ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินสวนกันไปมาภายในห้องสี่เหลี่ยมไม่ใหญ่มากนักด้วยท่าทีเร่งรีบ บางคนหอบข้าวของพะรุงพะรัง บางคนยุ่งวุ่นวายอยู่กับเครื่องสำอาง และบางคนที่วิ่งหาของกินรวมไปถึงเครื่องดื่ม หากมองภาพรวมทุกคนที่นี่มีสีหน้าเคร่งเครียดจนดูอึดอัด ยกเว้นหญิงสาวที่นั่งไขว่ห้างเล่นมือถือเครื่องหรูอยู่บนเก้าอี้ตัวสวย
"ฮ่า ๆ ๆ ทำไมมันตลกอย่างนี้เนี่ย"
สาวเจ้าหัวเราะกับวิดีโอที่ถูกเปิดขึ้นมาในมือถือ จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาด้วยความเหนื่อยหอบ
"แฮ่ก ๆ มาแล้วค่ะคุณเจนน่า พิซซ่าที่คุณสั่ง"
หญิงสาวตัวเล็กหน้าตาน่ารักหอบแฮ่ก ๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยท่าทีหวาดระแวง ในมือถือถาดพิซซ่ากล่องหรูแทบจะถวายให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
"ไม่กิน เอาออกไป"
"คะ"
"ก็บอกให้เอาออกไปไงพูดไม่รู้เรื่องหรือไง!"
เจนน่าตะคอกใส่เธอด้วยความหงุดหงิด ทำเอาคนที่อยู่ในห้องสะดุ้งกันเป็นแถบ กลัวหัวหดจนมือไม้สั่นกันไปหมด โดยเฉพาะคนตัวเล็กที่ถือกล่องพิซซ่า เธอตอบรับเสียงสั่นแล้วรีบวิ่งออกไปจากห้อง
"แล้วนี่จะเสร็จหรือยัง พิรี้พิไรอยู่นั่น เจนน่ามีคิวต้องรีบถ่ายนะคะ"
หล่อนพูดกับช่างทำผมที่มือสั่นเป็นเจ้าเข้า คนถูกถามตอบรับทันทีว่าใกล้เสร็จแล้วแต่ก็ยังไม่วายถูกมองแรงด้วยสายตายากที่จะคาดเดา
"แล้วพิซซ่าที่สั่งมาเมื่อกี๊ใครจะกินก็กินนะคะ หรือถ้าจะไม่กินก็เอาไปให้หมามันกินซะ"
พูดแล้วก็นั่งเชิดอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนตาคู่สวยเหลือบไปเห็นหญิงสาวตัวเล็กที่เพิ่งถูกเธอตะคอกไปเมื่อครู่นั่งหลบมุมร้องไห้อยู่แถวใต้โต๊ะวางของ
"ถ้าคิดจะทำงานร่วมกับฉันแล้วจะอ่อนแอร้องไห้แบบนี้ก็ออกไปซะ คิวงานฉันมีเยอะนะ ไม่ได้มีเวลาเหลือไปนั่งปลอบใคร"
"..."
ทุกคนในห้องต่างมองหน้ากันแล้วก็เงียบ เงียบชนิดที่ว่าเสียงเครื่องปรับอากาศยังดังกว่าเสียงลมหายใจหอบถี่ของช่างทำผมที่หวาดกลัวเธอจนฉี่จะราด
"แล้วก็ถ่ายฉากนี้เสร็จเจนน่าพอแล้วนะคะ นี่มันเลยเวลาพักผ่อนมาแล้ว เดี๋ยวหน้าจะโทรม"
เป็นที่รู้ดีของคนที่เคยร่วมงานกับดาราสาวคนสวยสุดจะเอาแต่ใจ 'เจนน่า วินด์เซอร์' ชื่อที่หลายๆคนก็ต่างหวาดผวาว่าในแต่ละวันตัวเองจะต้องเจอกับอะไรหากหวยออกได้ร่วมงานกับเธอคนนี้ นางมารร้ายดาวรุ่งพุ่งแรงจนฉุดไม่อยู่ ชี้อะไรต้องทำ สั่งอะไรต้องได้ ขี้เหวี่ยงขี้วีนจนคนต่างขนานนามว่าเป็นนางร้ายทั้งในจอและนอกจอ แต่เพราะหล่อนมากฝีมือเรื่องการแสดงทำให้ผู้กำกับหลายๆคนเลือกที่จะยอมเสี่ยงจ้างเธอให้มาร่วมงานด้วย
จะมีก็แต่เพื่อนสาวคนเดียวของเธอที่เรียกได้ว่าเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่สามารถรับมือกับเธอได้อยู่หมัด นั่นก็คือ 'นับหนึ่ง' หญิงสาวลูกครึ่งอังกฤษตาสีน้ำข้าวผมสีทอง นับหนึ่งเป็นเพื่อนกับเจนน่ามาตั้งแต่สมัยที่เธอยังไม่เข้าวงการ แต่แปลกที่หล่อนกลับมีนิสัยเข้าอกเข้าใจคนอื่นและใจเย็นมากจนหลาย ๆ คนแทบนึกไม่ออกว่าหล่อนสามารถเป็นเพื่อนกับเจนน่าได้ยังไง
"ยัยเจน ฉันมีข่าวร้ายจะบอก"
เสียงนุ่มๆของเพื่อนสาวที่กำลังขับรถดังขึ้นในขณะที่เจนน่ากำลังไขว่ห้างเล่นโทรศัพท์เช่นเคย
"ไม่มีอะไรจะเป็นข่าวร้ายได้เท่ากับลิปสติกแท่งโปรดหมดตอนที่ต้องการใช้แบบสุดๆ"
สีหน้าเรียบเฉยปรากฏขึ้นในกระจกมองหลังที่อยู่ด้านหน้าของคนขับรถ รอยยิ้มมุมปากของนับหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาเช่นเดียวกัน
"เดี๋ยวแกก็รู้ว่าเรื่องนี้มันร้ายหรือไม่ร้าย"
เพื่อนสาวเหยียบคันเร่งสุดเท้าในถนนที่โล่งสุดๆยามดึก ทว่าดาราสาวไม่ได้มีท่าทีวิตกกังวลหรือหวาดกลัวแต่อย่างใด เธอกลับนั่งชื่นชมเล็บใหม่ที่เพิ่งจะทำไปหมาดๆเมื่อตอนกลางวันที่ผ่านมา
"แล้วก็เรื่องพิซซ่า ฉันฝากแกจัดการเขียนเช็กให้เด็กนั่นทีนะ"
"ที่แกไปตะคอกใส่เขาเพราะไม่อยากกินของที่สั่งมาแล้วน่ะเหรอ"
"ว้า ข่าวไปไวจังเลยนะทั้งที่แกไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย ไม่ทราบว่าอ้ายอีตัวไหนมันคาบข่าวไปบอกอีกล่ะ"
เจนน่าพูดขึ้นมาด้วยความเคยชิน เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข่าวฉาวพวกนี้มักจะไปถึงหูเพื่อนตัวดีของเธอเสมอโดยที่ไม่ต้องเปลืองน้ำลายเล่าให้ฟังเลยสักเรื่อง
"เออ จะหมาตัวไหนก็ช่างเถอะ เพราะที่ได้ยินมาแต่ละเรื่องก็ดี ๆทั้งนั้น"
"เขียนเช็กให้แม่เด็กคนนั้นไปสักสองแสนนะ ค่าพิซซ่าส่วนหนึ่ง ที่เหลือฉันให้เป็นค่าทำขวัญ เดี๋ยวจะสติหลุดไปซะก่อน"
"สองแสนเองเหรอคะคุณเจนน่า หนูกลัวมากเลยค่ะ ฮือ ๆ"
นับหนึ่งแกล้งทำเสียงเป็นร้องไห้แทนเด็กสาวคนนั้นเพื่อแหย่เพื่อนเธอ
"อ๊ะ ๆ สองห้าก็ได้ เศษเงินค่ะ"
เจนน่าพูดขึ้นแบบยิ้มๆตามประสาเพื่อนเล่นกันซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ได้เห็นรอยยิ้มขี้เล่นแบบนี้จากเธอ
