เช้าวันต่อมา
ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้กอหญ้าค่อย ๆ ขยับตัวเข้าไปหาความอบอุ่นที่เธอซุกตัวนอนหลับมาตลอดทั้งคืนกลิ่นน้ำหอมที่ไม่คุ้นจมูกดั่งนาฬิกาปลุกที่ชวนให้เด็กสาวค่อยๆลืมตาตื่นด้วยความรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกายราวกับถูกรถขนาดใหญ่บดทับจนรู้สึกร้าวไปทุกส่วน
กลิ่นหอมที่ยังคงลอยมาแตะจมูกทำให้กอหญ้าค่อยๆเงยหน้าขึ้นจนกระทั่งหน้าผากของเธอสัมผัสเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่นุ่มหยุ่นราวกับก้อนเต้าหู้เด็กสาวถึงกับชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่ใบหน้าของเธอจะเผยความละอายใจออกมา
นี่เมื่อคืนเธอเมามากจนเผลอเข้ามานอนห้องของผิงผิงเลยเหรอเนี่ย แต่เอ๊ะ!! หรือว่าเมื่อคืนเธอเผลอมีเรื่องตบตีกับสายขิมจนถูกผิงผิงลากกลับห้องมานะ
กอหญ้าขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมพยายามนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแต่ไม่ว่าเธอจะพยายามนึกเท่าไรเธอก็นึกไม่ออกในขณะที่กำลังว้าวุ่นใจคนข้างกายที่กำลังนอนหลับสนิทก็พลันขยับเข้ามาใกล้ๆพร้อมดึงเธอเข้ามาซุกตรงซอกคอของเขาทำให้ความคิดที่กำลังจมดิ่งวนอยู่ในอ่างเล็กที่ยังหาคำตอบไม่ได้ของกอหญ้าพลันกลับคืนมา
“นอนดีๆหน่อยได้ไหมผิงผิง”
กอหญ้าเอ่ยบอกคนข้าง ๆ ที่เธอคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทพร้อมขยับใบหน้าออกมาจากบริเวณซอกคอที่เธอซุกอยู่จนกระทั่งสายตาของเธอปะทะเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นแกะสลักฝีมือไมเคิลแองเจโล จิตรกรชื่อดังของอิตาลี
ดวงตาคู่สวยพลันเบิกกว้างมองคนที่นอนอยู่เคียงข้างด้วยความตื่นตระหนกตกใจหัวใจของเธอพลันดีดตัวหนึ่งทีแล้วเต้นแรงขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุสองมือรีบยกขึ้นปิดปากเอาไว้เมื่อเธอเกือบจะหลุดเสียงกรีดร้องออกมาให้คนที่กำลังนอนหลับสนิทตกใจตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับเธอที่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าทำไมคนที่นอนอยู่ข้างๆเธอถึงได้กลายเป็นผู้ชายหน้าตาดีคนนี้ไปได้
“นี่ตกลงว่าเราเข้าห้องผิดหรือถูกลากเข้ามาในห้องนี้กันแน่วะกอหญ้า”
กอหญ้าพึมพำเสียงเบาหวิวด้วยความคิดที่สับสนวุ่นวายก่อนที่เอวของเธอจะถูกคนที่กำลังนอนหลับยื่นมือมารวบทีเดียวเธอก็กลับเข้าไปนอนซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง วินาทีที่ริมฝีปากของเขาแนบลงบนแก้มของเธอภาพความทรงจำที่เธอพยายามนึกถึงก็ค่อยๆไหลเข้ามาในหัวราวกับเขื่อนแตก
เรื่องระหว่างเขาและเธอมันเริ่มจาก...
บาร์
“เบาได้เบาเว้ยเพื่อนตั้งแต่เข้ามามึงซัดไปหลายแก้วแล้วนะ”
ซันนี่เอ่ยเตือนกอหญ้าด้วยความเป็นห่วงเธอไม่ได้ห่วงกลัวว่าโรคตับแข็งจะถามหาเพื่อนหรอกนะแต่เธอกลัวว่าเพื่อนสนิทของเธอจะเมาจนทิ้งคำว่า สติ เอาไว้ที่บาร์น่ะสิถ้าไม่เชื่อทุกคนก็รอดูคืนนี้ได้เลย
“มึงจะห้ามมันทำไมว่ะซัน...”
