Share

Ep.3 | โชคชะตา?

- ด้านพริกแกง -

“รอนานมั้ยครับ”

“ไม่เลยค่ะ” คนเสียงใสยกยิ้มตอบ

“ขอโทษทีนะ ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยมีเวลาให้เราเลย”

พริกแกงไม่ได้พูดอะไรกลับไป มีเพียงรอยยิ้มเป็นคำตอบ อันที่จริง เขาไม่ควรพูดว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาให้กันหรอก มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่หลังคบกันได้หกเดือนต่างหาก

เธอพอจะเข้าใจเหตุผล แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ลึกๆ แล้วเธอกำลังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หลายครั้งที่นัดของเราต้องล่ม เพราะคำว่าติดงานด่วนของเขา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงจัดสรรเวลาไม่ได้สักที

“ไม่ค่อยได้เจอกันเลย คิดถึงจะแย่” ใบหน้าคมเข้มหันมายกยิ้มละมุนให้แฟนสาว เขาไม่ได้รับรู้ความในใจของเธอ เพียงแต่เห็นว่าคนข้างกายเงียบไปจึงยกมือลูบผมนุ่มเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปมองถนนเบื้องหน้าต่อ ในตอนที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว

“ถ้าคิดถึงก็มาหาพริกบ่อยๆ สิคะ จะได้หายคิดถึง”

“พี่จะพยายามนะครับ”

แทนไทกับพริกแกงอายุห่างกันเพียงสองปี แต่เขากลับชอบทำเหมือนเธอเป็นเด็กๆ อยู่บ่อยครั้ง ถ้าถามว่าชอบไหม? ก็ตอบได้แค่ชอบมาก มันอบอุ่น มันนุ่มฟูในหัวใจ ยามที่เขาแบ่งเวลามาอยู่ด้วยกัน

ผู้ชายแบบนี้แหละที่เธอต้องการและตามหามาตลอด แม้จะติดขัดเรื่องของเวลาไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว พี่แทนไทจัดว่าเป็นผู้ชายที่อบอุ่นและเป็นสุภาพบุรุษตรงสเปกเธอทุกอย่าง

“เมื่อไหร่น้องพริกจะย้ายมาอยู่กับพี่สักทีล่ะครับ” เสียงทุ้มถามขึ้นเบาๆ ราวกับกำลังอ้อนกัน ขณะสายตาจับจ้องรถราบนท้องถนนไม่คลาดสายตา

แม้อยากจะมองหน้าคนรักใจแทบขาดยามเอ่ยถาม แต่กลัวว่าหากประมาทเพียงนิด คนข้างกายอาจจะได้รับอันตรายไปด้วย

“พริกยังไม่พร้อมค่ะ” คำตอบเดิมๆ จากปากอิ่มทำให้คนฟังนิ่งเงียบไปอย่างจำยอม

ถ้าถามว่าเธอรักเขาไหม คงตอบได้โดยไม่ต้องคิดว่ารักมาก แต่ถ้าถามว่าพร้อมยกทุกอย่างให้เขาแล้วหรือยัง

คงต้องตอบว่ายัง...

เธอยังไม่มั่นใจขนาดนั้น ถึงจะคบกันมานานเป็นปี แต่ถ้านับช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกัน ก็ถือว่าน้อยเกินไปที่จะตัดสินใจในเรื่องนี้ได้

เขาทำงาน ส่วนเธอก็เรียน ไหนจะงานอดิเรกที่เธอรักอีก คงต้องรอเวลาอีกสักพัก เพื่อให้อะไรชัดเจนขึ้นกว่านี้

Phikkaeng Part

“ครับๆ”

“ใจเย็นก่อนนะครับ”

“เดี๋ยวผมรีบไป” ฉันละสายตาจากอาหารตรงหน้า ช้อนตาขึ้นมองพี่แทนไท ที่กำลังวุ่นวายกับปลายสายอยู่ตรงข้ามกัน

เราสองคนเพิ่งฝ่ารถติดมาถึงร้านอาหารได้ยังไม่ถึงยี่สิบนาทีดี อาหารยังยกมาเสิร์ฟไม่ทันครบ โทรศัพท์ของพี่แทนก็แผดเสียงขึ้นเสียก่อน เขากดรับแล้วตอบกลับปลายสายสั้นๆ ไม่กี่ประโยค สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด

ถ้าให้เดา...คงเป็นเรื่องงานเหมือนเคย เฮ้อ...

