- ด้านพริกแกง -
“รอนานมั้ยครับ”
“ไม่เลยค่ะ” คนเสียงใสยกยิ้มตอบ
“ขอโทษทีนะ ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยมีเวลาให้เราเลย”
พริกแกงไม่ได้พูดอะไรกลับไป มีเพียงรอยยิ้มเป็นคำตอบ อันที่จริง เขาไม่ควรพูดว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาให้กันหรอก มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่หลังคบกันได้หกเดือนต่างหาก
เธอพอจะเข้าใจเหตุผล แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ลึกๆ แล้วเธอกำลังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หลายครั้งที่นัดของเราต้องล่ม เพราะคำว่าติดงานด่วนของเขา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงจัดสรรเวลาไม่ได้สักที
“ไม่ค่อยได้เจอกันเลย คิดถึงจะแย่” ใบหน้าคมเข้มหันมายกยิ้มละมุนให้แฟนสาว เขาไม่ได้รับรู้ความในใจของเธอ เพียงแต่เห็นว่าคนข้างกายเงียบไปจึงยกมือลูบผมนุ่มเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปมองถนนเบื้องหน้าต่อ ในตอนที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว
“ถ้าคิดถึงก็มาหาพริกบ่อยๆ สิคะ จะได้หายคิดถึง”
“พี่จะพยายามนะครับ”
แทนไทกับพริกแกงอายุห่างกันเพียงสองปี แต่เขากลับชอบทำเหมือนเธอเป็นเด็กๆ อยู่บ่อยครั้ง ถ้าถามว่าชอบไหม? ก็ตอบได้แค่ชอบมาก มันอบอุ่น มันนุ่มฟูในหัวใจ ยามที่เขาแบ่งเวลามาอยู่ด้วยกัน
ผู้ชายแบบนี้แหละที่เธอต้องการและตามหามาตลอด แม้จะติดขัดเรื่องของเวลาไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว พี่แทนไทจัดว่าเป็นผู้ชายที่อบอุ่นและเป็นสุภาพบุรุษตรงสเปกเธอทุกอย่าง
“เมื่อไหร่น้องพริกจะย้ายมาอยู่กับพี่สักทีล่ะครับ” เสียงทุ้มถามขึ้นเบาๆ ราวกับกำลังอ้อนกัน ขณะสายตาจับจ้องรถราบนท้องถนนไม่คลาดสายตา
แม้อยากจะมองหน้าคนรักใจแทบขาดยามเอ่ยถาม แต่กลัวว่าหากประมาทเพียงนิด คนข้างกายอาจจะได้รับอันตรายไปด้วย
“พริกยังไม่พร้อมค่ะ” คำตอบเดิมๆ จากปากอิ่มทำให้คนฟังนิ่งเงียบไปอย่างจำยอม
ถ้าถามว่าเธอรักเขาไหม คงตอบได้โดยไม่ต้องคิดว่ารักมาก แต่ถ้าถามว่าพร้อมยกทุกอย่างให้เขาแล้วหรือยัง
คงต้องตอบว่ายัง...
เธอยังไม่มั่นใจขนาดนั้น ถึงจะคบกันมานานเป็นปี แต่ถ้านับช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกัน ก็ถือว่าน้อยเกินไปที่จะตัดสินใจในเรื่องนี้ได้
เขาทำงาน ส่วนเธอก็เรียน ไหนจะงานอดิเรกที่เธอรักอีก คงต้องรอเวลาอีกสักพัก เพื่อให้อะไรชัดเจนขึ้นกว่านี้
Phikkaeng Part
“ครับๆ”
“ใจเย็นก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวผมรีบไป” ฉันละสายตาจากอาหารตรงหน้า ช้อนตาขึ้นมองพี่แทนไท ที่กำลังวุ่นวายกับปลายสายอยู่ตรงข้ามกัน
เราสองคนเพิ่งฝ่ารถติดมาถึงร้านอาหารได้ยังไม่ถึงยี่สิบนาทีดี อาหารยังยกมาเสิร์ฟไม่ทันครบ โทรศัพท์ของพี่แทนก็แผดเสียงขึ้นเสียก่อน เขากดรับแล้วตอบกลับปลายสายสั้นๆ ไม่กี่ประโยค สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
ถ้าให้เดา...คงเป็นเรื่องงานเหมือนเคย เฮ้อ...
