'แชะ ๆ ๆ'
เสียงชัตเตอร์กล้องรัวแข่งกันของนักข่าวหลากหลายสำนักในงานเปิดตัวละครเรื่องใหม่ รวมไปถึงนักแสดงมากหน้าหลายตาที่กำลังยิ้มกว้างให้กล้องทุกๆตัว ไม่ว่าจะเป็นพระนางรวมไปถึงนางร้ายอย่างเจนน่า ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากที่งานเปิดตัวจบลงก็ต้องมีการแยกสัมภาษณ์เดี่ยวเป็นธรรมดา
"น้องเจนน่ารู้สึกยังไงบ้างคะที่ได้รับงานละครเรื่องนี้ แถมช่วงนี้กระแสนางร้ายจากเรื่องก่อนๆยังมาแรงอีกด้วย"
ดาราสาวยิ้มอย่างสุภาพให้กับวงล้อมนักข่าวที่ทุกๆสายตาจับจ้องมาที่เธอ
"โห ขอบคุณมากนะคะ จริงๆก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะพี่ๆ ต้องบอกเลยว่ารู้สึกเป็นเกียรติมากจริงๆที่ได้รับคัดเลือกมาเล่นบทนี้จากพี่ๆนักแสดงหลายๆท่านที่อาจจะแสดงดีกว่าเจนน่าด้วยซ้ำ ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆเลยค่ะ"
เธอตอบกลับไปยาวเหยียดทั้งที่ในใจก็เอาแต่คิดว่าเธอนี่แหละเก่งที่สุด ฝีมือการแสดงขั้นเทพขนาดนี้ผู้กำกับก็ต้องเลือกเธอเป็นธรรมดาสิ
"แล้วแบบนี้มีน้อยใจผู้กำกับบ้างไหมครับ ได้รับบทนางร้ายอีกแล้ว แถมยังได้เล่นกับน้องฮันนี่ซึ่งเป็นนางเอกอีกแล้วด้วย"
ไม่รู้ว่ายายน้ำผึ้งป่าเป็นคนจ้างนักข่าวพวกนี้มาขยี้ฉันหรือเปล่า มีหวังได้เอาไมค์ฟาดปากนักข่าวแถวนี้บ้างล่ะ
"แหม จะน้อยใจไปทำไมล่ะคะ ก็เราเด่นมาจากบทนางร้ายนี่คะ ถ้าจะร้ายก็ต้องร้ายให้สุดค่ะ โดยส่วนตัวก็ชอบบทตัวโกงอยู่แล้วด้วย ถ้าละครไม่มีตัวโกงก็ไม่สนุกสิคะ"
"ถือว่าการร่วมงานครั้งนี้ของน้องเจนน่าแล้วก็น้องฮันนี่เนี่ย เพื่อกลบกระแสเกาเหลาหรือเปล่าคะ"
"เกาลงเกาเหลาอะไรกันคะ ไม่มีหรอกค่ะพี่ๆ เพราะตอนอยู่ในกองก็ซ้อมบทด้วยกันตลอด เราสองคนสนิทกันมากเลยค่ะซึ่งเจนน่าก็ไม่รู้ว่าต้นตอของข่าวพวกนี้มันมาจากไหน แต่อยากให้พับเก็บไปได้เลยค่ะ ไม่มีแน่นอน"
เธออยากจะอ้วกจริงๆที่ตอบอะไรแบบนั้นออกไป คำว่าสนิทกันมากในทีนี้หมายถึงชอบจิกหลังกันจนเลือดซิบน่ะสิ
"แล้วน้องเจนน่ารู้สึกยังไงบ้างคะที่มีกระแสออกมาว่าเป็นนางร้ายทั้งในจอแล้วก็นอกจอ"
"ขอโทษนะคะพี่ๆ พอดีว่าวันนี้เป็นงานเปิดตัวละครเรื่องใหม่นะคะ เจนน่ารบกวนถามคำถามที่เกี่ยวกับละครนิดนึงเนาะ"
แต่ก่อนที่นักข่าวปากกะปิพวกนี้จะถามอะไรขึ้นมาอีกก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาตั้งแต่แปดร้อยเมตร
"พี่ๆนักข่าวขา น้องฮันนี่มาแล้วค่ะ เชิญสัมภาษณ์ได้เลยนะคะ"
ยัยผู้จัดการส่วนตัวของแม่น้ำผึ้งป่าเดินตะแลดแต๊ดแต๋มาแต่ไกลจนเธออดไม่ได้ที่จะเผลอเบะปาก เสียงนั่นเรียกร้องความสนใจจากเธอรวมไปถึงนักข่าวที่หันไปมองทางนั้นกันเป็นตาเดียว ที่สำคัญคือนอกจากจะมองแล้วยังวิ่งกรูเข้าไปสัมภาษณ์แม่นั่นกันหมด เรียกร้องความสนใจเก่งจริงจริ๊ง
"ทำตัวเป็นปลาสวายเห็นขนมปังก้อนใหม่ไปได้ ชิ"
นางร้ายตัวจริงเบะปากแล้วพูดออกมาก่อนจะโดนผู้จัดการคนดีคนเดิมหยิกเข้าที่ต้นแขน
"โอ้ย! มันเจ็บนะ"
"พูดอะไรก็ระวังปากหน่อยสิ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีกหรอก"
"ไอด้อนแคร์บอสตันค่ะ เป็นข่าวสิดีจะได้มีกระแส"
เจนน่าลอยหน้าลอยตาตอบโดยที่ไม่คิดจะสำนึกแต่อย่างใด
"กระแสแง่ลบน่ะสิยะ"
ดาราสาวคนสวยยักไหล่ไม่สนใจจนกระทั่งเป้าหมายใหม่เดินเข้ามาทักทายพร้อมกับดอกไม้ช่อโตที่เธอมอบให้เขาเมื่อตอนเปิดงาน ถือว่าเป็นการตอบรับที่ดีจริงๆ ถ้าแม่ฮันนี่เดินมาเห็นภาพนี้ก็คงจะดี ดอกไม้ของหล่อนตกกระป๋องย่ะ
"สวัสดีครับคุณเจนน่า ขอบคุณสำหรับดอกไม้มากเลยนะครับ ผมชอบมาก ไม่ทราบว่าคุณไปซื้อมาจากที่ไหนเหรอครับ จัดช่อสวยมากเลย"
เจ้าของค่ายสุดสุภาพยิ้มให้เธอและนับหนึ่งอย่างอ่อนโยน ถึงเวลาออกโรงของนางเอกตัวจริงแล้วค่ะ
"ดีใจนะคะที่คุณภูดิสชอบ เจนน่าก็ซื้อจากร้านประจำน่ะค่ะ ปกติถ้าต้องการใช้ดอกไม้ก็ร้านนี้ตลอดเลย"
ขอบคุณเหลือเกินที่เธอเก่งด้านการแสดง เพราะร้านประจำที่ว่านั่นคือร้านที่เธอเพิ่งไปครั้งแรกเมื่อคืนนี่เอง แถมตอนนี้ยังต้องกลั้นใจสุดฤทธิ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองเกลียดอีกด้วย จะอ้วกอยู่แล้ว
"งั้นดีเลยครับ พอดีว่าผมถูกใจมากจนอยากจะอุดหนุนร้านนี้ทุกวันเลย ชักเบื่อดอกไม้ปลอมที่ห้องทำงานซะแล้ว"
"งั้นถ้าคุณชอบขนาดนี้เจนน่าจะซื้อมาฝากบ่อยๆนะคะ"
แล้วก็โชคดีอีกที่เธอขยันทำงานเก็บเงินจนร่ำรวยขนาดนี้แล้ว เรื่องช่อดอกไม้ถ้าจะซื้อก็แค่หาใครสักคนที่ร้อนเงินมาจัดการเรื่องนี้เท่านั้นเอง ซึ่งจะเป็นใครก็ให้เป็นการเลือกสรรของคุณผู้จัดการอีกที
"เปลี่ยนจากซื้อมาฝากบ่อยๆเป็นผมฝากซื้อทุกวันแทนได้ไหมครับ อยากจะเปลี่ยนดอกไม้ในห้องทำงานทุกวันเลย อีกอย่างก็อยากจะซื้อไปฝากคุณพ่อกับคุณแม่ด้วยน่ะครับ ไม่ทราบว่าดอกไม้สวยๆพวกนี้ คุณเจนน่าเลือกเองกับมือเลยหรือเปล่าครับ"
"แน่นอนสิคะ เจนน่าเลือกเองแล้วก็คุมการจัดช่อเองกับมือเลยค่ะ"
อย่างน้อยที่เธอพูดไปก็ไม่ใช่การโกหกนั่นแหละ ก็เธอไปด้วยตัวเองจริงๆ แค่ยืนหันหลังหลับตาเพราะไม่อยากเห็นเจ้าดอกไม้น่ารังเกียจพวกนี้เท่านั้นเอง
"ว้าว เก่งมากเลยนะครับ งั้นผมฝากเป็นธุระคุณเจนน่าช่วยเลือกดอกไม้ให้ผมทุกวันเลยนะครับ"
"เอ่อ นับหนึ่งว่าถ้าคุณภูดิสชอบขนาดนี้แนะนำให้เอาที่อยู่ร้านไป"
"ได้เลยค่ะไม่มีปัญหา เจนน่าเต็มใจเลือกให้ทุกวันเลยค่ะ ดีซะอีกได้เห็นของสวยๆงามๆทุกวันแบบนี้คงสดชื่นน่าดูเลยล่ะค่ะ"