อย่างที่บอก แฟนฉันงานยุ่งจะตาย

“มีอะไรหรือเปล่าคะ สีหน้าพี่ไม่ดีเลย” หลังวางสาย สีหน้าของคนรักก็ดูกังวลจนฉันอดถามไม่ได้

“ที่โรงแรมมีปัญหานิดหน่อยน่ะ น้องพริก คือ...”

“พูดมาเลยค่ะ พริกรอฟังอยู่”

“พี่คงต้องปลีกตัวไปดูตรงนั้นก่อน พริกกลับเองได้ใช่มั้ยครับ?”

“ถ้าบอกว่าไม่ได้ พี่แทนจะไม่ไปเหรอคะ?” คิดไว้ไม่มีผิดว่าต้องเป็นประโยคนี้ แต่คราวนี้ฉันลองแสร้งถามหยั่งเชิงดู แทนการปล่อยผ่านไปเหมือนทุกครั้ง

อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะมีท่าทีอย่างไร ถ้าคนที่เคยอะไรก็ได้มาตลอดเปลี่ยนไป

เขาเอาแต่มองหน้าฉันนิ่ง สายตาคู่นั้นไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่มันดู...ไม่ลังเลสักนิด หากจะทิ้งฉันไว้ที่นี่ตามลำพัง

“ก็ไม่ได้ ถูกมั้ยล่ะคะ? พี่ไม่ต้องห่วง พริกกลับเองได้ สบายมากค่ะ” ฉันรับคำหนักแน่น พร้อมยกยิ้มยืนยันในคำพูด ปัดไล่ทุกความคิดไร้สาระออกไปจากหัวให้หมด

ฉันไม่ใช่คนงี่เง่าและเข้าใจดี ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ฉันเองก็มี อีกอย่างเขามีเรื่องให้เครียดอยู่แล้ว ในฐานะคนรัก ฉันก็ไม่ควรไปสร้างความหนักใจเพิ่มให้ แม้จะโดนเทอีกแล้วก็เถอะ

“เดี๋ยวเสร็จจากธุระ พี่โทร. หานะครับ” พี่แทนหันมาส่งยิ้มติดจะกังวล ก่อนจะหมุนตัวเตรียมเดินจากไป

“เดี๋ยวค่ะพี่แทน”

“คะ...ครับ” คนถูกเรียกชื่อเสียงเข้มหยุดชะงัก หันกลับมาด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย สงสัยเสียงเรียกคงดังไปหน่อย หรือเขาคิดว่าฉันนึกคึกอยากจะต่อว่าส่งท้าย? เพราะเขาเป็นคนชวนออกมา แต่กลับต้องทิ้งให้ฉันต้องอยู่คนเดียว แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย

“คืนนี้พี่ว่างมั้ย? พอมีเวลาหรือเปล่าคะ พอดีวันนี้พริกมีนัดดื่มกับเพื่อน เลยอยากชวนพี่ไปด้วย ช่วงหลังมานี้เราไม่ค่อยได้สังสรรค์กันเลย เพื่อนๆ พริกก็ถามถึงพี่”

“ได้สิ ที่ไหน กี่โมงครับ”

หลังจากนัดแนะเวลากันเสร็จสรรพ เขาก็รีบจ้ำอ้าวออกไปทันที สงสัยคงจะเป็นเรื่องด่วนมากจริงๆ

คล้อยหลังพี่แทนไทกลับไป ฉันนั่งเขี่ยอาหารเล่นไปกินไปอย่างเชื่องช้า คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เหมือนทุกครั้งที่ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวตามลำพัง ทั้งที่มีคนรักแท้ๆ

หลายคนอิจฉาฉันที่ได้หัวใจผู้ชายแบบพี่แทนมาครอบครอง แรกเริ่มฉันเองก็คิดแบบนั้น แต่ด้วยเวลาที่ล่วงเลยไป กอปรกับหลายๆ เหตุการณ์ที่ได้พบเจอ มันทำให้มีคำถามผุดขึ้นในใจ

