มื้ออาหารแสนเรียบง่ายในตอนเช้าถูกจัดขึ้นโดยหญิงวัยกลางคนที่กำลังอมยิ้มให้กับท่าทางของดาราสาวสุดสวยที่เพิ่งจะเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง ในคราแรกหล่อนดูเหมือนไม่ไว้ใจในรสมือของเธอ ทว่าข้าวต้มคำแรกที่ถูกตักเข้าปากกลับทำให้ท่าทางของหล่อนเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน
"อร่อยจังเลยค่ะคุณน้า"
นั่นคือคำชมครั้งที่สิบของหล่อนในขณะที่เพิ่งทานหมดถ้วยที่สอง แววตาปิติด้วยความสุขถูกส่งไปยังผู้ทำ ทำเอาแม่ครัวใจดียิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ
"แม่หนูนี่กินเก่งดีจริง ดูลูกสาวน้าสิ เขี่ยข้าวต้มในถ้วยเล่นมาสิบนาทีแล้ว"
เจนน่ามองไปยังใบหน้าเบื่อหน่ายที่เอาแต่ก้มมองชามข้าวต้มบนโต๊ะ เขี่ยไปเขี่ยมาไม่ตักเข้าปากสักที สมน้ำหน้าเหลือเกิน ถ้าการทานข้าวมื้อนี้มันอมทุกข์เพราะเธออยู่ด้วยก็เชิญอมทุกข์ต่อไปเถอะ
"ฮ่าๆๆ ก็มันอร่อยนี่คะคุณน้า แต่ลูกสาวคุณน้าดูเหมือนจะอึดอัดนะคะ ไม่พอใจเราหรือเปล่าคะ เราไปก็ได้นะ"
"โอ้ย ไม่เป็นไรหรอกลูก เอาอีกสักถ้วยไหมจ๊ะ เหลืออีกเยอะเลย"
"ได้เหรอคะคุณน้า เกรงใจจัง"
ทุกๆคำพูดของหล่อนสำหรับข้าวหอมมันดูเสแสร้งแกล้งทำไปซะหมด ข้าวต้มของแม่ที่เธอชอบหนักหนาคงถูกหล่อนทานไปครึ่งหม้อได้แล้ว ซ้ำพอเห็นหน้าหล่อนเธอยังรู้สึกไม่เจริญอาหารอีกด้วย ไหนจะคำพูดกระแนะกระแหนนั่นอีก ผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นคนยังไงกันนะ
"กินเยอะๆเลยนะหนู พออิ่มแล้วจะได้มีแรงทำงาน"
หญิงวัยกลางคนพูดไปยิ้มไปหลังจากตักข้าวต้มถ้วยที่สามให้กับลูกค้าคนสวยที่ดูเหมือนตอนนี้คล้ายว่าจะเป็นลูกสาวอีกคนของเธอไปซะแล้ว
ปกติมีเพียงข้าวหอมกับคนใกล้ชิดเธอเท่านั้นที่จะได้ชิมอาหารฝีมือเธอ ทว่าแม่หนูคนนี้น่ารักซะจนเธอนึกเอ็นดู ทั้งยังหน้าตาสะสวย ละม้ายคล้ายคลึงกับเพื่อนสนิทเธอตอนสาวๆอีก ในอนาคตเธอคงนึกเอ็นดูหล่อนมากกว่านี้หลายเท่า
"หนูอิ่มแล้วค่ะแม่ ขอตัวไปจัดดอกไม้ที่เหลือก่อนนะคะ"
คนตัวเล็กหงุดหงิดใจที่เห็นคนเป็นแม่เอาแต่ยิ้มเอ็นดูคนที่เธอรู้สึกไม่ชอบ ราวกับว่าเธอเป็นเด็กหวงความอบอุ่นจากแม่ ข้าวหอมลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไม่ดีนักก่อนจะเดินไปจัดการเอาฝาชีครอบถ้วยข้าวต้มที่เหลืออยู่เต็มถ้วย
การกระทำทั้งหมดอยู่ในสายตาหญิงสาวสองคนซึ่งเจนน่าสงสัยเหลือเกินว่าทำไมหล่อนถึงไม่เก็บข้าวต้มในถ้วยนั่นทิ้งไปให้มันจบๆ
"ลูกสาวน้าแกเป็นคนขี้เสียดายน่ะ โดยเฉพาะกับข้าวหรืออะไรก็แล้วแต่ที่น้าเป็นคนทำให้ เขาจะไม่ทิ้ง"
"ดีจังเลยนะคะ"
นั่นเป็นสิ่งที่เธอพูดออกมาจากใจ คำว่าดีจังเลยของเจนน่าคือดีที่ข้าวหอมมีแม่และดีเหลือเกินที่แม่หล่อนน่ารักขนาดนี้ แถมดูๆไปแล้วยัยนั่นก็คงจะเป็นเด็กดีรักแม่น่าดูเชียว ตอนนี้ถ้าแม่เธอยังอยู่เธอก็คงจะรักแม่ไม่ต่างกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอคงไม่ใช่คนขี้เสียดายขนาดนี้หรอก เงินทองมากมายมีถมถืด จะเก็บของเก่าๆที่ใช้แล้วไปทำไมกันล่ะ
"เอ้อนี่ข้าวหอม ไหนๆก็ไม่ได้กินข้าวแล้ว แม่ฝากจัดช่อสวยๆให้แม่หนูนี่สักช่อหนึ่งนะลูก"
ความคิดเรื่องแม่ของเจนน่าหยุดลงทันที มันถูกแทนที่ด้วยความคิดชั่วร้ายแทน
"กลัวว่าถ้าหนูจัดแล้วจะไม่ถูกใจเขาสิคะ หนูว่าแม่มาทำเองเถอะค่ะ"
"ไม่เป็นไรหรอก ฉันอยากได้ช่อดอกไม้ที่มาจากฝีมือเธอ"
คนหน้าร้านและหลังร้านตะโกนคุยกัน เจนน่าบอกกับคุณน้าว่าต่อจากนี้เธอจะมาอุดหนุนช่อดอกไม้ในทุกๆวัน ซึ่งบางครั้งเธอก็คงไม่ได้มาที่นี่ด้วยตัวเองเพราะงานยุ่งเหลือเกิน
แต่ความจริงคือต่อให้ไม่มีงานเธอก็คงจะไม่กลับมาที่นี่อีกหากวันนี้เธอได้ชี้นิ้วสั่งแม่ข้าวหอมอะไรนั่นสมใจอยาก
ไม่นานนักบทสนทนาบนโต๊ะกินข้าวก็จบลงพร้อมๆกับถ้วยข้าวต้มที่ถูกล้างเรียบร้อยด้วยฝีมือของคนทำ ความจริงเจนน่าก็รู้สึกผิดอยู่นิดหน่อยที่นอกจากจะกินเยอะแล้ว ถ้วยก็ยังให้คุณน้าล้างอีกด้วย แต่เพราะคุณน้าบอกว่าจะทำเองเลยทำให้เธอรู้สึกผิดน้อยลงหน่อย เพราะฉะนั้นเธอไม่ผิด
"เดี๋ยวแม่ออกไปซื้อผลไม้แปปหนึ่งนะข้าวหอม ฝากดูแลคุณเขาด้วยนะ"
"ไม่ได้สิแม่ เดี๋ยวหนูออกไปเอง ขอจัดช่อแปปหนึ่งจะเสร็จแล้ว"
ช่อดอกไม้ช่อโตที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ถูกมองด้วยสายตาชื่นชมจากเจนน่าเพียงชั่วครู่ ถ้าให้บอกตามตรงเธอกลับรู้สึกชอบมันมากกว่าช่อที่คุณน้าจัดซะอีก แต่เพราะว่าแค่นี้มันยังไม่สะใจเลยอยากจะขอชี้นิ้วสั่งเป็นลูกค้ามากเรื่องอีกสักหน่อย
"เอาหน่า ไม่ต้องรีบหรอกลูกเดี๋ยวงานมันจะไม่ละเอียด แม่ไปเอง"
"..."