อย่างที่บอก แฟนฉันงานยุ่งจะตาย
“มีอะไรหรือเปล่าคะ สีหน้าพี่ไม่ดีเลย” หลังวางสาย สีหน้าของคนรักก็ดูกังวลจนฉันอดถามไม่ได้
“ที่โรงแรมมีปัญหานิดหน่อยน่ะ น้องพริก คือ...”
“พูดมาเลยค่ะ พริกรอฟังอยู่”
“พี่คงต้องปลีกตัวไปดูตรงนั้นก่อน พริกกลับเองได้ใช่มั้ยครับ?”
“ถ้าบอกว่าไม่ได้ พี่แทนจะไม่ไปเหรอคะ?” คิดไว้ไม่มีผิดว่าต้องเป็นประโยคนี้ แต่คราวนี้ฉันลองแสร้งถามหยั่งเชิงดู แทนการปล่อยผ่านไปเหมือนทุกครั้ง
อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไร ถ้าคนที่เคยอะไรก็ได้มาตลอดเปลี่ยนไป
เขาเอาแต่มองหน้าฉันนิ่ง สายตาคู่นั้นไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่มันดู...ไม่ลังเลสักนิด หากจะทิ้งฉันไว้ที่นี่ตามลำพัง
“ก็ไม่ได้ ถูกมั้ยล่ะคะ? พี่ไม่ต้องห่วง พริกกลับเองได้ สบายมากค่ะ” ฉันรับคำหนักแน่น พร้อมยกยิ้มยืนยันในคำพูด ปัดไล่ทุกความคิดไร้สาระออกไปจากหัวให้หมด
ฉันไม่ใช่คนงี่เง่าและเข้าใจดี ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ฉันเองก็มี อีกอย่างเขามีเรื่องให้เครียดอยู่แล้ว ในฐานะคนรัก ฉันก็ไม่ควรไปสร้างความหนักใจเพิ่มให้ แม้จะโดนเทอีกแล้วก็เถอะ
“เดี๋ยวเสร็จจากธุระ พี่โทร. หานะครับ” พี่แทนหันมาส่งยิ้มติดจะกังวล ก่อนจะหมุนตัวเตรียมเดินจากไป
“เดี๋ยวค่ะพี่แทน”
“คะ...ครับ” คนถูกเรียกชื่อเสียงเข้มหยุดชะงัก หันกลับมาด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย สงสัยเสียงเรียกคงดังไปหน่อย หรือเขาคิดว่าฉันนึกคึกอยากจะต่อว่าส่งท้าย? เพราะเขาเป็นคนชวนออกมา แต่กลับต้องทิ้งให้ฉันต้องอยู่คนเดียว แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย
“คืนนี้พี่ว่างมั้ย? พอมีเวลาหรือเปล่าคะ พอดีวันนี้พริกมีนัดดื่มกับเพื่อน เลยอยากชวนพี่ไปด้วย ช่วงหลังมานี้เราไม่ค่อยได้สังสรรค์กันเลย เพื่อนๆ พริกก็ถามถึงพี่”
“ได้สิ ที่ไหน กี่โมงครับ”
หลังจากนัดแนะเวลากันเสร็จสรรพ เขาก็รีบจ้ำอ้าวออกไปทันที สงสัยคงจะเป็นเรื่องด่วนมากจริงๆ
คล้อยหลังพี่แทนไทกลับไป ฉันนั่งเขี่ยอาหารเล่นไปกินไปอย่างเชื่องช้า คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เหมือนทุกครั้งที่ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวตามลำพัง ทั้งที่มีคนรักแท้ๆ