เธอทั้งฝืนพูดทั้งฝืนยิ้ม ทุกอย่างฝืนไปหมดแต่ก็คงจะดูธรรมชาติสำหรับคนรอบข้างล่ะนะ เธอเข้าใจดีว่านับหนึ่งอยากจะกันเธอให้พ้นจากดอกไม้ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ นี่มันนาทีทองที่จะได้โอกาสทางการงานเชียว ถ้ายัยฮันนี่ประจบคุณภูดิสเท่าไหร่ เธอจะประจบมากกว่าเป็นร้อยเท่า
"ดีครับ แต่ถ้าวันไหนคุณไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมเข้าใจ ว่าแต่เมื่อกี๊คุณนับหนึ่งจะพูดว่าอะไรนะครับ"
"อ๋อ ยัยนับหนึ่งก็พูดไปเรื่อยน่ะค่ะ คุณภูดิสอย่าไปสนใจเลย ส่วนเรื่องดอกไม้เนี่ย แลกกับการป้อนงานให้เจนน่าเยอะๆแล้วกันนะคะ"
คนตัวเล็กที่กลายเป็นคนพูดไปเรื่อยได้แต่ยืนกัดฟันกรอด จะช่วยแท้ๆแต่ก็อวดเก่งก้าวขาข้างหนึ่งไปแตะนรกเสียแล้ว แล้วแต่แล้วกัน
"ฮ่า ๆ ๆ ได้สิครับไม่มีปัญหาเลย แค่ทุกวันนี้คุณเจนน่ากระแสก็มาแรงจนฉุดไม่อยู่แล้วครับ"
นางร้ายยิ้มย่องในใจแล้วเอามือทัดผมทำท่าทีเขินอายให้น่าเอ็นดู จนกระทั่งเสียงแหลมเหมือนนกแต้วแร้วท้องดำดังขึ้นมา นั่นทำให้นึกหัวเราะตั้งแต่ที่ยังไม่ได้หันไปมองหน้าหล่อน
"สวัสดีค่ะคุณภูดิส"
เจนน่าแทบจะหลุดหัวเราะทันทีที่เห็นใบหน้าแม่นางเอกคนดีคนเก่งตอนมองไปที่ช่อดอกไม้ในมือของคุณภูดิส ไม่ใช่ในมือสิ ในอ้อมกอดเลยต่างหาก
"สวัสดีครับ"
คุณเจ้าของค่ายก็ยิ้มสุภาพก่อนจะตอบกลับไปแค่นั้น หล่อนมาก็ดีเหมือนกันเธอจะได้ออกไปจากตรงนี้สักทีก่อนที่จะหลุดขำเสียงดังจนดูเสียมารยาท ก็มันสะใจนิ
นางร้ายดาวรุ่งส่งยิ้มเล็กๆให้กับนางเอกและผู้จัดการของหล่อนก่อนจะบอกลาคุณภูดิสอย่างผู้ชนะ
"งั้นเจนน่าขอตัวก่อนนะคะคุณภูดิส ไว้จะซื้อดอกไม้มาให้ทุกวันนะคะ"
เสียงเล็กเสียงน้อยดูน่าหมั่นไส้ของเธอทำเอาแม่นางเอกตัวดีกำมือแน่น เจนน่ารีบหันหลังเดินออกไปทันทีก่อนที่มือสวยๆจะยกขึ้นมาป้องปากหัวเราะตลอดทางจนแทบจะถึงลานจอดรถ
"แกนี่มันนางมารร้ายจริงๆเลยนะยัยเจน"
"แน่นอนสิยะ"
คนอารมณ์ดียกมือขึ้นมาแล้วมองไปที่หน้าปัดนาฬิกาหรู ก่อนจะพูดกับนับหนึ่งเพื่อนรักของเธอให้ได้ประหลาดใจเล่นๆ
"เสร็จงานวันนี้ฉันจะไปหาแม่นั่น"
'22.40 น.'
รถหรูจอดตรงที่เดิมกับเมื่อวาน จะต่างก็ตรงที่วันนี้ดึกกว่าก็แค่นั้น รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนสวยที่มองเข้าไปในร้านดอกไม้นั่น
"นี่แกบ้าหรือเปล่าเนี่ยยัยเจน ก็รู้อยู่ว่าเขาไม่ขายให้แล้วมาทำไมเอาป่านนี้"
"แต่วันนี้ฉันจะทำให้แม่นั่นขายให้ได้"
"กลับกันเถอะแก วันนี้ฉันไม่คุยให้นะยะ เกรงใจเขา"
แน่นอนสิเพราะเธอไม่ได้ตั้งใจจะให้นับหนึ่งคุยให้อยู่แล้ว เพราะวันนี้เธอจะปราบแม่เจ้าของร้านปากดีนั่นให้อยู่หมัดด้วยตัวของเธอเอง แล้วหลังจากชัยชนะวันนี้เธอก็จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก
"ไปกันเถอะ ฉันพร้อมแล้ว"
เจนน่าในชุดเดรสรัดรูปสีแดงสดก้าวลงจากรถด้วยความสง่า เธอเตรียมที่จะมุ่งตรงไปยังร้านดอกไม้ข้างหน้าแต่ก็มีเด็กสาวในร้านวิ่งเข้ามาหาเธอเสียก่อน
"พี่ใช่พี่เจนน่าหรือเปล่าคะ"
ใบหน้ายิ้มแย้มวิ่งเข้ามาหาเธอแต่ไกลแล้วถามขึ้นด้วยความดีใจแบบสุดๆ ที่สำคัญแม่นั่นก็อยู่ตรงประตูร้านพอดี เข้าทางล่ะ หล่อนจะได้รู้สักทีว่าฉันเป็นใคร เพราะฉันเนี่ยแหละดาราตัวจริงเสียงจริง
"ใช่ค่ะ พี่เอง"
เจนน่าพยายามจะพูดเสียงดังให้แม่หล่อนได้ยิน เด็กสาวกระโดดโลดเต้นไปมาก่อนจะขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก
"งั้นหนูขอถ่ายรูปด้วยสักรูปนะคะ หนูติดตามพี่เจนน่ามาตั้งแต่ละครเรื่องแรกเลยล่ะค่ะ"
"หูย ขอบคุณมากๆนะคะที่เป็นเอฟซีพี่ เรามาถ่ายรูปกันเถอะ หลายๆรูปเลยก็ได้ค่ะ"
ดาราสาวพูดเสียงดังเพื่อจงใจให้คนในร้านได้ยิน แต่เมื่อหันไปมองก็หงุดหงิดเพราะหล่อนดูไม่มีท่าทีสนใจอะไรเลย แถมยังก้มหน้าก้มตากวาดพื้นอีกต่างหาก นี่เธอยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะ!
'แชะ'
เสียงชัตเตอร์จากกล้องดังขึ้นก่อนที่เด็กสาวจะยิ้มกว้างจนตาปิดให้กับเธอ ว่าแต่เด็กนี่ออกมาจากร้านดอกไม้แต่กลับไม่มีอะไรติดมือมาสักอย่าง สงสัยแม่นั่นจะไม่ขายให้แบบที่เธอมาเมื่อวาน แล้งน้ำใจสิ้นดี
"แล้วนี่หนูมาซื้อดอกไม้เหรอคะ"
"อ๋อ เปล่าหรอกค่ะ พอดีวันนี้หนูมาทำงานอยู่เป็นเพื่อนพี่ข้าวหอมเพราะว่าคุณน้าออกต่างจังหวัดน่ะค่ะ"
ที่แท้ก็มาทำงานนี่เอง ดีเลยที่วันนี้แม่นั่นอยู่คนเดียว เธอจะได้แผลงฤทธิ์ใส่ได้สะดวกโดยที่คุณน้าใจดีคนนั้นไม่โดนไปด้วย
"น้ำหวาน ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก มันดึกแล้วนะคะ"
"ค่ะ ๆ ๆ กลับแล้วค่ะ"
เสียงหวานของคนในร้านตะโกนออกมาไล่เด็กสาวกลับบ้าน นอกจากจะปากดีแล้วยังทำตัวจู้จี้จุกจิกอีกต่างหาก ใครอยู่ด้วยมีหวังปวดหัวแหงๆ
"งั้นหนูกลับก่อนนะคะพี่เจนน่า ดีใจมากๆที่ได้เจอพี่ หนูจะติดตามผลงานพี่ทุกๆเรื่องเลยค่ะ"
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกของวันที่เจนน่ายิ้มด้วยความเต็มใจ เพราะเด็กสาวคนนี้ดูสดใสร่าเริงแล้วก็ทำให้เธอใจฟูได้ด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค หรือเป็นเพราะเธอกำลังจะได้ชำระบาปกับแม่เจ้าของร้านปากเก่งกันนะ
ทางด้านนับหนึ่งที่นั่งมองอยู่ในรถก็เดินลงมาหลังจากที่แฟนคลับตัวน้อยเดินจากไปเพราะหวังว่าเพื่อนตัวดีของเธอจะเปลี่ยนใจ
"นี่ยัยเจน ฉันว่าเรากลับกันเถอะนะ เขาจะล็อคประตูร้านแล้วน่ะ"
"เฮ้ย!"