“ซันนี่จ้ะซันนี่ กรุณาเรียกชื่อกูให้ถูกด้วยผิงผิง”
ผิงผิงยังพูดไม่ทันจบประโยคซันหรือซันนี่เพื่อนชายที่ใจเป็นหญิงเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มก็รีบเอ่ยทักท้วงให้ผิงผิงเรียกชื่อเธอให้ถูกทันที
“เออ ซันนี่ก็ซันนี่ มึงนี่ก็ย้ำกูจังเผลอนิดเดียวรีบท้วงเลยนะ”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว ก็ในเมื่อกูเปลี่ยนชื่อเป็นซันนี่แล้วมึงก็ต้องเรียกชื่อกูให้ถูกด้วย”
“พวกมึงนี่ก็ขยันกัดกันเหลือเกินนะ สามวันดีสี่วันไข้ไม่เบื่อมั้งไง”
กอหญ้าเหน็บให้เพื่อนสนิททั้งสองคนที่ยักไหล่น้อยๆอย่างไม่แยแสกับคำพูดของเธอก่อนที่ทั้งสองคนจะยกแก้วเหล้าขึ้นจิบเบาๆซึ่งตรงข้ามกับกอหญ้าที่ยกแก้วตรงหน้าขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมดแก้วด้วยสีหน้าเรียบสนิทราวกับว่าเธอกำลังดื่มน้ำเปล่าอย่างไรอย่างนั้นเลย
“ถ้ามึงจะยกซดเหมือนลำยองขนาดนี้เมาขึ้นมากูไม่แบกกลับห้องนะบอกไว้ก่อน”
ซันนี่รีบพูดออกตัวก่อนคนแรกเมื่อดูแล้วเห็นท่าคืนนี้กอหญ้าคงจะเมาจนลืมสติเอาไว้ที่บาร์แห่งนี้แน่ ๆ
“กูมีขาเดินหลับห้องเองได้มึงไม่ต้องห่วง”
กอหญ้ายกมือขึ้นตบหลังเพื่อนเบา ๆ ก่อนที่เธอจะคีบน้ำแข็งใส่แก้วและชงเหล้าเข้มๆให้ตัวเอง
“ระวังเอาไว้บ้างก็ดีนะ วันนี้ขาของมึงอาจจะพามึงเดินเข้าห้องผิดก็ได้ใครจะไปรู้ล่ะจริงไหม”
ผิงผิงเอ่ยแซวกอหญ้าที่รีบยกนิ้วขึ้นส่ายไปมาเป็นเชิงปฏิเสธคำกล่าวหาของเพื่อนรักที่กำลังดูถูกความสามารถในการเอาตัวรอดของเธออยู่ต่อให้เธอเมามากแค่ไหนเธอก็ไม่มีวันเข้าห้องผิดหรอก..มั้งนะ
“ไม่มีทางแน่นอน”
กอหญ้าพูดขึ้นด้วยความมั่นใจเพราะสกิลการดื่มของเธอนั้นถือว่าคอแข็งใช้ได้ทีเดียวโดยที่เธอไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเวลาที่ตัวเองเมานั้นสติที่เคยเต็มร้อยกลับเหลือน้อยจนแทบเท่ากับศูนย์
“ว่าแต่นังสายขิมมันเป็นอะไรมากปะ กูเห็นมันนั่งจ้องหน้ามึงตั้งแต่เข้ามาแล้ว”
คำพูดของผิงผิงทำให้กอหญ้าคิดถึงเรื่องฝึกงานของเธอที่เกิดความผิดพลาดขึ้นและไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลยเมื่อทางบริษัทที่ทางมหาวิทยาลัยส่งเรื่องไปตอบรับเธอเข้าฝึกงานเรียบร้อยแล้วซึ่งความผิดพลาดในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเธอหรือสายขิมคู่อริเบอร์หนึ่งของเธอแต่อย่างใด
“คงหงุดหงิดมั้งที่ไม่ได้ไปฝึกงานบริษัทที่ตัวเองเล็งเอาไว้ตั้งแต่ตอนแรก”
คำพูดของกอหญ้าทำให้คิ้วของซันนี่และผิงผิงพร้อมใจขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยเพราะเรื่องฝึกงานของพวกเธอเพิ่งจะเสร็จเรียบร้อยไปเมื่อไม่กี่วันนี้นี่เอง
“หงุดหงิดเรื่องที่ฝึกงานแล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึงด้วยวะกอหญ้า”
