ดอกไม้สีสันสวยงามหลากหลายสายพันธุ์ถูกจัดอยู่ในตะกร้าสานใบใหญ่โดยฝีมือเจ้าของร้านอย่างข้าวหอม เธอเป็นผู้หญิงที่สุภาพเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ เก่งเรื่องงานฝีมือ งานจัดดอกไม้ งานบ้าน และเรื่องต่างๆอีกมากที่แม่ศรีเรือนควรจะเป็น และเพราะเป็นเช่นนั้นแม่ๆหลายคนที่มาอุดหนุนดอกไม้จึงมักจะทาบทามข้าวหอมให้กับลูกชายของตนเป็นประจำ
ติดแต่เพียงว่าเธอขยันมากซะจนแทบไม่สนเรื่องภายนอก ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย วิทยุ โทรทัศน์ หรือแม้แต่กระทั่งเพศตรงข้าม ไม่ว่าหนุ่มคนไหนจะมาขายขนมจีบเธอก็มักจะเมินหน้าหนีเสมอ เพราะชีวิตเธอมีเพียงเหล่าดอกไม้แล้วก็แม่เท่านั้น
"เป็นไงบ้างลูก แม่รู้สึกว่าดอกไม้ที่มาจากเจ้านี้วันนี้มันช้ำแปลกๆ หรือแม่คิดไปเอง"
"แม่ไม่ได้คิดไปเองหรอกค่ะ เพราะคุณพ่อของคนดูแลดอกไม้พวกนี้กำลังป่วยหนัก หนูเห็นคนกำลังจะตายค่ะแม่"
ข้าวหอมวางดอกไม้ที่ช้ำที่สุดลงกับโต๊ะ ก่อนจะใส่ถุงมือแล้วจัดการกับดอกไม้ดอกอื่นๆต่อไปเหมือนทุกๆวัน อีกอย่างหนึ่งที่มีเพียงเธอและแม่ที่รู้ก็คือเธอมีพลังวิเศษบางอย่างที่มนุษย์คนอื่นไม่มี
"ดอกไม้บางดอกถ้ามันช้ำมากก็ปล่อยมันไว้เฉยๆเถอะลูก ลูกแม่ไม่จำเป็นต้องรู้ที่มาของดอกไม้ทุกๆดอกหรอก"
หญิงสาววัยกลางคนลูบหัวลูกสาวคนเดียวของเธอ เท่าที่จำได้เรื่องน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นกับข้าวหอมตั้งแต่แกอายุได้หกขวบ อาชีพในวัยสาวของเธอก็คือเปิดร้านดอกไม้ แน่นอนว่าลูกสาวตัวเล็กก็ต้องอาศัยอยู่ด้วยเป็นธรรมดา หากแต่มีวันหนึ่งที่ข้าวหอมซนจนนำมือไปจับดอกไม้ช้ำๆดอกหนึ่งที่ใกล้เน่า เด็กน้อยร้องไห้ตกใจและเล่าให้เธอฟังว่าเธอเห็นอะไร
"คุณแม่ขา เลือดเต็มไปหมดเลยค่ะ รถทับคุณลุง"
และไม่นานนักที่เจ้าของสวนดอกไม้ติดต่อเข้ามาเพื่อแจ้งข่าวร้ายกับเธอว่าต่อจากนี้ไปคนส่งดอกไม้จะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เพราะคุณลุงที่เพิ่งส่งดอกไม้เมื่อเช้านี้ถูกรถสิบล้อทับจนร่างแหลกไปกับพื้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของพลังบ้าๆนี่ที่เกิดขึ้นกับลูกเธอ ทุกครั้งที่ข้าวหอมจับดอกไม้ด้วยมือเปล่าเธอจะเห็นเรื่องราวบางอย่างของดอกไม้ดอกนั้น ที่บางครั้งก็อาจจะเป็นอดีตหรือไม่ก็อนาคต ทำให้ทุกวันนี้ลูกสาวสุดที่รักของเธอต้องใส่ถุงมือตลอดเวลา
"หนูกลัวจนหายกลัวแล้วล่ะค่ะแม่ บางทีก็ไม่ได้อยากเห็นแต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ"
ข้าวหอมหันไปกอดผู้เป็นแม่แล้วก็เอาใบหน้าซุกซบกับหน้าท้องอุ่นๆ เพราะเธอรักแม่มากเหลือเกินถึงได้ยอมสืบต่อกิจการร้านดอกไม้ที่แม่รักนักหนา เริ่มแรกแม่ก็ไม่ยอมแต่เป็นเพราะอายุที่มากขึ้นทำให้เธอป่วยออดๆแอดๆ เพราะข้าวหอมไม่มีใครนอกจากแม่เธอเลยตัดสินใจยอมมอบกิจการนี้ให้ลูกสาวได้ดูแลต่อเพื่อที่จะได้อยู่กับลูกนานๆ
"เอ้อ แล้วเมื่อไหร่คุณคนนั้นเขาจะมาอีกล่ะลูก"
"คนไหนคะ"
"ก็คุณคนที่สวยๆไง นี่แม่รอคืนเงินเขามาหลายวันแล้วนะลูก ไหนจะเช็กเงินแสนนั่นอีก"
"ช่างเขาเถอะแม่ เดี๋ยวเขาจะมาก็มาเองแหละ"
"เอ้า ลูกคนนี้นี่"
ข้าวหอมทำหน้าไม่สบอารมณ์ทุกทีที่ได้ยินเรื่องราวของผู้หญิงเอาแต่ใจคนนั้น ความจริงเธอจับสังเกตได้แล้วว่าหล่อนจะมาที่นี่ตอนไหน และตอนนั้นจะเป็นตอนที่เธอหนีไปเสมอ ทิ้งร้านไว้กับเจ้าน้ำหวานที่ชอบดาราคนนั้นนักหนา และแม้เธอจะฝากเช็กกับเงินที่เกินมาวันนั้นเพื่อคืนหล่อนแต่หล่อนก็บอกว่าจะไม่รับจนกว่าจะได้เจอเธอด้วยตัวเอง
"อย่าไปสนใจเขาเลยค่ะแม่ ลูกค้าน่ารักๆมีให้สนใจตั้งเยอะ"
"แหนะ ยังอีก แล้วเขาไม่น่ารักตรงไหนล่ะลูก ปกติลูกสาวแม่ไม่เคยว่าใครก่อนนี่นา"
"หนูก็พูดไปแบบนั้นแหละค่ะ ไปกินข้าวกันดีกว่า"
ข้าวหอมยิ้มอ่อนๆก่อนจะชวนคุณแม่สุดที่รักไปกินข้าวที่หลังร้าน เธอถอดถุงมือออกเตรียมจะเดินเข้าไปถ้าไม่ติดว่าแม่ทักใครบางคนที่กำลังจะเดินเข้ามา ใครบางคนที่เธอไม่อยากเจอสักเท่าไหร่
"อ้าว นี่ไง พูดถึงคุณก็มาพอดีเลย สวัสดีค่ะ"
"สวัสดีค่ะคุณน้า หนูมาซื้อดอกไม้ค่ะ"