หลายคนอิจฉาฉันที่ได้หัวใจผู้ชายแบบพี่แทนมาครอบครอง แรกเริ่มฉันเองก็คิดแบบนั้น แต่ด้วยเวลาที่ล่วงเลยไป กอปรกับหลายๆ เหตุการณ์ที่ได้พบเจอ มันทำให้มีคำถามผุดขึ้นในใจ
แบบนี้มันดีจริงๆ เหรอ? เวลาแทบทั้งหมดของเขาคืองาน
แล้วฉันล่ะ? ฉันที่เป็นคนรัก เขาวางไว้ตรงไหนกัน
“ฟุ้งซ่านอะไรของเธอเนี่ย ยัยพริก” ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน พลางตบสองแก้มของตัวเองเบาๆ เพื่อดึงสติ
สงสัยช่วงนี้จะนอนน้อย บวกกับความคิดถึงและความน้อยใจที่มี ถึงทำให้ฉันเผลอคิดอะไรลบๆ พี่แทนจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร เขาคือผู้ชายที่ถอดแบบมาจากพี่ใจดีเลยนะ เขาไม่มีวันทำฉันเสียใจหรอก
หลังทานอาหารเรียบร้อย ฉันก็เดินออกมาโบกแท็กซี่บริเวณหน้าร้าน เตรียมกลับไปทำเรื่องที่คณะฯ ต่อ แต่กว่าจะเจอคันที่จอดรับ ผิวก็แทบไหม้
นี่แหละนะ ไทยแลนด์โอนลี่
“ไปมหา’ลัย S-Class ค่ะ” ในที่สุดก็มีคันที่จอดสักที ฉันรีบยัดตัวเองเข้าไปนั่งเบาะด้านหลัง พร้อมบอกจุดหมายเสร็จสรรพ โชคดีมากที่พี่คนขับเป็นผู้หญิง จะได้ไม่ต้องนั่งอึดอัดตลอดทาง
ฉันไม่ชอบนั่งรถโดยสาร ส่วนใหญ่ชอบขับรถไปไหนมาไหนเองมากกว่า เพราะไม่ชอบสายตาผู้ชายที่มองกันแบบชวนขนลุก
“เร็วกว่านี้อีกหน่อยได้มั้ยคะ” ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาเลือกที่ฝึกแล้ว แต่ฉันยังไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง จึงถามด้วยความร้อนใจ
ไม่ใช่ว่าพี่คนขับขับช้า แต่ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น รถถึงได้ติดยาวเหยียดอย่างกับถนนเส้นพระรามสอง
“น่าจะเกิดอุบัติเหตุน่ะน้อง เดี๋ยวตำรวจเคลียร์ทางเรียบร้อย พี่จะซิ่งให้เลย”
“ค่ะ ฝากด้วยนะคะ” เมื่อทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ก็ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่พี่สาวคนขับ
กว่าการจราจรจะกลับมาราบรื่นใช้เวลาเป็นชั่วโมง ตอนนี้เลยเวลาที่อาจารย์กำหนดไว้แล้วเรียบร้อย ฉันได้แต่ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นึกเห็นใจลูกช้างคนสวยคนนี้ด้วย ขอให้เพื่อนร่วมรุ่นอย่าเพิ่งเลือกที่ที่พวกเราสามคนเล็งไว้เลย เพี้ยง!
หลังจากจ่ายเงินแบบเร่งรีบเงินทอนก็ไม่เอา ฉันก็รีบวิ่งสุดชีวิต วิ่งเร็วที่สุดเท่าที่รองเท้าคัตชูที่ใส่มาจะเอื้ออำนวย แต่เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่ตอบรับคำขอ ไม่สิ เปิดอ่านคำขอหรือยังคะ!?