"สองห้าเองเหรอคะคุณเจนน่า แต่ว่าหนูเสียน้ำตาไปหลายลิตรเลยนะคะ คุณจะไม่ให้ค่าน้ำเปล่าแยกต่างหากอีกสักแสนหนึ่งเหรอคะ"
"นี่ น้อย ๆ หน่อยนางหนู สองห้าขาดตัวย่ะ ฉันก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกันนะ"
ดาราสาวกระแนะกระแหนแล้วหัวเราะในลำคอ ก่อนจะส่ายหัวให้ความกวนของผู้จัดการส่วนตัว ซึ่งไม่นานนักรถคันหรูก็ได้มาหยุดจอดที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งที่นี่ไม่ใช่คอนโดของเธอ
"เดี๋ยวนะ แล้วแกจอดตรงนี้ทำไมอะ น้ำมันหมดเหรอ"
เจนน่าขมวดคิ้วถามเพื่อนเธอด้วยความสงสัย ตอนนี้ปาเข้าไปจะห้าทุ่มแล้วแต่เธอยังไม่ได้มาสก์หน้าเลยแล้วจะได้นอนกี่โมงกัน ขอบตาคล้ำพอดี
"นี่ไงข่าวร้ายของแก"
"อะไร"
เพื่อนสาวนั่งนิ่งไม่พูดอะไร ได้แต่ยักไหล่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็ให้ตัวร้ายอย่างดาราดังหันมองดูรอบๆเอาเองว่าที่นี่ที่ไหน
"ฉันไม่เล่นนะยัยหนึ่ง แกพาฉันมาที่นี่ทำไม"
"ก็ไม่ได้พามาเล่น มาร้านดอกไม้ให้ฉันเอาผ้าแกมาส่งซักหรือไง"
"ออกรถ"
เสียงนิ่งสั่งเพื่อนตัวดี ทั้งที่นับหนึ่งก็รู้ว่าเธอเกลียดดอกไม้อย่างกับอะไร ต่อให้เธอวิ่งรอบรถคันนี้สักยี่สิบรอบเธอก็ยอม แต่พื้นรองเท้าส้นสูงแสนแพงของเธอจะต้องไม่เหยียบเข้าไปในร้านเด็ดขาด
"ร้านดอกไม้เจ้าประจำที่เราซื้อกับเขาปิดถาวร ฉันเพิ่งมารู้ก็ตอนหัวค่ำนี่เอง"
"แล้ว"
เจนน่าตอบพยางค์เดียวเป็นคำถามว่าแล้วยังไง เพราะนี่มันไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่จะต้องมาเลือกซื้อดอกไม้ด้วยตัวเอง
"พรุ่งนี้มีงานเปิดตัวละครเรื่องใหม่ของแก แน่นอนว่าแม่นางเอกนางใจคู่แข่งแกจะต้องมีดอกไม้ช่อใหญ่ไปถวายเจ้าของค่ายอย่างแน่นอน"
พอพูดถึงนางเอกที่เธอเกลียดนักหนาก็พาให้หงุดหงิด นอกจากนางนั่นจะชอบประจบสอพลอเจ้าของค่ายแล้วยังทำตัวดีเข้าถึงง่ายไปทั่วจนคนรักคนหลง ต่างกับตอนที่อยู่กับเธอสองคนเหลือเกิน ลอตูแสหลู
"แกก็สั่งให้เขาเอามาส่งที่งานสิ ร้านไหนก็ได้ ไม่เห็นต้องมาเลือกด้วยตัวเอง"
"ไม่ได้ ไม่ทัน ฉันได้ยินมาว่าคุณนางเอกเขาสั่งดอกไม้ช่อเท่าบ้านมาแล้วนะ ถ้าแกไม่มาเลือกไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง เกิดพรุ่งนี้ร้านเอาช่อเล็กกว่ามาให้จะทำยังไง ไม่อายคนอื่นแย่เหรอ"
"..."
"โดยเฉพาะนักข่าว ถ้าเกิดยัยนั่นได้หน้าไป มีหวัง"
'ปัง'
เสียงปิดประตูรถดังขึ้นพร้อมกับดาราสาวที่จ้ำอ้าวลงไปจากรถแล้วมุ่งตรงดิ่งไปยังร้านดอกไม้ตั้งแต่ที่นับหนึ่งยังไม่ทันพูดจนจบประโยค
'แอ้ด'
เจนน่าเปิดประตูร้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เธอยอมอยู่ในดงงูเห่าดีกว่าอยู่ในดงดอกไม้พวกนี้เสียอีก แต่เพราะเรื่องความโดดเด่นเธอจะยอมไม่ได้เด็ดขาด
"ขอโทษนะคะคุณลูกค้า ร้านปิดแล้วค่ะ"
เสียงหวานหูตะโกนดังออกมาพร้อมๆกับใบหน้าหวานของเจ้าของร้านที่ยืนยิ้มแฉ่งให้กับลูกค้าคนสวย
"คะ"
และเจนน่าที่ยืนอึ้งอยู่หน้าประตูร้านเพราะน้อยคนนักที่ได้เจอเธอตัวเป็นๆแบบนี้แล้วจะไม่มีท่าทีดีใจจนต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาขอถ่ายรูป
"ร้านปิดแล้วค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ"
เจ้าของร้านตัวเล็กเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง กลิ่นหอมจากตัวหล่อนทำเอาดาราสาวหยุดนิ่งไปเพราะความหอมนั่นจนอยากจะถามออกไปว่าหล่อนใช้น้ำหอมยี่ห้ออะไรถึงได้หอมขนาดนี้ แต่เพราะเธอเป็นดาราดังยังไงล่ะ ถ้าจะถามคำถามนี้กับคนทั่วไปก็คงยังไงอยู่
"อะแฮ่ม ปิดแล้วเหรอคะ ขอเจนน่าซื้อแค่ช่อเดียวนะคะ"
คนตัวสูงกว่ากระแอมแล้วพูดชื่อตัวเองออกมา เผื่อว่าเจ้าของร้านคนนี้จะอ๋อขึ้นมาได้บ้างว่าเธอนี่แหละดาราตัวเป็นๆ แถมยังส่งยิ้มเป็นมิตรแบบนี้ให้อีกต่างหาก ถึงจะเป็นแค่การแสดงก็เถอะ เพราะตอนนี้ในใจเธอร้อนรุ่มเป็นไฟด้วยความหงุดหงิด
"ไม่ได้จริงๆค่ะคุณลูกค้า ต้องขอโทษด้วยอีกทีนะคะ"
สีหน้าของลูกค้าเปลี่ยนไปเป็นความฉงน เจนน่ากะพริบตาถี่ ๆแล้วชี้ที่ตัวเองก่อนจะโพล่งคำถามที่ไม่เคยถามกับใครมาก่อน
"นี่ คุณไม่รู้จักฉันเหรอคะ"
คนตัวเล็กเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงตั้งคำถามก่อนจะส่ายหัวไปมาแล้วก็ยิ้มบางๆส่งกลับไป
"ได้ยังไง ฉันเอง ฉันไงคะ เจนน่า วินด์เซอร์น่ะ"
คุณตัวโกงทำหน้าเหวอก่อนแหวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตกใจปนประหลาดใจ บนโลกนี้ยังมีคนไม่รู้จักเธออยู่งั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้
"หึ ไม่รู้จักจริงๆค่ะ เราเคยเจอกันมาก่อนด้วยเหรอคะ ฉันไม่คุ้นหน้าคุณเท่าไหร่"
คนตัวสูงอ้าปากหวอพูดไม่ออกจนกระทั่งเพื่อนสาวเดินเข้ามาเปิดบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง
"ทำไมนานจังยัยเจน"
"..."
