Share

Ep. 6 | รายงานตัว

@ทูนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป

ฉันพาตัวเองในชุดนักศึกษาเรียบร้อยที่สุดเท่าที่คนอย่างฉันจะเรียบร้อยได้ พร้อมลากรองเท้าสีดำสูงสี่นิ้วคู่โปรด มาหยุดยืนอยู่หน้าบริษัทสีทึบขนาดใหญ่ที่มีความสูงหลายสิบชั้น

คำพูดมากมายที่อาจารย์พยายามสาธยายให้ฟังก่อนหน้านี้เท่าที่พอจะจำได้ผุดขึ้นมาในหัว ทูนิกซ์ เป็นบริษัทชั้นนำ มีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก ทำให้ต้องเข้มงวดเป็นพิเศษ ท่านกำชับนักกำชับหนาว่าต้องทำตัวให้ดี อย่าทำให้มหา’ลัยและอาจารย์เสื่อมเสียชื่อเสียง พร้อมทั้งย้ำนักย้ำหนา ให้ฉันแต่งตัวให้เรียบร้อย เหมาะสมกับการเป็นเด็กฝึกงาน

ฉันถึงต้องไปรื้อตู้เสื้อผ้า เพื่อหากระโปรงตัวยาวที่เคยใส่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายสมัยเรียนปีหนึ่งมาใส่

“มารายงานตัวฝึกงานค่ะ” ฉันเอ่ยเสียงใส พร้อมทั้งยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลในมือให้คุณพี่หน้าคม อกตู้มตรงหน้า

“น้องพัชริกา ฮาร์ตลีย์ใช่มั้ยคะ?”

“ใช่ค่ะ” ยิ้มตอบ

เห็นฉันชื่อไทยสไตล์ขนาดนี้ แต่ความจริงแล้วฉันมีแด๊ดดี้เป็นคนอังกฤษนะ และด้วยเหตุนี้แหละครอบครัวถึงไปเปิดธุรกิจที่ต่างประเทศแทนการทำธุรกิจในประเทศไทย

พี่พนักงานสาวหน้าคมยกหูโทรศัพท์ตรงเคาน์เตอร์กดต่อสายภายในหาใครบางคน พี่เขาพูดกับปลายสายอย่างนอบน้อมอยู่สองสามประโยค ก่อนจะวางสายแล้วหันมาพูดกับฉัน

“เดี๋ยวน้อง...”

“พริกแกงค่ะ^^”

“ค่ะ เดี๋ยวน้องพริกแกงขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 25 ออกจากลิฟต์เดินตรงไปจนสุดทางเดิน จะเห็นประตูไม้บานใหญ่ฝั่งขวามือ นั่นแหละค่ะ ห้องท่านประธาน เข้าไปได้เลยค่ะ บอสรออยู่ด้านใน”

“แล้ว...แล้วพี่ไม่ไปกับพริกเหรอคะ?” เท่าที่รู้มา ปกติหากมาฝึกงานในบริษัทใหญ่ อย่างน้อยต้องมีพนักงานตามประกบสิ จะปล่อยให้เด็กใหม่อย่างฉันเดินเรื่อยเปื่อยไปจนถึงห้องท่านประธานเลยเหรอ?

“พี่ได้รับคำสั่งมาเท่านี้ค่ะ” พูดจบ พี่เขาก็ยิ้มให้อย่างมีมารยาทหนึ่งที แล้วเดินแยกหายไป

แม้จะงุนงงอยู่ในที แต่ฉันก็ยอมปลีกตัวเดินไปตามเส้นทางที่พี่พนักงานบอกจนมาถึงที่หมาย ชั้นนี้ทั้งชั้นมีห้องทำงานแค่สองห้องเท่านั้น ส่วนพื้นที่ที่เหลือถูกจัดสรรไว้สำหรับรับรองแขก และใช้สำหรับพักผ่อน ดูจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่ค่อนข้างจะครบครันน่ะ มีแม้กระทั่งเครื่องออกกำลังกาย