ซันนี่เอ่ยถามกอหญ้าเพื่อให้คลายข้อสงสัยที่กำลังก่อตัวเป็นเกลียวคลื่นอยู่ในใจ
“ไม่เกี่ยวได้ยังไงก็ในเมื่อบริษัทที่มันอยากจะไปฝึกงานดันสลับกับกูน่ะสิ”
“ห๊ะ มึงว่ายังไงนะ”
ผิงผิงกับซันนี่พร้อมใจกันตะโกนถามกอหญ้าอีกครั้งด้วยความตกใจทำให้คนที่เพิ่งบอกสาเหตุที่สายขิมเอาแต่จ้องหน้าเธอได้แต่ยกมือขึ้นปิดหูเอาไว้ราวกับกลัวหูดับ
“แล้วพวกมึงจะพากันตะโกนทำไมเนี่ย”
กอหญ้าต่อว่าสองสาวที่ไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดของเธอเลยแม้แต่น้อยแถมตอนนี้ทั้งคู่ยังพากันจ้องหน้าเธอเพื่อรอฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นตาไม่กระพริบอีกด้วย
“ก็ไม่มีอะไรมาก อาจารย์เขาแค่หยิบเอกสารของกูกับมันสลับกันน่ะก็เลยทำให้กูต้องไปฝึกงานที่ AK Group ส่วนมันก็ไปแทนกูแค่นั้นเอง”
“เดี๋ยวนะกอหญ้า นี่มึงไม่คิดที่จะเล่าเรื่องนี้ให้พวกกูฟังบ้างหรือไง”
ผิงผิงเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่ส่ายหน้าไปมาน้อยๆราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญมากพอที่จะต้องเล่าให้เธอกับซันนี่ฟัง
“ก็มันไม่ใช่เรื่องสำคัญสักหน่อยในเมื่อมึงก็ฝึกงานที่บริษัทของป๊ามึง ส่วนมึงก็ฝึกงานที่บริษัทของครอบครัวมึง ส่วนกูก็แค่ดวงไม่ดีถูกสลับที่ฝึกงานแค่นั้นเอง”
กอหญ้าบอกเพื่อนด้วยท่าทีที่ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเพราะเธอมองว่าการฝึกงานไม่ว่าจะฝึกที่ไหนเธอก็ต้องตั้งใจทำงานออกมาให้ดีที่สุดเพื่อให้ผ่านการฝึกงานก็แค่นั้นเอง
“สำหรับมึงอะไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่สำหรับนังสายขิมกูว่ามันคงสำคัญมากแน่ ๆ ดูจากสายตาที่กำลังมองมาที่มึงราวกับจะฉีกเนื้อมึงออกเป็นชิ้น ๆ แล้ว มันคงกำลังโกรธมึงจนแทบอยากจะอาละวาดเลยแหละ”
ความคิดเห็นของซันนี่ทำให้กอหญ้าเพียงปรายตามองสายขิมที่กำลังจ้องมาที่เธอด้วยสายตาที่จงใจแสดงออกให้เธอรู้ว่าโกรธและเกลียดเธอมากเพียงไรเพียงแวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่เธอจะหันมาสนใจแก้วเหล้าตรงหน้าต่อเพราะเรื่องที่ฝึกงานเธอเคลียร์กับสายขิมไปตั้งแต่สามวันก่อนที่พวกเธอกับเพื่อนๆในห้องจะเดินทางมาเที่ยวพักผ่อนก่อนออกฝึกงานแล้ว
สำหรับกอหญ้าเธอจบเรื่องไปตั้งแต่วันที่ฟาดฝีปากใส่กันที่หน้าห้องน้ำแล้วส่วนสายขิมจะจบหรือไม่จบก็ช่างหัวสายขิมปะไรเธอไม่เก็บมาคิดให้เปลืองพื้นที่ในสมองหรอก อย่างวันนี้เรื่องที่สายขิมกำลังนั่งจ้องเธอด้วยสายตาโกรธเกลียดถ้าซันนี่ไม่พูดขึ้นมาเธอก็คงไม่รู้เพราะกอหญ้าไม่ได้ให้ความสนใจในตัวสายขิมเลยแม้แต่น้อย
“ช่างหัวมันปะไรอยากจะโกรธหรือเกลียดกูก็ตามสบาย เพราะตั้งแต่ปีหนึ่งมันก็ไม่เคยรักกูอยู่แล้วนี่นาจริงไหม?”