แบบนี้มันดีจริงๆ เหรอ? เวลาแทบทั้งหมดของเขาคืองาน

แล้วฉันล่ะ? ฉันที่เป็นคนรัก เขาวางไว้ตรงไหนกัน

“ฟุ้งซ่านอะไรของเธอเนี่ย ยัยพริก” ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน พลางตบสองแก้มของตัวเองเบาๆ เพื่อดึงสติ

สงสัยช่วงนี้จะนอนน้อย บวกกับความคิดถึงและความน้อยใจที่มี ถึงทำให้ฉันเผลอคิดอะไรลบๆ พี่แทนจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร เขาคือผู้ชายที่ถอดแบบมาจากพี่ใจดีเลยนะ เขาไม่มีวันทำฉันเสียใจหรอก

หลังทานอาหารเรียบร้อย ฉันก็เดินออกมาโบกแท็กซี่บริเวณหน้าร้าน เตรียมกลับไปทำเรื่องที่คณะฯ ต่อ แต่กว่าจะเจอคันที่จอดรับ ผิวก็แทบไหม้

นี่แหละนะ ไทยแลนด์โอนลี่

“ไปมหา’ลัย S-Class ค่ะ” ในที่สุดก็มีคันที่จอดสักที ฉันรีบยัดตัวเองเข้าไปนั่งเบาะด้านหลัง พร้อมบอกจุดหมายเสร็จสรรพ โชคดีมากที่พี่คนขับเป็นผู้หญิง จะได้ไม่ต้องนั่งอึดอัดตลอดทาง

ฉันไม่ชอบนั่งรถโดยสาร ส่วนใหญ่ชอบขับรถไปไหนมาไหนเองมากกว่า เพราะไม่ชอบสายตาผู้ชายที่มองกันแบบชวนขนลุก

“เร็วกว่านี้อีกหน่อยได้มั้ยคะ” ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาเลือกที่ฝึกแล้ว แต่ฉันยังไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง จึงถามด้วยความร้อนใจ

ไม่ใช่ว่าพี่คนขับขับช้า แต่ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น รถถึงได้ติดยาวเหยียดอย่างกับถนนเส้นพระรามสอง

“น่าจะเกิดอุบัติเหตุน่ะน้อง เดี๋ยวตำรวจเคลียร์ทางเรียบร้อย พี่จะซิ่งให้เลย”

“ค่ะ ฝากด้วยนะคะ” เมื่อทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ก็ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่พี่สาวคนขับ

กว่าการจราจรจะกลับมาราบรื่นใช้เวลาเป็นชั่วโมง ตอนนี้เลยเวลาที่อาจารย์กำหนดไว้แล้วเรียบร้อย ฉันได้แต่ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นึกเห็นใจลูกช้างคนสวยคนนี้ด้วย ขอให้เพื่อนร่วมรุ่นอย่าเพิ่งเลือกที่ที่พวกเราสามคนเล็งไว้เลย เพี้ยง!

หลังจากจ่ายเงินแบบเร่งรีบเงินทอนก็ไม่เอา ฉันก็รีบวิ่งสุดชีวิต วิ่งเร็วที่สุดเท่าที่รองเท้าคัตชูที่ใส่มาจะเอื้ออำนวย แต่เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่ตอบรับคำขอ ไม่สิ เปิดอ่านคำขอหรือยังคะ!?

สุดท้ายก็ไปไม่ทัน

“ฮะ! เต็มหมดแล้ว” ฉันที่พยายามวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามายังบอร์ดรายชื่อบริษัทใต้ตึกคณะร้องเสียงหลง แทบหมดแรงล้มลงกับพื้น บริษัทที่หมายตาไว้เต็มหมดแล้ว ไม่เหลือสักบริษัทเดียว

“อือ / งือ” ข้าวฟ่างกับน้ำหนาวพยักหน้าตอบพร้อมกัน พลางส่งเสียงเอื่อยๆ อย่างหมดหวัง

“เธอจะตกใจทำไม อีกสามบริษัทที่เหลือ ถึงจะกำหนดเกรดเฉลี่ยไว้ก็จริง แต่เธอสามารถเข้าทุกบริษัทได้สบายๆ ที่น่าห่วงน่ะ สองคนนั้นต่างหาก” แผ่นดินมองไปยังสองสาวที่ยืนมองฉันตาปริบๆ อยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ต้องมามองแบบนั้น ฉันอุตส่าห์ฝากความหวังไว้ที่พวกเธอ