"ไปก่อนนะแม่หนู"
"สวัสดีค่ะคุณน้า ขอบคุณสำหรับมื้อเช้าอีกครั้งนะคะ"
ยิ้มหวานจริงใจที่หายากจากเธอถูกส่งไปยังคุณน้า และหลังจากที่คนใจดีก้าวพ้นจากหน้าร้านไปเจนน่าก็แปลงร่างกลับมาเป็นนางร้ายตัวจริง
"ทำใหม่"
"..."
คนตัวสูงยืนกอดอกพักขาแล้วบอกกับข้าวหอมให้ทำใหม่ทั้งหมด ดวงตากลมสวยมองมาที่เธออยู่ครู่เดียวแล้วก็หลุบต่ำเพื่อจัดช่อดอกไม้ต่อโดยไม่มีเสียงตอบกลับสักแอะ
"ฉันบอกให้ทำใหม่ไง"
"..."
เธอเกลียดความเงียบที่สุด โดยเฉพาะตอนที่เธอตั้งใจจะพูดด้วยแต่อีกคนเลือกที่จะไม่ตอบกลับ นี่หล่อนกล้าลองดีกับเธอจริงๆใช่ไหม
"นี่! ฉันบอกให้ทำใหม่เธอไม่ได้ยินหรือไง!"
เป็นอีกครั้งที่เธอลงไม้ลงมือด้วยการจับข้อมือเล็กๆนั่นอีกครั้ง คนตัวเล็กทำหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังไม่มีการโต้ตอบใดๆจากเธอ
"เป็นบ้าหรือไงพูดด้วยไม่พูดด้วยน่ะ!"
เจนน่าตะคอกใส่ข้าวหอมแล้วใช้แววตาดุคมมองหน้าหล่อนอย่างเอาเรื่อง ถ้าวันนี้หล่อนยังจะกล้าขัดคำสั่งเธอก็ให้มันรู้ไป
"คุณนั่นแหละเป็นบ้าอยู่คนเดียว ฉันก็จัดดอกไม้ให้อยู่ดีๆแล้วคุณมาทำแบบนี้กับฉันทำไมคะ"
"ก็มันไม่ถูกใจนี่ ปกติลูกค้าคนอื่นสั่งแก้เธอโวยวายแบบนี้หรือไง ไร้มารยาท"
ข้าวหอมกัดฟันกรอดในทันที คำว่าไร้มารยาทจากผู้หญิงคนนี้ทำให้เธอต้องใช้ความอดทนอย่างสูงที่จะไม่เสียมารยาทเอ่ยปากไล่หล่อนที่เป็นลูกค้าออกจากร้าน และแน่นอนว่าหล่อนเป็นคนแรกที่กล้าว่าเธอแบบนี้
"ค่ะ งั้นฉันจะทำให้ใหม่นะคะ"
นั่นเป็นคำเดียวที่ออกจากปากของข้าวหอม เธอเป็นคนยอมคนเพื่อจบปัญหาแต่เธอจะไม่ยอมเอ่ยปากขอโทษเด็ดขาดหากเธอไม่ผิด ซึ่งนั่นทำให้เจนน่ายิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย รอยยิ้มมุมปากเผยให้เห็นถึงความสะใจที่คนตัวเล็กไม่อาจเห็น ข้าวหอมตั้งหน้าตั้งตาจัดดอกไม้ใหม่ทั้งหมดโดยไม่เอ่ยปากบ่นสักคำ
"ฉันไม่ชอบสีน้ำเงิน เอามันออกไป"
ทว่าดวงตาคู่สวยกลับเหลือบไปเห็นสิ่งที่เกลียดที่สุด ความสะใจของดาราสาวทำให้หล่อนลืมที่จะเกลียดดอกไม้ไปชั่วครู่ โดยเฉพาะดอกไม้สีน้ำเงินที่เป็นมีดเล่มคม เธอจะรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อเห็นมัน สีหน้าเรียบเฉยที่พยายามจะกลั้นน้ำตาตกอยู่ในสายตาของข้าวหอมที่บังเอิญได้สบตากับหล่อนจนทำให้ดาราสาวต้องเบือนหน้าหนีเพื่อกลบเกลื่อนความเจ็บปวด ซึ่งน้อยครั้งนักที่คนอื่นจะได้เห็น
"คุณโอเคหรือเปล่าคะ"
เสียงหวานเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย และเพราะน้อยคนเหลือเกินที่จะเป็นห่วงความรู้สึกเธอทำให้น้ำตาที่เก็บกลั้นไว้แทบจะทะลักออกมา หรือความจริงแล้วแม่นี่อาจจะถามเพราะอยากหัวเราะเยาะกัน บางทีน้ำตาของเธออาจจะทำให้หล่อนหัวเราะออกมาก็ได้
"เลิกยุ่งกับฉันสักที ฉันจะไปรอในรถ ทำเสร็จแล้วก็ช่วยเอาไปส่งให้ด้วยล่ะ"
"..."