กอหญ้าเอ่ยบอกเพื่อนอย่างคร้านจะใส่ใจให้เสียเวลาก่อนที่เธอจะนั่งดื่มต่อจนเริ่มรู้สึกมึนหัวเล็กน้อยแต่รสชาติที่ขมปลายลิ้นหวานล้ำเมื่อไหลสู่ลำคอของเหล้าราคาแพงตรงหน้า ทำให้กอหญ้าตัดใจเลิกดื่มไม่ลงเธอยังคงนั่งดื่มกับเพื่อนไปเรื่อย ๆ แก้วแล้วแก้วเล่าจนกระทั่งซันนี่และผิงผิงเริ่มคุยกับเธอด้วยลิ้นที่พันกันเธอก็ยังคงไม่เลิกดื่ม
“เดย์ ธัน เรารบกวนแบกผิงผิงกับซันนี่ไปส่งที่ห้องพักหน่อยสิดูท่าคงจะเมาจนดื่มไม่ไหวแล้ว”
เมื่อเห็นสภาพของเพื่อนสนิททั้งสองคนที่พากันเมาจนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะกับโซฟากอหญ้าก็หันไปเอ่ยขอความช่วยเหลือจากเพื่อนผู้ชายในห้องให้พาทั้งสองคนขึ้นไปส่งที่ห้องพัก ซึ่งสองหนุ่มเมื่อได้รับคำไหว้วานทั้งคู่ก็ไม่รอช้าที่จะเข้ามาพยุงเพื่อนในห้องที่เมาไม่ได้สติเพื่อพาขึ้นไปส่งตามคำขอของสาวสวยที่กำลังฉีกยิ้มให้พวกเขาด้วยแววตาหยาดเยิ้ม
“แล้วกอหญ้าล่ะไม่กลับห้องพร้อมสองคนนี้เหรอ?”
เดย์หันมาถามกอหญ้าที่ยังคงนั่งดื่มต่อไม่ยอมลุกขึ้นเดินตามพวกเขามาด้วยความสงสัยเพราะตอนนี้ในบาร์เพื่อน ๆ ในห้องต่างก็เริ่มพากันแยกย้ายกลับห้องพักแล้ว
“เราขออยู่ต่ออีกสักพักก็แล้วกันเหล้ากำลังหวานทำใจเลิกดื่มไม่ได้จริงๆ”
คำตอบที่ติดตลกของกอหญ้าทำให้เดย์ได้แต่หลุดยิ้มขำก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจและค่อย ๆ พยุงผิงผิงเดินจากไปทิ้งให้กอหญ้านั่งดื่มเพียงลำพัง
ขอแก้วนี้แก้วสุดท้ายก็แล้วกัน
เมื่อเริ่มรู้สึกมึนและเมาจนมองเห็นภาพตรงหน้าไม่ค่อยชัดเจนกอหญ้าก็บอกตัวเองว่าให้ดื่มแก้วที่เธอเพิ่งชงเป็นแก้วสุดท้ายก่อนที่เธอจะยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมดแก้วด้วยความชื่นใจ
“ฮ่า เหล้ายี่ห้อนี้หวานชะมัด เอิ๊ก”
เสียงหวานพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ทิ้งท้ายก่อนที่เธอจะค่อย ๆ ลุกขึ้นจากโซฟาและสะบัดหน้าไปมาแรง ๆ สองสามครั้งเพื่อเรียกสติจากนั้นร่างบางที่อยู่ในชุดสายเดี่ยวสุดเซ็กซี่เข้าชุดกับกระโปรงสั้นที่โชว์เรียวขาเนียนสวยก็ค่อย ๆ เดินออกไปจากบาร์ด้วยอาการซวนเซเล็กน้อยเมื่อสติที่เคยเต็มร้อยนั้นเหลือน้อยเต็มทีแล้ว
ติ้ง
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกกอหญ้าก็พาตัวเองเดินเข้าไปพร้อมพยายามเพ่งมองตัวเลขตรงหน้าเพื่อกดไปยังชั้นห้องพักของเธอแต่เพราะว่าดื่มมากเกินไปตัวเลขตรงหน้าถึงได้ดูลายตาไปหมด เธอพยายามเพ่งมองอีกครั้งนิ้วเรียวจึงจิ้มลงบนเลข ๆ หนึ่งที่เธอมั่นใจว่ามันคือชั้นห้องพักของเธออย่างแน่นอนทั้ง ๆ ที่ชั้นที่กดลงไปนั้นคือชั้นห้องพักสำหรับเจ้าของโรงแรมแห่งนี้เท่านั้น
“อ๊ะ ถึงแล้ว”
เมื่อประตูเปิดออกยังชั้นที่พักของเธอกอหญ้าก็รีบหอบร่างของตัวเองออกมาจากลิฟต์ทันทีซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับใครบางคนที่กำลังวางสายจากเลขาคู่ใจอยู่พอดี เสียงประตูลิฟต์ที่เปิดออกทำให้ภีมวัจน์ที่กำลังจะเปิดประตูเข้าห้องชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหันไปมองร่างบางที่กำลังเดินออกมาด้วยอาการเซจนแทบพยุงตัวเองเอาไว้ไม่อยู่
