์ด้วยหรือไง? ปกติต้องเชิดหน้าหยิ่ง ๆ ใส่ผมแล้วสิ”
“ฉันจะตอบแทนที่นายอุตส่าห์ร้องไห้ให้ฉันดูแล้วกัน”
“คุณต้องคิดเองแล้วล่ะครับว่าจะทำยังไงให้ผมหายเคือง ถ้ามีคุณสมบัติสามีมากพอเดี๋ยวสมองก็คิดออกเอง” เมอร์ลินพูดจบก็ยกสะโพกขึ้นจนส่วนแข็งขืนหลุดออกจากช่องทาง ทันทีที่ช่องทางไร้ซึ่งแกนกาย เมอร์ลินกลับรู้สึกเหมือนบางอย่างขาดหายไป มิหนำซ้ำช่องทางยังขมิบถี่รัวราวกับเรียกร้องหาสิ่งนั้นและมันก็คงไม่พ้นเป็นแกนกายของสามี ‘นี่ฉันกับโจซแทบจะไม่ได้ห่างกันเลยหรือไง’ เมอร์ลินคิดในใจก่อนจะก้าวลงจากเตียง โจไซอาห์หลุบสายตาลงต่ำมองตามเรียวขาที่มีธารน้ำสีขาวขุ่นไหลลงมา บ้างก็หยดลงบนพื้นห้อง
ดูสวยเอาเรื่องนี่?
เมอร์ลินยืนนิ่งพลางยกมือทั้งสองข้างวางบริเวณหน้าท้องแล้วลองออกแรงกดมัน เขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไหลออกมา ถึงจะไม่ได้เยอะราวกับน้ำไหลแต่สำหรับเมอร์ลินแล้วถือว่าเยอะอยู่ดี ระหว่างนั้นสายตาก็ปรายมองลิ้นชักของโต๊ะหัวเตียง ในนั้นน่าจะมียาคุมเหลืออยู่ ถึงจะชวนให้มีลูกแต่วินาทีที่เห็นลิ้นชัก เมอร์ลินก็เกิดความลังเลขึ้นมา
ครืด...
ลิ้นชักถูกดึงออกด้วยมือที่แต่งแต้มด้วยรอยสักและเจ้าของมือนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน สามีเขานั่นแหละ โจไซอาห์นั่งมองเมอร์ลินมาสักพัก การกระทำของเมอร์ลินอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลาและเขาก็พอจะรู้ว่าเมอร์ลินคิดอะไรอยู่ แผงยาคุมถูกหยิบออกมาก่อนสายตาคู่คมจะเลื่อนมองหน้าภรรยา
“นายต้องการมันใช่ไหม?” เอ่ยถามแต่ยังไม่ยื่นแผงยาให้
“...ผมไม่รู้” นั่นไง เมอร์ลินเกิดความลังเลขึ้นมาจริง ๆ แม้จะบอกไม่รู้แต่สายกลับจ้องยาคุมไม่ละ
“ถ้านายต้องการ นายก็บอกฉันมาแล้วฉันจะให้ยาคุมนาย” ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรแล้ว ถ้าหากท้องได้จริง สักวันก็คงเกิดขึ้นเอง โจไซอาห์คิดอย่างนั้นหรือถ้าหากเมอร์ลินเข้าใจผิดไปว่าแท้จริงแล้วเป็นผู้ชายธรรมดาเหมือนกับเขา เขาก็ไม่คิดจะยกเอาเรื่องพวกนี้มาหยอกล้อแน่นอน