"แล้วอย่าลืมล่ะ ห้ามมีดอกสีน้ำเงินติดมาแม้แต่ดอกเดียว ไม่งั้นฉันเอาเธอตายแน่"
ข้าวหอมพยายามเอียงหน้ามองท่าทีน่าสงสัยของคนตัวสูงที่หันหลังให้กับเธอ ทว่าหล่อนกลับรีบเดินออกไปเพื่อขึ้นรถของตัวเอง
และแม้เธอจะสงสัยก็ไม่ควรถามว่าทำไมถึงได้ดูเกลียดดอกไม้สีน้ำเงินหนักหนา เพราะนั่นคงเป็นเรื่องส่วนตัวที่หล่อนคงไม่อยากเล่าให้ใครฟัง โดยเฉพาะคนที่ถูกเกลียดอย่างเธอ
"ฮึก ฮือ"
เสียงร้องไห้ดังระงมภายในรถคันหรู คงมีแต่นับหนึ่งและผีในรถเท่านั้นที่จะได้ยินเสียงร้องไห้แบบนี้จากเธอ เจนน่าใช้สองมือเกาะพวงมาลัยก้มหน้าลงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเจ็บปวดหลังจากที่ภาพความทรงจำอันแสนโหดร้ายแล่นเข้ามาในหัว
"แม่ตื่นสิคะ แม่ตื่นขึ้นมา"
ภาพที่เธอร้องเรียกหาผู้เป็นแม่ที่นอนจมกองเลือดน้ำลายฟูมปากปรากฏขึ้นมา ขณะนั้นเธอเป็นเพียงเด็กมัธยมปลายที่กำลังตั้งใจเรียนเพื่อสอบเข้ามหาลัย ฐานะทางบ้านก็ระดับปานกลางไม่ได้ลำบากมากนัก และเพราะเป็นแบบนั้นทำให้พ่อของเธอต้องเหนื่อยวิ่งตามคดีกับตำรวจที่ไม่คิดจะทำงาน เพราะเธอเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ไม่ใช่คนเด่นคนดัง
"เราคงหมดหวังแล้วลูก พ่อพยายามแล้วจริงๆ"
เสียงของผู้เป็นพ่อดังก้องอยู่ในหูทุกๆวัน ช่วงนั้นเธอต้องได้ยินพ่อพูดแบบนี้ซ้ำๆหลังจากที่เธอถามหาความเป็นธรรม สุดท้ายที่พ่อเธอบอกว่าตำรวจตัดสินคดีว่าแม่จงใจฆ่าตัวตายโดยการนำดอกไม้ช่อใหญ่มาวางไว้ในห้อง ซ้ำยังปิดหน้าต่างและประตูไม่ให้อากาศจากด้านนอกเข้า
"เรื่องที่พ่อไม่เคยบอกคือแม่แพ้ดอกไม้รุนแรงลูก"
นั่นยังคงเป็นข้อสงสัยที่ติดอยู่ในใจเธอเสมอมา ตลอดเวลาที่เธออยู่กับแม่ไม่เคยมีสักครั้งที่แม่จะเอ่ยปากบอกว่าหล่อนแพ้ดอกไม้ แต่เพราะครอบครัวของเธอก็ไม่เคยได้ใกล้ชิดกับดอกไม้อีกนั่นแหละ ทำให้เธอไม่รู้ว่าที่พ่อพูดมันจริงหรือไม่จริง แล้วถ้านั่นคือคำโกหก พ่อจะโกหกไปทำไมกันล่ะ
แน่นอนว่าช่อดอกไม้สีน้ำเงินที่วางอยู่บนตู้หัวเตียงแม่วันนั้นยังคงติดอยู่ในหัวเธอมาจนถึงทุกวันนี้
'ก๊อกๆๆ'
เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้นทำให้ดาราสาวหลุดออกจากโลกแห่งความโหดร้ายในอดีต เจนน่ากดปุ่มเปิดกระโปรงรถด้านหลังให้เปิดขึ้นโดยที่ไม่ได้หันไปมองช่อดอกไม้เลยสักนิด ก่อนที่เสียงปิดกระโปรงหลังจะดังขึ้นทำให้หล่อนรีบออกรถด้วยความรวดเร็วโดยที่ไม่ได้เปิดกระจกเพื่อพูดคุยหรือขอบคุณข้าวหอมสักคำ หล่อนจะไม่มีวันได้เห็นน้ำตาของเธอเด็ดขาด ตาบวมๆนี่ก็ด้วย
'23.00 น.'
ห้องกว้างคอนโดชั้นสูงใจกลางเมืองมองเห็นวิวเมืองหลวงในยามค่ำคืนที่ใครๆต่างก็อยากสัมผัสวิวสวยๆกับชีวิตสุดสะดวกสบายอย่างดาราสาว เจนน่า วินด์เซอร์ ผู้คนต่างเอ่ยปากอิจฉาความร่ำรวยและแสนเพอร์เฟกต์ของเธอ ยกเว้นตัวเธอเองที่ไม่ได้ยินดีในโชคชะตาของตัวเองเลยสักนิด
วิวด้านนอกไม่ได้เรียกร้องความสนใจจากเจ้าของห้องแต่อย่างใด เจนน่านั่งมองกระดาษแผ่นเล็กสีชมพูที่ติดมากับช่อดอกไม้ช่อโตหลังจากที่เพื่อนตัวเล็กของหล่อนกลับไป
'ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไร แต่อย่าร้องไห้เลยนะคะ สู้ๆค่ะ'
"หึ จะให้สู้กับอะไรล่ะ กับเจ้าของร้านไร้มารยาทอย่างเธอน่ะเหรอ"
ดาราสาวอ่านข้อความซ้ำๆอยู่บนโซฟานุ่มตัวสีแดงก่อนจะพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ดีแค่ไหนแล้วที่นับหนึ่งไม่ได้เห็นกระดาษแผ่นนี้ที่ถูกแนบมาด้วยตอนที่เธอขอให้หล่อนช่วยมายกช่อดอกไม้ออกจากรถเพราะเธอไม่อยากจับมัน ไม่อย่างนั้นมีหวังถูกซักไซ้จนจนมุมแน่
เธอไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับข้อความที่ยากจะคาดเดานี่ ใจหนึ่งก็นึกอับอายที่หล่อนเห็นน้ำตาของเธอ ซึ่งอาจจะเป็นตอนที่เธอรีบหันหลังให้ กับอีกใจที่นึกรู้สึกดีแปลกๆทั้งที่ไม่รู้ว่าหล่อนเสแสร้งแกล้งให้กำลังใจหรือเปล่า
"ฉันจะคิดซะว่าเธอเป็นแฟนคลับเงียบๆของฉันก็แล้วกันนะ"
พูดคนเดียวเสร็จก็ลุกขึ้นไปเอาเทปลายน่ารักมาแปะกระดาษไว้บนหัวเตียง ทีแรกเธอจะเอามันไปเก็บไว้กับโพสอิทที่แฟนคลับให้ แต่ก็กลัวว่ารัศมีความเกลียดที่เธอมีจะไปปะปนกับแฟนคลับที่เธอแสนรัก เพราฉะนั้นแยกแปะเอาไว้แบบนี้แหละดี ทุกครั้งที่เธอเห็นมันจะได้มีแรงในการเอาชนะหล่อนมากขึ้นอีก
"ครั้งนี้หล่อนยังโดนสั่งน้อยไปนะ"
เจนน่ายิ้มมุมปากก่อนจะถอนหายใจออกมาที่วันหยุดวันเดียวของเธอใกล้จะจบลง และพรุ่งนี้เธอต้องนำดอกไม้ช่อนี้ไปมอบให้กับคุณภูดิสอีกตามเคย
'ครืดๆๆ'
'นับหนึ่ง'