"อ้าว สวัสดีค่ะคุณเจ้าของร้าน ไม่ทราบว่าตอนนี้ยังขายอยู่ไหมคะ พอดีเราสองคนจำเป็นต้องรีบใช้ช่อดอกไม้มากๆเลยน่ะค่ะ"
นับหนึ่งถามออกมาด้วยความใจเย็นก่อนจะลูบหลังเพื่อนเบาๆให้อาการอ้าปากตาค้างนั่นดีขึ้น
"ขอโทษอีกครั้งค่ะ พอดีตอนนี้ร้านของเราปิดแล้ว รบกวนคุณผู้หญิงสั่งร้านอื่นก่อนแล้วกันนะคะ"
คนตัวเล็กพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง เพราะเธอเก็บกวาดร้านจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงไม่สามารถจัดช่อได้อีก เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคงต้องกวาดร้านใหม่ ดูทรงแล้วคงเป็นงานใหญ่แน่
"อะไรกัน คำก็ปิดสองคำก็ปิด กับอีแค่ดอกไม้ช่อเดียวมันจะอะไรกันนักกันหนา ฉันยอมจ่ายให้เธอสองเท่าของช่อดอกไม้ ทำให้ฉันเดี๋ยวนี้"
เจนน่ากอดอกชี้นิ้วสั่งคนที่เพิ่งเจอกันไม่กี่นาทีก่อน ไหน ๆ ก็ไม่รู้จักเธอแล้ว ถ้าจะเป็นตัวเองใส่หล่อนก็คงจะไม่ใช่ปัญหา
"ขอโทษด้วยนะคะ ต่อให้คุณจะให้ฉันสิบเท่าของช่อดอกไม้ฉันก็ไม่ทำให้ค่ะ กรุณาถอยออกไปสักนิดนะคะ จะปิดประตูร้านค่ะ"
เจ้าของร้านคนสวยตอบกลับไปด้วยความสุภาพ ทำเอานับหนึ่งยิ้มแหยๆให้กับความเสียมารยาทของเพื่อนตัวเองแล้วทำการขอร้องอีกครั้ง
"ได้โปรดเถอะนะคะ ขอแค่ช่อใหญ่ๆช่อเดียวเลยค่ะ นะคะ"
ใบหน้าอ้อนๆกับตาแป๋วๆของคนตัวเล็กที่ทำการขอร้องถูกส่งไปยังอีกคนที่ดูลังเลในความสุภาพของหล่อน ถ้าคนตัวเล็กผมทองนี่มาคนเดียวก็คงจะใจอ่อนอยู่ แต่เพราะคำพูดที่ใช้เงินฟาดหัวของคนตัวสูงนั่นทำให้เธอปฏิเสธ แต่ก่อนจะพูดปฏิเสธออกไปเสียงตะโกนถามของผู้เป็นแม่ก็ดังขึ้นเสียก่อน
"อะไรกันลูก ข้าวหอม เสียงดังเอะอะไปถึงหลังร้านแหนะ"
หญิงสาววัยกลางคนท่าทางใจดีเดินออกมาจากด้านหลัง หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงดูสะสวยไม่ต่างกับคนตัวเล็กบ่งบอกว่าเธอสองคนเป็นแม่ลูกกัน
"ก็แม่นี่"
"ขอโทษด้วยนะคะที่มารบกวนตอนนี้ แต่คุณน้าช่วยทำช่อดอกไม้ช่อใหญ่ให้พวกหนูสักช่อนะคะ พอดีว่าจำเป็นต้องใช้มากจริงๆ ถ้าคุณน้าไม่ช่วยพวกหนูสองคนเดือดร้อนกันยกใหญ่แน่ ๆ เลยค่ะ"
คนตัวเล็กใช้มือปิดปากเพื่อนสาวปากหมาด้วยความรวดเร็วก่อนที่โอกาสครั้งสุดท้ายจะจบลง คำพูดขอร้องยาวเหยียดของนับหนึ่งกับท่าทีสุภาพเรียบร้อยในการอ้อนวอนทำให้หญิงวัยกลางคนพยักหน้าตอบรับอย่างไม่ลังเล
"ได้สิจ๊ะ งั้นพวกหนูเข้ามาก่อนนะ น้าต้องใช้เวลาทำนิดหนึ่งจ้ะ ยืนรอด้านนอกจะเมื่อยซะเปล่าๆ"
นับหนึ่งขอบคุณอย่างนอบน้อมผิดกับอีกคนที่ทำท่าทางเหลือบตามองบนด้วยอารมณ์ที่ยากจะคาดเดา กริยาที่แสดงออกทำเอานับหนึ่งต้องมองตาขวางจนเจนน่าหยุดทำแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงจนช่อดอกไม้ช่อโตถูกส่งให้กับคุณลูกค้าทั้งสองคน เจนน่าที่เก็บอาการเกลียดดอกไม้ไม่ค่อยจะอยู่ต้องหันหลังหลับตาปี๋ให้กับดอกไม้นั่น เธอรู้สึกเกลียดดอกไม้พวกนี้จะแย่ ทำไมจะต้องมาอยู่ท่ามกลางสิ่งที่ตัวเองเกลียดขนาดนี้ก็ไม่รู้
"ทั้งหมดเท่าไหร่คะคุณน้า"
"ทั้งหมดนี่สี่พันสองจ้ะหนู"
"คุณน้าคิดค่าเสียเวลาได้นะคะ บวกเพิ่มไปเลยค่ะไม่ต้องเกรงใจ"
นับหนึ่งบอกกับคุณน้าสุดใจดีโดยที่ไม่ได้หันไปสังเกตเพื่อนของเธอที่ตอนนี้แทบอยากจะวิ่งออกจากร้านเต็มทน
"ไม่เป็นไรหรอกหนู น้าคิดตามราคาจริงนี่แหละ ค่าเสียเวลาอะไรกัน ไม่มีหรอกจ้ะ"
คนตัวเล็กยิ้มตอบอย่างสุภาพ ก่อนจะหันไปสะกิดเพื่อนตัวดีให้จ่ายเงิน แต่จนแล้วจนเล่าเจนน่าก็ไม่หันมา อาจจะเพราะว่าในมือหล่อนถือช่อดอกไม้ที่เพื่อนคนนี้เกลียดแสนเกลียด จนกระทั่งเจ้าของร้านคนสวยที่กำลังกวาดร้านอยู่เดินเข้ามา
"คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ"
เสียงหวานถามเจนน่าที่เอาแต่ยืนหลับตานิ่ง หน้าตากล้ำกลืนแบบนั้นทำให้เธออดจะเป็นห่วงไม่ได้แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะพูดไม่ดีกับเธอ
"อย่ามายุ่ง"
คนตัวสูงหลับตาแล้วพูดออกมาเบาๆ หล่อนสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเก็บนิสัยความเป็นตัวเองไว้กับตัว
"ฉันถามคุณดีๆนะคะ"
"แล้วฉันหยาบคายกับเธอตรงไหน"
เจนน่าลืมตาสะกดกลั้นตัวเองแล้วถามนิ่งๆ แววตาเรียบเฉยไร้ความรู้สึกถูกส่งไปยังคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างหน้า แต่แปลกที่ดวงตากลมโตนั่นจ้องตาเธอกลับอย่างไม่เกรงกลัว ผู้หญิงคนนี้เก่งมาจากไหนกันถึงได้กล้าสบตากับเธอ คนร้อยทั้งร้อยเมื่อเจอเธอในโหมดนี้ต่างก็ต้องหลบตากลัวเธอจนหัวหดกันทั้งนั้น
"เอ่อ นี่ค่ะคุณน้าเงิน ไม่ต้องทอนนะคะเอาไปเลย คิดซะว่าเป็นค่าเสียเวลาแล้วก็เสียมารยาทของเพื่อนหนูนะคะ"
สุดท้ายที่นับหนึ่งต้องควักเงินออกจากกระเป๋าตัวเองแล้วหยิบเงินเป็นฟ่อนขึ้นมาแบบลวกๆ ยัดใส่มือคุณน้าใจดีแล้วลากตัวเพื่อนเธอออกมาด้วยความรวดเร็วทั้งที่ตาขวางๆนั่นถูกมองมาทันทีที่เธอพูดว่าหล่อนเสียมารยาท
ทั้งที่นับหนึ่งเห็นว่าคุณน้าวิ่งตามออกมาเพื่อที่จะคืนเงินแต่เธอก็รีบขึ้นรถและรีบออกรถอย่างเร็วที่สุดเพราะกลัวว่าคุณน้าคนนั้นจะรู้จักเจนน่าจนเอาไปแฉพฤติกรรมสุดแย่จนเป็นข่าวใหญ่ให้เธอต้องตามล้างตามเก็บ
บรรยากาศบนรถเป็นไปด้วยความเงียบและน่าอึดอัด จนกระทั่งเสียงเรียบนิ่งดังขึ้นมา
"ฉันเกลียดดอกไม้"
แววตาไร้ความรู้สึกที่นับหนึ่งเห็นเป็นประจำกลับมาอีกครั้ง เพราะเธอเป็นคนเดียวที่รู้ว่าเจนน่าเจ็บปวดขนาดไหนเมื่อเห็นดอกไม้มากมาย ปมในใจเกี่ยวกับดอกไม้และการตายของแม่หล่อนยังส่งผลต่อความรู้สึกหล่อนมาจนถึงทุกวันนี้ ทว่าคำพูดถัดไปของเจนน่าทำให้เธอนึกประหลาดใจเหลือเกิน
"แต่ฉันจะกลับไปที่ร้านนั่นอีก"
"..."