ฉันเริ่มสงสัยแล้วนะว่าที่นี่คือบริษัทหรือคอนโดฯ กันแน่ เจ้าของบริษัทเป็นคนอย่างไรกันนะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“เชิญ” เสียงเข้มจากด้านในตอบกลับมา หลังฉันเคาะประตูสองสามที

“ขออนุญาตนะคะ” ไม่รอช้า ฉันผลักประตูเดินเข้ามาหยุดยืนหน้าโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ บนนั้นมีเอกสารกองสุมอยู่อย่างเป็นระเบียบ บ่งบอกถึงนิสัยของเจ้าของห้องได้ดี นัยหนึ่งก็อดประหลาดใจไม่ได้ รู้มาตลอดว่าผู้บริหารมักงานยุ่ง แต่ไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้ ถึงว่าทำไมพี่แทนถึงผิดนัดฉันตลอดเลย

“นั่งก่อนสิ”

“ค่ะ” ฉันรับคำ แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ว่างอยู่

ความนิ่งของท่านประธานทำให้รู้สึกประหม่า ยิ่งตอนเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาโดยปราศจากรอยยิ้ม จู่ ๆ ก็เผลอลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดหวั่นเสียได้

ความสวยที่มีคงช่วยอะไรฉันไม่ได้เลยสินะ

“คุณพัชริกา? ผมขอไม่อ้อมค้อมแล้วกัน ปกติบริษัทผมไม่ค่อยรับนักศึกษาฝึกงาน แต่พอดีมีรุ่นน้องที่รู้จัก อยากเข้ามาศึกษางานที่นี่ ผมเลยถือโอกาสรับคนอื่นเข้ามาด้วย จะได้ดูไม่น่าเกลียดเกินไป”

“ค่ะ” เขาพูดมาขนาดนี้ แล้วฉันจะตอบอะไรได้อีกล่ะ

เปิดเผย ชัดเจน แจ่มแจ้ง ไม่มีปิดบัง เป็นการบอกให้รู้สินะว่าที่นี่มีเด็กเส้น ขอบคุณค่ะบอส!

“แล้วคือหนู อะ เอ่อ... ฉัน” ตะกุกตะกักเสียไม่มี ปกติกับคนอายุมากกว่า ฉันมักแทนตัวเองว่าหนู แต่ในสถานการณ์นี้ บอกตามตรง ฉันไม่รู้เลยว่าควรใช้แบบไหน มันถึงจะเหมาะสมที่สุด

“เอาที่สะดวกเถอะ ผมไม่เรื่องมาก”

“คือหนู...” งั้นคำนี้น่าจะเหมาะสุดแล้ว เพราะเท่าที่ข้าวฟ่างช่วยหาข้อมูลมากรอกหู ผู้บริหารตรงหน้านี้ อายุมากกว่าฉันหลายปี แต่ยังหน้าเด็กอยู่เลย สวนทางกับมาดขรึม ๆ นั่นชะมัด

ท่านประธานจ้องหน้าฉันนิ่ง จากที่ไม่กลัวก็เกิดเกร็งขึ้นมา

“จะให้หนูฝึกตำแหน่งไหนคะ” ทำใจกล้าถามออกไป เขาทำหน้าครุ่นคิด นั่นยิ่งทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้คิดรับใครเข้ามาจริง ๆ ถึงนิ่งไปนานขนาดนั้น ฉันคิดผิดหรือคิดถูกกันแน่นะที่ตัดสินใจมาตามกระดาษบ้า ๆ นั่น เริ่มไม่แน่ใจแล้วแฮะ

“มาเป็นผู้ช่วยเลขาผมก็แล้วกัน อีกอย่างเรียกผมว่าบอส หรือท่านประธานเหมือนพนักงานคนอื่นก็ได้ สำหรับผม นักศึกษาฝึกงานก็เป็นพนักงานคนหนึ่งเหมือนกัน”

“รับทราบค่ะบอส” หลังจากนั้น ท่านประธานก็อธิบายกฎระเบียบการเป็นนักศึกษาฝึกงานของบริษัทฯ ให้ทราบอย่างละเอียดอยู่นานสองนานเลยทีเดียว