โทรศัพท์เครื่องสวยสั่นครืดๆอยู่บนโต๊ะ ปรากฏเป็นชื่อเพื่อนรักที่เพิ่งกลับไปได้ไม่นาน เจนน่าขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเพราะปกติแล้วน้อยครั้งมากที่เพื่อนของหล่อนจะโทรมารบกวนในเวลากลางคืน เว้นก็แต่จะมีเรื่องด่วนเข้ามา และส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องดี
"ฮัลโหล ว่าไงแก"
ใจดวงน้อยเต้นตุ้บตั้บลุ้นคำตอบ สายนี้จะเป็นเรื่องอะไรดีล่ะ เธออาจจะโดนแบนจนติดเทรนด์ในทวิตเตอร์หรือเปล่า
"ยัยเจน คุณน้าร้านดอกไม้ถูกรถชน"
"ข้าวหอมอยู่ไหน"เจนน่าถามขึ้นทันทีเมื่อเจอนับหนึ่ง โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักจะถามหาคนไข้หรือคนป่วยที่ประสบอุบัติเหตุมากกว่า ทว่าเธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าคุณน้าคงอยู่ในมือหมอแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่เธอควรถามหามากที่สุดคือก็คือลูกสาวของหล่อน"ข้าวหอมไหนวะ เจ้าของร้านดอกไม้อะเหรอ"นับหนึ่งขมวดคิ้วกับคำถามของเจนน่า เธอเพียงขับรถผ่านแถวๆหน้าร้านดอกไม้นั่น บังเอิญดันเห็นรถพยาบาลจอดอยู่แถวนั้นพอดี ประกอบกับเห็นใบหน้าเลอะน้ำตาของคุณเจ้าของร้านตัวเล็กโดยข้างๆมีรถยนต์จอดอยู่ด้วย เท่านั้นก็พอจะเดาได้ว่าคนเจ็บจะต้องเป็นคุณน้าอย่างแน่นอน"เออ อยู่ไหน"ดาราสาวถามขึ้นมาด้วยความร้อนใจจนแทบจะกินหัวนับหนึ่งที่เอาแต่ยืนอ้ำอึ้งไม่ตอบเธอสักที"อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน""ก็แค่นั่นแหละ"คนตัวเล็กได้แต่อ้าปากค้างกับท่าทางรีบร้อนของเพื่อนเอาแต่ใจ หล่อนวิ่งไปด้วยความรวดเร็วก่อนจะถามทางไปห้องฉุกเฉินกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่แถวนั้น ความจริงแล้วที่เธอโทรไปบอกเจนน่าเพราะกะว่าจะชวนหล่อนไปเยี่ยมคุณน้าที่โรงพยาบาลหลังเสร็จงานพรุ่งนี้ แต่หล่อนกลับตกใจและรีบซักไซ้ที่อยู่โรงพยาบาลทันทีจนเธอต้องบอกและเสียเวลาออกมากับหล่อนตอนดึกๆแบบนี้ เก
หลังจากเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญขึ้นในคืนนั้น ดาราสาวพยายามที่จะพูดคุยและถามข้อสงสัยกับข้าวหอมว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้ยังไงกันแน่เธอกำลังหลอกตัวเองว่ามันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ทว่ามันก็เป็นไปไม่ได้อีกที่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับใครบางคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน เหมือนกับเด็กผู้ชายคนนั้นที่มีเพียงเธอและนับหนึ่งเท่านั้นที่เคยเห็น'เป็นไปไม่ได้หรอกที่เธอจะรู้ได้มากขนาดนั้น ต้องมีอะไรแน่ๆ'เธอนั่งคิดเรื่องนี้วนไปวนมาจนหัวแทบระเบิด ในขณะที่คนทั้งกองถ่ายกำลังวุ่นวายมีเพียงเธอเท่านั้นที่ไขว่ห้างดูดน้ำมองเหม่อแล้วก็นั่งเงียบๆอยู่คนเดียว"น้องเจนน่าครับ ถึงคิวแล้วครับ"เจนน่าหยุดเรื่องทั้งหมดที่กำลังคิดตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว ก่อนที่จะยิ้มรับอ่อนๆให้กับผู้กำกับที่ตะโกนเรียกเธอเข้าฉาก"ฉากนี้ขอตบจริงนะครับ เอาเทคเดียวผ่านนะ"เสียงโทรโข่งดังขึ้นให้เธอและคู่อริตัวจริงทำสมาธิหลังจากที่เธอและฮันนี่มายืนอยู่ด้วยกันหน้าฉาก วันนี้แหละที่เธอรอคอยเพื่อที่จะได้ตบยัยน้ำผึ้งป่าให้เต็มมือ ถ้าไม่ติดว่าจะดูไม่มืออาชีพเธออยากจะแกล้งเล่นพลาดสักสองสามหน จะได้ตบหล่อนซ้ำหลายๆทีให้สะใจเจนน่ากระห
ห้องสี่เหลี่ยมห้องเดิมหลังร้านที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของหญิงสาวสองคนถูกใช้เป็นห้องทำแผลอีกครั้ง ข้าวหอมและเจนน่านั่งอยู่ข้างกันบนโซฟาตัวเดิม ตำแหน่งเดิม มือนุ่มของข้าวหอมหยิบสำลีเช็ดแอลกอฮอล์ขึ้นมาเช็ดวนรอบๆแผลด้วยความเบามือ"ซี้ด"เจนน่าร้องออกมาด้วยสีหน้าเหยเกก่อนจะกลับมาเป็นสีหน้าที่เรียบเฉยอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่ากับข้าวหอมสามารถแสดงความเจ็บปวดกับหล่อนได้มากน้อยแค่ไหน ถึงเธอจะวางใจในหลายๆเรื่องแต่มันก็ต้องระวังตัวไว้ก่อนเพราะเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน เรียกรู้จักกันได้หรือเปล่านะ"เจ็บเหรอคะ"เสียงนุ่มของข้าวหอมทำเอาเธอรู้สึกแปลกไป ทุกครั้งที่อยู่กับหล่อนนอกจากเธอจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาๆแล้ว ยังรู้สึกว่าได้รับความห่วงใยอยู่ตลอดอีกด้วย ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก เพราะนอกจากคนใกล้ตัวแล้วเธอก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครอีก"อือ ก็นิดหน่อย""ขอโทษค่ะ จะพยายามเบามือมากกว่านี้นะคะ"คนตัวเล็กตอบแล้วก็ค่อยๆบรรจงเช็ดรอบแผลต่อไป ความเงียบภายในห้องทำให้เสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ของเจนน่าเข้าหูพยาบาลจำเป็นจนคนตัวเล็กต้องเปิดบทสนทนาขึ้นมา"เจ็บก็ร้องออกมาค่ะ ไม่ต้องฝืนหรอก""เปล่าฝืนสักหน่อย""