สุดท้ายก็ไปไม่ทัน
“ฮะ! เต็มหมดแล้ว” ฉันที่พยายามวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามายังบอร์ดรายชื่อบริษัทใต้ตึกคณะร้องเสียงหลง แทบหมดแรงล้มลงกับพื้น บริษัทที่หมายตาไว้เต็มหมดแล้ว ไม่เหลือสักบริษัทเดียว
“อือ / งือ” ข้าวฟ่างกับน้ำหนาวพยักหน้าตอบพร้อมกัน พลางส่งเสียงเอื่อยๆ อย่างหมดหวัง
“เธอจะตกใจทำไม อีกสามบริษัทที่เหลือ ถึงจะกำหนดเกรดเฉลี่ยไว้ก็จริง แต่เธอสามารถเข้าทุกบริษัทได้สบายๆ ที่น่าห่วงน่ะ สองคนนั้นต่างหาก” แผ่นดินมองไปยังสองสาวที่ยืนมองฉันตาปริบๆ อยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ต้องมามองแบบนั้น ฉันอุตส่าห์ฝากความหวังไว้ที่พวกเธอ
“รู้ว่าไปได้ แต่อยากไปด้วยกันมากกว่า ไหนเธอสองคนบอกจะมาจองไว้ก่อนไง” หันไปถามเพื่อนอีกสองคน ก่อนหน้านี้ฉันบอกทุกคนในไลน์กลุ่มว่าจะมาช้า เพราะเส้นทางกลับเกิดอุบัติเหตุ ทั้งสองสาวก็รับปากว่าไม่มีทางพลาด แต่ทำไมมันออกมาเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ? ฉันอยากร้องไห้
“ขอโทษ... เรามัวแต่เข้าห้องน้ำ” น้ำหนาวตอบกลับอย่างรู้สึกผิด
“ส่วนฉันไปทำธุระมา แผ่นดินนั่นแหละมัวแต่หลับ ไม่ได้เรื่องเลย” ข้าวฟ่างหันไปโบ้ยให้คนเป็นแฟน ส่วนแผ่นดินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ให้มันได้อย่างนี้สิ เพื่อนฉันแต่ละคน
“เอาไงกันดี น้ำหนาว?” ข้าวฟ่างหันไปถามเพื่อนร่วมชะตากรรม
ไร้เสียงตอบกลับจากอีกคน เธอทำเพียงส่ายหัวเบาๆ เป็นคำตอบ น้ำหนาวเป็นคนขี้อาย พูดน้อย และขี้กลัว เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้พวกเราอยากไปฝึกงานที่เดียวกัน
ฉันคงต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อช่วยเพื่อนรักแล้วละ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง” เมื่อไปด้วยกันไม่ได้ ก็ต้องหาที่ที่ไว้ใจได้ เพื่อฝากฝังยัยสองเกลอ
“ยังไง?” ทั้งสามคนประสานเสียงเหมือนนัดกันมา
“ไว้ใจฉันเถอะน่า”
“แล้วพริกล่ะจะไปที่ไหน พริกก็ยังไม่ได้เหมือนกัน หรือจะไปที่เดียวกับพวกหนาว?”
“ไม่ๆ เดี๋ยวเราเลือกจากที่เหลือนี่แหละ เอ...ไปไหนดีนะ”
“เล็งที่ไหนไว้เหรอ?”
“ไม่เล็งสักที่ ตอนนี้ที่ไหนก็ได้ ขอแค่มีที่ฝึกก็พอ” ไหวไหล่ตอบตามความคิด แต่จู่ๆ ก็เหมือนจะคิดอะไรดีๆ ออก
ฉันเดินไปหยิบกระดาษมาหนึ่งแผ่น เขียนชื่อทั้งสามบริษัทลงไป จากนั้นก็ตัดกระดาษรายชื่อให้มีขนาดเท่าๆ กันแล้วม้วนจนแน่นก่อนหยิบใส่อุ้งมือ จัดการเขย่าสองสามทีให้มันคละกัน แล้วโยนขึ้นส่งๆ หลับหูหลับตาคว้าขึ้นมาหนึ่งชิ้น ท่ามกลางเหล่าผองเพื่อนที่ทำหน้าตกตะลึง กับวิธีการเลือกเส้นทางชีวิตต่อจากนี้ไปอีกหลายเดือน แต่ฉันกลับยกหน้าที่นั้นให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าที่แทน