“ฮู่...” เมอร์ลินค่อย ๆ พลูลมหายใจออกทางปากก่อนแย่งยาคุมในมือสามีไปแล้วไล่แกะเม็ดยาที่เหลือลงบนพื้นห้อง “คำไหนคำนั้นครับ บอกแล้วไงว่ามามีลูกกันน่ะ” แผงยาที่ว่างเปล่าถูกทิ้งลงบนพื้นห้อง ถึงชั่ววูบหนึ่งภาพที่เมอร์ลินท้องโตจะแวบมาพร้อมกับความหวาดกลัว แต่เขาก็เลือกที่จะรักษาคำพูดนั้น พร้อมให้คำมั่นสัญญากับตนเองว่าแม้ลูกที่เกิดมาจะกลายเป็นหลักฐานพิสูจน์ความจริงก็ตาม เขาก็จะรักให้ได้ จะตั้งใจเลี้ยง เขาจะไม่เป็นเหมือนกับมารดาของตนเด็ดขาด
ประตูห้องนอนถูกเปิดออกพร้อมโจไซอาห์เดินออกมาหลังครบกำหนดสามวันเหมือนอย่างเคย เมอร์ลินยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงที่ถูกปูด้วยผ้าห่มผืนใหม่แทนผ้าปูที่นอน เรื่องจัดการเตียงนอนให้เหมือนเดิมค่อยให้เอมี่เข้ามาจัดการ ไทกิกับโรมันถูกเรียกให้เข้าพบทันทีและรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดสามวันที่เขาไม่อยู่ โจไซอาห์นั่งฟังเงียบ ๆ ขณะสายตาไล่อ่านประวัติคร่าว ๆ ของลูกน้องหน้าใหม่ที่มาจากเบเรอร์
“ภายในหนึ่งเดือนพวกแกต้องฝึกห้าคนนี้ให้เทียบเท่ากับกลุ่มทริกซ์” วางเอกสารประวัติลงแล้วลากปลายนิ้วจากคนแรกถึงคนที่ห้า ไทกิกับโรมันมองหน้าอย่างกล้ำกลืนฝืนทนทันที กลุ่มของทริกซ์เป็นกลุ่มที่มีความสามารถด้านการต่อสู้ระยะประชิดสูงที่สุด ถนัดเรื่องการคุ้มกันมากกว่ากลุ่มไหน แถมยังเด่นเรื่องการต่อสู้ระยะไกลอย่างการใช้สไนเปอร์ แล้วกว่ากลุ่มนั้นจะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ได้ใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนแต่มากกว่าห้าปีเสียด้วยซ้ำ
“ผมขอถามได้หรือเปล่าครับว่าจะฝึกพวกนี้ไปทำไม” ไทกิเอ่ยถามหลังพยายามส่งสายตาให้โรมันเป็นตัวตายตัวแทน แต่โรมันเป็นพวกรักตัวกลัวตายมากกว่าเพื่อนที่คบหามาหลายสิบปี จึงเลือกที่จะทำเป็นไม่เห็น ไทกิจึงต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเอง
“ฉันจะให้มาแทนกลุ่มทริกซ์เพราะหลังจากนี้ฉันจะให้ทริกซ์คอยคุ้มกันเมอร์ลิน” คำตอบก็ดูชัดเจนแต่ไทกิกับโรมันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แต่งกันมาห้าปีเพิ่งคิดจะส่งทีมคุ้มกันเนี่ยนะ? “ฉันรู้ว่าพวกแกคิดอะไรแต่ฉันจะส่งไปตอนไหนมันก็เรื่องของฉัน”
“ขออภัยครับคุณชาย!”
“มีเรื่องอื่นอีกไหม?”