หลังจากที่เจนน่าเอ่ยปากขอนอนค้างที่นี่ คนตัวเล็กก็เงียบคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง ดาราสาวค่อนข้างที่จะดีใจกับคำตอบเพราะไม่คิดว่าอีกคนจะยอม และหากหล่อนกล่าวปฎิเสธเธอก็จะกลับคอนโดอย่างไม่ดื้อดึง บอกตามตรงว่าตอนนี้เธอไม่มีแรงที่จะรังแกใครทั้งนั้น โดยเฉพาะข้าวหอมที่นอนหันหลังให้เธออยู่ตอนนี้กลิ่นตัวหอมๆผสมกับกลิ่นครีมอาบน้ำที่หวานอ่อนๆ ทำให้โดยรวมมันหอมละมุนไปหมดจนเจนน่าอดไม่ได้ที่จะฉวยโอกาสขยับตัวเข้าไปใกล้ ด้วยความที่เตียงไม่ได้ใหญ่มากนักทำให้พื้นที่ในการนอนมีจำกัด"คุณนอนได้หรือเปล่าคะ ถ้านอนไม่สบายฉันจะได้ไปนอนอีกห้อง"และเพราะเจนน่าขยับตัวไปมาจนอีกคนรู้สึกได้ทำให้ข้าวหอมเกรงว่าหล่อนจะนอนไม่สบาย มารยาทการเป็นเจ้าบ้านที่ดีคือทำให้แขกรู้สึกสบายใจ และเจนน่าก็ถือว่าเป็นแขกคนหนึ่งของเธอ"นอนได้สิ ก็ที่ฉันขอนอนกับเธอคืนนี้เพราะไม่อยากอยู่คนเดียว"คนข้างๆตอบออกมาตามตรง ด้วยข้าวหอมก็รู้เหตุผลแล้วว่านับหนึ่งนอนซมไข้อยู่ที่ห้องจากการบอกกล่าวของเธอ เพราะแบบนั้นเธอจึงไปนอนค้างด้วยไม่ได้"..."ข้าวหอมที่นอนหันหลังให้เจนน่าฟังคำตอบแล้วก็เงียบไปสักพักใหญ่ จนอีกคนคิดว่าหล่อนหลับไปแล้ว อีกทั้งห้องย
'ปิดชั่วคราว'ป้ายประกาศปิดชั่วคราวถูกคนตัวเล็กแขวนไว้ที่หน้าร้าน ชัั่วคราวของเธอในที่นี้หมายถึงสักหนึ่งหรือสองชั่วโมงเท่านั้น เพื่อนำเวลาตรงนี้ไปมอบให้กับดาราสาวน่าสงสารที่นั่งเขี่ยข้าวในจานมาสิบนาทีได้แล้ว"กับข้าวที่ฉันทำมันไม่อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอคะ"ข้าวหอมเดินมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับถามขึ้น วันนี้เธอตั้งใจทำต้มจืดเต้าหู้หมูสับหม้อใหญ่ให้กับคนตรงหน้าแล้วก็แม่ที่อยู่โรงพยาบาล หลังจากที่ตื่นมาพร้อมกับหัวใจที่เต้นผิดจังหวะเพราะเจ้าหล่อนนอนกอดเธอแน่นจนแทบขยับตัวไปไหนไม่ได้"ไม่รู้เหมือนกัน เพราะยังไม่ได้กิน"เจนน่าตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนกระทั่งมีเสียงเคาะกระจกจากหน้าร้านดังขึ้น'ก๊อกๆๆ'เจ้าของร้านตัวเล็กรีบวิ่งออกไปดูก็พบว่าเป็นนับหนึ่งที่เจนน่าเพิ่งโทรนัดไว้เมื่อชั่วโมงก่อน ข้าวหอมยิ้มรับพร้อมกับไขประตูให้เพื่อนคนใหม่ของเธอที่ดูจากสีหน้าแล้วคงอาการเดียวกับคนที่นั่งเขี่ยข้าวอยู่ด้านใน"เป็นไงล่ะแก เซอร์ไพรส์ฉันตั้งแต่ยังไม่หายป่วยเลยนะยะ"นับหนึ่งทักเพื่อนสาวด้วยใบหน้าหมดอาลัยตายอยากไม่ต่างกัน ในขณะเดียวกันเจ้าบ้านที่ดีก็ตักข้าวเสิร์ฟให้กับแขกมาใหม่ พร้อมด้วยกับข้าวอีกถ้วย
"นั่งยิ้มอะไรอยู่คนเดียวลูก"หญิงวัยกลางคนถามขึ้นในขณะที่กำลังรูดหนามกุหลาบ ตั้งแต่เมื่อวันก่อนลูกสาวของเธอดูแปลกไปเพราะปกติน้อยครั้งเหลือเกินที่ข้าวหอมจะจับโทรศัพท์ แต่ช่วงนี้เธอสังเกตเห็นลูกสาวเธอเล่นมือถือถี่กว่าเมื่อก่อนมาก หรือจะมีอะไร"ไม่มีอะไรค่ะแม่"คนตัวเล็กอมยิ้มแล้วตอบกลับไปพร้อมหลุบตาลงต่ำเพื่อเลี่ยงสายตาตั้งคำถามของคนเป็นแม่ ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนมาจับจ้องดอกไม้ในมือแทน"หรือหนูมีผู้ชายที่ไหน""ไม่ได้มีค่ะแม่!"คนเป็นแม่ถามขึ้นแล้วลุกเดินมาหาข้าวหอมทันที ลูกสาวที่เพิ่งแหวไปเมื่อครู่ถึงกับต้องคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลง แต่ก็ช้ากว่าอีกคนที่พลิกหน้าจอกลับมาเพื่อดูว่าในนั้นมันมีอะไรกันแน่ดวงตาของขนิษฐาเพ่งมองไปยังมือถือสลับกับใบหน้าของลูกสาวที่ทำหน้าตาเลิ่กลั่กราวกับว่าถูกจับได้ ทว่าหน้าจอที่เปิดอยู่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรนอกจากภาพดารา"นี่มันรูปแม่หนูคนนั้นนี่นา อย่าบอกนะว่าลูกแม่ชอบเขาน่ะ""หนูเปล่าสักหน่อยค่ะ"ข้าวหอมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ความจริงแล้วเธอไม่ได้ชอบเจนน่าสักหน่อย แค่ยินดีไปกับหล่อนเท่านั้นเองที่กลับมามีงานเหมือนเดิม แถมกระแสในโซเชียลก็ยังดีขึ้นด้วย ต่างกับอีกคนที่ถูกกระแสแง่