"กลับไปทำให้แม่คนนั้นรู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่หล่อนจะเล่นด้วย"
'แชะ ๆ ๆ'เสียงชัตเตอร์กล้องรัวแข่งกันของนักข่าวหลากหลายสำนักในงานเปิดตัวละครเรื่องใหม่ รวมไปถึงนักแสดงมากหน้าหลายตาที่กำลังยิ้มกว้างให้กล้องทุกๆตัว ไม่ว่าจะเป็นพระนางรวมไปถึงนางร้ายอย่างเจนน่า ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากที่งานเปิดตัวจบลงก็ต้องมีการแยกสัมภาษณ์เดี่ยวเป็นธรรมดา"น้องเจนน่ารู้สึกยังไงบ้างคะที่ได้รับงานละครเรื่องนี้ แถมช่วงนี้กระแสนางร้ายจากเรื่องก่อนๆยังมาแรงอีกด้วย"ดาราสาวยิ้มอย่างสุภาพให้กับวงล้อมนักข่าวที่ทุกๆสายตาจับจ้องมาที่เธอ"โห ขอบคุณมากนะคะ จริงๆก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะพี่ๆ ต้องบอกเลยว่ารู้สึกเป็นเกียรติมากจริงๆที่ได้รับคัดเลือกมาเล่นบทนี้จากพี่ๆนักแสดงหลายๆท่านที่อาจจะแสดงดีกว่าเจนน่าด้วยซ้ำ ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆเลยค่ะ"เธอตอบกลับไปยาวเหยียดทั้งที่ในใจก็เอาแต่คิดว่าเธอนี่แหละเก่งที่สุด ฝีมือการแสดงขั้นเทพขนาดนี้ผู้กำกับก็ต้องเลือกเธอเป็นธรรมดาสิ"แล้วแบบนี้มีน้อยใจผู้กำกับบ้างไหมครับ ได้รับบทนางร้ายอีกแล้ว แถมยังได้เล่นกับน้องฮันนี่ซึ่งเป็นนางเอกอีกแล้วด้วย"ไม่รู้ว่ายายน้ำผึ้งป่าเป็นคนจ้างนักข่าวพวกนี้มาขยี้ฉันหรือเปล่า มีหวังได้เอาไมค์ฟาดปากนักข่าวแถวนี้บ้างล่ะ"
ดอกไม้สีสันสวยงามหลากหลายสายพันธุ์ถูกจัดอยู่ในตะกร้าสานใบใหญ่โดยฝีมือเจ้าของร้านอย่างข้าวหอม เธอเป็นผู้หญิงที่สุภาพเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ เก่งเรื่องงานฝีมือ งานจัดดอกไม้ งานบ้าน และเรื่องต่างๆอีกมากที่แม่ศรีเรือนควรจะเป็น และเพราะเป็นเช่นนั้นแม่ๆหลายคนที่มาอุดหนุนดอกไม้จึงมักจะทาบทามข้าวหอมให้กับลูกชายของตนเป็นประจำติดแต่เพียงว่าเธอขยันมากซะจนแทบไม่สนเรื่องภายนอก ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย วิทยุ โทรทัศน์ หรือแม้แต่กระทั่งเพศตรงข้าม ไม่ว่าหนุ่มคนไหนจะมาขายขนมจีบเธอก็มักจะเมินหน้าหนีเสมอ เพราะชีวิตเธอมีเพียงเหล่าดอกไม้แล้วก็แม่เท่านั้น"เป็นไงบ้างลูก แม่รู้สึกว่าดอกไม้ที่มาจากเจ้านี้วันนี้มันช้ำแปลกๆ หรือแม่คิดไปเอง""แม่ไม่ได้คิดไปเองหรอกค่ะ เพราะคุณพ่อของคนดูแลดอกไม้พวกนี้กำลังป่วยหนัก หนูเห็นคนกำลังจะตายค่ะแม่"ข้าวหอมวางดอกไม้ที่ช้ำที่สุดลงกับโต๊ะ ก่อนจะใส่ถุงมือแล้วจัดการกับดอกไม้ดอกอื่นๆต่อไปเหมือนทุกๆวัน อีกอย่างหนึ่งที่มีเพียงเธอและแม่ที่รู้ก็คือเธอมีพลังวิเศษบางอย่างที่มนุษย์คนอื่นไม่มี"ดอกไม้บางดอกถ้ามันช้ำมากก็ปล่อยมันไว้เฉยๆเถอะลูก ลูกแม่ไม่จำเป็นต้องรู้ที่มาของดอกไม้ทุกๆดอ
มื้ออาหารแสนเรียบง่ายในตอนเช้าถูกจัดขึ้นโดยหญิงวัยกลางคนที่กำลังอมยิ้มให้กับท่าทางของดาราสาวสุดสวยที่เพิ่งจะเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง ในคราแรกหล่อนดูเหมือนไม่ไว้ใจในรสมือของเธอ ทว่าข้าวต้มคำแรกที่ถูกตักเข้าปากกลับทำให้ท่าทางของหล่อนเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน"อร่อยจังเลยค่ะคุณน้า"นั่นคือคำชมครั้งที่สิบของหล่อนในขณะที่เพิ่งทานหมดถ้วยที่สอง แววตาปิติด้วยความสุขถูกส่งไปยังผู้ทำ ทำเอาแม่ครัวใจดียิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ"แม่หนูนี่กินเก่งดีจริง ดูลูกสาวน้าสิ เขี่ยข้าวต้มในถ้วยเล่นมาสิบนาทีแล้ว"เจนน่ามองไปยังใบหน้าเบื่อหน่ายที่เอาแต่ก้มมองชามข้าวต้มบนโต๊ะ เขี่ยไปเขี่ยมาไม่ตักเข้าปากสักที สมน้ำหน้าเหลือเกิน ถ้าการทานข้าวมื้อนี้มันอมทุกข์เพราะเธออยู่ด้วยก็เชิญอมทุกข์ต่อไปเถอะ"ฮ่าๆๆ ก็มันอร่อยนี่คะคุณน้า แต่ลูกสาวคุณน้าดูเหมือนจะอึดอัดนะคะ ไม่พอใจเราหรือเปล่าคะ เราไปก็ได้นะ""โอ้ย ไม่เป็นไรหรอกลูก เอาอีกสักถ้วยไหมจ๊ะ เหลืออีกเยอะเลย""ได้เหรอคะคุณน้า เกรงใจจัง"ทุกๆคำพูดของหล่อนสำหรับข้าวหอมมันดูเสแสร้งแกล้งทำไปซะหมด ข้าวต้มของแม่ที่เธอชอบหนักหนาคงถูกหล่อนทานไปครึ่งหม้อได้แล้ว ซ้ำพอเห็นหน้าหล่อน