จากที่หล่อนอมยิ้มอยู่เปลี่ยนมาเป็นท่าทีตกใจในทันที สองขาก้าววิ่งตรงไปยังประตูร้านที่ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กกำลังจะหมุนกลอนเพื่อล็อคประตู เธอจะต้องไปขวางให้ทันเพื่อกำราบเจ้าของร้านให้ได้ ถ้าวันนี้ไม่ได้ช่อดอกไม้ติดมือมาด้วยเธอจะไม่ยอมกลับเด็ดขาด
'กึก'
เพียงแต่ติดที่โชคชะตาไม่เข้าข้างเธอสักเท่าไหร่เพราะส้นของรองเท้าราคาหกหลักดันสะดุดตรงขั้นบันไดเล็กๆหน้าร้านจนทำให้เธอล้มหน้าคะมำลงไปกับพื้น
"โอ้ย!"
"อิเจน!"
เพื่อนตัวเล็กที่ยืนดูเหตุการณ์รีบวิ่งเข้ามาดูแต่ก็คงจะไม่ทันเจ้าของร้านคนสวยที่อยู่ใกล้กว่า หล่อนรีบเปิดประตูออกมาถามไถ่อาการทันทีราวกับว่าไม่เคยกัดกับเจนน่ามาก่อน
"คุณเป็นยังไงบ้างคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า"
มือนุ่มแตะเข้าที่ขาสวยของเจนน่าเบาๆ ทว่าคนหยิ่งในศักดิ์ศรีกลับปัดมือเล็กออกอย่างไม่ใยดี
"ไม่ต้องมายุ่ง! ทำไมเธอชอบยุ่งกับฉันนักนะ"
'เพี้ยะ'
ฝ่ามือพิฆาตตีเข้าที่แขนของเพื่อนทันทีที่พูดจบ ทำเอาคนปากดีลูบป้อยๆด้วยใบหน้าสุดจะงอแง
"เขาช่วยก็ยังจะไปทำนิสัยเสียใส่เขาอีก"
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณ ฉันว่าเราเข้าไปทำแผลกันก่อนดีกว่า แผลถลอกแบบนี้ปล่อยไว้นานไม่ดีแน่"
ข้าวหอมทำหูทวนลมใส่คนเจ็บ ก่อนจะพูดกับเพื่อนตัวเล็กอีกคนด้วยความสุภาพ เพราะเธอคิดว่าการคุยกับคนมีมารยาทคงจะเปลืองพลังงานน้อยกว่า
"โหย ไม่เป็นไรหรอก.."
"ดี ที่ฉันต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ก็เพราะเธอนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเธอต้องรับผิดชอบ"
เจนน่าพูดตัดประโยคของนับหนึ่งที่กำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ ดีแค่ไหนแล้วที่หน้าสวยๆของเธอไม่เป็นไร ไม่งั้นเธอเอาแม่นี่ตายแน่
"คุณลุกไหวไหมคะ"
"โอ้ย!"
"ระวังค่ะ"
คนตัวสูงพยายามจะยันตัวลุกขึ้นแต่ก็ปวดข้อเท้าเหลือเกิน แถมฝ่ามือยังมีเลือดออกอีกด้วยใครมันจะไปลุกไหว ซ้ำคำพูดของแม่นี่ยังทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดอีก พอรู้ว่าเธอเป็นคนดังก็คงจะนึกประจบนั่นแหละ ท่าทีแบบนี้ไม่ได้เป็นห่วงเธอจริงๆหรอก เธอดูออก
ก้นงามงอนจ้ำเบ้าลงกับพื้นอีกครั้ง ในใจเจ็บแทบอยากจะร้องไห้แต่ก็ต้องกลั้นตีหน้าขรึมไว้ก่อน ถ้าเธอแสดงสีหน้าเจ็บปวดให้คนตัวเล็กเห็นมีหวังหล่อนคงได้หัวเราะเยาะเธอแหงๆ
ทว่าความคิดต่างๆนานากลับต้องหยุดชะงักลงเพราะมือสวยๆที่เธอปัดออกไปเมื่อครู่กำลังจับรองเท้าของเธอเพื่อถอดมันออก
"คุณคะ ไม่เป็นไรค่ะ!"
"จับอย่าให้เป็นรอยล่ะ นั่น Manolo Blahnik รุ่น The Blixa pumps เลยนะยะ"
"..."
เธอพูดออกมาเพื่อให้แม่หล่อนระวังให้มากๆ เพราะรองเท้าหกหลักคู่นี้เธอเพิ่งได้มาใหม่เชียว ถึงจะไม่ใช่คู่ที่แพงที่สุดก็เถอะ และที่สำคัญเธอก็ไม่ได้ให้ใครมาจับข้าวของส่วนตัวแบบนี้ได้ง่ายๆด้วย แต่เพราะว่าแม่นี่ต้องรับผิดชอบยังไงล่ะเธอถึงได้ยอม
ดวงตาคู่สวยของคนตัวเล็กมองเธอด้วยความวูบไหวแค่ครู่เดียว และหลังจากนั้นที่มันกลับมาแข็งกร้าวเหมือนเดิม ก่อนจะหลุบตาต่ำลงไปเพื่อถอดรองเท้าอีกข้างที่เหลือ จนแล้วจนเล่าก็ยังกล้าสู้ตาเธองั้นเหรอ เล่นผิดคนแล้วล่ะ
เมื่อถอดรองเท้าเสร็จเรียบร้อยก็ต้องเป็นคนตัวเล็กทั้งสองคนนี่แหละที่ต้องพยุงเธอเข้าไปทำแผลในร้าน ทว่าเธอก็ยังไม่ไว้ใจให้รองเท้าหกหลักของเธอตกไปอยู่ในมือของคนแปลกหน้าอยู่ดี แค่ให้จับมันก็เกินพอแล้ว
"นับหนึ่ง ถือรองเท้าให้ฉันที ฉันไม่ไว้ใจให้คนแถวนี้เป็นคนถือ"
อยากจะรู้เหมือนกันว่าวันนี้อยู่คนเดียวแล้วจะยังปากเก่งเหมือนครั้งก่อนอยู่หรือเปล่า แต่ยิ่งหล่อนไม่ตอบโต้เธอก็ยิ่งหงุดหงิด มันเหมือนคุยอยู่กับกำแพง
นับหนึ่งและข้าวหอมพยุงคนเจ็บปากเสียเข้ามาหลังร้าน ข้าวของดูจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยน่ามอง นี่ก็คงจะเป็นฝีมือคุณน้าใจดีแน่ ๆ เจนน่ามองไปรอบๆแล้วก็คิดในใจ เธออยากจะสำรวจดูที่นี่ให้มากกว่านี้เพราะอยากจะหยุดความคิดบ้าๆเกี่ยวกับเจ้าน้ำหอมที่คนตัวเล็กใช้สักที ระยะทางที่เดินเข้ามาในร้านก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่ หากแต่จิตใจเธอเอาแต่คิดวุ่นวายอยากจะถามถึงเรื่องน้ำหอมของเจ้าหล่อน
"คุณนั่งตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันไปหยิบอุปกรณ์ทำแผลในห้องมาให้"
"ขอบคุณนะคะ"
แน่นอนว่าคำขอบคุณไม่ได้หลุดออกมาจากปากของคนเจ็บตัว เจนน่านั่งลงกับโซฟาที่ค่อนข้างดูดีพอสมควร ซึ่งเธอก็ไม่คิดเหมือนกันว่าร้านเล็กๆนี่ด้านในที่ไม่มีดอกไม้จะดูน่าอยู่ขนาดนี้
"เขาจัดบ้านสวยเนอะแก ดูเป็นระเบียบไปหมดเลยอะ"
"แหวะ ก็งั้นๆ ไม่เห็นจะดูดีตรงไหน"
"แต่ฉันเห็นแกมองไม่วางตาเลยนะยะ"
ดาราสาวจิ๊ปากใส่เพื่อนที่เอาแต่จับผิดเธอ ก็แค่มองเฉยๆไม่ได้แปลว่าเธอจะชอบสักหน่อย แค่ดาราดังอย่างเธอมาอยู่ในห้องแคบ ๆ แบบนี้ได้ก็เหมือนเป็นปาฏิหารย์แล้ว
'ซู่'
เสียงซู่ดังบ่งบอกว่าด้านนอกฝนตกหนักมาก พอดีกับที่เจ้าของร้านตัวเล็กวิ่งลงบันไดมาพร้อมกับกล่องสี่เหลี่ยมที่คาดว่าด้านในคงจะเป็นอุปกรณ์ทำแผล
"คุณจะทำเองหรือจะให้ฉันทำให้คะ"
"เดี๋ยวฉันทำให้ก็ได้ค่ะ"
"ไม่ต้อง!"