แขนยาวเสลาโอบกอดข้าวหอมเอาไว้เมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาซึ่งต้นเหตุมาจากเธอ ทั้งที่เธอก็ตกใจเช่นกันเพราะไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมาตลอดจะเป็นเรื่องจริง คนในอ้อมกอดหันกลับมากอดตอบเจนน่าเอาไว้อย่างไม่ลังเล เพราะข้าวหอมรู้ว่าอีกฝ่ายก็คงรู้สึกแย่ไม่ต่างกัน"ฉันขอโทษนะที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ดี"เจนน่าลูบหัวข้าวหอมอย่างอ่อนโยนพร้อมขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นจากใจจริง เธอรู้ว่าอีกคนเห็นอะไรมากกว่านั้นและต้องบอกเธอได้แน่ว่าใครคือฆาตกร ทว่าตอนนี้เธอยังไม่อยากถามอะไรมากมายนักเพราะภาพที่หล่อนเห็นมันน่าหดหู่เกินไป ซึ่งน่าจะกระทบกับจิตใจหล่อนพอสมควร"ผู้หญิงคนนั้นทาเล็บสีแดง วัยกลางคน""...""เธอคนนั้นเก็บบางอย่างไว้ในลิ้นชักตรงข้ามกับโต๊ะเครื่องแป้ง"เจนน่าพยายามนึกตามที่ข้าวหอมบอก แต่ก็ไม่มีใครที่เธอรู้จักในอดีตสักคนที่เป็นผู้หญิงวัยกลางคน ในตอนนั้นเธอมีเพียงพ่อและแม่เท่านั้น จะมีก็แต่เพื่อนของแม่ที่พ่อบอก คนที่เป็นเจ้าของร้านดอกไม้นั่นคนตัวสูงพยายามไม่มองไปทางกล่องสี่เหลี่ยมที่วางอยู่บนโต๊ะกระจก ซึ่งเธอจำได้ว่าในนั้นมีป้ายที่เป็นชื่อร้านพร้อมกับคำอวยพรสั้นๆ และนั่นคงจะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอตามตัวหญิงวั
'กุ๊งกิ๊งๆ'กระดิ่งลูกเล็กๆที่ห้อยติดไว้กับประตูทางเข้าคาเฟ่สั่นรัวจากการถูกเปิดปิดอยู่บ่อยครั้ง ผู้คนมากมายต่างมาหาเครื่องดื่มและขนมหวานกินในยามเที่ยง ไม่ต่างกันกับข้าวหอมและเจนน่าที่ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะอยู่ด้วยกันบ่อยเป็นพิเศษ แม้ว่าดาราสาวจะยุ่งกับงานมากแค่ไหนก็ตาม"ทานสิ อร่อยนะ"เจนน่าผายมือให้คนตัวเล็กทานเค้กที่วางไว้ด้านหน้า เธอเป็นคนสั่งเค้กชิ้นนี้ให้ข้าวหอมด้วยตัวเองเพราะถูกใจมันตั้งแต่ได้ลองชิมครั้งก่อน อีกทั้งคนตัวเล็กยังชอบรสนี้อีกด้วยเค้กสตรอว์เบอร์รีชิ้นสามเหลี่ยมสีแดงสดดูน่าทานถูกส้อมขนมหวานคันเล็กตัดออกเป็นชิ้นเล็กพอดีคำ ก่อนที่ผู้ตัดจะนำมันเข้าปาก"อื้ม"ข้าวหอมพยักหน้าแล้วเปล่งเสียงออกมาอย่างพึงพอใจ รสชาติกำลังพอดี ไม่หวานมากจนเกินไป ซึ่งค่อนข้างที่จะถูกใจเธอมากทีเดียว"อร่อยใช่ไหม""ค่ะ""...""แล้วคุณไม่สั่งอะไรเหรอคะ"คนตัวเล็กตอบตามจริงก่อนจะเอ่ยปากถามคนตรงหน้าว่าเหตุใดหล่อนถึงไม่สั่งอะไรมากิน แต่กลับได้รับคำตอบที่แปลกประหลาดเหลือเกิน"ไม่ล่ะ แค่เห็นเธอกินฉันก็อิ่มแล้ว"ข้าวหอมมองอีกคนด้วยแววตาฉงน เจนน่าต้องการจะสื่ออะไรกับเธองั้นเหรอ เพราะตั้งแต่ที่เธอมาถึงที่น
มือถือของคนตัวเล็กถูกจิ้มเข้าที่สัญลักษณ์นกฟ้าในทันทีหลังจากวางสาย แฮชแท็กผู้หญิงเสื้อขาวขึ้นเทรนด์อันดับหนึ่งแทนที่ชื่อดาราสาวทันที หญิงสาวสองคนเพ่งมองหน้าจออันเล็กจนศีรษะชิดติดกัน นิ้วเรียวต่างผลัดกันเลื่อนไถฟีดข่าวที่มีแต่ภาพเธอสองคน โดยเฉพาะภาพแผ่นหลังเล็กๆของข้าวหอมซึ่งเป็นผู้หญิงที่ทุกคนกำลังตามหานอกจากนี้ยังมีภาพเธอที่ถูกถ่ายไว้เมื่อวันก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนเข็นวีลแชร์ให้เจนน่า หรือแม้แต่กระทั่งภาพที่เธอเดินอยู่ด้านหลังรถวีลแชร์โดยที่คนอื่นเป็นคนเข็นมัน โดยคอมเมนต์ส่วนใหญ่ไปในทางเดียวกันคือตามหาเธอ บ้างก็ว่าเธอสวย บ้างก็ว่าน่ารัก แต่ที่มากที่สุดคงจะเป็นความสงสัยว่าเธอเป็นใครกันแน่ เพราะโดยปกติแล้วทุกคนมักจะเห็นแค่นับหนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับเจนน่า การปารกฏตัวของเธอคงเป็นที่แตกตื่นสำหรับคนทั่วไป"แล้วฉันจะมีเพื่อนไม่ได้เลยหรือไง มาแอบถ่ายกันแบบนี้ฉันฟ้องได้นะ"เป็นดาราสาวที่พูดออกมาอย่างหงุดหงิด เธอถูกแอบถ่ายจนชินแล้ว แต่คนตัวเล็กที่นั่งข้างๆนี่เป็นเพียงคนธรรมดาๆ ไม่ใช่คนสาธารณะแบบเธอ เพราะแบบนั้นเธอถึงหงุดหงิดที่คนพวกนี้เอาข้าวหอมเข้ามาเกี่ยวด้วย ยิ่งภาพที่ถูกเผยแพร่ไ
"เรียบร้อยแล้วค่ะคุณตำรวจ ขอบคุณมากนะคะที่ให้เข้าเยี่ยม"เจนน่าเอ่ยบอกกับชายหนุ่มสองคนในเครื่องแบบหน้าห้องพักฟื้นแล้วยิ้มให้พวกเขาบางๆ ก่อนที่จะพยักหน้าบอกให้เพื่อนตัวเล็กเข็นวีลแชร์กลับห้องตัวเองโถงทางเดินหน้าห้องพักฟื้นมีคุณหมอและคุณพยาบาลเดินกันให้ควั่ก รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางร้ายในชีวิตจริงด้วยความสะใจ"แกคิดดีแล้วเหรอวะที่ทำแบบนี้อะ"นับหนึ่งโน้มตัวลงกระซิบข้างหูของดาราสาวในขณะที่ก็เข็นรถไปด้วย"แล้วมันไม่ดีตรงไหน ฉันไม่ได้ไปฆ่าใครตายสักหน่อย"เพื่อนตัวเล็กเบ้ปากมองบนเช่นเคยกับความแสบของคนป่วย ที่จู่ๆหล่อนก็ออกคำสั่งให้เธอรีบไปหาซื้อขวดยาสีชาแบบกะทันหัน ซ้ำยังย้ำนักย้ำหนาว่าเอาให้เหมือนตามต้นฉบับที่เป็นหลักฐานแบบเด๊ะๆ ลำบากเธอต้องขับรถวิ่งหาไปทั่วแค่เพราะเพื่อนตัวแสบอยากจะล้างแค้นคนร้ายด้วยความสันติสำหรับเธอคิดว่าการใส่น้ำเปล่าลงไปในขวดยามันก็ดีแต่ถ้าไม่ทำมันคงจะดีกว่า แค่คุณรตีต้องเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นแล้ว นี่หล่อนเล่นให้เสียไปยังสุขภาพจิตด้วยการหลอกว่าในขวดนั่นเป็นยาพิษชนิดเดียวกับที่คนร้ายเคยใช้ปลิดชีพคุณน้าจิตรา แถมยังเอามันกรอกปากคนเจ็บอีก