"ข้าวหอมอยู่ไหน"เจนน่าถามขึ้นทันทีเมื่อเจอนับหนึ่ง โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักจะถามหาคนไข้หรือคนป่วยที่ประสบอุบัติเหตุมากกว่า ทว่าเธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าคุณน้าคงอยู่ในมือหมอแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่เธอควรถามหามากที่สุดคือก็คือลูกสาวของหล่อน"ข้าวหอมไหนวะ เจ้าของร้านดอกไม้อะเหรอ"นับหนึ่งขมวดคิ้วกับคำถามของเจนน่า เธอเพียงขับรถผ่านแถวๆหน้าร้านดอกไม้นั่น บังเอิญดันเห็นรถพยาบาลจอดอยู่แถวนั้นพอดี ประกอบกับเห็นใบหน้าเลอะน้ำตาของคุณเจ้าของร้านตัวเล็กโดยข้างๆมีรถยนต์จอดอยู่ด้วย เท่านั้นก็พอจะเดาได้ว่าคนเจ็บจะต้องเป็นคุณน้าอย่างแน่นอน"เออ อยู่ไหน"ดาราสาวถามขึ้นมาด้วยความร้อนใจจนแทบจะกินหัวนับหนึ่งที่เอาแต่ยืนอ้ำอึ้งไม่ตอบเธอสักที"อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน""ก็แค่นั่นแหละ"คนตัวเล็กได้แต่อ้าปากค้างกับท่าทางรีบร้อนของเพื่อนเอาแต่ใจ หล่อนวิ่งไปด้วยความรวดเร็วก่อนจะถามทางไปห้องฉุกเฉินกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่แถวนั้น ความจริงแล้วที่เธอโทรไปบอกเจนน่าเพราะกะว่าจะชวนหล่อนไปเยี่ยมคุณน้าที่โรงพยาบาลหลังเสร็จงานพรุ่งนี้ แต่หล่อนกลับตกใจและรีบซักไซ้ที่อยู่โรงพยาบาลทันทีจนเธอต้องบอกและเสียเวลาออกมากับหล่อนตอนดึกๆแบบนี้ เก
หลังจากเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญขึ้นในคืนนั้น ดาราสาวพยายามที่จะพูดคุยและถามข้อสงสัยกับข้าวหอมว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้ยังไงกันแน่เธอกำลังหลอกตัวเองว่ามันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ทว่ามันก็เป็นไปไม่ได้อีกที่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับใครบางคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน เหมือนกับเด็กผู้ชายคนนั้นที่มีเพียงเธอและนับหนึ่งเท่านั้นที่เคยเห็น'เป็นไปไม่ได้หรอกที่เธอจะรู้ได้มากขนาดนั้น ต้องมีอะไรแน่ๆ'เธอนั่งคิดเรื่องนี้วนไปวนมาจนหัวแทบระเบิด ในขณะที่คนทั้งกองถ่ายกำลังวุ่นวายมีเพียงเธอเท่านั้นที่ไขว่ห้างดูดน้ำมองเหม่อแล้วก็นั่งเงียบๆอยู่คนเดียว"น้องเจนน่าครับ ถึงคิวแล้วครับ"เจนน่าหยุดเรื่องทั้งหมดที่กำลังคิดตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว ก่อนที่จะยิ้มรับอ่อนๆให้กับผู้กำกับที่ตะโกนเรียกเธอเข้าฉาก"ฉากนี้ขอตบจริงนะครับ เอาเทคเดียวผ่านนะ"เสียงโทรโข่งดังขึ้นให้เธอและคู่อริตัวจริงทำสมาธิหลังจากที่เธอและฮันนี่มายืนอยู่ด้วยกันหน้าฉาก วันนี้แหละที่เธอรอคอยเพื่อที่จะได้ตบยัยน้ำผึ้งป่าให้เต็มมือ ถ้าไม่ติดว่าจะดูไม่มืออาชีพเธออยากจะแกล้งเล่นพลาดสักสองสามหน จะได้ตบหล่อนซ้ำหลายๆทีให้สะใจเจนน่ากระห
ห้องสี่เหลี่ยมห้องเดิมหลังร้านที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของหญิงสาวสองคนถูกใช้เป็นห้องทำแผลอีกครั้ง ข้าวหอมและเจนน่านั่งอยู่ข้างกันบนโซฟาตัวเดิม ตำแหน่งเดิม มือนุ่มของข้าวหอมหยิบสำลีเช็ดแอลกอฮอล์ขึ้นมาเช็ดวนรอบๆแผลด้วยความเบามือ"ซี้ด"เจนน่าร้องออกมาด้วยสีหน้าเหยเกก่อนจะกลับมาเป็นสีหน้าที่เรียบเฉยอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่ากับข้าวหอมสามารถแสดงความเจ็บปวดกับหล่อนได้มากน้อยแค่ไหน ถึงเธอจะวางใจในหลายๆเรื่องแต่มันก็ต้องระวังตัวไว้ก่อนเพราะเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน เรียกรู้จักกันได้หรือเปล่านะ"เจ็บเหรอคะ"เสียงนุ่มของข้าวหอมทำเอาเธอรู้สึกแปลกไป ทุกครั้งที่อยู่กับหล่อนนอกจากเธอจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาๆแล้ว ยังรู้สึกว่าได้รับความห่วงใยอยู่ตลอดอีกด้วย ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก เพราะนอกจากคนใกล้ตัวแล้วเธอก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครอีก"อือ ก็นิดหน่อย""ขอโทษค่ะ จะพยายามเบามือมากกว่านี้นะคะ"คนตัวเล็กตอบแล้วก็ค่อยๆบรรจงเช็ดรอบแผลต่อไป ความเงียบภายในห้องทำให้เสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ของเจนน่าเข้าหูพยาบาลจำเป็นจนคนตัวเล็กต้องเปิดบทสนทนาขึ้นมา"เจ็บก็ร้องออกมาค่ะ ไม่ต้องฝืนหรอก""เปล่าฝืนสักหน่อย""
หลังจากที่เจนน่าเอ่ยปากขอนอนค้างที่นี่ คนตัวเล็กก็เงียบคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง ดาราสาวค่อนข้างที่จะดีใจกับคำตอบเพราะไม่คิดว่าอีกคนจะยอม และหากหล่อนกล่าวปฎิเสธเธอก็จะกลับคอนโดอย่างไม่ดื้อดึง บอกตามตรงว่าตอนนี้เธอไม่มีแรงที่จะรังแกใครทั้งนั้น โดยเฉพาะข้าวหอมที่นอนหันหลังให้เธออยู่ตอนนี้กลิ่นตัวหอมๆผสมกับกลิ่นครีมอาบน้ำที่หวานอ่อนๆ ทำให้โดยรวมมันหอมละมุนไปหมดจนเจนน่าอดไม่ได้ที่จะฉวยโอกาสขยับตัวเข้าไปใกล้ ด้วยความที่เตียงไม่ได้ใหญ่มากนักทำให้พื้นที่ในการนอนมีจำกัด"คุณนอนได้หรือเปล่าคะ ถ้านอนไม่สบายฉันจะได้ไปนอนอีกห้อง"และเพราะเจนน่าขยับตัวไปมาจนอีกคนรู้สึกได้ทำให้ข้าวหอมเกรงว่าหล่อนจะนอนไม่สบาย มารยาทการเป็นเจ้าบ้านที่ดีคือทำให้แขกรู้สึกสบายใจ และเจนน่าก็ถือว่าเป็นแขกคนหนึ่งของเธอ"นอนได้สิ ก็ที่ฉันขอนอนกับเธอคืนนี้เพราะไม่อยากอยู่คนเดียว"คนข้างๆตอบออกมาตามตรง ด้วยข้าวหอมก็รู้เหตุผลแล้วว่านับหนึ่งนอนซมไข้อยู่ที่ห้องจากการบอกกล่าวของเธอ เพราะแบบนั้นเธอจึงไปนอนค้างด้วยไม่ได้"..."ข้าวหอมที่นอนหันหลังให้เจนน่าฟังคำตอบแล้วก็เงียบไปสักพักใหญ่ จนอีกคนคิดว่าหล่อนหลับไปแล้ว อีกทั้งห้องย