“มีครับ นายท่านมีคำสั่งลงมาว่าให้เปิดบัญชีของคุณชายเมอร์ลินได้แล้วครับ ท่านจะได้โอนทรัพย์สินที่ได้รับมาจากคาร์ลอฟเข้าบัญชีให้ครับ”
“...ทางนั้นเพิ่งจะทำเรื่องให้?” ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจพลางเอ่ยถาม ระยะเวลาห้าปีมันก็นานเอาเรื่องแล้ว แล้วมัวทำอะไรกันอยู่ถึงเพิ่งดำเนินเรื่องให้ป่านนี้? เรื่องนี้เมอร์ลินเรียกร้องตั้งนานแล้วว่าให้โอนทรัพย์สินที่อยู่ในนามเมอร์ลินมาให้ ถึงจะน้อยนิดแต่ก็เป็นสิ่งที่เมอร์ลินสร้างและเก็บด้วยตนเอง เอาจริง ๆ ทั้งเขาและเมอร์ลินต่างก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วเพราะการเว้นระยะดำเนินเรื่องนานขนาดนี้ มันสื่อให้เห็นว่าคาร์ลอฟละเลยเมอร์ลินแค่ไหน
ไม่สิ ไม่ได้ละเลยแต่ตัดหางแล้วมากกว่า
“ใช่ครับ ส่วนเอกสารนี้เห็นนายท่านบอกว่าเป็นเอกสารที่คุณชายต้องการมากที่สุด” กระเป๋าเอกสารที่หนักพอสมควรถูกวางลงบนโต๊ะทำงาน โจไซอาห์ให้ไทกิกับโรมันออกไปก่อน เขาถึงเริ่มนำเอกสารออกมา “...” นัยน์ตาคู่คมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นหัวข้อใหญ่ ๆ ที่พิมพ์ไว้ว่า [บันทึกการรักษา เมอร์ลิน คาร์ลอฟ] อยู่ ๆ มือที่จับเอกสารก็สั่นขึ้นมา แต่เพียงครู่เดียว โจไซอาห์ก็เริ่มเปิดอ่านเนื้อหาข้างใน
[ --/--/---- เมอร์ลิน คาร์ลอฟ อายุ 12 ปี – อาการปวดท้องเริ่มขึ้นหลังจากตื่นนอนได้สิบนาที
ระยะแรกเริ่มรู้สึกว่าข้างในท้องถูกบิดอย่างแรง ร่างกายยังพอเคลื่อนไหวได้
ระยะที่สองเริ่มหนักขึ้น เจ็บเหมือนถูกแทงจากของมีคม เริ่มเคลื่อนไหวลำบาก
ระยะที่สามเริ่มคงสติไม่ไหว ร่างกายหนักอึ้ง เคลื่อนไหวไม่ได้
อาการปวดท้องสลับไปมาทุก ๆ 10 นาที ใช้เวลา 1 ชั่วโมงถึงหายปกติ]
[--/--/---- เมอร์ลิน คาร์ลอฟ อายุ 13 ปี – อาการปวดท้องกลับมาอีกครั้งและหนักขึ้นกว่าปีที่แล้ว
ผลจากการตรวจร่างกายภายนอกพบว่าปกติดีทุกอย่าง จึงยังไม่พบสาเหตุของอาการปวดท้อง
เริ่มสแกนเอ็มอาร์ไอที่บริเวณช่องท้อง พบความผิดปกติของอวัยวะภายในที่ไม่สามารถระบุได้
รูปร่างของอวัยวะดูประหลาดราวกับยังไม่เข้าที่ดี การผ่าตัดจึงเลื่อนออกไป
คณะแพทย์ออกความเห็นว่าควรเฝ้าดูต่ออีก 1 สัปดาห์]
[--/--/---- เมอร์ลิน คาร์ลอฟ อายุ 13 ปี – คณะแพทย์เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด เข้าแอดมิทระยะยาว
สแกนเอ็มอาร์ไอทุก ๆ 3 วัน พบการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะทุกครั้งที่สแกน
ผู้ป่วยมีอาการทรมานจากการปวดท้อง คาดว่าอาการปวดท้องมาจากการปรับตัวของโครงสร้างอวัยวะที่เจริญเติบโตไปพร้อมกับผู้ป่วย]
[--/--/---- เมอร์ลิน คาร์ลอฟ อายุ 14 ปี – ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องเป็นระยะ
รูปร่างของ ‘อวัยวะที่ 33’ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มเห็นรูปร่างชัดเจนในการสแกนเอ็มอาร์ไอครั้งที่ 37
อวัยวะที่ 33 มีรูปร่างใกล้เคียงกับ มดลูก มากที่สุด นับว่าเป็นเคสพิเศษที่คณะแพทย์ให้คำตอบได้ยาก
แต่จิตใจของผู้ป่วยก็สำคัญ ผู้ป่วยเข้มแข็งมากที่อดทนอยู่กับอาการปวดเหล่านั้น]
[--/--/---- เมอร์ลิน คาร์ลอฟ อายุ 15 ปี – การปรับตัวของอวัยวะเสร็จสมบูรณ์
อาการปวดท้องของผู้ป่วยหายขาด เริ่มสแกนเอ็มอาร์ไอครั้งสุดท้าย
เหลือเชื่อมากที่อวัยวะที่ 33 หรือมดลูกนั้นเข้ากับร่างกายผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี
จากการตรวจอย่างละเอียด มดลูกทำงานได้ปกติ