"น้องเจนน่าคะตอบคำถามพี่ด้วยค่ะ"'แชะๆๆ'"อาการตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ แล้วที่มีข่าวลือว่าหนีออกจากโรงพยาบาลจริงหรือเปล่าคะ""ตอบด้วยครับน้องเจนน่า สรุปเหตุการณ์ทั้งหมดคือยังไงครับ"นักข่าวจำนวนมากรุมจ่อไมค์พร้อมกล้องตัวใหญ่อีกหลายตัวที่สาดแฟลชสว่างวาบใส่เจนน่า ในขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีคุณพ่อเป็นคนเข็นให้และนับหนึ่งที่คอยกันนักข่าวออกไปมือนุ่มข้างหนึ่งยกขึ้นเพื่อให้นรุตม์หยุดเข็น ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ที่ตอนนี้กำลังพุ่งสูงปรี๊ด"ขอโทษนะคะพี่ๆ ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ ไม่ใช่ตลาดสดที่จะแหกปากได้ตามอำเภอใจ""..."ราวกับต้องมนต์สะกดเมื่อคำพูดกึ่งด่าหลุดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ผู้คนอาชีพเดียวกันต่างหลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบตาคมเฉี่ยวที่หันมามองตำหนิราวกับคาดโทษเอาไว้แทบทุกราย"แล้วก็ให้เกียรติเจนน่าด้วยค่ะ ตอนนี้กำลังเจ็บอยู่นะคะ ถ้าเข็นรถหนีไม่ยอมตอบคำถามก็คือไม่พร้อมตอบค่ะ""แต่พวกเราก็ต้องทำงานนะครับน้องเจนน่า เห็นใจพี่หน่อยนะครับ"เป็นผู้ชายร่างโตที่ถือไมค์เป็นโลโก้ช่องโทรทัศน์ชื่อดังที่ใจกล้าพูดออกมา ทันใดนั้นดวงตาเฉี่ยวจับจ้องไปที่เขาทันที เพียงไม่กี่วิที่ตาสบตา ชายร่างโ
สุดท้ายที่หล่อนปล่อยโฮออกมาแล้วก็พูดไปด้วย น้ำเสียงยังดูเป็นห่วงเป็นใยไม่ต่างกันกับที่ผ่านมา และเป็นเธอเองที่ขอบตาร้อนผ่าวปล่อยน้ำตาเม็ดโตออกมาทั้งที่พยายามกลั้น ไม่ว่าหล่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าหาเธออย่างใจเย็นแค่ไหน เธอก็ก้าวถอยหลังหนีไม่ต่างกัน"อย่าเข้ามานะ"ดาราสาวกลืนน้ำลายลงคอแล้วเปล่งเสียงแข็งกร้าวออกมากับดวงตาที่จ้องเขม็งไปยังคนตรงหน้า"ทำไมล่ะ ไม่ไว้ใจน้าแล้วเหรอ น้าไม่ทำอะไรหนูหรอกนะ นี่น้าไง น้าเอง"หล่อนพูดราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่สภาพตัวเองแทบจะดูไม่ได้ ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าที่มีแต่รอยเปื้อนสิ่งสกปรกเต็มไปหมด ความจริงหล่อนควรจะขอโทษเธอตั้งแต่เจอหน้ากันแล้วด้วยซ้ำ"นับหนึ่งอยู่ไหน"เจนน่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอต้องเล่นตามน้ำโดยการถามถึงเพื่อน คนร้ายยิ้มบางๆ แล้วตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ฟังไม่ขึ้น"หนูนับหนึ่งกลับไปก่อนหนูมานี่เอง ไม่ได้สวนกันหรอกเหรอ""แต่คุณบอกว่าจะฆ่าเพื่อนหนู คุณต่อรองกับหนูว่าจะมาที่นี่หรือจะเสียเพื่อนไป แล้วแบบนี้จะให้หนูคิดยังไง""น้าก็แค่ล้อเล่นเพราะอยากให้หนูมาหา น้าถูกใส่ร้ายนะเจนน่า ช่วยน้าด้วยนะ"หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าซึ่งเบาม
"คุณน้าจับตัวนับหนึ่งไป โลเคชันไกลจากที่นี่พอสมควร แล้วก็บอกว่าห้ามแจ้งตำรวจ"เจนน่าบอกกับข้าวหอมและหญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้วยกัน ทุกคนทำหน้าตกใจไม่ต่างกันจนกระทั่งข้าวหอมเหลือบตาเห็นดอกไม้ช่อเล็กๆ ที่วางไว้ใกล้ๆ กับกระเช้าผลไม้"เมื่อเช้านับหนึ่งเอาช่อดอกไม้มาเยี่ยม แต่คุณยังไม่ฟื้น""มันบ้าหรือเปล่าเนี่ย รู้ว่าฉันกลัวดอกไม้แล้วเอาดอกไม้มาให้ทำไม"เจนน่าแหวออกมาเป็นคำติติงเพื่อนสาวราวกับหล่อนแกล้งกัน แม้ว่าตอนนี้จะเป็นห่วงแทบขาดใจ"แน่ใจเหรอคะว่าคุณยังกลัวมันอยู่""..."ดาราสาวจ้องมองที่ช่อดอกไม้เล็กๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายเธอก็ไม่ได้รู้สึกขยะแขยงมันมากเท่าแต่ก่อนแล้ว ช่วงที่ข้าวหอมหลอกเอาดอกไม้ที่สวนนั่นมาเธอก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากจะเอามันไปทิ้งหรือหลับตาลงเพราะไม่อยากเห็นมือนุ่มเอื้อมจับที่กลีบดอกไม้เบาๆ พร้อมกลั้นใจ ทว่าก็ไม่ได้ฝืนใจมากกว่าที่เคย เพราะสิ่งตรงหน้ามันก็แค่ดอกไม้ธรรมดาๆ ไม่ได้มีพิษภัยอะไร หรือการที่นับหนึ่งเอามันมาก็เพื่อจะให้เธอรู้ตัวเองว่าเธอไม่ได้รู้สึกกับพวกมันเหมือนเดิมอีกแล้ว"ฉันสามารถมองเห็นได้ทั้งอดีตและอนาคต คุณรอสักแปปหนึ่งนะคะ