'ปิดชั่วคราว'ป้ายประกาศปิดชั่วคราวถูกคนตัวเล็กแขวนไว้ที่หน้าร้าน ชัั่วคราวของเธอในที่นี้หมายถึงสักหนึ่งหรือสองชั่วโมงเท่านั้น เพื่อนำเวลาตรงนี้ไปมอบให้กับดาราสาวน่าสงสารที่นั่งเขี่ยข้าวในจานมาสิบนาทีได้แล้ว"กับข้าวที่ฉันทำมันไม่อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอคะ"ข้าวหอมเดินมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับถามขึ้น วันนี้เธอตั้งใจทำต้มจืดเต้าหู้หมูสับหม้อใหญ่ให้กับคนตรงหน้าแล้วก็แม่ที่อยู่โรงพยาบาล หลังจากที่ตื่นมาพร้อมกับหัวใจที่เต้นผิดจังหวะเพราะเจ้าหล่อนนอนกอดเธอแน่นจนแทบขยับตัวไปไหนไม่ได้"ไม่รู้เหมือนกัน เพราะยังไม่ได้กิน"เจนน่าตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนกระทั่งมีเสียงเคาะกระจกจากหน้าร้านดังขึ้น'ก๊อกๆๆ'เจ้าของร้านตัวเล็กรีบวิ่งออกไปดูก็พบว่าเป็นนับหนึ่งที่เจนน่าเพิ่งโทรนัดไว้เมื่อชั่วโมงก่อน ข้าวหอมยิ้มรับพร้อมกับไขประตูให้เพื่อนคนใหม่ของเธอที่ดูจากสีหน้าแล้วคงอาการเดียวกับคนที่นั่งเขี่ยข้าวอยู่ด้านใน"เป็นไงล่ะแก เซอร์ไพรส์ฉันตั้งแต่ยังไม่หายป่วยเลยนะยะ"นับหนึ่งทักเพื่อนสาวด้วยใบหน้าหมดอาลัยตายอยากไม่ต่างกัน ในขณะเดียวกันเจ้าบ้านที่ดีก็ตักข้าวเสิร์ฟให้กับแขกมาใหม่ พร้อมด้วยกับข้าวอีกถ้วย
มือถือของคนตัวเล็กถูกจิ้มเข้าที่สัญลักษณ์นกฟ้าในทันทีหลังจากวางสาย แฮชแท็กผู้หญิงเสื้อขาวขึ้นเทรนด์อันดับหนึ่งแทนที่ชื่อดาราสาวทันที หญิงสาวสองคนเพ่งมองหน้าจออันเล็กจนศีรษะชิดติดกัน นิ้วเรียวต่างผลัดกันเลื่อนไถฟีดข่าวที่มีแต่ภาพเธอสองคน โดยเฉพาะภาพแผ่นหลังเล็กๆของข้าวหอมซึ่งเป็นผู้หญิงที่ทุกคนกำลังตามหานอกจากนี้ยังมีภาพเธอที่ถูกถ่ายไว้เมื่อวันก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนเข็นวีลแชร์ให้เจนน่า หรือแม้แต่กระทั่งภาพที่เธอเดินอยู่ด้านหลังรถวีลแชร์โดยที่คนอื่นเป็นคนเข็นมัน โดยคอมเมนต์ส่วนใหญ่ไปในทางเดียวกันคือตามหาเธอ บ้างก็ว่าเธอสวย บ้างก็ว่าน่ารัก แต่ที่มากที่สุดคงจะเป็นความสงสัยว่าเธอเป็นใครกันแน่ เพราะโดยปกติแล้วทุกคนมักจะเห็นแค่นับหนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับเจนน่า การปารกฏตัวของเธอคงเป็นที่แตกตื่นสำหรับคนทั่วไป"แล้วฉันจะมีเพื่อนไม่ได้เลยหรือไง มาแอบถ่ายกันแบบนี้ฉันฟ้องได้นะ"เป็นดาราสาวที่พูดออกมาอย่างหงุดหงิด เธอถูกแอบถ่ายจนชินแล้ว แต่คนตัวเล็กที่นั่งข้างๆนี่เป็นเพียงคนธรรมดาๆ ไม่ใช่คนสาธารณะแบบเธอ เพราะแบบนั้นเธอถึงหงุดหงิดที่คนพวกนี้เอาข้าวหอมเข้ามาเกี่ยวด้วย ยิ่งภาพที่ถูกเผยแพร่ไ
"เรียบร้อยแล้วค่ะคุณตำรวจ ขอบคุณมากนะคะที่ให้เข้าเยี่ยม"เจนน่าเอ่ยบอกกับชายหนุ่มสองคนในเครื่องแบบหน้าห้องพักฟื้นแล้วยิ้มให้พวกเขาบางๆ ก่อนที่จะพยักหน้าบอกให้เพื่อนตัวเล็กเข็นวีลแชร์กลับห้องตัวเองโถงทางเดินหน้าห้องพักฟื้นมีคุณหมอและคุณพยาบาลเดินกันให้ควั่ก รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางร้ายในชีวิตจริงด้วยความสะใจ"แกคิดดีแล้วเหรอวะที่ทำแบบนี้อะ"นับหนึ่งโน้มตัวลงกระซิบข้างหูของดาราสาวในขณะที่ก็เข็นรถไปด้วย"แล้วมันไม่ดีตรงไหน ฉันไม่ได้ไปฆ่าใครตายสักหน่อย"เพื่อนตัวเล็กเบ้ปากมองบนเช่นเคยกับความแสบของคนป่วย ที่จู่ๆหล่อนก็ออกคำสั่งให้เธอรีบไปหาซื้อขวดยาสีชาแบบกะทันหัน ซ้ำยังย้ำนักย้ำหนาว่าเอาให้เหมือนตามต้นฉบับที่เป็นหลักฐานแบบเด๊ะๆ ลำบากเธอต้องขับรถวิ่งหาไปทั่วแค่เพราะเพื่อนตัวแสบอยากจะล้างแค้นคนร้ายด้วยความสันติสำหรับเธอคิดว่าการใส่น้ำเปล่าลงไปในขวดยามันก็ดีแต่ถ้าไม่ทำมันคงจะดีกว่า แค่คุณรตีต้องเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นแล้ว นี่หล่อนเล่นให้เสียไปยังสุขภาพจิตด้วยการหลอกว่าในขวดนั่นเป็นยาพิษชนิดเดียวกับที่คนร้ายเคยใช้ปลิดชีพคุณน้าจิตรา แถมยังเอามันกรอกปากคนเจ็บอีก