ยืนยันว่าสามารถตั้งครรภ์ได้]
[--/--/---- เมอร์ลิน คาร์ลอฟ อายุ 15 ปี - เข้ารับการตรวจร่างกายเป็นเวลา 3 เดือน
มดลูกกลายเป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะภายในร่างกายอย่างสมบูรณ์
การผ่าตัดนำมดลูกออกมีความเสี่ยงสูง
ความสำเร็จที่เป็นไปได้มีเพียง 0.01% ส่วนความเสี่ยงในการผ่าตัดมากถึง 99%
เพื่อตัวผู้ป่วย การผ่าตัดจึงต้องยุติ]
[--/--/---- เมอร์ลิน คาร์ลอฟ อายุ 15 ปี – เริ่มการวิเคราะห์ภาพสแกนเอ็มอาร์ไอ
ผู้ป่วยสามารถคลอดธรรมชาติได้เพียงแต่ไม่แนะนำ การผ่าคลอดเป็นทางที่ดีที่สุด
และต้องใช้แพทย์เฉพาะด้านเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและทารก
ยืนยันอีกครั้งว่ามดลูกเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายโดยสมบูรณ์ สิ้นสุดการตรวจ]
หลังจากอ่านจบ โจไซอาห์ก็วางเอกสารลงแล้วถอนหายใจด้วยความหนักอึ้งก่อนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นี่มันหนักกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก เรื่องจริงสินะที่เมอร์ลินท้องได้ แถมข้อมูลนี้ยังทำให้โจไซอาห์รู้สึกตัวว่าเขาไม่ได้รู้จักภรรยาของตัวเองเลยสักนิด นอกจากชื่อ อายุ ระยะเวลาที่แต่งงานมา แล้วจากนั้นล่ะเขารู้อะไรบ้าง?
มิหนำซ้ำยังเคยตราหน้าว่าเมอร์ลินโกหกเสียอีก... มือหนายกกุมขมับพลางบีบเบา ๆ ก่อนดูเอกสารที่เหลือ ปึกที่เขาอ่านมันเป็นเพียงบันทึกคร่าว ๆ ฉบับเข้าใจง่ายแต่โจไซอาห์คิดว่าบันทึกนี้เขียนมาเพื่อให้คาร์ลอฟอ่านโดยเฉพาะ
“เอากาแฟมาให้ฉันที่ห้องทำงาน” กดอินเตอร์คอมไปที่ห้องครัวแล้วให้คนนำกาแฟขึ้นมาให้ เอกสารปึกที่สองหนากว่าปึกแรกหลายเท่า พอลองเปิดดู เนื้อหาเป็นรายงานการรักษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ของช่วงอายุ 12-15 ปี ประวัติการรักษาแบบละเอียดในช่วงอายุ 12 ไม่ค่อยมากเท่าไหร่ น้อยกว่าที่เหลือเสียด้วยซ้ำ นั่นก็หมายความว่าเมอร์ลินนอนอยู่โรงพยาบาลถึง 3 ปี แต่รายละเอียดยิบย่อยพวกนี้ไม่น่าสนใจเท่ากับเอกสารวิเคราะห์การคลอด
‘ปากมดลูกเปิดปกติสินะ เพียงแต่จะผ่านช่องคลอดที่เชื่อม...?’ ขมวดคิ้วอย่างงุนงงขณะอ่านและดูภาพประกอบที่แนบมาพร้อม ปลายนิ้วแตะลงส่วนช่องทางลากขึ้นไปตามเส้นสีแดงที่ขีดไว้ ปลายนิ้วหยุดลงตรงส่วนที่เหมือนกับช่องว่างเล็ก ๆ แล้วลากตามเส้นสีแดงที่ขีดแทรกมาหยุดที่มดลูกในวงกลมสีเหลือง ช่องคลอดที่เชื่อมออกมาทางช่องทางมีขนาดเล็กมาก ๆ และมีข้อความเขียนมาร์กไว้ว่า
‘ช่องคลอดมีขนาดเพียงพอให้อสุจิวิ่งเข้าไปยังมดลูกได้แต่ไม่เพียงพอให้ทารกผ่านออกมา ไม่เช่นนั้นลำไส้ใหญ่อาจเกิดการฉีกขาดระหว่างคลอด ส่งผลร้ายแรงต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายรวมถึงผู้ป่วยและทารก’
‘แม้ปากมดลูกจะเปิด แต่หากช่องคลอดไม่กว้างพอ ทารกก็คลอดไม่ได้ การผ่าคลอดจึงเป็นวิธีเดียวที่ปลอดภัย’
“โชคดีจริง ๆ” โจไซอาห์พึมพำเสียงเบาก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก ถ้าหากเขาไม่ได้ข้อมูลพวกนี้แล้วเมอร์ลินท้องขึ้นมาจริง ๆ การรับมือต้องวุ่นวายเป็นแน่และ... ไม่เช่นนั้นลำไส้ใหญ่อาจเกิดการฉีกขาดระหว่างคลอด ส่งผลร้ายแรงต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายรวมถึงผู้ป่วยและทารก เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าหากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาจริง ๆ ผลที่ตามมามันจะร้ายแรงแค่ไหน ไม่อยากจะคิดเลย...