คนตัวสูงในชุดสายเดี่ยวสีดำกับกางเกงยีนส์ขาดๆพูดขึ้นอย่างนุ่มนวลราวกับว่าเป็นคนละคนกับที่เธอเจอในทุกวัน แล้วเพื่อนที่มารยาทดีคนนั้นไม่ได้มาด้วยหรือไง
"เอาดอกอะไรเลือกตามใจเลยลูก แล้วก็เงินน้าว่าจะคืนตั้งหลายวันแล้ว ไม่เจอแม่หนูสักที"
"อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณน้า หนูให้เพราะเต็มใจให้ค่ะ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร"
"ต๊ายตายดูพูดเข้า ทำอาชีพอะไรถึงได้มีเงินเยอะขนาดนั้นล่ะจ๊ะ เงินมันมากไป น้าคงไม่สบายใจที่จะรับไว้หรอกจ้ะ"
"หนูเป็นดาราค่ะ ที่ผ่านมางานเยอะมากแล้วค่าตัวก็สูงพอสมควร เพราะแบบนั้นหนูถึงไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินขนาดนั้นค่ะ คุณน้ารับไว้เถอะนะคะ ถือว่าเป็นค่าน้ำใจที่ช่วยหนูไว้ตอนเดือดร้อนค่ะ"
เจนน่าพูดแล้วก็มองหน้าลูกสาวของคุณน้าอย่างจิกกัด เพราะวันนี้เธอเจอคุณน้าใจดีเลยแผลงฤทธิ์ใส่แม่หล่อนไม่ได้มากนัก แล้วก็ไม่คิดว่าจะได้มาที่นี่อีกหลายๆครั้งด้วย แต่เพราะวันที่ผ่านมาเธอยังไม่ได้รับชัยชนะจากการชี้นิ้วสั่งคนข้างหลังน่ะสิ มันไม่สบายใจจนถึงขนาดที่จะต้องแวะมาทุกวันด้วยตัวของเธอเอง
"ที่แท้ก็เป็นดารานี่เอง เสียดายที่บ้านน้าไม่มีคนสนใจดูทีวีเลย แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้มาเจอหนูนอกจอนี่เนอะ"
"อ๋อ ค่ะ ฮ่าๆๆ"
ดาราสาวหัวเราะแบบฝืนๆเพราะนี่คงเป็นที่แรกที่เธอปรากฏตัวแล้วไม่มีใครมีท่าทีดีใจหรือตื่นเต้น เพราะแบบนี้นี่เองแม่นั่นถึงไม่รู้จักเธอ
"แล้วเงินแสนที่ให้ลูกน้ามาล่ะ ค่าตอบแทนน้ำใจอะไรจะเยอะขนาดนั้น"
"ค่าตอบแทนอะไรกันคะคุณน้า"
"ก็เห็นข้าวหอมบอกว่าคุณให้เงินมาเป็นค่าตอบแทนที่เขาทำแผลให้น่ะ"
"อ้าว นี่เธอยังไม่ได้เล่าให้คุณน้าฟังหรอกเหรอ เรื่องคืนนั้นน่ะ"
"..."
ข้าวหอมยืนนิ่งแล้วก็ได้แต่เจ็บใจที่อยู่ดีๆผู้หญิงคนนี้ก็มาพูดเรื่องนั้นต่อหน้าแม่ เธอเพียงบอกแม่ไปว่าเงินแสนที่หล่อนให้มาเป็นค่าตอบแทนสำหรับการทำแผล ใครมันจะไปเล่าเรื่องน่าอายแบบนั้นกัน
"มันยังไงกันแน่ลูก เงินเป็นแสนจะมาล้อกันเล่นไม่ได้นะ"
"คุณก็เล่าเองสิคะว่าคืนนั้นคุณทำอะไรฉัน"
วิถีนักแสดงอย่างเจนน่าก็ต้องมีไหวพริบการเอาตัวรอดเป็นธรรมดา แม่ตัวดีจ้องจะโยนขี้มาให้เธอเป็นคนเล่า แล้วใครมันจะไปยอมบอกว่าตัวเองไปฉวยโอกาสใส่ลูกสาวเขาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจน่ะ
"ก็ไม่ได้ทำอะไรนะคะ เราคุยกันแล้วไงว่าเงินแสนที่ให้ไปเป็นค่าจ้างให้เธอบอกว่าใช้น้ำหอมแบรนด์ไหนน่ะ"
เจนน่าชะเง้อคอมองแกล้งทำเป็นพูดกับข้าวหอมที่ยืนอยู่ด้านหลังคุณน้า ซึ่งความจริงแล้วคืนนั้นเราไม่ได้ตกลงอะไรกันสักอย่าง
"หื้ม เดี๋ยวนี้หนูใช้น้ำหอมด้วยเหรอลูก แม่ไม่เห็นจะได้กลิ่นแปลกไปตรงไหน"
ดาราสาวขมวดคิ้วสงสัย คนบ้านนี้เป็นอะไรกันไปหมด นอกจากลูกสาวจะขี้โกหกแล้วคนเป็นแม่ยังจมูกไม่ดีด้วยเหรอเนี่ย เธอยืนอยู่ห่างจากหล่อนขนาดนี้ยังได้กลิ่นอยู่เลย
"หนูไม่ได้ใช้ค่ะแม่ แต่คุณเขาไม่เชื่อ"
"ก็เนี่ย ฉันยืนอยู่ตรงนี้ยังได้กลิ่นอยู่เลย คุณน้าไม่ได้กลิ่นเหรอคะ เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆติดหวานนิดๆน่ะ เหมือนกลิ่นเด็ก"
"อ๋อ ฮ่าๆๆๆ แม่หนูนี่ก็อธิบายกลิ่นซะละเอียดเลย น้านึกออกแล้วๆ"
"ใช่ไหมคะ คุณน้าได้กลิ่นเหมือนกันใช่ไหม"
เจนน่าหัวเราะออกมาก่อนจะยักคิ้วให้กับคนตัวเล็ก ในที่สุดคุณน้าก็ได้กลิ่นนี้สักที ทีนี้ก็บอกได้แล้วสิว่านี่มันยี่ห้อไหน
"จ้ะ ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมที่ไหนหรอก กลิ่นหอมจากตัวลูกสาวน้านี่แหละ"
"คะ"
"ไม่ใช่หนูคนแรกหรอกที่ถามถึงกลิ่นนี้น่ะ ลูกสาวน้าเป็นคนตัวหอมมาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ ขนาดเหงื่อออกเยอะก็ยังหอมเลย แกเลยไม่จำเป็นต้องใช้พวกเครื่องหอมน่ะ ครีมทาตัวก็แทบจะไม่ได้ใช้เลยจ้ะ กลิ่นนี้แหละกลิ่นเดิมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว"
ยิ่งคุณน้าใจดีหัวเราะใส่เธอมากแค่ไหนเธอก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากแค่นั้น ภาพในหัวที่เธอเอาแต่หอมคนที่ยืนหน้าแดงอยู่ข้างหลังวกกลับเข้ามาทุกฉากทุกตอน ทำเอาหน้าร้อนไปหมด ชักจะอยู่ตรงนี้ไม่ได้ซะแล้ว