มีเพียงแผ่นดินที่ทำหน้าตาเรียบเฉย เพราะมันเห็นบ่อยจนชิน เวลาฉันเลือกอะไรไม่ถูก ก็มักจะใช้วิธีนี้แหละ ง่ายดี
ฉันค่อยๆ คลี่กระดาษชิ้นเล็กในมือออกอย่างเชื่องช้าสร้างความลุ้นระทึกให้สองสาวที่มองตาไม่กะพริบ จนข้าวฟ่างทนไม่ไหวคว้ากระดาษในมือไปดูแทน หลังคลี่กระดาษออกกว้างข้าวฟ่างยืนนิ่งอ้าปากค้างกลางอากาศ ท่าทางของเพื่อนสาวทำให้ฉันรีบฉวยกระดาษแผ่นนั้นคืนมาอ่านเอง
“ทูนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป”
~ End Phikkaeng Part ~
@DVice Clubสถานบันเทิงยอดฮิตตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัย แหล่งท่องเที่ยวติดอันดับของเหล่านักท่องราตรีทุกช่วงวัย มีบริการหลากโซนหลายสไตล์ ให้ลูกค้าได้เลือกใช้บริการตามความต้องการเสียงเพลงจังหวะเร้าใจดังขึ้นต่อเนื่องชวนใจเต้น ผีเสื้อราตรีหญิงชายต่างปลดปล่อยความรู้สึกและร่างกายไปกับท่วงทำนองสนุกๆ ที่ดีเจประจำคลับเปิดเพื่อสร้างความครึกครื้นอย่างเมามันเคร้ง~เสียงแก้วใสต่างดีไซน์กระทบกัน ดังขึ้นบริเวณโซนเคาน์เตอร์บาร์ ท่ามกลางเสียงเพลงอึกทึกครึกโครมหญิงสาวร่างเล็กในชุดสีชมพูดูน่ารักขัดกับสถานที่ มองแก้วในมือเล็กน้อยก่อนตัดสินใจจรดริมฝีปากบางลงบนปากแก้วที่บรรจุค็อกเทลรสหวานซ่อนเปรี้ยว มีฤทธิ์แอลกอฮอล์อ่อน ๆ ให้ไหลผ่านลำคอทีละนิด“แค่กๆ ไม่เห็นอร่อยเลยค่ะ” น้ำหนาวหันไปทำหน้าเหยเกใส่พริกแกงที่นั่งเท้าคางมองเธออย่างใจจดใจจ่อ เมื่อสัมผัสถึงแอลกอฮอล์ที่ถูกผสมมาในน้ำสีชมพูอ่อนเธอไม่ชอบดื่ม แต่ตอนนี้เพื่อนคนอื่นๆ ยังไม่มีใครโผล่มาสักคน เลยต้องยอมดื่มเป็นเพื่อนเพื่อนตัวแสบตามคำชวน แต่ตอนนี้รู้สึกคิดผิดมาก เพราะมันไม่ได้อร่อยเหมือนขนมแบบที่เพื่อนล่อลวงสักนิด“ไม่อร่อยเหรอ งั้นชิมของเรามั้ย? เผื่อชอ
ขวับเสียงหวานแฝงความประหม่า หลุดออกจากปากคนที่เอาแต่นั่งเงียบเหมือนคนเหม่อลอย เรียกสายตาของเพื่อนๆ ทุกคู่ให้หันไปมองยังต้นเสียงอย่างไม่ได้นัดหมายนั่งกันอยู่ตั้งนานน้ำหนาวแทบไม่พูดอะไร แต่พอแฟนเพื่อนสนิทโผล่มา ดันมีปากมีเสียงขึ้นมาเสียได้ แล้วจะไม่ให้คนอื่นแปลกใจได้อย่างไร“เป็นอะไรของแกยัยหนาว ผัวเพื่อนค่าสาว~”“ขอโทษค่ะ” คำพูดข้าวฟ่างทำให้น้ำหนาวก้มหน้างุด มองมือตัวเองอีกครั้ง เธอไม่ได้ตั้งใจ เธอแค่ลืมตัว และเหมือนจะโชคดีที่พริกแกงดูไม่ได้ใส่ใจอะไร“บ้า ผัวเผออะไร ยังไม่ได้กันมะ” พริกแกงรีบฉวยแก้วของตัวเองขึ้นมากระดกเพื่อปกปิดความรู้สึก ข้าวฟ่างเป็นคนพูดตรงและพูดแรง ข้อนี้เธอรู้ดีตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่ง แต่หลังๆ ก็ชอบพูดแซวแบบนี้ตลอดเลย เธอจะรู้บ้างไหมว่าคนโดนแซวทำตัวไม่ถูกน่ะ“พี่พร้อมเป็นนานแล้ว แต่น้องพริกน่ะสิ ไม่พร้อมสักที”“พี่แทน! พูดอะไรก็ไม่รู้” หันไปถลึงตาใส่แฟนรุ่นพี่แก้เก้อ“พูดความจริงครับ^^” แทนไทว่ายิ้มๆ แล้วเดินไปนั่งข้างแฟนสาว เขาไม่ได้พูดเพื่อแกล้ง เขาพร้อมมาตั้งแต่ตามจีบเธอแล้ว แต่เป็นพริกแกงเองต่างหากที่ปฏิเสธมาตลอดถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาจะพยายามทำความเข้า