ก๊อก ๆ
“ผมเอากาแฟมาให้ครับคุณสามี” โจไซอาห์ละสายตาจากเอกสารตรงหน้าแล้วมองเมอร์ลินที่เดินเข้ามาพร้อมกาแฟของเขา เมอร์ลินยิ้มให้แล้วเดินมาที่โต๊ะทำงานก่อนวางแก้วกาแฟลง สายตาของภรรยาจับจ้องกระเป๋าสีดำที่ดูคุ้นเคยก่อนตวัดสายตามองหน้าสามี
“...เอาของพวกนี้มาได้ยังไงครับ? แล้วอ่านไปถึงไหนแล้ว” จากที่อารมณ์ดีกลายเป็นขุ่นเคืองขึ้นมาทันที โจไซอาห์สังเกตว่าเมอร์ลินดูสั่นเล็กน้อย สำหรับเมอร์ลิน... ของพวกนี้เปรียบดั่งฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน การต้องรับรู้ว่าตนเองผิดแปลกจากคนอื่น ๆ น่ะมันน่ากลัวขนาดไหน เขายังจำความรู้สึกนั้นได้ ทุกครั้งที่เข้าเครื่องสแกนเอ็มอาร์ไอแล้วต้องมาฟังผลจากปากหมอ ทุก ๆ ครั้ง เมอร์ลินรู้สึกว่าเขากลายเป็นตัวประหลาดอย่างที่คาร์ลอฟชี้หน้าว่า
“คำตอบล่ะครับ” เมอร์ลินเอ่ยย้ำ
“ฉันได้รับมาวันนี้ ทรัพย์สินของนายก็เช่นกัน”
“...”
“กลัวงั้นเหรอ?”
“ใครมันจะไม่กลัวบ้างครับ ผมเป็นผู้ชาย! แต่ท้องได้เนี่ยนะครับ?! เหอะ มันโคตรจะประหลาดเลยไม่ใช่หรือไง?” เมอร์ลินขึ้นเสียงใส่ตามอารมณ์ที่ปะทุขึ้น ยิ่งความทรงจำในอดีตตลอดระยะเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลหวนกลับมา กลิ่นแอลกอฮอล์ กลิ่นยามากมายที่ทำเขาปวดหัว ไหนจะภาพของตัวเองที่สะท้อนในกระจก เขาในชุดคนไข้มันดูน่าสมเพชจนไม่อยากเห็นแม้แต่เงาของตัวเอง มันเป็นฝันร้ายชัด ๆ !
“ขอบคุณนะครับที่เอามันมาย้ำเตือนผมว่าผมมันเป็นตัวประหลาด” เมอร์ลินอดไม่ได้ที่จะประชด ตอนนี้เขาไม่อยากเห็นเอกสารพวกนี้เลยสักนิดแล้วเอกสารที่เขาร้องขอจากคาร์ลอฟมันไม่ใช่เอกสารพวกนี้เลย!