"อ่อ เรื่องเป็นแบบนี้นี่เองเนอะ งั้นเงินนั่นคุณน้าเก็บไว้ใช้เลยค่ะ ถือซะว่าเป็นค่าเข้าใจผิดของหนูเอง"
"อะไรกัน แม่หนูคนสวยนี่ก็จะจ่ายอย่างเดียวเลย น้าไม่เอาหรอกจ้ะ"
"งั้นคุณน้าหักออกจากค่าดอกไม้ของหนูก็ได้ค่ะ คิดซะว่าจ่ายครั้งเดียวแล้วก็หักไป จะได้สบายใจ"
ข้าวหอมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันหลังให้กับหญิงสาวสองคนแล้วกรอกตาขึ้นมองบนอย่างขัดใจ ทำไมไม่รู้เธอถึงได้รู้สึกไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้หญิงคนนี้ ถึงแม้ว่าหล่อนจะพูดดีกับแม่เธอก็เถอะ
"โอเคๆ งั้นแล้วแต่แม่หนูแล้วกัน ยืนคุยกันซะนานเชียว เอาดอกอะไรดีจ๊ะ"
เจนน่ามองไปรอบๆร้านแล้วก็ได้แต่ทำหน้าเหยเกจนลืมไปว่ามีเจ้าของร้านถึงสองคนจับจ้องเธออยู่ เกลียดดอกไม้แต่ก็ต้องมาเลือกด้วยตัวเอง รู้สึกแย่ชะมัด
"เป็นอะไรหรือเปล่าหนู ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะจ๊ะ"
"อ๋อ เปล่าหรอกค่ะ พอดีหนูไม่สบายนิดหน่อย"
"ตายแล้ว งั้นขออนุญาตนะจ๊ะ"
หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาใช้หลังมืออังเบาๆที่หน้าผาก เธอชะงักไปนิดหน่อยแล้วก็ยืนเกร็งจนตัวแข็งเพราะคุณน้าเป็นคนแรกที่ได้แตะต้องตัวเธอแบบนี้หากไม่จำเป็น
"ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา แต่ไม่เป็นไร เช้านี้น้าต้มข้าวต้มไว้หม้อใหญ่เลย ถ้าหนูไม่รังเกียจก็ทานข้าวกับน้าสักมื้อหนึ่งนะจ๊ะ"
"แต่แม่คะ!"
ตอนแรกเจนน่าคิดจะปฏิเสธให้ได้ แต่เพราะเสียงหวานๆของคนด้านหลังที่ขัดขึ้นมาทำให้เธอเปลี่ยนใจทันที ถ้าการทานข้าวร่วมโต๊ะกับเธอมันทรมานมากนักก็เชิญเจ็บปวดเจียนตายได้เลย
"ได้เลยค่ะคุณน้า หนูกำลังหิวอยู่พอดีเลย ขอรบกวนฝากท้องสักมื้อหนึ่งนะคะ"
'เตรียมตัวทานมื้อเช้าแสนอร่อยกับฉันได้เลยแม่ข้าวหอม!'
มื้ออาหารแสนเรียบง่ายในตอนเช้าถูกจัดขึ้นโดยหญิงวัยกลางคนที่กำลังอมยิ้มให้กับท่าทางของดาราสาวสุดสวยที่เพิ่งจะเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง ในคราแรกหล่อนดูเหมือนไม่ไว้ใจในรสมือของเธอ ทว่าข้าวต้มคำแรกที่ถูกตักเข้าปากกลับทำให้ท่าทางของหล่อนเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน"อร่อยจังเลยค่ะคุณน้า"นั่นคือคำชมครั้งที่สิบของหล่อนในขณะที่เพิ่งทานหมดถ้วยที่สอง แววตาปิติด้วยความสุขถูกส่งไปยังผู้ทำ ทำเอาแม่ครัวใจดียิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ"แม่หนูนี่กินเก่งดีจริง ดูลูกสาวน้าสิ เขี่ยข้าวต้มในถ้วยเล่นมาสิบนาทีแล้ว"เจนน่ามองไปยังใบหน้าเบื่อหน่ายที่เอาแต่ก้มมองชามข้าวต้มบนโต๊ะ เขี่ยไปเขี่ยมาไม่ตักเข้าปากสักที สมน้ำหน้าเหลือเกิน ถ้าการทานข้าวมื้อนี้มันอมทุกข์เพราะเธออยู่ด้วยก็เชิญอมทุกข์ต่อไปเถอะ"ฮ่าๆๆ ก็มันอร่อยนี่คะคุณน้า แต่ลูกสาวคุณน้าดูเหมือนจะอึดอัดนะคะ ไม่พอใจเราหรือเปล่าคะ เราไปก็ได้นะ""โอ้ย ไม่เป็นไรหรอกลูก เอาอีกสักถ้วยไหมจ๊ะ เหลืออีกเยอะเลย""ได้เหรอคะคุณน้า เกรงใจจัง"ทุกๆคำพูดของหล่อนสำหรับข้าวหอมมันดูเสแสร้งแกล้งทำไปซะหมด ข้าวต้มของแม่ที่เธอชอบหนักหนาคงถูกหล่อนทานไปครึ่งหม้อได้แล้ว ซ้ำพอเห็นหน้าหล่อน
"ข้าวหอมอยู่ไหน"เจนน่าถามขึ้นทันทีเมื่อเจอนับหนึ่ง โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักจะถามหาคนไข้หรือคนป่วยที่ประสบอุบัติเหตุมากกว่า ทว่าเธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าคุณน้าคงอยู่ในมือหมอแล้ว เพราะฉะนั้นคนที่เธอควรถามหามากที่สุดคือก็คือลูกสาวของหล่อน"ข้าวหอมไหนวะ เจ้าของร้านดอกไม้อะเหรอ"นับหนึ่งขมวดคิ้วกับคำถามของเจนน่า เธอเพียงขับรถผ่านแถวๆหน้าร้านดอกไม้นั่น บังเอิญดันเห็นรถพยาบาลจอดอยู่แถวนั้นพอดี ประกอบกับเห็นใบหน้าเลอะน้ำตาของคุณเจ้าของร้านตัวเล็กโดยข้างๆมีรถยนต์จอดอยู่ด้วย เท่านั้นก็พอจะเดาได้ว่าคนเจ็บจะต้องเป็นคุณน้าอย่างแน่นอน"เออ อยู่ไหน"ดาราสาวถามขึ้นมาด้วยความร้อนใจจนแทบจะกินหัวนับหนึ่งที่เอาแต่ยืนอ้ำอึ้งไม่ตอบเธอสักที"อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน""ก็แค่นั่นแหละ"คนตัวเล็กได้แต่อ้าปากค้างกับท่าทางรีบร้อนของเพื่อนเอาแต่ใจ หล่อนวิ่งไปด้วยความรวดเร็วก่อนจะถามทางไปห้องฉุกเฉินกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่แถวนั้น ความจริงแล้วที่เธอโทรไปบอกเจนน่าเพราะกะว่าจะชวนหล่อนไปเยี่ยมคุณน้าที่โรงพยาบาลหลังเสร็จงานพรุ่งนี้ แต่หล่อนกลับตกใจและรีบซักไซ้ที่อยู่โรงพยาบาลทันทีจนเธอต้องบอกและเสียเวลาออกมากับหล่อนตอนดึกๆแบบนี้ เก
หลังจากเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญขึ้นในคืนนั้น ดาราสาวพยายามที่จะพูดคุยและถามข้อสงสัยกับข้าวหอมว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้ยังไงกันแน่เธอกำลังหลอกตัวเองว่ามันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ทว่ามันก็เป็นไปไม่ได้อีกที่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับใครบางคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน เหมือนกับเด็กผู้ชายคนนั้นที่มีเพียงเธอและนับหนึ่งเท่านั้นที่เคยเห็น'เป็นไปไม่ได้หรอกที่เธอจะรู้ได้มากขนาดนั้น ต้องมีอะไรแน่ๆ'เธอนั่งคิดเรื่องนี้วนไปวนมาจนหัวแทบระเบิด ในขณะที่คนทั้งกองถ่ายกำลังวุ่นวายมีเพียงเธอเท่านั้นที่ไขว่ห้างดูดน้ำมองเหม่อแล้วก็นั่งเงียบๆอยู่คนเดียว"น้องเจนน่าครับ ถึงคิวแล้วครับ"เจนน่าหยุดเรื่องทั้งหมดที่กำลังคิดตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว ก่อนที่จะยิ้มรับอ่อนๆให้กับผู้กำกับที่ตะโกนเรียกเธอเข้าฉาก"ฉากนี้ขอตบจริงนะครับ เอาเทคเดียวผ่านนะ"เสียงโทรโข่งดังขึ้นให้เธอและคู่อริตัวจริงทำสมาธิหลังจากที่เธอและฮันนี่มายืนอยู่ด้วยกันหน้าฉาก วันนี้แหละที่เธอรอคอยเพื่อที่จะได้ตบยัยน้ำผึ้งป่าให้เต็มมือ ถ้าไม่ติดว่าจะดูไม่มืออาชีพเธออยากจะแกล้งเล่นพลาดสักสองสามหน จะได้ตบหล่อนซ้ำหลายๆทีให้สะใจเจนน่ากระห
ห้องสี่เหลี่ยมห้องเดิมหลังร้านที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของหญิงสาวสองคนถูกใช้เป็นห้องทำแผลอีกครั้ง ข้าวหอมและเจนน่านั่งอยู่ข้างกันบนโซฟาตัวเดิม ตำแหน่งเดิม มือนุ่มของข้าวหอมหยิบสำลีเช็ดแอลกอฮอล์ขึ้นมาเช็ดวนรอบๆแผลด้วยความเบามือ"ซี้ด"เจนน่าร้องออกมาด้วยสีหน้าเหยเกก่อนจะกลับมาเป็นสีหน้าที่เรียบเฉยอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่ากับข้าวหอมสามารถแสดงความเจ็บปวดกับหล่อนได้มากน้อยแค่ไหน ถึงเธอจะวางใจในหลายๆเรื่องแต่มันก็ต้องระวังตัวไว้ก่อนเพราะเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน เรียกรู้จักกันได้หรือเปล่านะ"เจ็บเหรอคะ"เสียงนุ่มของข้าวหอมทำเอาเธอรู้สึกแปลกไป ทุกครั้งที่อยู่กับหล่อนนอกจากเธอจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาๆแล้ว ยังรู้สึกว่าได้รับความห่วงใยอยู่ตลอดอีกด้วย ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก เพราะนอกจากคนใกล้ตัวแล้วเธอก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครอีก"อือ ก็นิดหน่อย""ขอโทษค่ะ จะพยายามเบามือมากกว่านี้นะคะ"คนตัวเล็กตอบแล้วก็ค่อยๆบรรจงเช็ดรอบแผลต่อไป ความเงียบภายในห้องทำให้เสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ของเจนน่าเข้าหูพยาบาลจำเป็นจนคนตัวเล็กต้องเปิดบทสนทนาขึ้นมา"เจ็บก็ร้องออกมาค่ะ ไม่ต้องฝืนหรอก""เปล่าฝืนสักหน่อย""
หลังจากที่เจนน่าเอ่ยปากขอนอนค้างที่นี่ คนตัวเล็กก็เงียบคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง ดาราสาวค่อนข้างที่จะดีใจกับคำตอบเพราะไม่คิดว่าอีกคนจะยอม และหากหล่อนกล่าวปฎิเสธเธอก็จะกลับคอนโดอย่างไม่ดื้อดึง บอกตามตรงว่าตอนนี้เธอไม่มีแรงที่จะรังแกใครทั้งนั้น โดยเฉพาะข้าวหอมที่นอนหันหลังให้เธออยู่ตอนนี้กลิ่นตัวหอมๆผสมกับกลิ่นครีมอาบน้ำที่หวานอ่อนๆ ทำให้โดยรวมมันหอมละมุนไปหมดจนเจนน่าอดไม่ได้ที่จะฉวยโอกาสขยับตัวเข้าไปใกล้ ด้วยความที่เตียงไม่ได้ใหญ่มากนักทำให้พื้นที่ในการนอนมีจำกัด"คุณนอนได้หรือเปล่าคะ ถ้านอนไม่สบายฉันจะได้ไปนอนอีกห้อง"และเพราะเจนน่าขยับตัวไปมาจนอีกคนรู้สึกได้ทำให้ข้าวหอมเกรงว่าหล่อนจะนอนไม่สบาย มารยาทการเป็นเจ้าบ้านที่ดีคือทำให้แขกรู้สึกสบายใจ และเจนน่าก็ถือว่าเป็นแขกคนหนึ่งของเธอ"นอนได้สิ ก็ที่ฉันขอนอนกับเธอคืนนี้เพราะไม่อยากอยู่คนเดียว"คนข้างๆตอบออกมาตามตรง ด้วยข้าวหอมก็รู้เหตุผลแล้วว่านับหนึ่งนอนซมไข้อยู่ที่ห้องจากการบอกกล่าวของเธอ เพราะแบบนั้นเธอจึงไปนอนค้างด้วยไม่ได้"..."ข้าวหอมที่นอนหันหลังให้เจนน่าฟังคำตอบแล้วก็เงียบไปสักพักใหญ่ จนอีกคนคิดว่าหล่อนหลับไปแล้ว อีกทั้งห้องย