หึ แค่มานอนให้ฉันกระแทกถึงกับต้องดื่มเหล้าย้อมใจ
ภีมวัจน์ได้แต่คิดอยู่ในใจเงียบ ๆ ก่อนที่เขาจะมองสาวสวยในชุดเซ็กซี่ที่แทบจะปิดบังเรือนร่างเย้ายวนของเธอไม่มิดอีกครั้งด้วยความสนใจใบหน้าสวยเฉี่ยวที่ยิ่งมองก็เหมือนยิ่งต้องมนต์สะกดทำให้ภีมวัจน์ตัดสินใจก้าวยาว ๆ เข้าไปกระชากแขนของเธอให้เดินตามเขาเข้ามาที่ห้อง
ปัง
เสียงประตูที่ปิดลงไม่ได้ทำให้สติของกอหญ้ากลับคืนมาเลยแม้แต่น้อยร่างบอบบางของเธอถูกพันธนาการอยู่ภายใต้วงแขนใหญ่ของภีมวัจน์ที่กำลังมองดวงหน้างามของผู้หญิงตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลงใหลไปชั่วขณะ
“เอิ๊ก ปวดหัวอะอยากนอนแล้ว”
กอหญ้าพึมพำเสียงเบาด้วยความรู้สึกปวดศีรษะจนแทบจะระเบิดเมื่อแอลกอฮอล์ที่เธอดื่มเข้าไปเป็นจำนวนมากกำลังออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพในขณะที่ภีมวัจน์กลับตีความหมายคำพูดของเธอไปอีกทาง
“หึ เธอได้นอนทั้งคืนสมใจแน่ ๆ คนสวย แต่นอนให้ฉันกระแทกนะทูนหัวไม่ใช่นอนหลับ”
จบประโยคริมฝีปากสีไวน์ก็ก้มลงบดขยี้กลีบปากนุ่มสีแดงเพลิงช่วงชิงจูบแรกไปจากร่างบางของกอหญ้าที่เมามายจนแทบไม่ได้สติทำให้เธอหลงคิดไปเองว่าลมหายใจอุ่นร้อนที่กำลังเป่ารดใบหน้าของเธอ ริมฝีปากที่เจือไปด้วยลมหายใจหอมกรุ่นที่กำลังบดจูบเธออย่างดูดดื่ม มือใหญ่ที่กำลังสัมผัสและบีบเคล้นไปทั่วร่างกายของเธอจนรู้สึกเสียวสะท้านนั้นคือความฝันที่แสนหวาบหวามฝันที่เธอบอกตัวเองว่ามันคือฝันดีที่สุดในค่ำคืนนี้
“กะ กรี๊ด อุ๊ป”กอหญ้ารีบยกมือขึ้นปิดปากเอาไว้ทันทีเมื่อเธอเผลอกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจกับภาพฉากเมคเลิฟที่ร้อนแรงยิ่งกว่าหนังเอวีที่เคยดูระหว่างเธอกับเขาก่อนที่ดวงตากลมโตจะเหลือบมองร่างสูงของคู่กรณีที่กำลังนอนหลับสนิทคล้ายอิ่มเอมใจที่ได้เชยชมเธอตลอดราตรีที่ผ่านมาสองมือที่ยกขึ้นปิดปากเอาไว้อย่างแน่นหนาพลันเงื้อขึ้นสุดแรงด้วยความโมโหในจังหวะที่มือของกอหญ้าใกล้จะสัมผัสกับใบหน้าหล่อเหลาของคนที่กำลังนอนหลับอยู่กอหญ้าก็พลันยั้งมือของตัวเองเอาไว้อย่างกะทันหันเมื่อรู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาหล่อขนาดนี้เธอทำใจให้หน้าของเขามีรอยแดงจากฝ่ามือของเธอไม่ได้จริงๆคิดได้ดังนั้นกอหญ้าจึงค่อยๆลดมือลงและทิ้งแนบลำตัวในที่สุด“เฮ้อ เจอคนหล่อมาตั้งเยอะแยะแต่ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้หล่อขนาดนี้นะ” กอหญ้าถอดถอนใจด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่หลงเสน่ห์ผู้ชายที่หน้าตาแต่ทำไมเธอถึงตัดใจประทุษร้ายผู้ชายที่มอบรอยราคีคาวให้เธอคนนี้ไม่ลงกันนะกอหญ้าครุ่นคิดด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง ปกติแล้วเธอไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายที่หลงใหลผู้ชายหน้าตาดีเลยแม้แต่น้อยต่อให้หล่อแค่ไหนกอหญ้