Rrrrrr~โทรศัพท์เครื่องหรูแผดเสียงดังลั่นห้อง ปลุกคนกำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์ตื่นขึ้นมาเพราะความรำคาญมือบางควานสะเปะสะปะอยู่พักหนึ่งถึงเจอต้นตอขัดความสุข พริกแกงดันกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ขยี้ตาเล็กน้อยก่อนเพ่งมองหน้าจอมือถือใครบังอาจมารบกวนกันนะ“หือ ข้าวฟ่าง? โทร. มาทำไมแต่เช้า” ชื่อบนจอทำคิ้วเรียวขมวดมุ่น ปกติหลังจากดื่มกันอย่างหนักจะไม่ค่อยมีใครโทร.หาสักเท่าไหร่ เพราะแฮงก์กันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่ามีเรื่องด่วนอะไรนิ้วเรียวสไลด์หน้าจอรับสาย พร้อมทั้งกดเปิดสปีกเกอร์โฟน กรอกเสียงงัวเงียตอบกลับปลายสายด้วยสภาพยังไม่ทันจะตื่นเต็มตาดี“อือ~ มีอะไรคะคุณเพื่อน หายแฮงก์แล้วเหรอถึงโทร. มาเนี่ย?”[ยังจะมานั่งใจเย็นอยู่อีกนะ เธอเห็นเพจซุบซิบของมหา’ลัยหรือยัง ยัยพริก]“ฮะ? ยังเลย มีอะไรอะ?”[ตายห่า งั้นดูด่วนเลยค่ะเพื่อน ด่วนที่แปลว่าเดี๋ยวนี้!]ความร้อนรนผสมกับความรีบร้อนในน้ำเสียงของเพื่อนสนิท ทำให้คนงัวเงียรีบลุกไปหยิบไอแพดคู่ใจขึ้นมาเปิด กดเข้าแอปพลิเคชันดังแล้วค้นหา ‘ใต้เตียงมหา’ลัย SC’ ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเมาท์มอยเรื่องราวคาวๆ ของคนในรั้วมหา’ลัย ซึ่งพริกแกงเป็นหน
@ทูนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ปฉันพาตัวเองในชุดนักศึกษาเรียบร้อยที่สุดเท่าที่คนอย่างฉันจะเรียบร้อยได้ พร้อมลากรองเท้าสีดำสูงสี่นิ้วคู่โปรด มาหยุดยืนอยู่หน้าบริษัทสีทึบขนาดใหญ่ที่มีความสูงหลายสิบชั้นคำพูดมากมายที่อาจารย์พยายามสาธยายให้ฟังก่อนหน้านี้เท่าที่พอจะจำได้ผุดขึ้นมาในหัว ทูนิกซ์ เป็นบริษัทชั้นนำ มีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก ทำให้ต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ ท่านกำชับนักกำชับหนาว่าต้องทำตัวให้ดี อย่าทำให้มหา’ลัยและอาจารย์เสื่อมเสียชื่อเสียง พร้อมทั้งย้ำนักย้ำหนา ให้ฉันแต่งตัวให้เรียบร้อย เหมาะสมกับการเป็นเด็กฝึกงานฉันถึงต้องไปรื้อตู้เสื้อผ้า เพื่อหากระโปรงตัวยาวที่เคยใส่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายสมัยเรียนปีหนึ่งมาใส่“มารายงานตัวฝึกงานค่ะ” ฉันเอ่ยเสียงใส พร้อมทั้งยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลในมือให้คุณพี่หน้าคม อกตู้มตรงหน้า“น้องพัชริกา ฮาร์ตลีย์ใช่มั้ยคะ?”“ใช่ค่ะ” ยิ้มตอบเห็นฉันชื่อไทยสไตล์ขนาดนี้ แต่ความจริงแล้วฉันมีแด๊ดดี้เป็นคนอังกฤษนะ และด้วยเหตุนี้แหละครอบครัวถึงไปเปิดธุรกิจที่ต่างประเทศแทนการทำธุรกิจในประเทศไทยพี่พนักงานสาวหน้าคมยกหูโทรศัพท์ตรงเคาน์เตอร์กดต่อสายภายในหาใครบางคน พี่เขาพูดกับป