'ปิดชั่วคราว'ป้ายประกาศปิดชั่วคราวถูกคนตัวเล็กแขวนไว้ที่หน้าร้าน ชัั่วคราวของเธอในที่นี้หมายถึงสักหนึ่งหรือสองชั่วโมงเท่านั้น เพื่อนำเวลาตรงนี้ไปมอบให้กับดาราสาวน่าสงสารที่นั่งเขี่ยข้าวในจานมาสิบนาทีได้แล้ว"กับข้าวที่ฉันทำมันไม่อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอคะ"ข้าวหอมเดินมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับถามขึ้น วันนี้เธอตั้งใจทำต้มจืดเต้าหู้หมูสับหม้อใหญ่ให้กับคนตรงหน้าแล้วก็แม่ที่อยู่โรงพยาบาล หลังจากที่ตื่นมาพร้อมกับหัวใจที่เต้นผิดจังหวะเพราะเจ้าหล่อนนอนกอดเธอแน่นจนแทบขยับตัวไปไหนไม่ได้"ไม่รู้เหมือนกัน เพราะยังไม่ได้กิน"เจนน่าตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนกระทั่งมีเสียงเคาะกระจกจากหน้าร้านดังขึ้น'ก๊อกๆๆ'เจ้าของร้านตัวเล็กรีบวิ่งออกไปดูก็พบว่าเป็นนับหนึ่งที่เจนน่าเพิ่งโทรนัดไว้เมื่อชั่วโมงก่อน ข้าวหอมยิ้มรับพร้อมกับไขประตูให้เพื่อนคนใหม่ของเธอที่ดูจากสีหน้าแล้วคงอาการเดียวกับคนที่นั่งเขี่ยข้าวอยู่ด้านใน"เป็นไงล่ะแก เซอร์ไพรส์ฉันตั้งแต่ยังไม่หายป่วยเลยนะยะ"นับหนึ่งทักเพื่อนสาวด้วยใบหน้าหมดอาลัยตายอยากไม่ต่างกัน ในขณะเดียวกันเจ้าบ้านที่ดีก็ตักข้าวเสิร์ฟให้กับแขกมาใหม่ พร้อมด้วยกับข้าวอีกถ้วย
"นั่งยิ้มอะไรอยู่คนเดียวลูก"หญิงวัยกลางคนถามขึ้นในขณะที่กำลังรูดหนามกุหลาบ ตั้งแต่เมื่อวันก่อนลูกสาวของเธอดูแปลกไปเพราะปกติน้อยครั้งเหลือเกินที่ข้าวหอมจะจับโทรศัพท์ แต่ช่วงนี้เธอสังเกตเห็นลูกสาวเธอเล่นมือถือถี่กว่าเมื่อก่อนมาก หรือจะมีอะไร"ไม่มีอะไรค่ะแม่"คนตัวเล็กอมยิ้มแล้วตอบกลับไปพร้อมหลุบตาลงต่ำเพื่อเลี่ยงสายตาตั้งคำถามของคนเป็นแม่ ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนมาจับจ้องดอกไม้ในมือแทน"หรือหนูมีผู้ชายที่ไหน""ไม่ได้มีค่ะแม่!"คนเป็นแม่ถามขึ้นแล้วลุกเดินมาหาข้าวหอมทันที ลูกสาวที่เพิ่งแหวไปเมื่อครู่ถึงกับต้องคว่ำหน้าจอโทรศัพท์ลง แต่ก็ช้ากว่าอีกคนที่พลิกหน้าจอกลับมาเพื่อดูว่าในนั้นมันมีอะไรกันแน่ดวงตาของขนิษฐาเพ่งมองไปยังมือถือสลับกับใบหน้าของลูกสาวที่ทำหน้าตาเลิ่กลั่กราวกับว่าถูกจับได้ ทว่าหน้าจอที่เปิดอยู่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรนอกจากภาพดารา"นี่มันรูปแม่หนูคนนั้นนี่นา อย่าบอกนะว่าลูกแม่ชอบเขาน่ะ""หนูเปล่าสักหน่อยค่ะ"ข้าวหอมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ความจริงแล้วเธอไม่ได้ชอบเจนน่าสักหน่อย แค่ยินดีไปกับหล่อนเท่านั้นเองที่กลับมามีงานเหมือนเดิม แถมกระแสในโซเชียลก็ยังดีขึ้นด้วย ต่างกับอีกคนที่ถูกกระแสแง่
แขนยาวเสลาโอบกอดข้าวหอมเอาไว้เมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาซึ่งต้นเหตุมาจากเธอ ทั้งที่เธอก็ตกใจเช่นกันเพราะไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมาตลอดจะเป็นเรื่องจริง คนในอ้อมกอดหันกลับมากอดตอบเจนน่าเอาไว้อย่างไม่ลังเล เพราะข้าวหอมรู้ว่าอีกฝ่ายก็คงรู้สึกแย่ไม่ต่างกัน"ฉันขอโทษนะที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ดี"เจนน่าลูบหัวข้าวหอมอย่างอ่อนโยนพร้อมขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นจากใจจริง เธอรู้ว่าอีกคนเห็นอะไรมากกว่านั้นและต้องบอกเธอได้แน่ว่าใครคือฆาตกร ทว่าตอนนี้เธอยังไม่อยากถามอะไรมากมายนักเพราะภาพที่หล่อนเห็นมันน่าหดหู่เกินไป ซึ่งน่าจะกระทบกับจิตใจหล่อนพอสมควร"ผู้หญิงคนนั้นทาเล็บสีแดง วัยกลางคน""...""เธอคนนั้นเก็บบางอย่างไว้ในลิ้นชักตรงข้ามกับโต๊ะเครื่องแป้ง"เจนน่าพยายามนึกตามที่ข้าวหอมบอก แต่ก็ไม่มีใครที่เธอรู้จักในอดีตสักคนที่เป็นผู้หญิงวัยกลางคน ในตอนนั้นเธอมีเพียงพ่อและแม่เท่านั้น จะมีก็แต่เพื่อนของแม่ที่พ่อบอก คนที่เป็นเจ้าของร้านดอกไม้นั่นคนตัวสูงพยายามไม่มองไปทางกล่องสี่เหลี่ยมที่วางอยู่บนโต๊ะกระจก ซึ่งเธอจำได้ว่าในนั้นมีป้ายที่เป็นชื่อร้านพร้อมกับคำอวยพรสั้นๆ และนั่นคงจะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอตามตัวหญิงวั
มือถือของคนตัวเล็กถูกจิ้มเข้าที่สัญลักษณ์นกฟ้าในทันทีหลังจากวางสาย แฮชแท็กผู้หญิงเสื้อขาวขึ้นเทรนด์อันดับหนึ่งแทนที่ชื่อดาราสาวทันที หญิงสาวสองคนเพ่งมองหน้าจออันเล็กจนศีรษะชิดติดกัน นิ้วเรียวต่างผลัดกันเลื่อนไถฟีดข่าวที่มีแต่ภาพเธอสองคน โดยเฉพาะภาพแผ่นหลังเล็กๆของข้าวหอมซึ่งเป็นผู้หญิงที่ทุกคนกำลังตามหานอกจากนี้ยังมีภาพเธอที่ถูกถ่ายไว้เมื่อวันก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนเข็นวีลแชร์ให้เจนน่า หรือแม้แต่กระทั่งภาพที่เธอเดินอยู่ด้านหลังรถวีลแชร์โดยที่คนอื่นเป็นคนเข็นมัน โดยคอมเมนต์ส่วนใหญ่ไปในทางเดียวกันคือตามหาเธอ บ้างก็ว่าเธอสวย บ้างก็ว่าน่ารัก แต่ที่มากที่สุดคงจะเป็นความสงสัยว่าเธอเป็นใครกันแน่ เพราะโดยปกติแล้วทุกคนมักจะเห็นแค่นับหนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับเจนน่า การปารกฏตัวของเธอคงเป็นที่แตกตื่นสำหรับคนทั่วไป"แล้วฉันจะมีเพื่อนไม่ได้เลยหรือไง มาแอบถ่ายกันแบบนี้ฉันฟ้องได้นะ"เป็นดาราสาวที่พูดออกมาอย่างหงุดหงิด เธอถูกแอบถ่ายจนชินแล้ว แต่คนตัวเล็กที่นั่งข้างๆนี่เป็นเพียงคนธรรมดาๆ ไม่ใช่คนสาธารณะแบบเธอ เพราะแบบนั้นเธอถึงหงุดหงิดที่คนพวกนี้เอาข้าวหอมเข้ามาเกี่ยวด้วย ยิ่งภาพที่ถูกเผยแพร่ไ
"เรียบร้อยแล้วค่ะคุณตำรวจ ขอบคุณมากนะคะที่ให้เข้าเยี่ยม"เจนน่าเอ่ยบอกกับชายหนุ่มสองคนในเครื่องแบบหน้าห้องพักฟื้นแล้วยิ้มให้พวกเขาบางๆ ก่อนที่จะพยักหน้าบอกให้เพื่อนตัวเล็กเข็นวีลแชร์กลับห้องตัวเองโถงทางเดินหน้าห้องพักฟื้นมีคุณหมอและคุณพยาบาลเดินกันให้ควั่ก รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางร้ายในชีวิตจริงด้วยความสะใจ"แกคิดดีแล้วเหรอวะที่ทำแบบนี้อะ"นับหนึ่งโน้มตัวลงกระซิบข้างหูของดาราสาวในขณะที่ก็เข็นรถไปด้วย"แล้วมันไม่ดีตรงไหน ฉันไม่ได้ไปฆ่าใครตายสักหน่อย"เพื่อนตัวเล็กเบ้ปากมองบนเช่นเคยกับความแสบของคนป่วย ที่จู่ๆหล่อนก็ออกคำสั่งให้เธอรีบไปหาซื้อขวดยาสีชาแบบกะทันหัน ซ้ำยังย้ำนักย้ำหนาว่าเอาให้เหมือนตามต้นฉบับที่เป็นหลักฐานแบบเด๊ะๆ ลำบากเธอต้องขับรถวิ่งหาไปทั่วแค่เพราะเพื่อนตัวแสบอยากจะล้างแค้นคนร้ายด้วยความสันติสำหรับเธอคิดว่าการใส่น้ำเปล่าลงไปในขวดยามันก็ดีแต่ถ้าไม่ทำมันคงจะดีกว่า แค่คุณรตีต้องเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นแล้ว นี่หล่อนเล่นให้เสียไปยังสุขภาพจิตด้วยการหลอกว่าในขวดนั่นเป็นยาพิษชนิดเดียวกับที่คนร้ายเคยใช้ปลิดชีพคุณน้าจิตรา แถมยังเอามันกรอกปากคนเจ็บอีก
"น้องเจนน่าคะตอบคำถามพี่ด้วยค่ะ"'แชะๆๆ'"อาการตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ แล้วที่มีข่าวลือว่าหนีออกจากโรงพยาบาลจริงหรือเปล่าคะ""ตอบด้วยครับน้องเจนน่า สรุปเหตุการณ์ทั้งหมดคือยังไงครับ"นักข่าวจำนวนมากรุมจ่อไมค์พร้อมกล้องตัวใหญ่อีกหลายตัวที่สาดแฟลชสว่างวาบใส่เจนน่า ในขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีคุณพ่อเป็นคนเข็นให้และนับหนึ่งที่คอยกันนักข่าวออกไปมือนุ่มข้างหนึ่งยกขึ้นเพื่อให้นรุตม์หยุดเข็น ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ที่ตอนนี้กำลังพุ่งสูงปรี๊ด"ขอโทษนะคะพี่ๆ ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ ไม่ใช่ตลาดสดที่จะแหกปากได้ตามอำเภอใจ""..."ราวกับต้องมนต์สะกดเมื่อคำพูดกึ่งด่าหลุดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ผู้คนอาชีพเดียวกันต่างหลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบตาคมเฉี่ยวที่หันมามองตำหนิราวกับคาดโทษเอาไว้แทบทุกราย"แล้วก็ให้เกียรติเจนน่าด้วยค่ะ ตอนนี้กำลังเจ็บอยู่นะคะ ถ้าเข็นรถหนีไม่ยอมตอบคำถามก็คือไม่พร้อมตอบค่ะ""แต่พวกเราก็ต้องทำงานนะครับน้องเจนน่า เห็นใจพี่หน่อยนะครับ"เป็นผู้ชายร่างโตที่ถือไมค์เป็นโลโก้ช่องโทรทัศน์ชื่อดังที่ใจกล้าพูดออกมา ทันใดนั้นดวงตาเฉี่ยวจับจ้องไปที่เขาทันที เพียงไม่กี่วิที่ตาสบตา ชายร่างโ