"น้องเจนน่าคะตอบคำถามพี่ด้วยค่ะ"'แชะๆๆ'"อาการตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ แล้วที่มีข่าวลือว่าหนีออกจากโรงพยาบาลจริงหรือเปล่าคะ""ตอบด้วยครับน้องเจนน่า สรุปเหตุการณ์ทั้งหมดคือยังไงครับ"นักข่าวจำนวนมากรุมจ่อไมค์พร้อมกล้องตัวใหญ่อีกหลายตัวที่สาดแฟลชสว่างวาบใส่เจนน่า ในขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีคุณพ่อเป็นคนเข็นให้และนับหนึ่งที่คอยกันนักข่าวออกไปมือนุ่มข้างหนึ่งยกขึ้นเพื่อให้นรุตม์หยุดเข็น ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ที่ตอนนี้กำลังพุ่งสูงปรี๊ด"ขอโทษนะคะพี่ๆ ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ ไม่ใช่ตลาดสดที่จะแหกปากได้ตามอำเภอใจ""..."ราวกับต้องมนต์สะกดเมื่อคำพูดกึ่งด่าหลุดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ผู้คนอาชีพเดียวกันต่างหลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบตาคมเฉี่ยวที่หันมามองตำหนิราวกับคาดโทษเอาไว้แทบทุกราย"แล้วก็ให้เกียรติเจนน่าด้วยค่ะ ตอนนี้กำลังเจ็บอยู่นะคะ ถ้าเข็นรถหนีไม่ยอมตอบคำถามก็คือไม่พร้อมตอบค่ะ""แต่พวกเราก็ต้องทำงานนะครับน้องเจนน่า เห็นใจพี่หน่อยนะครับ"เป็นผู้ชายร่างโตที่ถือไมค์เป็นโลโก้ช่องโทรทัศน์ชื่อดังที่ใจกล้าพูดออกมา ทันใดนั้นดวงตาเฉี่ยวจับจ้องไปที่เขาทันที เพียงไม่กี่วิที่ตาสบตา ชายร่างโ
สุดท้ายที่หล่อนปล่อยโฮออกมาแล้วก็พูดไปด้วย น้ำเสียงยังดูเป็นห่วงเป็นใยไม่ต่างกันกับที่ผ่านมา และเป็นเธอเองที่ขอบตาร้อนผ่าวปล่อยน้ำตาเม็ดโตออกมาทั้งที่พยายามกลั้น ไม่ว่าหล่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าหาเธออย่างใจเย็นแค่ไหน เธอก็ก้าวถอยหลังหนีไม่ต่างกัน"อย่าเข้ามานะ"ดาราสาวกลืนน้ำลายลงคอแล้วเปล่งเสียงแข็งกร้าวออกมากับดวงตาที่จ้องเขม็งไปยังคนตรงหน้า"ทำไมล่ะ ไม่ไว้ใจน้าแล้วเหรอ น้าไม่ทำอะไรหนูหรอกนะ นี่น้าไง น้าเอง"หล่อนพูดราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่สภาพตัวเองแทบจะดูไม่ได้ ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าที่มีแต่รอยเปื้อนสิ่งสกปรกเต็มไปหมด ความจริงหล่อนควรจะขอโทษเธอตั้งแต่เจอหน้ากันแล้วด้วยซ้ำ"นับหนึ่งอยู่ไหน"เจนน่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอต้องเล่นตามน้ำโดยการถามถึงเพื่อน คนร้ายยิ้มบางๆ แล้วตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ฟังไม่ขึ้น"หนูนับหนึ่งกลับไปก่อนหนูมานี่เอง ไม่ได้สวนกันหรอกเหรอ""แต่คุณบอกว่าจะฆ่าเพื่อนหนู คุณต่อรองกับหนูว่าจะมาที่นี่หรือจะเสียเพื่อนไป แล้วแบบนี้จะให้หนูคิดยังไง""น้าก็แค่ล้อเล่นเพราะอยากให้หนูมาหา น้าถูกใส่ร้ายนะเจนน่า ช่วยน้าด้วยนะ"หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าซึ่งเบาม
"คุณน้าจับตัวนับหนึ่งไป โลเคชันไกลจากที่นี่พอสมควร แล้วก็บอกว่าห้ามแจ้งตำรวจ"เจนน่าบอกกับข้าวหอมและหญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้วยกัน ทุกคนทำหน้าตกใจไม่ต่างกันจนกระทั่งข้าวหอมเหลือบตาเห็นดอกไม้ช่อเล็กๆ ที่วางไว้ใกล้ๆ กับกระเช้าผลไม้"เมื่อเช้านับหนึ่งเอาช่อดอกไม้มาเยี่ยม แต่คุณยังไม่ฟื้น""มันบ้าหรือเปล่าเนี่ย รู้ว่าฉันกลัวดอกไม้แล้วเอาดอกไม้มาให้ทำไม"เจนน่าแหวออกมาเป็นคำติติงเพื่อนสาวราวกับหล่อนแกล้งกัน แม้ว่าตอนนี้จะเป็นห่วงแทบขาดใจ"แน่ใจเหรอคะว่าคุณยังกลัวมันอยู่""..."ดาราสาวจ้องมองที่ช่อดอกไม้เล็กๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายเธอก็ไม่ได้รู้สึกขยะแขยงมันมากเท่าแต่ก่อนแล้ว ช่วงที่ข้าวหอมหลอกเอาดอกไม้ที่สวนนั่นมาเธอก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากจะเอามันไปทิ้งหรือหลับตาลงเพราะไม่อยากเห็นมือนุ่มเอื้อมจับที่กลีบดอกไม้เบาๆ พร้อมกลั้นใจ ทว่าก็ไม่ได้ฝืนใจมากกว่าที่เคย เพราะสิ่งตรงหน้ามันก็แค่ดอกไม้ธรรมดาๆ ไม่ได้มีพิษภัยอะไร หรือการที่นับหนึ่งเอามันมาก็เพื่อจะให้เธอรู้ตัวเองว่าเธอไม่ได้รู้สึกกับพวกมันเหมือนเดิมอีกแล้ว"ฉันสามารถมองเห็นได้ทั้งอดีตและอนาคต คุณรอสักแปปหนึ่งนะคะ
หลังจากที่รตีย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังโตทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดี เธอเริ่มคุ้นชินกับชื่อและนามสกุลใหม่ นรุตม์ก็ดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี ติดแต่เพียงว่าหนูน้อยไม่ยอมเรียกเธอว่าแม่สักที"เจนน่า น้าทำข้าวกล่องไว้ให้น่ะ"ทุกๆเช้าเธอมักจะบอกกับเจนน่าในวัยสิบแปดปีว่าทำข้าวกล่องไว้ให้ ในช่วงแรกเด็กสาวเกรงใจดูน่ารักน่าเอ็นดู ทว่านานวันเข้ายิ่งเปลี่ยนไปเมื่อเธอมักตามใจเขาทุกอย่าง"คุณน้าคะ พรุ่งนี้เจนน่าอยากกินผัดกะเพรา"เด็กสาวเอ่ยปากบอกกับแม่เลี้ยงตอนค่ำ เพื่อที่ข้าวกล่องในวันพรุ่งนี้จะได้เป็นเมนูที่อยากกิน คุณน้ารดาสุดใจดีหันมายิ้มบางๆให้กับเธอก่อนจะปฏิเสธ"ใบกะเพราหมด ไว้พรุ่งนี้กลับมาจากโรงเรียนแล้วค่อยกินได้ไหมคะ เดี๋ยวน้าจะทำไว้รอ""ไม่ เจนน่าจะกินตอนเที่ยงพรุ่งนี้ คุณน้ารดาต้องทำให้เจนน่าค่ะ"เพราะเธอรักเจนน่าเหมือนลูกในไส้ แม้ว่าเด็กสาวจะเอาแต่ใจหรือพูดจาไม่ดีกับเธอมากแค่ไหนเธอก็ไม่เคยคิดโกรธ มิหนำซ้ำยังพยายามหาสิ่งที่หล่อนอยากได้มาให้ทุกครั้งไปโชคดีเหลือเกินที่ฐานะทางการเงินของเธอนั้นดีมาก ดียิ่งกว่านรุตม์หลายเท่า ทำให้ไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่หากจะหาของดีๆมีราคามาให้กับเด็กสาวจนห