“รู้ว่าไปได้ แต่อยากไปด้วยกันมากกว่า ไหนเธอสองคนบอกจะมาจองไว้ก่อนไง” หันไปถามเพื่อนอีกสองคน ก่อนหน้านี้ฉันบอกทุกคนในไลน์กลุ่มว่าจะมาช้า เพราะเส้นทางกลับเกิดอุบัติเหตุ ทั้งสองสาวก็รับปากว่าไม่มีทางพลาด แต่ทำไมมันออกมาเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ? ฉันอยากร้องไห้

“ขอโทษ... เรามัวแต่เข้าห้องน้ำ” น้ำหนาวตอบกลับอย่างรู้สึกผิด

“ส่วนฉันไปทำธุระมา แผ่นดินนั่นแหละมัวแต่หลับ ไม่ได้เรื่องเลย” ข้าวฟ่างหันไปโบ้ยให้คนเป็นแฟน ส่วนแผ่นดินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ให้มันได้อย่างนี้สิ เพื่อนฉันแต่ละคน

“เอาไงกันดี น้ำหนาว?” ข้าวฟ่างหันไปถามเพื่อนร่วมชะตากรรม

ไร้เสียงตอบกลับจากอีกคน เธอทำเพียงส่ายหัวเบาๆ เป็นคำตอบ น้ำหนาวเป็นคนขี้อาย พูดน้อย และขี้กลัว เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้พวกเราอยากไปฝึกงานที่เดียวกัน

ฉันคงต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อช่วยเพื่อนรักแล้วละ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง” เมื่อไปด้วยกันไม่ได้ ก็ต้องหาที่ที่ไว้ใจได้ เพื่อฝากฝังยัยสองเกลอ

“ยังไง?” ทั้งสามคนประสานเสียงเหมือนนัดกันมา

“ไว้ใจฉันเถอะน่า”

“แล้วพริกล่ะจะไปที่ไหน พริกก็ยังไม่ได้เหมือนกัน หรือจะไปที่เดียวกับพวกหนาว?”

“ไม่ๆ เดี๋ยวเราเลือกจากที่เหลือนี่แหละ เอ...ไปไหนดีนะ”

“เล็งที่ไหนไว้เหรอ?”

“ไม่เล็งสักที่ ตอนนี้ที่ไหนก็ได้ ขอแค่มีที่ฝึกก็พอ” ไหวไหล่ตอบตามความคิด แต่จู่ๆ ก็เหมือนจะคิดอะไรดีๆ ออก

ฉันเดินไปหยิบกระดาษมาหนึ่งแผ่น เขียนชื่อทั้งสามบริษัทลงไป จากนั้นก็ตัดกระดาษรายชื่อให้มีขนาดเท่าๆ กันแล้วม้วนจนแน่นก่อนหยิบใส่อุ้งมือ จัดการเขย่าสองสามทีให้มันคละกัน แล้วโยนขึ้นส่งๆ หลับหูหลับตาคว้าขึ้นมาหนึ่งชิ้น ท่ามกลางเหล่าผองเพื่อนที่ทำหน้าตกตะลึง กับวิธีการเลือกเส้นทางชีวิตต่อจากนี้ไปอีกหลายเดือน แต่ฉันกลับยกหน้าที่นั้นให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าที่แทน

มีเพียงแผ่นดินที่ทำหน้าตาเรียบเฉย เพราะมันเห็นบ่อยจนชิน เวลาฉันเลือกอะไรไม่ถูก ก็มักจะใช้วิธีนี้แหละ ง่ายดี

ฉันค่อยๆ คลี่กระดาษชิ้นเล็กในมือออกอย่างเชื่องช้าสร้างความลุ้นระทึกให้สองสาวที่มองตาไม่กะพริบ จนข้าวฟ่างทนไม่ไหวคว้ากระดาษในมือไปดูแทน หลังคลี่กระดาษออกกว้างข้าวฟ่างยืนนิ่งอ้าปากค้างกลางอากาศ ท่าทางของเพื่อนสาวทำให้ฉันรีบฉวยกระดาษแผ่นนั้นคืนมาอ่านเอง

“ทูนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป”

~ End Phikkaeng Part ~

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status