สุดท้ายที่หล่อนปล่อยโฮออกมาแล้วก็พูดไปด้วย น้ำเสียงยังดูเป็นห่วงเป็นใยไม่ต่างกันกับที่ผ่านมา และเป็นเธอเองที่ขอบตาร้อนผ่าวปล่อยน้ำตาเม็ดโตออกมาทั้งที่พยายามกลั้น ไม่ว่าหล่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าหาเธออย่างใจเย็นแค่ไหน เธอก็ก้าวถอยหลังหนีไม่ต่างกัน"อย่าเข้ามานะ"ดาราสาวกลืนน้ำลายลงคอแล้วเปล่งเสียงแข็งกร้าวออกมากับดวงตาที่จ้องเขม็งไปยังคนตรงหน้า"ทำไมล่ะ ไม่ไว้ใจน้าแล้วเหรอ น้าไม่ทำอะไรหนูหรอกนะ นี่น้าไง น้าเอง"หล่อนพูดราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่สภาพตัวเองแทบจะดูไม่ได้ ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าที่มีแต่รอยเปื้อนสิ่งสกปรกเต็มไปหมด ความจริงหล่อนควรจะขอโทษเธอตั้งแต่เจอหน้ากันแล้วด้วยซ้ำ"นับหนึ่งอยู่ไหน"เจนน่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอต้องเล่นตามน้ำโดยการถามถึงเพื่อน คนร้ายยิ้มบางๆ แล้วตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ฟังไม่ขึ้น"หนูนับหนึ่งกลับไปก่อนหนูมานี่เอง ไม่ได้สวนกันหรอกเหรอ""แต่คุณบอกว่าจะฆ่าเพื่อนหนู คุณต่อรองกับหนูว่าจะมาที่นี่หรือจะเสียเพื่อนไป แล้วแบบนี้จะให้หนูคิดยังไง""น้าก็แค่ล้อเล่นเพราะอยากให้หนูมาหา น้าถูกใส่ร้ายนะเจนน่า ช่วยน้าด้วยนะ"หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าซึ่งเบาม
"คุณน้าจับตัวนับหนึ่งไป โลเคชันไกลจากที่นี่พอสมควร แล้วก็บอกว่าห้ามแจ้งตำรวจ"เจนน่าบอกกับข้าวหอมและหญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้วยกัน ทุกคนทำหน้าตกใจไม่ต่างกันจนกระทั่งข้าวหอมเหลือบตาเห็นดอกไม้ช่อเล็กๆ ที่วางไว้ใกล้ๆ กับกระเช้าผลไม้"เมื่อเช้านับหนึ่งเอาช่อดอกไม้มาเยี่ยม แต่คุณยังไม่ฟื้น""มันบ้าหรือเปล่าเนี่ย รู้ว่าฉันกลัวดอกไม้แล้วเอาดอกไม้มาให้ทำไม"เจนน่าแหวออกมาเป็นคำติติงเพื่อนสาวราวกับหล่อนแกล้งกัน แม้ว่าตอนนี้จะเป็นห่วงแทบขาดใจ"แน่ใจเหรอคะว่าคุณยังกลัวมันอยู่""..."ดาราสาวจ้องมองที่ช่อดอกไม้เล็กๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายเธอก็ไม่ได้รู้สึกขยะแขยงมันมากเท่าแต่ก่อนแล้ว ช่วงที่ข้าวหอมหลอกเอาดอกไม้ที่สวนนั่นมาเธอก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากจะเอามันไปทิ้งหรือหลับตาลงเพราะไม่อยากเห็นมือนุ่มเอื้อมจับที่กลีบดอกไม้เบาๆ พร้อมกลั้นใจ ทว่าก็ไม่ได้ฝืนใจมากกว่าที่เคย เพราะสิ่งตรงหน้ามันก็แค่ดอกไม้ธรรมดาๆ ไม่ได้มีพิษภัยอะไร หรือการที่นับหนึ่งเอามันมาก็เพื่อจะให้เธอรู้ตัวเองว่าเธอไม่ได้รู้สึกกับพวกมันเหมือนเดิมอีกแล้ว"ฉันสามารถมองเห็นได้ทั้งอดีตและอนาคต คุณรอสักแปปหนึ่งนะคะ
หลังจากที่รตีย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังโตทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดี เธอเริ่มคุ้นชินกับชื่อและนามสกุลใหม่ นรุตม์ก็ดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี ติดแต่เพียงว่าหนูน้อยไม่ยอมเรียกเธอว่าแม่สักที"เจนน่า น้าทำข้าวกล่องไว้ให้น่ะ"ทุกๆเช้าเธอมักจะบอกกับเจนน่าในวัยสิบแปดปีว่าทำข้าวกล่องไว้ให้ ในช่วงแรกเด็กสาวเกรงใจดูน่ารักน่าเอ็นดู ทว่านานวันเข้ายิ่งเปลี่ยนไปเมื่อเธอมักตามใจเขาทุกอย่าง"คุณน้าคะ พรุ่งนี้เจนน่าอยากกินผัดกะเพรา"เด็กสาวเอ่ยปากบอกกับแม่เลี้ยงตอนค่ำ เพื่อที่ข้าวกล่องในวันพรุ่งนี้จะได้เป็นเมนูที่อยากกิน คุณน้ารดาสุดใจดีหันมายิ้มบางๆให้กับเธอก่อนจะปฏิเสธ"ใบกะเพราหมด ไว้พรุ่งนี้กลับมาจากโรงเรียนแล้วค่อยกินได้ไหมคะ เดี๋ยวน้าจะทำไว้รอ""ไม่ เจนน่าจะกินตอนเที่ยงพรุ่งนี้ คุณน้ารดาต้องทำให้เจนน่าค่ะ"เพราะเธอรักเจนน่าเหมือนลูกในไส้ แม้ว่าเด็กสาวจะเอาแต่ใจหรือพูดจาไม่ดีกับเธอมากแค่ไหนเธอก็ไม่เคยคิดโกรธ มิหนำซ้ำยังพยายามหาสิ่งที่หล่อนอยากได้มาให้ทุกครั้งไปโชคดีเหลือเกินที่ฐานะทางการเงินของเธอนั้นดีมาก ดียิ่งกว่านรุตม์หลายเท่า ทำให้ไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่หากจะหาของดีๆมีราคามาให้กับเด็กสาวจนห