“นายจะเป็นตัวประหลาดก็ต่อเมื่อนายมองตัวเองเป็นแบบนั้น” โจไซอาห์ถอนหายใจแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินอ้อมมาหาเมอร์ลินที่ยืนหัวเสียอยู่ “การที่นายสามารถตั้งท้องได้ ไม่คิดว่ามันเป็นของขวัญบ้างหรือไง?” เอ่ยถามพลางจับใบหน้าของภรรยาให้หันมาสบตาตนเอง
“ถ้าผมชอบผู้ชายตั้งแต่แรกเหมือนคุณ มันก็คงเป็นของขวัญอย่างที่คุณว่า แต่ผมยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตของตัวเองด้วยซ้ำ ผมเสียเวลาวัยเด็กไปกับโรงพยาบาล เสียเวลาวัยรุ่นไปกับการไล่ตามเพื่อนและพี่น้องร่วมพ่อให้ทัน ไหนล่ะชีวิตของผม? ผมยังไม่ทันได้ออกไปเจอเพศตรงข้าม ยังไม่ทันได้เริ่มค้นหาตัวตนของผมเลย ผมก็ต้องมาแต่งงานแล้วยังถูกยัดเยียดให้เป็นผู้หญิงอีก? ผมมองมันเป็นของขวัญไม่ได้” เหมือนทุกอย่างที่กักเก็บไว้ในใจได้ถูกปลดปล่อย เมอร์ลินเบือนหน้าหนีสายตาสามีหลังรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปบ้าง
“แล้วตอนนี้นายเสียใจหรือเปล่าที่ต้องมาเป็นเมียฉัน?”
“ถามบ้าอะไรเนี่ย! ให้ตายก็ไม่ตอบหรอก” เมอร์ลินเหวอกับคำถาม จากที่อารมณ์ขุ่นเคืองใจกลายเป็นความไม่เข้าใจสามีที่จู่ ๆ ยิงคำถามที่หากตอบไปคงได้รู้สึกแปลก ๆ ต่อกันเป็นแน่ โจไซอาห์ยิ้มนิด ๆ ที่เมอร์ลินดูเหมือนจะกลับมาเป็นคนเดิม
“นี่! คุณจะทำอะไรเนี่ย?!” เมอร์ลินตกใจที่จู่ ๆ คนตรงหน้าก็รวบตัวเขาไปกอดแล้วอุ้มขึ้นวางบนโต๊ะทำงาน ช่วงนี้น้ำหนักเขาลดลงหรือไง ทำไมคนคนนี้ถึงได้อุ้มราวกับเขาเป็นตุ๊กตา
“แล้วนายไม่ถามฉันเหรอว่าฉันเสียใจไหมที่มีนายเป็นเมีย” ถามยิ้ม ๆ ขณะมอง
เมอร์ลินที่ถลึงตาใส่
“ไม่เอาครับ ไม่อยากถาม ไม่อยากได้ยินคำตอบ”
“ถามหน่อยน่า” จับมือซ้ายของเมอร์ลินขึ้นมาแล้วกดจูบลงบนแหวน
“คนไม่อยากถามก็คือไม่อยากถาม!” พยายามดึงมือกลับแต่ถูกจับไว้แน่น
“งั้นฉันตอบเลยแล้วกันว่าฉัน...”
“หุบปากไปเลยไอ้คนเฮงซวยเอ้ย!” ยกแขนอีกข้างโอบรอบคอหนาพร้อมริมฝีปากอิ่มจัดการปิดปากคนตรงหน้า คำตอบของสามีถูกกลืนหายไปเป็นที่เรียบร้อยพร้อมกับความโล่งใจของเมอร์ลิน เขากลัวว่าหากคำตอบของโจซออกมาตรงกับคำตอบเขาที่อยู่ในใจ... ทุกอย่างมันอาจจะเปลี่ยนไปก็เป็นได้เพราะแค่ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีสำหรับพวกเขาทั้งสองคนแล้ว ส่วนคำตอบน่ะเหรอ...
อดีตอาจจะมีคิดเสียใจ แต่ปัจจุบันน่ะเหรอ?
พวกเขาไม่เคยเสียใจที่มีกันและกันอยู่เลย
ไม่เลยสักนิด ( :