หลังยืนโบกมือยิ้มหวานส่งพี่แทนเสร็จ ฉันก็รีบยกกระเป๋าขึ้นมาควานหาโทรศัพท์ด้วยความรีบร้อนถ้าได้กินยาเมื่อไหร่ ฉันก็ไม่คิดจะเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยการขับรถกลับเองเด็ดขาด ฉะนั้นตอนนี้ต้องหาตัวช่วย และคนที่จะช่วยฉันได้ก็มีอยู่ไม่กี่คนควานหาโทรศัพท์เจอ ฉันรีบกดต่อสายหาเบอร์ที่บันทึกไว้ยามฉุกเฉินทันที เราทุกคนในกลุ่ม ล้วนจัดให้เบอร์ของเพื่อน ๆ เป็นเบอร์โทรฉุกเฉิน สัญญาณรอสายดังไม่กี่ครั้ง ปลายสายก็กดรับ ไม่รอช้าฉันรีบกรอกเสียงออดอ้อนไปตามสายขอความช่วยเหลือ“ข้าว~ มารับฉันหน่อยสิ”[ข้าวหลับ] ทว่าแทนที่จะเป็นเสียงหวานตอบกลับมา กลับกลายเป็นน้ำเสียงดุ ๆ เจือความหงุดหงิดแทน ทำให้ต้องรีบเอาโทรศัพท์ออกจากหู ยกขึ้นมาดูชื่อบนหน้าจออีกครั้งก็โทร. ถูกนี่นา แล้วทำไมถึงเป็นเสียงคนอื่น ปกติเวลานี้ข้าวฟ่างน่าจะยังอยู่ห้องตัวเองไม่ออกไปไหนนี่?“นั่นใครน่ะ” ฉันถามเสียงแข็งกลับไป[อะไร? เพ้อหนักแล้วนะเธอน่ะ ฉันแผ่นดินไง ผัวยัยข้าว เพื่อนสนิทที่หล่อที่สุดของเธอตั้งแต่ม.สี่ อย่าบอกนะว่าลืม ฉันกับยัยข้าวมาหัวหิน เธอลืมหรือไง ทำไมต้องตกใจ?] อ่า จริงด้วย ลืมไปเสียสนิทเลยว่าคู่รักพากันไปสวีตที่หัวหินน่ะแต่ว่านะ คำ
“นายครับ” เสียงเรียกดังขึ้นไม่ไกลใบหน้าคมคายละสายตาจากทุกสิ่งรอบกายตวัดมองผู้มาใหม่ ให้ความสนใจกับสิ่งที่เขารอมาทั้งวันซองสีน้ำตาลถูกวางลงตรงหน้า เขาเงยหน้ามองลูกน้องคนสนิทครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมคว้ามันมาเปิดออกอย่างเบามือ หยิบของด้านในออกมาอย่างใจเย็นและทะนุถนอมจนว่างเปล่าภาพหญิงสาววัยมหา’ลัย ใบหน้ารูปไข่ เรือนผมสีน้ำตาลธรรมชาติขับผิวขาวอมชมพู กำลังแย้มยิ้มให้บางสิ่งอย่างมีความสุข รอยยิ้มสดใสนั้นทำคนยิ้มยากเผลอยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัวสวย...ยิ่งโตยิ่งสวยไร้ที่ติ ทว่าติดตรงที่เธอมีเจ้าของหัวใจแต่จะโทษใครได้ ในเมื่อก่อนหน้าเธอเคยเฝ้ารอและพยายามตามหาเขามาโดยตลอด ทว่าเป็นตัวเขาเองที่ขี้ขลาด และเป็นฝ่ายเลือกหนีหายไปจากเธอนานหลายปีตอนนั้นพวกเรายังเด็ก จึงคิดอะไรโง่ๆ อย่างง่ายๆ ว่าสิ่งที่ทำเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว โดยไม่คิดถามความเห็นของเธอสักคำ สมควรแล้วที่ตอนนี้ต้องกลายมาเป็นฝ่ายเฝ้ามองเธออยู่ไกลจากอีกฟากโลก ทั้งที่อยากเจอกันใจแทบขาดและรู้สึกผิดมาจนถึงทุกวันนี้“แล้วเรื่องของมันล่ะ?”“ยังไม่ชัวร์ครับนาย มันค่อนข้างระวังตัว แต่มีโอกาสเป็นอย่างที่นายคิดสูง หรือเราให้คนของคุณเจย์ช่วยอีก