สวนดอกไม้เล็กๆ ณ บ้านหลังหนึ่งในประเทศรัสเซียที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสายพันธุ์ สีสันสวยงามน่ามองที่เกิดจากเจ้าของบ้านซึ่งชอบในการเพาะพืชและดอกไม้ทุกชนิด พาเอาลูกสาวคนเดียวชื่นชอบมันไปด้วย เด็กหญิงรตีในวัยหกขวบกำลังตัวเล็กน่ารัก ชอบสังเกต ชอบพิสูจน์และเป็นเจ้าหนูจำไมจนเป็นที่รักของทุกๆคน"คุณแม่ขา อันนี้เรียกว่าดอกอะไรเหรอคะ ทำไมคุณแม่ต้องกั้นรั้ว"เด็กน้อยตัวเล็กเอ่ยถามผู้เป็นแม่เสียงเจื้อยแจ้วเมื่อเห็นดอกไม้สีที่เธอชอบถูกกักขังอยู่ในกรงเหล็ก ซึ่งไม่ว่าคุณแม่จะพาเธอเที่ยวชมสวนหน้าบ้านกี่ที เจ้าดอกนี้ก็ไม่เคยเป็นอิสระเลยสักครั้ง"อันนี้เรียกว่าดอกอะโคไนต์ลูก เป็นดอกไม้มีพิษน่ากลัวนะ แม่เลยกลัวว่าหนูจะไปจับมันไงคะ""แล้วแบบนี้มันจะเบื่อไหมคะ อยู่แต่ในกรง"แม้ว่าเด็กหกขวบทั่วไปจะพอรู้ความแล้ว แต่กับรตีเป็นเด็กที่มีจินตนาการล้ำเลิศ ซึ่งเธอได้ยินมาว่าพืชทุกชนิดล้วนมีชีวิต เพราะแบบนั้นเธอจึงเอ่ยถามคุณแม่ออกไปอย่างใสซื่อ ถ้าหากเป็นเธอที่ถูกขังอยู่ในกรงนั่นคงเบื่อน่าดู"ฮ่าๆๆ ไม่เบื่อหรอกนะลูก ในกรงก็มีดอกไม้เป็นเพื่อนกันตั้งหลายดอกเห็นไหม ถ้าหนูชอบมันเดี๋ยวแม่เล่านิทานเกี่ยวกับมันให้ฟังเอาไหม
คนร้ายมองหน้าผีตัวปลอมตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เด้งตัวลุกขึ้นจนทำให้คนที่เหยียบอกอยู่ล้มลงกับเตียง เขาเอี้ยวตัวเปิดลิ้นชักหัวเตียงแล้วใช้มือหยาบกร้านหยิบปืนพกขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว ในขณะเดียวกันคนใต้เตียงก็ออกมาจากที่ซ่อนเพื่อพยุงข้าวหอมที่เสียหลัก โดยเจนน่าที่ยังซ่อนตัวอยู่กดโทรออกหาตำรวจเป็นที่เรียบร้อย"อย่าอยู่เลยพวกมึง!"เสียงทุ้มตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาลพร้อมยกกระบอกปืนขึ้นเล็งไปยังหญิงสาวตัวเล็กสองคน ทว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ค่อยๆย่องออกมา ใช้โอกาสที่คนร้ายยังไม่เห็นเธอหยิบขวดน้ำเปล่าขึ้นมาแล้วโยนขึ้นไปกระแทกกับหลอดไฟ'เพ้ง'ทันใดนั้นหลอดไฟที่ถูกหมุนไว้ตั้งแต่แรกร่วงลงพื้นทันที เสียงแตกกระจายของมันเรียกร้องความสนใจของคนร้ายให้หันไปมอง นั่นทำให้เจนน่าฉวยโอกาสพุ่งตัวเข้าไปเพื่อยื้อแย่งปืนที่อยู่ในมือของอีกคน"เชี่ย แสบนักนะพวกมึง!"เพราะความที่คนร้ายเป็นผู้ชายซึ่งมีแรงมากกว่า คนตัวเล็กอีกสองคนเลยวิ่งเข้าไปรุมทึ้งด้วย โดยนับหนึ่งใช้เชือกเส้นหนาที่ซื้อมารัดคอของคนร้ายสุดแรงจนเขาแทบลิ้นจุกปากเพราะขาดอากาศหายใจ ทว่ามือหยาบกร้านก็ยังคงจับปืนไว้มั่น ซึ่งพวกเธอแน่ใจว่าถ้าหากให้เขายิงป
"กลิ่นเหม็นคาวจากไหนวะ"เสียงแหบพร่าของชายวัยกลางคนดังขึ้นหลังจากที่ข้าวหอมเริ่มลงมือแง้มถุงเลือดหมูอย่างเงียบๆ ก่อนที่เธอจะค่อยๆนำของเหลวสีแดงฉานป้ายไปตามใบหน้าลำคอ รวมไปถึงเสื้อผ้าและผิวขาวทั่วตัว หากสังเกตเพียงเท้าที่คนใต้เตียงเห็น คนร้ายกำลังเดินวนไปรอบห้องคล้ายคนเมาเพื่อหาต้นตอของกลิ่น แต่เพราะความมืดที่แทบมองไม่เห็นทำให้เขาเดินเตะขาเก้าอี้จนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด"โอ้ย! แม่งเอ้ย ไอเก้าอี้บ้า กูนอนก็ได้วะ!"จากที่ทรงตัวไม่ค่อยอยู่กลายเป็นว่าสองขาของเขาเดินกะเผลกมาข้างเตียงแล้วทิ้งตัวลงด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่ปลายผ้าห่มผืนหนาจะถูกดึงขึ้นไป นั่นทำให้หญิงสาวสองคนรู้ว่าคนร้ายกำลังห่มผ้านอนแล้วมือเล็กของนับหนึ่งแกล้งดึงชายผ้าห่มที่โผล่พ้นใต้เตียงด้านข้างให้ขยับเบาๆเป็นการกระตุกขวัญให้คนบนเตียงกลัวเล่นๆ เพราะเตียงดูยวบยาบอยู่หลายหนนั่นดูเหมือนว่าคนร้ายจะนอนไม่สบายสักเท่าไหร่นับหนึ่งจึงคลานไปกระตุกชายผ้าที่ปลายเตียงแทน ผ้าห่มผืนหนาค่อยๆเลื่อนออกจากตัวของชายวัยกลางคนจนเขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ"คงไม่มีอะไรหรอก อิเด็กนั่นมันก็แค่พูดจาเพ้อเจ้อไปแบบนั้นแหละ"คนบนเตียงพึมพำกับตัวเ