“นี่คุณเดินช้าๆหน่อยได้ไหม” กอหญ้าเอ่ยท้วงร่างสูงที่เอาแต่จูงมือเธอเดินไปข้างหน้าด้วยความไม่พอใจเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่ใจกลางความเป็นสาวจนแทบจะเดินไม่ไหวส่งผลให้ร่างสูงที่กำลังกึ่งจูงกึ่งลากมือของเธอให้เดินตามเขาไปพลันชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขารีบปล่อยมือของกอหญ้าให้เป็นอิสระทันที ไออุ่นที่มือเรียวเล็กของเธอได้รับก่อนหน้านี้ค่อยๆจางหายไปเมื่อร่างสูงของคนตรงหน้าปล่อยมือกอหญ้ากะทันหันทำให้หญิงสาวนึกเสียดายไม่น้อยคนบ้านึกอยากจะจับก็จับนึกอยากจะปล่อยก็ปล่อยกอหญ้าแอบค่อนขอดภีมวัจน์อยู่ในใจปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่ชอบให้ใครมาจับมือถือแขนตามอำเภอใจถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทแต่สำหรับผู้ชายที่กำลังยืนจ้องหน้าเธอด้วยสายตาเย่อหยิ่งคนนี้ความคิดที่อยากจะกระชากมือของตัวเองออกจากมือใหญ่ของเขานั้นไม่มีเลยแม้แต่น้อยนี่เธอคงไม่ได้หลงเสน่ห์ของเขาจนหน้ามืดตามัวไปแล้วใช่ไหม?กอหญ้าลอบถามตัวเองอยู่ในใจพร้อมใช้ดวงตากลมโตมองสบสายตาของคนตรงหน้าที่ก็กำลังมองมาที่เธอด้วยสายตาเย็นชาไร้ความอบอุ่นทำให้หญิงสาวได้แต่นึกหมั่นไส้ก่อนที่ภาพความทรงจำระหว่างเธอและเขาจะผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้งเมื่อคืนร้อนแร
หลังจากกอหญ้าหันหลังเดินจากมาอย่างไม่ใยดีเธอก็ย้อนกลับมาที่ห้องอาหารของโรงแรมอีกครั้งแต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เดินเข้าด้านในใครบางคนที่เฝ้ารอการกลับมาของเธออยู่นานแล้วก็รีบพุ่งตัวออกมายืนขวางทางเดินของเธอเอาไว้ทำให้เรียวขาสวยของกอหญ้าพลันต้องหยุดชะงักไปเล็กน้อยสายขิมที่พุ่งออกมาขวางทางกอหญ้าค่อยๆไล่สายตามองตั้งแต่หน้าผากกว้างขาวผ่องเกลี้ยงเกลาลงมายังคิ้วที่วาดให้โก่งงามดุจกิ่งลิ่วและค่อยๆเคลื่อนผ่านแพขนตางอนยาวที่ไร้การปัดแต่งไล่ระดับลงมาจนถึงจมูกโด่งรั้นที่บอกเธอว่าคนตรงหน้านั้นค่อนข้างมีนิสัยดื้อรั้นและไม่ยอมใครเช่นเดียวกับเธอสุดท้ายสายขิมจึงหยุดสายตาอยู่ที่ริมฝีปากแดงนุ่มของกอหญ้าที่ไม่รู้ไปทำอะไรมาถึงได้ดูบวมขึ้นเล็กน้อยจากเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด“แกรู้จักกับพี่ภีมได้ยังไง”คิ้วงามของกอหญ้าขมวดเข้าหากันเล็กน้อยขณะช้อนสายตาขึ้นมองเจ้าของคำถามที่กำลังมองมาที่เธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจซึ่งแฝงเอาไว้ด้วยความอิจฉาริษยาเมื่อเห็นว่าภีมวัจน์จูงมือของกอหญ้าออกไปจากห้องอาหารของโรงแรม“ภีมไหน ใครคือภีมแล้วฉันรู้จักด้วยเหรอ?”กอหญ้าเอ่ยถามศัตรูคู่อริของเธอด้วยสีหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม
AK Groupร่างสูงของภีมวัจน์ที่กำลังเดินเข้ามาภายในอาคารที่ตั้งของ AK Group นั้นดึงดูดสายตาของพนักงานสาวให้หันไปมองด้วยความตื่นเต้นระคนเขินอายราวกับกำลังถูกสายตาของภีมวัจน์จ้องมองทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยมองใครด้วยซ้ำถึงแม้ใบหน้าของภีมวัจน์จะเย็นชาไร้รอยยิ้มแต่กลับเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ชวนให้สาวๆแอบมองไม่รู้เบื่อ บางคนแอบมองเสี้ยวหน้าคมคายอย่างมีความหวังว่าเขาจะหันกลับมามองตนเองบ้างสักครั้งส่วนบางคนก็แอบมองพร้อมคิดวางแผนหาวิธียั่วยวนเพื่อให้เขาหันมาสนใจทั้ง ๆ ที่ทุกคนต่างรู้ดีภีมวัจน์ไม่เคยชายตามองสาวๆในบริษัทของตนเองเลยสักครั้งตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามารับตำแหน่งท่านประธานบริษัทต่อจากบิดาที่ล่วงลับไป“ก็บอกแล้วไงว่าให้หยุดพักผ่อนจนกว่ามือจะหายดีทำไมแกถึงได้พูดยากแบบนี้นะเตชินทร์”ถึงแม้น้ำเสียงของภีมวัจน์จะฟังดูเย็นชาคล้ายไม่ใส่ใจแต่เตชินทร์กลับรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ท่านประธานมีต่อเขาได้เป็นอย่างดี“ผมเป็นห่วงท่านประธานนี่ครับถ้าหากว่าผมไม่อยู่ท่านจะต้องทำงานจนแทบไม่ได้พักผ่อนแน่นอน อีกอย่างไม่มีใครที่รู้ใจท่านเท่าผมอีกแล้ว จำไม่ได้เหรอครับคนก่อนๆที่มาช่วยงานระหว่างที่ผมป่วยท่านก็บอกว่าชอ
“กอหญ้าต้องขอโทษคุณภีมด้วยนะคะที่เข้ามาช้าพอดีกอหญ้าไม่ทราบมาก่อนว่าคุณผู้หญิงกับ...”พูดมาถึงตรงนี้กอหญ้าทำเพียงปรายตามองแพรวรัมภาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเท่านั้นก่อนที่เธอจะดึงสายตากลับมาจ้องหน้าภีมวัจน์แล้วเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดุจธารน้ำใสที่ไหลระรินผ่านห้องหัวใจของผู้ฟัง“จะแวะมาเยี่ยมท่านประธานน่ะค่ะต้องขอโทษจริงๆนะคะ”คิ้วของภีมวัจน์กระตุกเล็กน้อยเมื่อถ้อยคำของสาวสวยตรงหน้านั้นแฝงไปด้วยคำหนิแม่เลี้ยงของเขาอย่างชัดเจนเธอกำลังจะบอกว่าที่มาช้าเพราะแม่เลี้ยงของเขามาไม่แจ้งล่วงหน้าสินะ...หึ ฝีปากใช้ได้นี่คมยิ่งกว่ามีด มิน่าล่ะถึงกล้าเอาเงินฟาดหัวเขาถึงร้อยล้านทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างว่าที่สำคัญเช็คใบนั้นของเธอเมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบว่าเป็นของจริงวันนั้นเธอจ่ายเงินค่าตัวเขาหนึ่งร้อยล้านบาทไม่ตกหล่นแม้แต่บาทเดียว!!ในขณะที่ภีมวัจน์กับกอหญ้ากำลังช่วยกันเล่นละครตบตาอย่างรู้เท่าทันกันและกันดารัณกับแพรวรัมภาเริ่มจะควบคุมสีหน้าไม่อยู่พวกเธอไม่ใช่คนโง่เขลาจึงเข้าใจความหมายที่กอหญ้าตั้งใจจะสื่อกับพวกเธอเป็นอย่างดีโดยเฉพาะแพรวรัมภาที่จิกเล็บลงกลางฝ่ามือจนได้เลื
หลังจากการฝึกงานในวันแรกจบลงกอหญ้าก็หยิบกระเป๋าบนโต๊ะทำงานและเดินออกมาจากแผนกทันทีโดยไม่สนใจเสียงซุบซิบนินทาตามหลังเลยแม้แต่น้อยเธอเป็นแค่เด็กฝึกงานไม่ใช่พนักงานบริษัทสักหน่อยในเมื่อถึงเวลาเลิกงานแล้วเธอก็ต้องกลับบ้านไปพักผ่อนสิจริงไหมรอให้เธอเป็นพนักงานหรือเจ้าของบริษัทเมื่อไหร่รับรองว่าเธอจะอยู่ทำงานจนโต้รุ่งแน่นอน ครืด ครืด ครืดเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือทำให้กอหญ้าที่กำลังเดินมาที่ลานจอดรถรีบเปิดกระเป๋าหยิบมือถือออกมากดรับสายทันทีเมื่อชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก็คือแม่แก้มใสสุดที่รักของเธอนั่นเองแก้มใส : ฮายลูกสาวคนสวยของแม่ฝึกงานวันแรกเป็นยังไงบ้างเอ่ย?