หลังจากที่รตีย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังโตทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดี เธอเริ่มคุ้นชินกับชื่อและนามสกุลใหม่ นรุตม์ก็ดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี ติดแต่เพียงว่าหนูน้อยไม่ยอมเรียกเธอว่าแม่สักที"เจนน่า น้าทำข้าวกล่องไว้ให้น่ะ"ทุกๆเช้าเธอมักจะบอกกับเจนน่าในวัยสิบแปดปีว่าทำข้าวกล่องไว้ให้ ในช่วงแรกเด็กสาวเกรงใจดูน่ารักน่าเอ็นดู ทว่านานวันเข้ายิ่งเปลี่ยนไปเมื่อเธอมักตามใจเขาทุกอย่าง"คุณน้าคะ พรุ่งนี้เจนน่าอยากกินผัดกะเพรา"เด็กสาวเอ่ยปากบอกกับแม่เลี้ยงตอนค่ำ เพื่อที่ข้าวกล่องในวันพรุ่งนี้จะได้เป็นเมนูที่อยากกิน คุณน้ารดาสุดใจดีหันมายิ้มบางๆให้กับเธอก่อนจะปฏิเสธ"ใบกะเพราหมด ไว้พรุ่งนี้กลับมาจากโรงเรียนแล้วค่อยกินได้ไหมคะ เดี๋ยวน้าจะทำไว้รอ""ไม่ เจนน่าจะกินตอนเที่ยงพรุ่งนี้ คุณน้ารดาต้องทำให้เจนน่าค่ะ"เพราะเธอรักเจนน่าเหมือนลูกในไส้ แม้ว่าเด็กสาวจะเอาแต่ใจหรือพูดจาไม่ดีกับเธอมากแค่ไหนเธอก็ไม่เคยคิดโกรธ มิหนำซ้ำยังพยายามหาสิ่งที่หล่อนอยากได้มาให้ทุกครั้งไปโชคดีเหลือเกินที่ฐานะทางการเงินของเธอนั้นดีมาก ดียิ่งกว่านรุตม์หลายเท่า ทำให้ไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่หากจะหาของดีๆมีราคามาให้กับเด็กสาวจนห
สวนดอกไม้เล็กๆ ณ บ้านหลังหนึ่งในประเทศรัสเซียที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสายพันธุ์ สีสันสวยงามน่ามองที่เกิดจากเจ้าของบ้านซึ่งชอบในการเพาะพืชและดอกไม้ทุกชนิด พาเอาลูกสาวคนเดียวชื่นชอบมันไปด้วย เด็กหญิงรตีในวัยหกขวบกำลังตัวเล็กน่ารัก ชอบสังเกต ชอบพิสูจน์และเป็นเจ้าหนูจำไมจนเป็นที่รักของทุกๆคน"คุณแม่ขา อันนี้เรียกว่าดอกอะไรเหรอคะ ทำไมคุณแม่ต้องกั้นรั้ว"เด็กน้อยตัวเล็กเอ่ยถามผู้เป็นแม่เสียงเจื้อยแจ้วเมื่อเห็นดอกไม้สีที่เธอชอบถูกกักขังอยู่ในกรงเหล็ก ซึ่งไม่ว่าคุณแม่จะพาเธอเที่ยวชมสวนหน้าบ้านกี่ที เจ้าดอกนี้ก็ไม่เคยเป็นอิสระเลยสักครั้ง"อันนี้เรียกว่าดอกอะโคไนต์ลูก เป็นดอกไม้มีพิษน่ากลัวนะ แม่เลยกลัวว่าหนูจะไปจับมันไงคะ""แล้วแบบนี้มันจะเบื่อไหมคะ อยู่แต่ในกรง"แม้ว่าเด็กหกขวบทั่วไปจะพอรู้ความแล้ว แต่กับรตีเป็นเด็กที่มีจินตนาการล้ำเลิศ ซึ่งเธอได้ยินมาว่าพืชทุกชนิดล้วนมีชีวิต เพราะแบบนั้นเธอจึงเอ่ยถามคุณแม่ออกไปอย่างใสซื่อ ถ้าหากเป็นเธอที่ถูกขังอยู่ในกรงนั่นคงเบื่อน่าดู"ฮ่าๆๆ ไม่เบื่อหรอกนะลูก ในกรงก็มีดอกไม้เป็นเพื่อนกันตั้งหลายดอกเห็นไหม ถ้าหนูชอบมันเดี๋ยวแม่เล่านิทานเกี่ยวกับมันให้ฟังเอาไหม
คนร้ายมองหน้าผีตัวปลอมตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เด้งตัวลุกขึ้นจนทำให้คนที่เหยียบอกอยู่ล้มลงกับเตียง เขาเอี้ยวตัวเปิดลิ้นชักหัวเตียงแล้วใช้มือหยาบกร้านหยิบปืนพกขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว ในขณะเดียวกันคนใต้เตียงก็ออกมาจากที่ซ่อนเพื่อพยุงข้าวหอมที่เสียหลัก โดยเจนน่าที่ยังซ่อนตัวอยู่กดโทรออกหาตำรวจเป็นที่เรียบร้อย"อย่าอยู่เลยพวกมึง!"เสียงทุ้มตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาลพร้อมยกกระบอกปืนขึ้นเล็งไปยังหญิงสาวตัวเล็กสองคน ทว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ค่อยๆย่องออกมา ใช้โอกาสที่คนร้ายยังไม่เห็นเธอหยิบขวดน้ำเปล่าขึ้นมาแล้วโยนขึ้นไปกระแทกกับหลอดไฟ'เพ้ง'ทันใดนั้นหลอดไฟที่ถูกหมุนไว้ตั้งแต่แรกร่วงลงพื้นทันที เสียงแตกกระจายของมันเรียกร้องความสนใจของคนร้ายให้หันไปมอง นั่นทำให้เจนน่าฉวยโอกาสพุ่งตัวเข้าไปเพื่อยื้อแย่งปืนที่อยู่ในมือของอีกคน"เชี่ย แสบนักนะพวกมึง!"เพราะความที่คนร้ายเป็นผู้ชายซึ่งมีแรงมากกว่า คนตัวเล็กอีกสองคนเลยวิ่งเข้าไปรุมทึ้งด้วย โดยนับหนึ่งใช้เชือกเส้นหนาที่ซื้อมารัดคอของคนร้ายสุดแรงจนเขาแทบลิ้นจุกปากเพราะขาดอากาศหายใจ ทว่ามือหยาบกร้านก็ยังคงจับปืนไว้มั่น ซึ่งพวกเธอแน่ใจว่าถ้าหากให้เขายิงป
"กลิ่นเหม็นคาวจากไหนวะ"เสียงแหบพร่าของชายวัยกลางคนดังขึ้นหลังจากที่ข้าวหอมเริ่มลงมือแง้มถุงเลือดหมูอย่างเงียบๆ ก่อนที่เธอจะค่อยๆนำของเหลวสีแดงฉานป้ายไปตามใบหน้าลำคอ รวมไปถึงเสื้อผ้าและผิวขาวทั่วตัว หากสังเกตเพียงเท้าที่คนใต้เตียงเห็น คนร้ายกำลังเดินวนไปรอบห้องคล้ายคนเมาเพื่อหาต้นตอของกลิ่น แต่เพราะความมืดที่แทบมองไม่เห็นทำให้เขาเดินเตะขาเก้าอี้จนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด"โอ้ย! แม่งเอ้ย ไอเก้าอี้บ้า กูนอนก็ได้วะ!"จากที่ทรงตัวไม่ค่อยอยู่กลายเป็นว่าสองขาของเขาเดินกะเผลกมาข้างเตียงแล้วทิ้งตัวลงด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่ปลายผ้าห่มผืนหนาจะถูกดึงขึ้นไป นั่นทำให้หญิงสาวสองคนรู้ว่าคนร้ายกำลังห่มผ้านอนแล้วมือเล็กของนับหนึ่งแกล้งดึงชายผ้าห่มที่โผล่พ้นใต้เตียงด้านข้างให้ขยับเบาๆเป็นการกระตุกขวัญให้คนบนเตียงกลัวเล่นๆ เพราะเตียงดูยวบยาบอยู่หลายหนนั่นดูเหมือนว่าคนร้ายจะนอนไม่สบายสักเท่าไหร่นับหนึ่งจึงคลานไปกระตุกชายผ้าที่ปลายเตียงแทน ผ้าห่มผืนหนาค่อยๆเลื่อนออกจากตัวของชายวัยกลางคนจนเขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ"คงไม่มีอะไรหรอก อิเด็กนั่นมันก็แค่พูดจาเพ้อเจ้อไปแบบนั้นแหละ"คนบนเตียงพึมพำกับตัวเ