มินิคูเปอร์สีจังเกิลกรีนคันเล็ก หักเลี้ยวเข้าจอดเทียบทางเข้า Tiara Grand Hotel โรงแรมหรูระดับห้าดาวที่มีชื่อเสียงโด่งดังติดอันดับต้นๆ ของประเทศ ตัวอาคารออกแบบสไตล์กรีก-โรมันถูกประดับตกแต่งด้วยแมกไม้นานาชนิดสร้างความร่มรื่น ให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติโดยไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงต่างจังหวัดพริกแกง นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหา’ลัยเอกชนชื่อดัง เจ้าของร่างบางสัดส่วนชวนฝัน พร้อมด้วยใบหน้ารูปไข่สวยหวานผสานความเซ็กซี่แต่งเติมด้วยเครื่องสำอางอ่อนๆ ดวงตากลมโตสุกใส ขนตางอนยาวเรียงแพสวย จมูกเชิดรั้นรับริมฝีปากอวบอิ่ม ผิวขาวเนียนอมชมพูสุขภาพดีช่วยดึงดูดสายตาผู้ชายมองตามจนเหลียวหลัง ส่วนผู้หญิงด้วยกันยังต้องมองด้วยความอิจฉาเจ้าของใบหน้าสวยเชิดหลังตรงดุจนางพญา เท้าเรียวเยื้องย่างมาบนรองเท้าส้นแหลมสีดำแบรนด์ดังด้วยความมั่นใจ สะกดทุกสายตาที่จ้องมอง“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ คุณพริก”“สวัสดีค่ะ” เรียวปากอิ่มยกยิ้มตอบอย่างไม่ถือตัวเช่นทุกครั้งสองเท้าบางก้าวไปเบื้องหน้า สายตาสาดส่องมองหาใครบางคน ก่อนตากลมจะทอประกาย มุมปากยกยิ้มอ่อนเมื่อสายตาปะทะเข้ากับแผ่นหลังของคนตัวเล็กกว่าแสนคุ้นตา ยืนอยู่บริเวณเคาน์เตอร์ประช
@มหาวิทยาลัย“พริก...”“...”“พริกแกง!”เพียะ!“เล่นบ้าอะไรน้ำหนาว เราตกใจหมด”“ไม่ได้เล่นซะหน่อย เราเรียกพริกตั้งนานแล้วนะ แต่พริกไม่สนใจเราเลย” ร่างเล็กกว่าทำหน้ายู่ใส่ พลางลูบรอยแดงบนแขนตัวเองป้อยๆไม่ใช่ความผิดเธอสักหน่อย เธอเรียกพริกแกงตั้งแต่เห็นหลังกันไกลๆ แต่ไม่ว่าจะเรียกกี่ครั้งอีกคนก็ไม่หันมามอง เหมือนกำลังสนใจอะไรสักอย่างถึงต้องเดินเข้ามาสะกิด แต่ไม่คิดว่าพริกแกงจะตกใจแรง จนหันกลับมาฟาดเต็มเหนี่ยว เล่นเอาซะแขนชาแน่ะ“แหะๆ เราขอโทษนะ”“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วนี่พริกมองอะไรอยู่เหรอ” น้ำหนาว บอกปัดอย่างไม่ถือสา ขยับมาใกล้แล้วเอ่ยถามต่อ เพราะอยากรู้ว่าอะไรทำให้คนระมัดระวังตัวอย่างพริกแกงเหม่อลอยได้ขนาดนี้คิ้วเรียวบนใบหน้าขาวฉบับสาวเหนือย่นแทบชนกัน หลังจากชะเง้อมองจุดที่พริกแกงเคยให้ความสนใจด้วยความสงสัยต้นไม้ ถังขยะ และนักศึกษาไม่เห็นมีอะไรเลยนี่นา? แล้วเพื่อนสาวคนสวยของเธอกำลังมองอะไรอยู่นะ หรือว่า...พริกแกงมีจิตสัมผัสเหรอ!?“ก็...ไม่เห็นมีอะไรเลยนี่คะ?”“หนาวไม่เห็นเหรอ รถสีดำคันนั้นไง”“สีดำ...คันไหนคะ?”“นั่นไง อะ อ้าว หายไปไหนแล้ว เมื่อกี้ยังจอดอยู่ตรงนั้นอยู่เลย” ดวงตาเบิกโพ