น้ำเสียงสดใสร่าเริงเอ่ยทักทายลูกสาวคนเล็กอย่างอารมณ์ดีกอหญ้า : มีแต่เรื่องสนุกๆเลยค่ะแม่แก้มเมื่อพูดถึงเรื่องสนุกใบหน้าของภีมวัจน์ก็พลันแวบเข้ามาในหัวทำให้รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นบนใบหน้าของกอหญ้าอย่างไม่รู้ตัวแก้มใส : นั่นไงไปฝึกงานวันแรกก็แผลงฤทธิ์เลยใช่ไหมนางมารน้อยของแม่น้ำเสียงหยอกเย้าของมารดาทำให้แก้มใสหลุดหัวเราะออกมาด้วยความขบขันที่มารดาเรียกเธอตามฉายาที่พี่ชายรามสูรของเธอตั้งให้กอหญ้า : ลูกสาวของแม่แก้มน่ารักมากๆต่า
เช้าวันต่อมาAK Groupเสียงซุบซิบนินทาทั้งระยะไกลและระยะเผาขนไม่ได้ทำให้คนที่กำลังเดินเข้ามาภายในอาคารหยุดชะงักเลยแม้แต่น้อยเรียวขาสวยที่โผล่พ้นชุดทำงานแบรนด์ดังยังคงเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นคงจนกระทั่งหยุดยืนอยู่ข้างๆกลุ่มพนักงานที่กำลังนินทาเรื่องของเธออย่างสนุกสนานโดยที่ทุกคนไม่รู้เลยว่าคนที่พวกเธอกำลังนินทาอยู่นั้นกำลังยืนฟังคำพูดใส่ร้ายป้ายสีนั้นด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยพนักงานคนที่ 1 : หน้าตาก็สวยแต่ไม่คิดเลยว่าจะชอบเอาตัวเข้าแลกแบบนี้พนักงานคนที่ 2 : แกก็น่าจะรู้ว่าเด็กสมัยนี้มันร้ายแค่ไหน เพื่อนน้องสาวของฉันบางคนยังยอมเป็นเมียน้อยพวกเสี่ยพุงพลุ้ยเลยแก งานสบายรายได้ดีไม่ต้องทำอะไรแค่นอนอ้าขารอผู้ชายมาหาแค่นั้นเองประโยคสุดท้ายถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะก้มตัวลงไปกระซิบกระซาบเสียงเบามากแค่ไหนแต่คนที่ประสาทสัมผัสไวอย่างกอหญ้าก็ยังคงได้ยินอยู่ดี หึ งานสบายๆแค่นอนอ้าขาอย่างนั้นเหรอ?คนเรานี่ก็แปลกดีเรื่องของตัวเองกลับไม่ยอมใส่ใจทำให้ดีส่วนเรื่องของคนอื่นต่อให้ดีหรือไม่ดีก็มักจะใส่ใจจนเกินคำว่าพอดีพนักงานคนที่ 3 : แกก็พูดเวอร์ไปน้องมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดกันก็ได้ เพิ่งมาฝึกงานว
กอหญ้าเอ่ยบอกเตชินทร์พร้อมฉีกยิ้มรูปพระจันทร์เสี้ยวด้วยความสดใสฉับพลันนั้นเตชินทร์รู้สึกว่ารอยยิ้มของหญิงสาวนั้นเบิกบานน่ามองราวกับว่าตัวเขานั้นกำลังเดินเล่นอยู่ในทุ่งดอกทานตะวัน นี่ขนาดเขาไม่ใช่ผู้ชายที่ใจแข็งและเย็นชาเหมือนท่านประธานเมื่อเจอรอยยิ้มหวานละมุนของคนตรงหน้าเข้าไปถึงกับใจสั่นเบาๆทีเดียว “คุณกอหญ้าเคยเรียนชงกาแฟมาก่อนเหรอครับ” ท่าทางที่คล่องแคล่วของกอหญ้ายามหยิบจับส่วนผสมทำให้เตชินทร์ที่ยืนอยู่ข้างๆอดที่จะเอ่ยถามด้วยความแปลกใจไม่ได้“ค่ะ กอหญ้าเคยลงเรียนคอร์สระยะสั้นตอนปิดเทอมซัมเมอร์ที่อิตาลีช่วงนั้นว่างมากคุณแม่เลยส่งไปเรียนชงกาแฟซะเลยจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน” คำตอบที่อยู่เหนือความคาดหมายของเตชินทร์ทำให้เขาถึงกับอึ้งไปเขาไม่คิดเลยว่าคนที่มีฝีปากคมกริบเหมือนลับมีดเป็นประจำอย่างสาวสวยคนนี้จะลงเรียนชงกาแฟเธอไม่ได้มีดีแค่ความสวยแต่กลับมีเสน่ห์บางอย่างที่ดึงดูดให้คนอยากทำความรู้จักและค้นหามากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงตัวเขาเองที่ก็อยากรู้เช่นกันว่านอกจากชงกาแฟแล้วเธอยังทำอย่างอื่นเป็นไหม“รสชาติผ่านอาจารย์ให้เต็มสิบใช่ไหมครับ”“อาจารย์บอกว่าให้สิบเอ็ดไปเ