เธออยากไล่เพื่อนตัวดีสุดมีน้ำใจออกไปให้พ้นจากตรงนี้เหลือเกิน ตัวเองเป็นคนผิดมีอย่างที่ไหนจะให้เธอทำแผลเอง ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง
"เธอเป็นคนทำฉันเจ็บก็ต้องทำแผลให้ฉันสิ จะถามให้มากเรื่องทำไม"
ใบหน้าเหวี่ยงวีนตามฉบับนางร้ายในละครไม่ได้ทำให้คนตัวเล็กตรงหน้ารู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เพียงแต่เธอมองนิ่งๆแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงยากจะคาดเดา
"แต่คุณเป็นคนสะดุดล้มเองนะคะ"
"ก็เพราะว่าฉันจะมาขวางประตูยังไงเล่า เห็นก็เห็นอยู่ว่าฉันจะมาซื้อดอกไม้ ยังจะปิดประตูใส่ฉันที่เป็นลูกค้าอีก ไม่ได้เรื่อง"
หน็อยแน่ เป็นคนผิดแล้วยังมาโยนความผิดให้เธออีก ลืมตัวไปหรือเปล่าว่าวันนี้หล่อนอยู่คนเดียว
"ก็ฉันไม่รู้ว่าคุณจะมาซื้อนี่คะ เมื่อวานคุณก็น่าจะรู้ว่านี่คือเวลาปิดร้าน แล้วฉันก็ไม่ขายแล้วด้วย"
"ไม่รู้แหละ เธอต้องทำแผลให้ฉัน เดี๋ยวนี้"
เจนน่ากอดอกแล้วพูดขึ้น ในขณะเดียวกันระหว่างที่พูดดวงตากลมโตก็มองหน้าคนตัวเล็กแล้วก็มองต่ำไปที่เท้าของตนเองเพื่อบอกว่าให้หล่อนก้มลงไป
"แก ฉันว่า"
"แกช่วยขับรถไปจอดในที่ร่มให้หน่อยได้ไหมเพื่อนรัก ฉันไม่ชอบให้รถเปียกน่ะ เวลาใช้มือเปิดประตูแล้วมันสกปรก"
วันนี้เธอจะไม่ให้นับหนึ่งพูดอะไรขัดเธออีก การไล่ให้มันเอารถไปวนจอดที่อื่นนี่แหละเป็นการเปิดทางที่จะได้เล่นงานแม่นี่ได้สะดวก แน่นอนว่าเพื่อนสาวก็รำคาญความเอาแต่ใจของเธอเต็มทนเลยกรอกตามองบนแล้วเดินไปทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
หญิงสาวสองคนอยู่ในความเงียบจนได้ยินเพียงเสียงฝนตกหนักด้านนอกและเสียงเครื่องปรับอากาศภายในห้องเล็กๆ เจ้าของร้านคนสวยนั่งลงข้างๆเจนน่าก่อนจะพูดอย่างมีมารยาท
"ขออนุญาตนะคะ"
มือนุ่มจับเข้าที่มือของเจนน่าแล้วเริ่มทำแผลด้วยการล้างน้ำเกลือ ดาราสาวได้แต่คิดในใจว่ากับอีแค่จับมือก็ไม่เห็นว่าจะต้องขอตรงไหน เสแสร้งเป็นคนดีเหลือเกิน
"น้ำหอมกลิ่นเชยชะมัด"
และเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบมากจนเกินไป คนเจ็บเลยพูดขึ้นมาลอย ๆ เกี่ยวกับกลิ่นน้ำหอมที่เตะจมูกเธอตั้งแต่วันแรกที่เจอหล่อน บางทีหล่อนอาจจะหลุดพูดชื่อแบรนด์น้ำหอมออกมาก็ได้
"น้ำหอมเหรอคะ"
คนตัวเล็กหยุดทำแผลไปชั่วครู่แล้วขมวดคิ้ว
"ก็ใช่น่ะสิ น้ำหอมที่เธอใช้น่ะ กลิ่นเชยชะมัด"
"ฉันไม่ได้ใช้น้ำหอมค่ะ"
"โกหก"
เธอเกลียดคนโกหกแบบสุดๆ หล่อนคงจะอายที่เธอพูดออกไปแบบนั้นแน่ ๆ ถึงได้บอกว่าไม่ได้ฉีดน้ำหอม แล้วกลิ่นอะไรมันจะหอมขนาดนี้
"เปล่าโกหกนะคะ ฉันพูดจริงๆ"
"ไม่จริง เธอโกหก"
"คุณจะไม่เชื่อก็เรื่องของคุณค่ะ แต่ฉันไม่ได้ใช้น้ำหอมจริงๆ แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าคุณได้กลิ่นหอมมาจากอะไร"
คนตัวเล็กก้มหน้าลงเตรียมที่จะทำแผลต่อ แต่ก็ต้องหยุดชะงักไปเพราะนิสัยก้าวร้าวและถือวิสาสะแตะต้องตัวเธอโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต
"จิ๊ ก็ได้กลิ่นอยู่เนี่ยว่ามันหอม เนี่ย ตรงเนี๊ยะ เนี่ย ๆ ๆ"
นิสัยอยากเอาชนะของดาราสาวทำให้เธอเผลอลืมตัวทำสิ่งที่ไม่ควรทำไปชั่วคราว มือข้างที่ยังไม่ถูกทำแผลจับมือนุ่มของข้าวหอมขึ้นมาสูดดมจนติดจมูก เธอเลือกดมจุดแรกที่บริเวณข้อมือ ก่อนจะออกแรงกระชากคนตัวเล็กเข้ามาใกล้แล้วดมจุดถัดไปบริเวณข้อพับแขน สุดท้ายที่กระชากอีกครั้งจนคนตัวเล็กล้มทับเธอทั้งตัว จมูกโด่งรั้นสัมผัสเข้าที่ลำคอขาว ซึ่งไม่ว่าจะดมตรงไหนมันก็หอมไปหมด
"นี่ ทำอะไรของคุณเนี่ย ปล่อยฉันนะ!"
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้มั้งที่คนตรงหน้าพูดแบบไม่มีหางเสียงกับเธอ แถมยังเสียงดังใส่อีกต่างหาก มือสวยยิ่งกำข้อมือของคนตัวเล็กแน่นขึ้นไปอีก
"ไม่ปล่อย! คนบ้าอะไรฉีดน้ำหอมทั่วตัวไปหมด"
เจนน่าตอบกลับไปด้วยความไม่ยอมแพ้ น่าแปลกที่เจ้าน้ำหอมนี่มันไม่ฉุนเลยสักนิด ยิ่งได้กลิ่นอ่อนๆแบบนี้ยิ่งทำให้ผ่อนคลาย แบรนด์ไหนกันแน่
"โอ้ย ก็บอกว่าไม่ได้ฉีดไงเล่า! ปล่อยนะ"
"ไม่ปล่อย บอกมาก่อนว่าใช้น้ำหอมยี่ห้อไหน"
ถ้าวันนี้เธอไม่รู้ชื่อแบรนด์เธอก็จะนอนที่นี่แหละ เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วจะหวงอะไรแค่แบรนด์น้ำหอม พอรู้ว่าเธออยากได้คงคิดอยากจะเอาชนะเก็บชื่อแบรนด์ไว้ไม่ยอมบอกน่ะสิ
"จะบอกครั้งสุดท้ายว่าไม่ได้ฉีดค่ะ ถ้าคุณไม่ยอมปล่อยฉันจะแจ้งตำรวจจริงๆด้วย"
พอพูดถึงตำรวจขึ้นมาก็ทำเธอเจ็บแค้นในใจ ภาพในอดีตย้อนกลับเข้ามาในหัวจนเธอต้องสะบัดหน้าหลายๆที
"ตำรวจมันก็เป็นแค่ชื่ออาชีพเท่านั้นแหละ ฉันไม่กลัวหรอก"
"..."
เพราะในวันที่เธอเสียแม่ไปตำรวจพวกนั้นก็คงไม่ได้รับรู้ความเสียใจของเธอหรอก ถึงขนาดที่ว่าเธอไปเกาะขาร้องขอความเป็นธรรมก็ยังไม่มีให้
"เอาง่ายๆคือเธอหลุดจากฉันไปให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยเรียกหาตำรวจ"
ข้าวหอมหยุดดิ้นในทันที เธอนอนทับอยู่บนตัวอีกคนที่คงจะลืมตัวไปว่ากำลังเจ็บ แววตาแข็งกร้าวของหญิงสาวสองคนกำลังมองกันราวกับว่านี่เป็นสงครามเงียบขนาดย่อม
"โรคจิต"
"เธอเป็นใคร กล้าดียังไงมาว่าฉัน!"