แอบสงสัยอยู่นะ ว่าทำไมหน้าที่นี้ถึงตกมาอยู่ในมือของประธานบริษัทฯ ทั้งที่การพูดคุยและชี้แจงกฎระเบียบขององค์กร มันควรเป็นหน้าที่ของแผนก HR มากกว่า

แต่ใครจะกล้าถามอะไรล่ะ เพราะตลอดเวลาการพูดคุย เขาไม่ยิ้มเลยสักนิด ตึงมาก แค่ยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก็ไม่มี ใบหน้าหล่อเหลานั้นเคร่งขรึมตลอดเวลา แถมบรรยากาศรอบตัวยังให้ความรู้สึกกดดัน และน่าเกรงขามแปลก ๆ

“หนูขอตัวไปทำเรื่องต่อที่พี่ HR นะคะ สวัสดีค่ะ” ทันทีที่คำพูดสุดท้ายของเขาจบลง ฉันยกมือไหว้อย่างนอบน้อม คว้ากระเป๋าขึ้นมาคล้องไหล่ เตรียมตัวออกไปเดินเรื่องต่อที่ฝ่ายบุคคล

“เดี๋ยว”

“คะ?”

“ปกติ เธอพกยาแก้ปวดติดตัวไว้หรือเปล่า?”

“บอส...ปวดหัวเหรอคะ?” ฉันเลิกคิ้วถามกลับอย่างสงสัย

“เปล่า”

“...” อ้าว? อะไรของเขา

“เอาเป็นว่าพกไว้หน่อยก็ดี หลังจากนี้เธออาจได้ใช้มัน”

“อ๋อ ค่ะ งั้นไว้รอบหน้าหนูจะพกพาราฯ ติดตัวนะคะ” ฉันรับคำงง ๆ ก่อนจะเดินออกมา แม้คำพูดเมื่อครู่จะคล้ายกับกำลังต่อปากต่อคำกับเขาอยู่ก็ตาม

บริษัทอะไรกันเนี่ย! ตำนานบทใหม่เหรอที่บอสบอกให้เด็กฝึกงานพกยาพาราฯ มาด้วยน่ะ หรือมันจะเป็นการบอกล่วงหน้าว่างานมันหนักหน่วง จนชวนปวดหัวกันแน่นะ

กว่าจะรายงานตัว และจัดแจงเรื่องเอกสารเสร็จ ก็กินเวลาเกือบเที่ยงเลยทีเดียว มันเกือบถึงเวลาที่นัดกับครอบครัวพี่แทนไทไว้ แต่ก็ยังเหลือเวลาให้จัดการตัวเองเล็กน้อย

หลังจากได้ใช้ชีวิตอยู่ในบริษัทนี้มาเกือบครึ่งวัน ถึงท่านประธานจะดูน่ากลัวไปหน่อย แต่ฉันชอบที่นี่นะ กฎไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแค่รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดีเป็นพอ

ส่วนการแต่งตัวมาทำงาน จะใส่ชุดอะไรก็ได้ ขอแค่สุภาพเรียบร้อย และต้องคล้องป้ายสำหรับนักศึกษาฝึกงานไว้ตลอดเวลาทำงาน เพราะอย่างที่ท่านประธานบอก ปกติที่นี่ไม่เคยรับเด็กฝึกงาน ดังนั้นจึงต้องมีอะไรระบุตัวตนสักเล็กน้อย

โดยรวมถือว่าโอเคเลย สำหรับชีวิตตลอดการฝึกงานของฉันขอแค่งานไม่โหด เจ้านายและพี่ ๆ ที่ออฟฟิศไม่รังแกกันก็พอแล้ว

~ End Phikkaeng Part ~

พริกแกงเลือกจอดรถทิ้งไว้ที่บริษัทฯ แล้วเดินไปร้านอาหารแทน เนื่องจากเวลานี้เป็นช่วงใกล้เที่ยง ทำให้รถค่อนข้างติดและอาจทำให้ไปถึงช้ากว่าเวลานัด การปล่อยให้ผู้ใหญ่รอไม่ใช่เรื่องดี ฉะนั้นเธอไม่มีทางปล่อยให้มันเกิดขึ้น

ทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูเข้าไปในร้าน พนักงานต่างยิ้มต้อนรับ แฟนหนุ่มที่รออยู่ก่อนแล้ว รีบเดินตรงเข้ามาหาแฟนสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ร้อนมั้ยครับ” เขาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะเพิ่งคุยกันผ่านแชตว่าแฟนสาวเลือกใช้การเดินเท้าแทนการขับรถมา

“ไม่เลยค่ะ สบายมาก” แม้ว่าภายนอกพริกแกงจะดูอ่อนหวานราวกับลูกคุณหนู แต่เธอก็จัดเป็นผู้หญิงสายลุยคนหนึ่ง

ทั้งสองควงแขนกันเดินเข้าไปยังโต๊ะมุมสุดด้านในร้าน ที่มีชายหญิงวัยกลางคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“สวัสดีค่ะคุณลุง สวัสดีค่ะคุณป้า” พริกแกงยกมือขึ้นไหว้พ่อแม่แฟนอย่างนอบน้อม โดยมีแฟนรุ่นพี่ยืนขนาบข้างไม่ห่าง

“สวัสดีจ้ะหนูพริก มาลูก มานั่งก่อนจ้ะ” คุณหญิงอรพิน บอกว่าที่ลูกสะใภ้อย่างมีจริตจะก้านตามนิสัยแบบฉบับผู้ดีเก่า

"ขอบคุณค่ะ" เธอหย่อนสะโพกลงบนเก้าอี้ที่แฟนหนุ่มเลื่อนให้โดยไม่ลืมส่งยิ้มให้เขาเช่นทุกครั้ง

“แม่ว่าเลิกเรียกคุณลุงกับคุณป้าได้แล้วมั้งจ๊ะ เรียกพ่อกับแม่ดีกว่าเนอะ เพราะเดี๋ยวพอเรียนจบ หนูพริกก็ต้องมาเป็นลูกสาวแม่อีกคน”

“เอาไว้ถึงวันนั้นก่อนดีกว่าค่ะ” เธอตอบพร้อมยกยิ้มบาง ทำให้รอยยิ้มอย่างมีหวังของอีกฝ่ายเลือนหายไป เหลือเพียงรอยยิ้มแห้งแก้เก้อ

อันที่จริง คุณหญิงอรพินและคุณไททัช เคยบอกให้เธอเรียกพวกท่านเหมือนอย่างที่ลูกชายเรียก แต่เธอปฏิเสธด้วยเหตุผลว่ายังไม่พร้อม ขอเรียกตามสะดวกไปก่อน ด้วยไม่อยากทำให้เธออึดอัด ทุกคนจึงไม่มีใครท้วงติงอะไร แม้จะรู้สึกเสียดายก็ตาม

ในสายตาผู้ใหญ่ พริกแกงเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทุกด้าน เรื่องรูปร่างหน้าตาคงไม่ต้องพูดถึง การันตีด้วยตำแหน่งดาวมหา’ลัย การศึกษาจัดอยู่ในระดับท็อปของสาขา ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมกับการเป็นสะใภ้ของตระกูลดังแม้แต่น้อย

ส่วนฐานะทางครอบครัว แม้ว่าธุรกิจทางบ้านเธออาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนักภายในประเทศ แต่สำหรับนักธุรกิจที่นิยมลงทุนในต่างประเทศ ล้วนไม่มีใครไม่รู้จัก CHP แบรนด์ Jewelry หรู ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด ตีตลาดทั่วยุโรปภายในระยะเวลาไม่กี่ปี จากการบริหารของพ่อและพี่ชาย สร้างรายได้มหาศาลต่อปี จนนักลงทุนต่างยื่นข้อเสนอมากมายเพื่อให้ได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้น

สวย รวย เก่ง ครบเครื่องขนาดนี้

ใครไม่อยากดองเป็นทองแผ่นเดียวกันก็บ้าแล้ว

Phikkaeng Part

“ทานเยอะ ๆ นะหนูพริก ป้าว่าหนูผอมเกินไปแล้วนะลูก” ใช้เวลาไม่นาน อาหารหลากสัญชาติหลายรายการที่ถูกสั่งไว้ก็นำมาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ

คุณแม่แฟนตักเมนูที่คาดว่าฉันน่าจะชอบ อย่างผัดหน่อไม้ฝรั่งอวบอ้วนกับกุ้งตัวโตเนื้อเด้งดึ๋งดั๋งใส่จานให้อย่างเอาใจ

“ขอบคุณค่ะ” ฉันกล่าวพร้อมยกยิ้มหวานอย่างมีมารยาท แม้ว่าจะมีอาหารบางอย่างที่ฉันทานไม่ได้ก็ตาม

“ชิมอันนี้หน่อยนะครับ พี่จำได้ว่าน้องพริกชอบ” แฟนหนุ่มเองก็ไม่น้อยหน้าผู้เป็นแม่ ตักต้มยำกุ้งให้เช่นกัน

“ขอบคุณนะคะ” ฉันยิ้มบาง ๆ ตอบกลับรอยยิ้มละมุนนั้น

เราใช้เวลาร่วมกันบนโต๊ะอาหารนานนับชั่วโมง การพูดคุยเต็มไปด้วยความอบอุ่น คุณแม่ของพี่แทนยังคงหวังดีกับฉันเสมอ ท่านถามถึงเรื่องเรียน เรื่องฝึกงาน รวมถึงเรื่องแด๊ดดี้กับแม่ที่ไม่ค่อยได้กลับมาไทย ส่วนคุณลุงมีแอบบ่นเล็กน้อยเรื่องที่ฉันไม่ยอมไปฝึกงานที่โรงแรมของท่าน เพราะท่านตั้งใจให้ฉันไปเรียนรู้เรื่องงาน เพื่อที่ในอนาคตจะได้เข้าไปช่วยพี่แทนบริหารงานได้

ไม่พอ ท่านยังตบท้ายด้วยการทาบทามฉันไว้ ย้ำเตือนว่าถ้าเรียนจบ อยากให้ฉันกับพี่แทนแต่งงานกันทันที

เรื่องนี้ฉันตอบรับด้วยรอยยิ้มอย่างเต็มใจ ไม่มีเหตุผลอะไรต้องปฏิเสธ ฉันรักเขา เขารักฉัน พอฉันเรียนจบเราแต่งงานกัน ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน

แต่งงานแล้วก็ใช่ว่าจะใช้ชีวิตไม่ได้นี่นา

ส่วนครอบครัวของฉันก็ไม่มีปัญหา ทุกคนบอกมาตลอดว่าแล้วแต่ลูก ชีวิตตัวเองต้องเป็นคนเลือกทางเดินเอง ให้คนอื่นมาตัดสินแทนไม่ได้หรอก

“น้องพริกเป็นอะไรครับ ดูไม่ค่อยโอเคเลยนะ” พี่แทนถามทันทีที่เห็นฉันมีท่าทางยุกยิกอยู่ไม่สุข

“ไม่มีอะไรค่ะ พริกแค่รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อย” หลังตักของหวานสุดโปรดอย่างทับทิมกรอบเข้าปากไปได้ไม่กี่คำ กลับเริ่มรู้สึกว่าร่างกายมีอาการผิดปกติ จู่ ๆ ก็เกิดคันยุบยิบตามผิวหนังช่วงแขนและขาขึ้นมา

คำตอบที่พูดออกไปโดยไม่ทันคิด ทำให้พี่แทนยกหลังมือขึ้นมาอังหน้าผากทันที ใบหน้าหล่อโน้มเข้ามาใกล้ แสดงออกถึงความกังวลและห่วงใยอย่างปิดไม่มิด

“ตัวไม่ร้อน ไม่มีไข้ แต่พี่ว่ารีบกลับไปทานยาจะดีกว่า อาจจะแพ้อะไรบางอย่าง”

“แทนพาน้องกลับไปพักเถอะลูก” คุณป้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงอีกคน

“ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า พริกเอารถมาเอง อีกอย่างพริกมีนัดกับเพื่อนต่อด้วย พี่แทนเองก็มีงานต้องไปทำต่อ พริกไม่รบกวนดีกว่าค่ะ” แม้จะรู้สึกดีที่ทุกคนเป็นห่วงมากขนาดนี้ แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากมาย แค่ไม่คิดว่ามันจะกำเริบเท่านั้นเอง

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status