สวนดอกไม้เล็กๆ ณ บ้านหลังหนึ่งในประเทศรัสเซียที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสายพันธุ์ สีสันสวยงามน่ามองที่เกิดจากเจ้าของบ้านซึ่งชอบในการเพาะพืชและดอกไม้ทุกชนิด พาเอาลูกสาวคนเดียวชื่นชอบมันไปด้วย เด็กหญิงรตีในวัยหกขวบกำลังตัวเล็กน่ารัก ชอบสังเกต ชอบพิสูจน์และเป็นเจ้าหนูจำไมจนเป็นที่รักของทุกๆคน"คุณแม่ขา อันนี้เรียกว่าดอกอะไรเหรอคะ ทำไมคุณแม่ต้องกั้นรั้ว"เด็กน้อยตัวเล็กเอ่ยถามผู้เป็นแม่เสียงเจื้อยแจ้วเมื่อเห็นดอกไม้สีที่เธอชอบถูกกักขังอยู่ในกรงเหล็ก ซึ่งไม่ว่าคุณแม่จะพาเธอเที่ยวชมสวนหน้าบ้านกี่ที เจ้าดอกนี้ก็ไม่เคยเป็นอิสระเลยสักครั้ง"อันนี้เรียกว่าดอกอะโคไนต์ลูก เป็นดอกไม้มีพิษน่ากลัวนะ แม่เลยกลัวว่าหนูจะไปจับมันไงคะ""แล้วแบบนี้มันจะเบื่อไหมคะ อยู่แต่ในกรง"แม้ว่าเด็กหกขวบทั่วไปจะพอรู้ความแล้ว แต่กับรตีเป็นเด็กที่มีจินตนาการล้ำเลิศ ซึ่งเธอได้ยินมาว่าพืชทุกชนิดล้วนมีชีวิต เพราะแบบนั้นเธอจึงเอ่ยถามคุณแม่ออกไปอย่างใสซื่อ ถ้าหากเป็นเธอที่ถูกขังอยู่ในกรงนั่นคงเบื่อน่าดู"ฮ่าๆๆ ไม่เบื่อหรอกนะลูก ในกรงก็มีดอกไม้เป็นเพื่อนกันตั้งหลายดอกเห็นไหม ถ้าหนูชอบมันเดี๋ยวแม่เล่านิทานเกี่ยวกับมันให้ฟังเอาไหม
คนร้ายมองหน้าผีตัวปลอมตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เด้งตัวลุกขึ้นจนทำให้คนที่เหยียบอกอยู่ล้มลงกับเตียง เขาเอี้ยวตัวเปิดลิ้นชักหัวเตียงแล้วใช้มือหยาบกร้านหยิบปืนพกขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว ในขณะเดียวกันคนใต้เตียงก็ออกมาจากที่ซ่อนเพื่อพยุงข้าวหอมที่เสียหลัก โดยเจนน่าที่ยังซ่อนตัวอยู่กดโทรออกหาตำรวจเป็นที่เรียบร้อย"อย่าอยู่เลยพวกมึง!"เสียงทุ้มตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาลพร้อมยกกระบอกปืนขึ้นเล็งไปยังหญิงสาวตัวเล็กสองคน ทว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ค่อยๆย่องออกมา ใช้โอกาสที่คนร้ายยังไม่เห็นเธอหยิบขวดน้ำเปล่าขึ้นมาแล้วโยนขึ้นไปกระแทกกับหลอดไฟ'เพ้ง'ทันใดนั้นหลอดไฟที่ถูกหมุนไว้ตั้งแต่แรกร่วงลงพื้นทันที เสียงแตกกระจายของมันเรียกร้องความสนใจของคนร้ายให้หันไปมอง นั่นทำให้เจนน่าฉวยโอกาสพุ่งตัวเข้าไปเพื่อยื้อแย่งปืนที่อยู่ในมือของอีกคน"เชี่ย แสบนักนะพวกมึง!"เพราะความที่คนร้ายเป็นผู้ชายซึ่งมีแรงมากกว่า คนตัวเล็กอีกสองคนเลยวิ่งเข้าไปรุมทึ้งด้วย โดยนับหนึ่งใช้เชือกเส้นหนาที่ซื้อมารัดคอของคนร้ายสุดแรงจนเขาแทบลิ้นจุกปากเพราะขาดอากาศหายใจ ทว่ามือหยาบกร้านก็ยังคงจับปืนไว้มั่น ซึ่งพวกเธอแน่ใจว่าถ้าหากให้เขายิงป
"กลิ่นเหม็นคาวจากไหนวะ"เสียงแหบพร่าของชายวัยกลางคนดังขึ้นหลังจากที่ข้าวหอมเริ่มลงมือแง้มถุงเลือดหมูอย่างเงียบๆ ก่อนที่เธอจะค่อยๆนำของเหลวสีแดงฉานป้ายไปตามใบหน้าลำคอ รวมไปถึงเสื้อผ้าและผิวขาวทั่วตัว หากสังเกตเพียงเท้าที่คนใต้เตียงเห็น คนร้ายกำลังเดินวนไปรอบห้องคล้ายคนเมาเพื่อหาต้นตอของกลิ่น แต่เพราะความมืดที่แทบมองไม่เห็นทำให้เขาเดินเตะขาเก้าอี้จนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด"โอ้ย! แม่งเอ้ย ไอเก้าอี้บ้า กูนอนก็ได้วะ!"จากที่ทรงตัวไม่ค่อยอยู่กลายเป็นว่าสองขาของเขาเดินกะเผลกมาข้างเตียงแล้วทิ้งตัวลงด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่ปลายผ้าห่มผืนหนาจะถูกดึงขึ้นไป นั่นทำให้หญิงสาวสองคนรู้ว่าคนร้ายกำลังห่มผ้านอนแล้วมือเล็กของนับหนึ่งแกล้งดึงชายผ้าห่มที่โผล่พ้นใต้เตียงด้านข้างให้ขยับเบาๆเป็นการกระตุกขวัญให้คนบนเตียงกลัวเล่นๆ เพราะเตียงดูยวบยาบอยู่หลายหนนั่นดูเหมือนว่าคนร้ายจะนอนไม่สบายสักเท่าไหร่นับหนึ่งจึงคลานไปกระตุกชายผ้าที่ปลายเตียงแทน ผ้าห่มผืนหนาค่อยๆเลื่อนออกจากตัวของชายวัยกลางคนจนเขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ"คงไม่มีอะไรหรอก อิเด็กนั่นมันก็แค่พูดจาเพ้อเจ้อไปแบบนั้นแหละ"คนบนเตียงพึมพำกับตัวเ