"ก็มันจริงนี่คะ คนดีๆที่ไหนจะมาดมตัวคนอื่นทั้งที่เพิ่งเจอกันแค่สองครั้ง"
เจนน่าหยุดนิ่งทันทีเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าที่ทำไปเข้าข่ายการคุกคามชัดๆ มิหนำซ้ำเธอกับหล่อนยังไม่ทันได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามกันเลย แต่ก็ช่างหัวมันปะไร คนแบบเธออยากทำอะไรก็ทำได้อยู่แล้ว
"จะเอาเท่าไหร่"
แต่เธอจะไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด อย่างน้อยก็เอาเงินฟาดหัวหล่อนไปเป็นการรูดซิปปากเผื่อว่าหล่อนจะเอาเรื่องนี้ไปแฉลงโซเชียล
"คะ"
"ค่าเสียหายของเธอน่ะ จะเอาเท่าไหร่"
ดวงตากลมโตของคนด้านบนมองหน้าเจนน่าด้วยความสงสัย ทำเอาดาราสาวกลืนน้ำลายลงคอกับหัวใจที่เต้นแรงจนแทบระเบิด ก่อนที่บทสนทนาจะจบลงเพราะบุคคลที่สามกลับเข้ามาเสียแล้ว
"โอ๊โอ"
นับหนึ่งร้องออกมากับภาพที่เห็น ผู้หญิงสวยๆสองคนนอนทับกันบนโซฟาตัวเล็กๆ คนด้านบนแต่งตัวเสื้อยืดกางเกงขายาวธรรมดากับคนด้านล่างที่ใส่ชุดเดรสสุดเซ็กซี่ ตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่เห็นว่ามันจะเข้ากันตรงไหน
หญิงสาวสองคนเด้งตัวออกจากกันในทันที ข้อมือเล็กที่ถูกกำจนแดงถูกปล่อยให้เป็นอิสระ กับอีกคนที่เป็นฝ่ายกระทำยืนขึ้นอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่าลืมเจ็บ
"นับหนึ่ง เขียนเช็กให้แม่นี่สองแสน"
คนตัวสูงพูดออกมาเสียงแข็ง ใบหน้าและใบหูแดงก่ำคล้ายคนโกรธจัด
"ฮะ"
"เออ บอกให้เขียนก็เขียนสิ"
คนตัวเล็กสองคนต่างอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน จนในที่สุดคนเอาแต่ใจก็หยิบเช็กที่อยู่ในกระเป๋าออกมาเขียนและโยนใส่หน้าข้าวหอมที่ยังนั่งงงๆอยู่บนโซฟา
"ครั้งหน้าฉันเอาเธอตายแน่"
เจนน่าชี้หน้าคนตัวเล็กแล้วพูดออกไป ทนเจ็บกัดฟันกรอดเดินออกมาจากร้านทั้งที่เธอเองก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าเธอจะเอาแม่นั่นตายด้วยเรื่องอะไร
"ฉันจะเอายายนั่นตายเพราะวันนี้ฉันยังไม่ได้ดอกไม้ยังไงล่ะ"
ดอกไม้สีสันสวยงามหลากหลายสายพันธุ์ถูกจัดอยู่ในตะกร้าสานใบใหญ่โดยฝีมือเจ้าของร้านอย่างข้าวหอม เธอเป็นผู้หญิงที่สุภาพเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ เก่งเรื่องงานฝีมือ งานจัดดอกไม้ งานบ้าน และเรื่องต่างๆอีกมากที่แม่ศรีเรือนควรจะเป็น และเพราะเป็นเช่นนั้นแม่ๆหลายคนที่มาอุดหนุนดอกไม้จึงมักจะทาบทามข้าวหอมให้กับลูกชายของตนเป็นประจำติดแต่เพียงว่าเธอขยันมากซะจนแทบไม่สนเรื่องภายนอก ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย วิทยุ โทรทัศน์ หรือแม้แต่กระทั่งเพศตรงข้าม ไม่ว่าหนุ่มคนไหนจะมาขายขนมจีบเธอก็มักจะเมินหน้าหนีเสมอ เพราะชีวิตเธอมีเพียงเหล่าดอกไม้แล้วก็แม่เท่านั้น"เป็นไงบ้างลูก แม่รู้สึกว่าดอกไม้ที่มาจากเจ้านี้วันนี้มันช้ำแปลกๆ หรือแม่คิดไปเอง""แม่ไม่ได้คิดไปเองหรอกค่ะ เพราะคุณพ่อของคนดูแลดอกไม้พวกนี้กำลังป่วยหนัก หนูเห็นคนกำลังจะตายค่ะแม่"ข้าวหอมวางดอกไม้ที่ช้ำที่สุดลงกับโต๊ะ ก่อนจะใส่ถุงมือแล้วจัดการกับดอกไม้ดอกอื่นๆต่อไปเหมือนทุกๆวัน อีกอย่างหนึ่งที่มีเพียงเธอและแม่ที่รู้ก็คือเธอมีพลังวิเศษบางอย่างที่มนุษย์คนอื่นไม่มี"ดอกไม้บางดอกถ้ามันช้ำมากก็ปล่อยมันไว้เฉยๆเถอะลูก ลูกแม่ไม่จำเป็นต้องรู้ที่มาของดอกไม้ทุกๆดอ
มื้ออาหารแสนเรียบง่ายในตอนเช้าถูกจัดขึ้นโดยหญิงวัยกลางคนที่กำลังอมยิ้มให้กับท่าทางของดาราสาวสุดสวยที่เพิ่งจะเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง ในคราแรกหล่อนดูเหมือนไม่ไว้ใจในรสมือของเธอ ทว่าข้าวต้มคำแรกที่ถูกตักเข้าปากกลับทำให้ท่าทางของหล่อนเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน"อร่อยจังเลยค่ะคุณน้า"นั่นคือคำชมครั้งที่สิบของหล่อนในขณะที่เพิ่งทานหมดถ้วยที่สอง แววตาปิติด้วยความสุขถูกส่งไปยังผู้ทำ ทำเอาแม่ครัวใจดียิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ"แม่หนูนี่กินเก่งดีจริง ดูลูกสาวน้าสิ เขี่ยข้าวต้มในถ้วยเล่นมาสิบนาทีแล้ว"เจนน่ามองไปยังใบหน้าเบื่อหน่ายที่เอาแต่ก้มมองชามข้าวต้มบนโต๊ะ เขี่ยไปเขี่ยมาไม่ตักเข้าปากสักที สมน้ำหน้าเหลือเกิน ถ้าการทานข้าวมื้อนี้มันอมทุกข์เพราะเธออยู่ด้วยก็เชิญอมทุกข์ต่อไปเถอะ"ฮ่าๆๆ ก็มันอร่อยนี่คะคุณน้า แต่ลูกสาวคุณน้าดูเหมือนจะอึดอัดนะคะ ไม่พอใจเราหรือเปล่าคะ เราไปก็ได้นะ""โอ้ย ไม่เป็นไรหรอกลูก เอาอีกสักถ้วยไหมจ๊ะ เหลืออีกเยอะเลย""ได้เหรอคะคุณน้า เกรงใจจัง"ทุกๆคำพูดของหล่อนสำหรับข้าวหอมมันดูเสแสร้งแกล้งทำไปซะหมด ข้าวต้มของแม่ที่เธอชอบหนักหนาคงถูกหล่อนทานไปครึ่งหม้อได้แล้ว ซ้ำพอเห็นหน้าหล่อน
"ข้าวหอมอยู่ไหน"เจนน่าถามขึ้นทันทีเมื่อเจอนับหนึ่ง โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักจะถามหาคนไข้หรือคนป่วยที่ประสบอุบัติเหตุมากกว่า ทว่าเธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าคุณน้าคงอยู่ในมือหมอแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่เธอควรถามหามากที่สุดคือก็คือลูกสาวของหล่อน"ข้าวหอมไหนวะ เจ้าของร้านดอกไม้อะเหรอ"นับหนึ่งขมวดคิ้วกับคำถามของเจนน่า เธอเพียงขับรถผ่านแถวๆหน้าร้านดอกไม้นั่น บังเอิญดันเห็นรถพยาบาลจอดอยู่แถวนั้นพอดี ประกอบกับเห็นใบหน้าเลอะน้ำตาของคุณเจ้าของร้านตัวเล็กโดยข้างๆมีรถยนต์จอดอยู่ด้วย เท่านั้นก็พอจะเดาได้ว่าคนเจ็บจะต้องเป็นคุณน้าอย่างแน่นอน"เออ อยู่ไหน"ดาราสาวถามขึ้นมาด้วยความร้อนใจจนแทบจะกินหัวนับหนึ่งที่เอาแต่ยืนอ้ำอึ้งไม่ตอบเธอสักที"อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน""ก็แค่นั่นแหละ"คนตัวเล็กได้แต่อ้าปากค้างกับท่าทางรีบร้อนของเพื่อนเอาแต่ใจ หล่อนวิ่งไปด้วยความรวดเร็วก่อนจะถามทางไปห้องฉุกเฉินกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่แถวนั้น ความจริงแล้วที่เธอโทรไปบอกเจนน่าเพราะกะว่าจะชวนหล่อนไปเยี่ยมคุณน้าที่โรงพยาบาลหลังเสร็จงานพรุ่งนี้ แต่หล่อนกลับตกใจและรีบซักไซ้ที่อยู่โรงพยาบาลทันทีจนเธอต้องบอกและเสียเวลาออกมากับหล่อนตอนดึกๆแบบนี้ เก
หลังจากเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญขึ้นในคืนนั้น ดาราสาวพยายามที่จะพูดคุยและถามข้อสงสัยกับข้าวหอมว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้ยังไงกันแน่เธอกำลังหลอกตัวเองว่ามันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ทว่ามันก็เป็นไปไม่ได้อีกที่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับใครบางคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน เหมือนกับเด็กผู้ชายคนนั้นที่มีเพียงเธอและนับหนึ่งเท่านั้นที่เคยเห็น'เป็นไปไม่ได้หรอกที่เธอจะรู้ได้มากขนาดนั้น ต้องมีอะไรแน่ๆ'เธอนั่งคิดเรื่องนี้วนไปวนมาจนหัวแทบระเบิด ในขณะที่คนทั้งกองถ่ายกำลังวุ่นวายมีเพียงเธอเท่านั้นที่ไขว่ห้างดูดน้ำมองเหม่อแล้วก็นั่งเงียบๆอยู่คนเดียว"น้องเจนน่าครับ ถึงคิวแล้วครับ"เจนน่าหยุดเรื่องทั้งหมดที่กำลังคิดตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว ก่อนที่จะยิ้มรับอ่อนๆให้กับผู้กำกับที่ตะโกนเรียกเธอเข้าฉาก"ฉากนี้ขอตบจริงนะครับ เอาเทคเดียวผ่านนะ"เสียงโทรโข่งดังขึ้นให้เธอและคู่อริตัวจริงทำสมาธิหลังจากที่เธอและฮันนี่มายืนอยู่ด้วยกันหน้าฉาก วันนี้แหละที่เธอรอคอยเพื่อที่จะได้ตบยัยน้ำผึ้งป่าให้เต็มมือ ถ้าไม่ติดว่าจะดูไม่มืออาชีพเธออยากจะแกล้งเล่นพลาดสักสองสามหน จะได้ตบหล่อนซ้ำหลายๆทีให้สะใจเจนน่ากระห
ห้องสี่เหลี่ยมห้องเดิมหลังร้านที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของหญิงสาวสองคนถูกใช้เป็นห้องทำแผลอีกครั้ง ข้าวหอมและเจนน่านั่งอยู่ข้างกันบนโซฟาตัวเดิม ตำแหน่งเดิม มือนุ่มของข้าวหอมหยิบสำลีเช็ดแอลกอฮอล์ขึ้นมาเช็ดวนรอบๆแผลด้วยความเบามือ"ซี้ด"เจนน่าร้องออกมาด้วยสีหน้าเหยเกก่อนจะกลับมาเป็นสีหน้าที่เรียบเฉยอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่ากับข้าวหอมสามารถแสดงความเจ็บปวดกับหล่อนได้มากน้อยแค่ไหน ถึงเธอจะวางใจในหลายๆเรื่องแต่มันก็ต้องระวังตัวไว้ก่อนเพราะเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน เรียกรู้จักกันได้หรือเปล่านะ"เจ็บเหรอคะ"เสียงนุ่มของข้าวหอมทำเอาเธอรู้สึกแปลกไป ทุกครั้งที่อยู่กับหล่อนนอกจากเธอจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาๆแล้ว ยังรู้สึกว่าได้รับความห่วงใยอยู่ตลอดอีกด้วย ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก เพราะนอกจากคนใกล้ตัวแล้วเธอก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครอีก"อือ ก็นิดหน่อย""ขอโทษค่ะ จะพยายามเบามือมากกว่านี้นะคะ"คนตัวเล็กตอบแล้วก็ค่อยๆบรรจงเช็ดรอบแผลต่อไป ความเงียบภายในห้องทำให้เสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ของเจนน่าเข้าหูพยาบาลจำเป็นจนคนตัวเล็กต้องเปิดบทสนทนาขึ้นมา"เจ็บก็ร้องออกมาค่ะ ไม่ต้องฝืนหรอก""เปล่าฝืนสักหน่อย""
หลังจากที่เจนน่าเอ่ยปากขอนอนค้างที่นี่ คนตัวเล็กก็เงียบคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง ดาราสาวค่อนข้างที่จะดีใจกับคำตอบเพราะไม่คิดว่าอีกคนจะยอม และหากหล่อนกล่าวปฎิเสธเธอก็จะกลับคอนโดอย่างไม่ดื้อดึง บอกตามตรงว่าตอนนี้เธอไม่มีแรงที่จะรังแกใครทั้งนั้น โดยเฉพาะข้าวหอมที่นอนหันหลังให้เธออยู่ตอนนี้กลิ่นตัวหอมๆผสมกับกลิ่นครีมอาบน้ำที่หวานอ่อนๆ ทำให้โดยรวมมันหอมละมุนไปหมดจนเจนน่าอดไม่ได้ที่จะฉวยโอกาสขยับตัวเข้าไปใกล้ ด้วยความที่เตียงไม่ได้ใหญ่มากนักทำให้พื้นที่ในการนอนมีจำกัด"คุณนอนได้หรือเปล่าคะ ถ้านอนไม่สบายฉันจะได้ไปนอนอีกห้อง"และเพราะเจนน่าขยับตัวไปมาจนอีกคนรู้สึกได้ทำให้ข้าวหอมเกรงว่าหล่อนจะนอนไม่สบาย มารยาทการเป็นเจ้าบ้านที่ดีคือทำให้แขกรู้สึกสบายใจ และเจนน่าก็ถือว่าเป็นแขกคนหนึ่งของเธอ"นอนได้สิ ก็ที่ฉันขอนอนกับเธอคืนนี้เพราะไม่อยากอยู่คนเดียว"คนข้างๆตอบออกมาตามตรง ด้วยข้าวหอมก็รู้เหตุผลแล้วว่านับหนึ่งนอนซมไข้อยู่ที่ห้องจากการบอกกล่าวของเธอ เพราะแบบนั้นเธอจึงไปนอนค้างด้วยไม่ได้"..."ข้าวหอมที่นอนหันหลังให้เจนน่าฟังคำตอบแล้วก็เงียบไปสักพักใหญ่ จนอีกคนคิดว่าหล่อนหลับไปแล้ว อีกทั้งห้องย
'ปิดชั่วคราว'ป้ายประกาศปิดชั่วคราวถูกคนตัวเล็กแขวนไว้ที่หน้าร้าน ชัั่วคราวของเธอในที่นี้หมายถึงสักหนึ่งหรือสองชั่วโมงเท่านั้น เพื่อนำเวลาตรงนี้ไปมอบให้กับดาราสาวน่าสงสารที่นั่งเขี่ยข้าวในจานมาสิบนาทีได้แล้ว"กับข้าวที่ฉันทำมันไม่อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอคะ"ข้าวหอมเดินมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับถามขึ้น วันนี้เธอตั้งใจทำต้มจืดเต้าหู้หมูสับหม้อใหญ่ให้กับคนตรงหน้าแล้วก็แม่ที่อยู่โรงพยาบาล หลังจากที่ตื่นมาพร้อมกับหัวใจที่เต้นผิดจังหวะเพราะเจ้าหล่อนนอนกอดเธอแน่นจนแทบขยับตัวไปไหนไม่ได้"ไม่รู้เหมือนกัน เพราะยังไม่ได้กิน"เจนน่าตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนกระทั่งมีเสียงเคาะกระจกจากหน้าร้านดังขึ้น'ก๊อกๆๆ'เจ้าของร้านตัวเล็กรีบวิ่งออกไปดูก็พบว่าเป็นนับหนึ่งที่เจนน่าเพิ่งโทรนัดไว้เมื่อชั่วโมงก่อน ข้าวหอมยิ้มรับพร้อมกับไขประตูให้เพื่อนคนใหม่ของเธอที่ดูจากสีหน้าแล้วคงอาการเดียวกับคนที่นั่งเขี่ยข้าวอยู่ด้านใน"เป็นไงล่ะแก เซอร์ไพรส์ฉันตั้งแต่ยังไม่หายป่วยเลยนะยะ"นับหนึ่งทักเพื่อนสาวด้วยใบหน้าหมดอาลัยตายอยากไม่ต่างกัน ในขณะเดียวกันเจ้าบ้านที่ดีก็ตักข้าวเสิร์ฟให้กับแขกมาใหม่ พร้อมด้วยกับข้าวอีกถ้วย
"นั่งยิ้มอะไรอยู่คนเดียวลูก"หญิงวัยกลางคนถามขึ้นในขณะที่กำลังรูดหนามกุหลาบ ตั้งแต่เมื่อวันก่อนลูกสาวของเธอดูแปลกไปเพราะปกติน้อยครั้งเหลือเกินที่ข้าวหอมจะจับโทรศัพท์ แต่ช่วงนี้เธอสังเกตเห็นลูกสาวเธอเล่นมือถือถี่กว่าเมื่อก่อนมาก หรือจะมีอะไร"ไม่มีอะไรค่ะแม่"คนตัวเล็กอมยิ้มแล้วตอบกลับไปพร้อมหลุบตาลงต่ำเพื่อเลี่ยงสายตาตั้งคำถามของคนเป็นแม่ ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนมาจับจ้องดอกไม้ในมือแทน"หรือหนูมีผู้ชายที่ไหน""ไม่ได้มีค่ะแม่!"คนเป็นแม่ถามขึ้นแล้วลุกเดินมาหาข้าวหอมทันที ลูกสาวที่เพิ่งแหวไปเมื่อครู่ถึงกับต้องคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลง แต่ก็ช้ากว่าอีกคนที่พลิกหน้าจอกลับมาเพื่อดูว่าในนั้นมันมีอะไรกันแน่ดวงตาของขนิษฐาเพ่งมองไปยังมือถือสลับกับใบหน้าของลูกสาวที่ทำหน้าตาเลิ่กลั่กราวกับว่าถูกจับได้ ทว่าหน้าจอที่เปิดอยู่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรนอกจากภาพดารา"นี่มันรูปแม่หนูคนนั้นนี่นา อย่าบอกนะว่าลูกแม่ชอบเขาน่ะ""หนูเปล่าสักหน่อยค่ะ"ข้าวหอมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ความจริงแล้วเธอไม่ได้ชอบเจนน่าสักหน่อย แค่ยินดีไปกับหล่อนเท่านั้นเองที่กลับมามีงานเหมือนเดิม แถมกระแสในโซเชียลก็ยังดีขึ้นด้วย ต่างกับอีกคนที่ถูกกระแสแง่
มือถือของคนตัวเล็กถูกจิ้มเข้าที่สัญลักษณ์นกฟ้าในทันทีหลังจากวางสาย แฮชแท็กผู้หญิงเสื้อขาวขึ้นเทรนด์อันดับหนึ่งแทนที่ชื่อดาราสาวทันที หญิงสาวสองคนเพ่งมองหน้าจออันเล็กจนศีรษะชิดติดกัน นิ้วเรียวต่างผลัดกันเลื่อนไถฟีดข่าวที่มีแต่ภาพเธอสองคน โดยเฉพาะภาพแผ่นหลังเล็กๆของข้าวหอมซึ่งเป็นผู้หญิงที่ทุกคนกำลังตามหานอกจากนี้ยังมีภาพเธอที่ถูกถ่ายไว้เมื่อวันก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนเข็นวีลแชร์ให้เจนน่า หรือแม้แต่กระทั่งภาพที่เธอเดินอยู่ด้านหลังรถวีลแชร์โดยที่คนอื่นเป็นคนเข็นมัน โดยคอมเมนต์ส่วนใหญ่ไปในทางเดียวกันคือตามหาเธอ บ้างก็ว่าเธอสวย บ้างก็ว่าน่ารัก แต่ที่มากที่สุดคงจะเป็นความสงสัยว่าเธอเป็นใครกันแน่ เพราะโดยปกติแล้วทุกคนมักจะเห็นแค่นับหนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับเจนน่า การปารกฏตัวของเธอคงเป็นที่แตกตื่นสำหรับคนทั่วไป"แล้วฉันจะมีเพื่อนไม่ได้เลยหรือไง มาแอบถ่ายกันแบบนี้ฉันฟ้องได้นะ"เป็นดาราสาวที่พูดออกมาอย่างหงุดหงิด เธอถูกแอบถ่ายจนชินแล้ว แต่คนตัวเล็กที่นั่งข้างๆนี่เป็นเพียงคนธรรมดาๆ ไม่ใช่คนสาธารณะแบบเธอ เพราะแบบนั้นเธอถึงหงุดหงิดที่คนพวกนี้เอาข้าวหอมเข้ามาเกี่ยวด้วย ยิ่งภาพที่ถูกเผยแพร่ไ
"เรียบร้อยแล้วค่ะคุณตำรวจ ขอบคุณมากนะคะที่ให้เข้าเยี่ยม"เจนน่าเอ่ยบอกกับชายหนุ่มสองคนในเครื่องแบบหน้าห้องพักฟื้นแล้วยิ้มให้พวกเขาบางๆ ก่อนที่จะพยักหน้าบอกให้เพื่อนตัวเล็กเข็นวีลแชร์กลับห้องตัวเองโถงทางเดินหน้าห้องพักฟื้นมีคุณหมอและคุณพยาบาลเดินกันให้ควั่ก รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางร้ายในชีวิตจริงด้วยความสะใจ"แกคิดดีแล้วเหรอวะที่ทำแบบนี้อะ"นับหนึ่งโน้มตัวลงกระซิบข้างหูของดาราสาวในขณะที่ก็เข็นรถไปด้วย"แล้วมันไม่ดีตรงไหน ฉันไม่ได้ไปฆ่าใครตายสักหน่อย"เพื่อนตัวเล็กเบ้ปากมองบนเช่นเคยกับความแสบของคนป่วย ที่จู่ๆหล่อนก็ออกคำสั่งให้เธอรีบไปหาซื้อขวดยาสีชาแบบกะทันหัน ซ้ำยังย้ำนักย้ำหนาว่าเอาให้เหมือนตามต้นฉบับที่เป็นหลักฐานแบบเด๊ะๆ ลำบากเธอต้องขับรถวิ่งหาไปทั่วแค่เพราะเพื่อนตัวแสบอยากจะล้างแค้นคนร้ายด้วยความสันติสำหรับเธอคิดว่าการใส่น้ำเปล่าลงไปในขวดยามันก็ดีแต่ถ้าไม่ทำมันคงจะดีกว่า แค่คุณรตีต้องเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นแล้ว นี่หล่อนเล่นให้เสียไปยังสุขภาพจิตด้วยการหลอกว่าในขวดนั่นเป็นยาพิษชนิดเดียวกับที่คนร้ายเคยใช้ปลิดชีพคุณน้าจิตรา แถมยังเอามันกรอกปากคนเจ็บอีก
"น้องเจนน่าคะตอบคำถามพี่ด้วยค่ะ"'แชะๆๆ'"อาการตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ แล้วที่มีข่าวลือว่าหนีออกจากโรงพยาบาลจริงหรือเปล่าคะ""ตอบด้วยครับน้องเจนน่า สรุปเหตุการณ์ทั้งหมดคือยังไงครับ"นักข่าวจำนวนมากรุมจ่อไมค์พร้อมกล้องตัวใหญ่อีกหลายตัวที่สาดแฟลชสว่างวาบใส่เจนน่า ในขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีคุณพ่อเป็นคนเข็นให้และนับหนึ่งที่คอยกันนักข่าวออกไปมือนุ่มข้างหนึ่งยกขึ้นเพื่อให้นรุตม์หยุดเข็น ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ที่ตอนนี้กำลังพุ่งสูงปรี๊ด"ขอโทษนะคะพี่ๆ ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ ไม่ใช่ตลาดสดที่จะแหกปากได้ตามอำเภอใจ""..."ราวกับต้องมนต์สะกดเมื่อคำพูดกึ่งด่าหลุดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ผู้คนอาชีพเดียวกันต่างหลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบตาคมเฉี่ยวที่หันมามองตำหนิราวกับคาดโทษเอาไว้แทบทุกราย"แล้วก็ให้เกียรติเจนน่าด้วยค่ะ ตอนนี้กำลังเจ็บอยู่นะคะ ถ้าเข็นรถหนีไม่ยอมตอบคำถามก็คือไม่พร้อมตอบค่ะ""แต่พวกเราก็ต้องทำงานนะครับน้องเจนน่า เห็นใจพี่หน่อยนะครับ"เป็นผู้ชายร่างโตที่ถือไมค์เป็นโลโก้ช่องโทรทัศน์ชื่อดังที่ใจกล้าพูดออกมา ทันใดนั้นดวงตาเฉี่ยวจับจ้องไปที่เขาทันที เพียงไม่กี่วิที่ตาสบตา ชายร่างโ
สุดท้ายที่หล่อนปล่อยโฮออกมาแล้วก็พูดไปด้วย น้ำเสียงยังดูเป็นห่วงเป็นใยไม่ต่างกันกับที่ผ่านมา และเป็นเธอเองที่ขอบตาร้อนผ่าวปล่อยน้ำตาเม็ดโตออกมาทั้งที่พยายามกลั้น ไม่ว่าหล่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าหาเธออย่างใจเย็นแค่ไหน เธอก็ก้าวถอยหลังหนีไม่ต่างกัน"อย่าเข้ามานะ"ดาราสาวกลืนน้ำลายลงคอแล้วเปล่งเสียงแข็งกร้าวออกมากับดวงตาที่จ้องเขม็งไปยังคนตรงหน้า"ทำไมล่ะ ไม่ไว้ใจน้าแล้วเหรอ น้าไม่ทำอะไรหนูหรอกนะ นี่น้าไง น้าเอง"หล่อนพูดราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่สภาพตัวเองแทบจะดูไม่ได้ ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าที่มีแต่รอยเปื้อนสิ่งสกปรกเต็มไปหมด ความจริงหล่อนควรจะขอโทษเธอตั้งแต่เจอหน้ากันแล้วด้วยซ้ำ"นับหนึ่งอยู่ไหน"เจนน่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอต้องเล่นตามน้ำโดยการถามถึงเพื่อน คนร้ายยิ้มบางๆ แล้วตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ฟังไม่ขึ้น"หนูนับหนึ่งกลับไปก่อนหนูมานี่เอง ไม่ได้สวนกันหรอกเหรอ""แต่คุณบอกว่าจะฆ่าเพื่อนหนู คุณต่อรองกับหนูว่าจะมาที่นี่หรือจะเสียเพื่อนไป แล้วแบบนี้จะให้หนูคิดยังไง""น้าก็แค่ล้อเล่นเพราะอยากให้หนูมาหา น้าถูกใส่ร้ายนะเจนน่า ช่วยน้าด้วยนะ"หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าซึ่งเบาม
"คุณน้าจับตัวนับหนึ่งไป โลเคชันไกลจากที่นี่พอสมควร แล้วก็บอกว่าห้ามแจ้งตำรวจ"เจนน่าบอกกับข้าวหอมและหญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้วยกัน ทุกคนทำหน้าตกใจไม่ต่างกันจนกระทั่งข้าวหอมเหลือบตาเห็นดอกไม้ช่อเล็กๆ ที่วางไว้ใกล้ๆ กับกระเช้าผลไม้"เมื่อเช้านับหนึ่งเอาช่อดอกไม้มาเยี่ยม แต่คุณยังไม่ฟื้น""มันบ้าหรือเปล่าเนี่ย รู้ว่าฉันกลัวดอกไม้แล้วเอาดอกไม้มาให้ทำไม"เจนน่าแหวออกมาเป็นคำติติงเพื่อนสาวราวกับหล่อนแกล้งกัน แม้ว่าตอนนี้จะเป็นห่วงแทบขาดใจ"แน่ใจเหรอคะว่าคุณยังกลัวมันอยู่""..."ดาราสาวจ้องมองที่ช่อดอกไม้เล็กๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายเธอก็ไม่ได้รู้สึกขยะแขยงมันมากเท่าแต่ก่อนแล้ว ช่วงที่ข้าวหอมหลอกเอาดอกไม้ที่สวนนั่นมาเธอก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากจะเอามันไปทิ้งหรือหลับตาลงเพราะไม่อยากเห็นมือนุ่มเอื้อมจับที่กลีบดอกไม้เบาๆ พร้อมกลั้นใจ ทว่าก็ไม่ได้ฝืนใจมากกว่าที่เคย เพราะสิ่งตรงหน้ามันก็แค่ดอกไม้ธรรมดาๆ ไม่ได้มีพิษภัยอะไร หรือการที่นับหนึ่งเอามันมาก็เพื่อจะให้เธอรู้ตัวเองว่าเธอไม่ได้รู้สึกกับพวกมันเหมือนเดิมอีกแล้ว"ฉันสามารถมองเห็นได้ทั้งอดีตและอนาคต คุณรอสักแปปหนึ่งนะคะ
หลังจากที่รตีย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังโตทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดี เธอเริ่มคุ้นชินกับชื่อและนามสกุลใหม่ นรุตม์ก็ดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี ติดแต่เพียงว่าหนูน้อยไม่ยอมเรียกเธอว่าแม่สักที"เจนน่า น้าทำข้าวกล่องไว้ให้น่ะ"ทุกๆเช้าเธอมักจะบอกกับเจนน่าในวัยสิบแปดปีว่าทำข้าวกล่องไว้ให้ ในช่วงแรกเด็กสาวเกรงใจดูน่ารักน่าเอ็นดู ทว่านานวันเข้ายิ่งเปลี่ยนไปเมื่อเธอมักตามใจเขาทุกอย่าง"คุณน้าคะ พรุ่งนี้เจนน่าอยากกินผัดกะเพรา"เด็กสาวเอ่ยปากบอกกับแม่เลี้ยงตอนค่ำ เพื่อที่ข้าวกล่องในวันพรุ่งนี้จะได้เป็นเมนูที่อยากกิน คุณน้ารดาสุดใจดีหันมายิ้มบางๆให้กับเธอก่อนจะปฏิเสธ"ใบกะเพราหมด ไว้พรุ่งนี้กลับมาจากโรงเรียนแล้วค่อยกินได้ไหมคะ เดี๋ยวน้าจะทำไว้รอ""ไม่ เจนน่าจะกินตอนเที่ยงพรุ่งนี้ คุณน้ารดาต้องทำให้เจนน่าค่ะ"เพราะเธอรักเจนน่าเหมือนลูกในไส้ แม้ว่าเด็กสาวจะเอาแต่ใจหรือพูดจาไม่ดีกับเธอมากแค่ไหนเธอก็ไม่เคยคิดโกรธ มิหนำซ้ำยังพยายามหาสิ่งที่หล่อนอยากได้มาให้ทุกครั้งไปโชคดีเหลือเกินที่ฐานะทางการเงินของเธอนั้นดีมาก ดียิ่งกว่านรุตม์หลายเท่า ทำให้ไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่หากจะหาของดีๆมีราคามาให้กับเด็กสาวจนห
สวนดอกไม้เล็กๆ ณ บ้านหลังหนึ่งในประเทศรัสเซียที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสายพันธุ์ สีสันสวยงามน่ามองที่เกิดจากเจ้าของบ้านซึ่งชอบในการเพาะพืชและดอกไม้ทุกชนิด พาเอาลูกสาวคนเดียวชื่นชอบมันไปด้วย เด็กหญิงรตีในวัยหกขวบกำลังตัวเล็กน่ารัก ชอบสังเกต ชอบพิสูจน์และเป็นเจ้าหนูจำไมจนเป็นที่รักของทุกๆคน"คุณแม่ขา อันนี้เรียกว่าดอกอะไรเหรอคะ ทำไมคุณแม่ต้องกั้นรั้ว"เด็กน้อยตัวเล็กเอ่ยถามผู้เป็นแม่เสียงเจื้อยแจ้วเมื่อเห็นดอกไม้สีที่เธอชอบถูกกักขังอยู่ในกรงเหล็ก ซึ่งไม่ว่าคุณแม่จะพาเธอเที่ยวชมสวนหน้าบ้านกี่ที เจ้าดอกนี้ก็ไม่เคยเป็นอิสระเลยสักครั้ง"อันนี้เรียกว่าดอกอะโคไนต์ลูก เป็นดอกไม้มีพิษน่ากลัวนะ แม่เลยกลัวว่าหนูจะไปจับมันไงคะ""แล้วแบบนี้มันจะเบื่อไหมคะ อยู่แต่ในกรง"แม้ว่าเด็กหกขวบทั่วไปจะพอรู้ความแล้ว แต่กับรตีเป็นเด็กที่มีจินตนาการล้ำเลิศ ซึ่งเธอได้ยินมาว่าพืชทุกชนิดล้วนมีชีวิต เพราะแบบนั้นเธอจึงเอ่ยถามคุณแม่ออกไปอย่างใสซื่อ ถ้าหากเป็นเธอที่ถูกขังอยู่ในกรงนั่นคงเบื่อน่าดู"ฮ่าๆๆ ไม่เบื่อหรอกนะลูก ในกรงก็มีดอกไม้เป็นเพื่อนกันตั้งหลายดอกเห็นไหม ถ้าหนูชอบมันเดี๋ยวแม่เล่านิทานเกี่ยวกับมันให้ฟังเอาไหม
คนร้ายมองหน้าผีตัวปลอมตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เด้งตัวลุกขึ้นจนทำให้คนที่เหยียบอกอยู่ล้มลงกับเตียง เขาเอี้ยวตัวเปิดลิ้นชักหัวเตียงแล้วใช้มือหยาบกร้านหยิบปืนพกขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว ในขณะเดียวกันคนใต้เตียงก็ออกมาจากที่ซ่อนเพื่อพยุงข้าวหอมที่เสียหลัก โดยเจนน่าที่ยังซ่อนตัวอยู่กดโทรออกหาตำรวจเป็นที่เรียบร้อย"อย่าอยู่เลยพวกมึง!"เสียงทุ้มตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาลพร้อมยกกระบอกปืนขึ้นเล็งไปยังหญิงสาวตัวเล็กสองคน ทว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ค่อยๆย่องออกมา ใช้โอกาสที่คนร้ายยังไม่เห็นเธอหยิบขวดน้ำเปล่าขึ้นมาแล้วโยนขึ้นไปกระแทกกับหลอดไฟ'เพ้ง'ทันใดนั้นหลอดไฟที่ถูกหมุนไว้ตั้งแต่แรกร่วงลงพื้นทันที เสียงแตกกระจายของมันเรียกร้องความสนใจของคนร้ายให้หันไปมอง นั่นทำให้เจนน่าฉวยโอกาสพุ่งตัวเข้าไปเพื่อยื้อแย่งปืนที่อยู่ในมือของอีกคน"เชี่ย แสบนักนะพวกมึง!"เพราะความที่คนร้ายเป็นผู้ชายซึ่งมีแรงมากกว่า คนตัวเล็กอีกสองคนเลยวิ่งเข้าไปรุมทึ้งด้วย โดยนับหนึ่งใช้เชือกเส้นหนาที่ซื้อมารัดคอของคนร้ายสุดแรงจนเขาแทบลิ้นจุกปากเพราะขาดอากาศหายใจ ทว่ามือหยาบกร้านก็ยังคงจับปืนไว้มั่น ซึ่งพวกเธอแน่ใจว่าถ้าหากให้เขายิงป
"กลิ่นเหม็นคาวจากไหนวะ"เสียงแหบพร่าของชายวัยกลางคนดังขึ้นหลังจากที่ข้าวหอมเริ่มลงมือแง้มถุงเลือดหมูอย่างเงียบๆ ก่อนที่เธอจะค่อยๆนำของเหลวสีแดงฉานป้ายไปตามใบหน้าลำคอ รวมไปถึงเสื้อผ้าและผิวขาวทั่วตัว หากสังเกตเพียงเท้าที่คนใต้เตียงเห็น คนร้ายกำลังเดินวนไปรอบห้องคล้ายคนเมาเพื่อหาต้นตอของกลิ่น แต่เพราะความมืดที่แทบมองไม่เห็นทำให้เขาเดินเตะขาเก้าอี้จนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด"โอ้ย! แม่งเอ้ย ไอเก้าอี้บ้า กูนอนก็ได้วะ!"จากที่ทรงตัวไม่ค่อยอยู่กลายเป็นว่าสองขาของเขาเดินกะเผลกมาข้างเตียงแล้วทิ้งตัวลงด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่ปลายผ้าห่มผืนหนาจะถูกดึงขึ้นไป นั่นทำให้หญิงสาวสองคนรู้ว่าคนร้ายกำลังห่มผ้านอนแล้วมือเล็กของนับหนึ่งแกล้งดึงชายผ้าห่มที่โผล่พ้นใต้เตียงด้านข้างให้ขยับเบาๆเป็นการกระตุกขวัญให้คนบนเตียงกลัวเล่นๆ เพราะเตียงดูยวบยาบอยู่หลายหนนั่นดูเหมือนว่าคนร้ายจะนอนไม่สบายสักเท่าไหร่นับหนึ่งจึงคลานไปกระตุกชายผ้าที่ปลายเตียงแทน ผ้าห่มผืนหนาค่อยๆเลื่อนออกจากตัวของชายวัยกลางคนจนเขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ"คงไม่มีอะไรหรอก อิเด็กนั่นมันก็แค่พูดจาเพ้อเจ้อไปแบบนั้นแหละ"คนบนเตียงพึมพำกับตัวเ