Share

Ep. 5 | คนคุ้นเคย

Rrrrrr~

โทรศัพท์เครื่องหรูแผดเสียงดังลั่นห้อง ปลุกคนกำลังนอนหลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์ตื่นขึ้นมาเพราะความรำคาญ

มือบางควานสะเปะสะปะอยู่พักหนึ่งถึงเจอต้นตอขัดความสุข พริกแกงดันกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ขยี้ตาเล็กน้อยก่อนเพ่งมองหน้าจอมือถือ

ใครบังอาจมารบกวนกันนะ

“หือ ข้าวฟ่าง? โทร. มาทำไมแต่เช้า” ชื่อบนจอทำคิ้วเรียวขมวดมุ่น ปกติหลังจากดื่มกันอย่างหนักจะไม่ค่อยมีใครโทร.หาสักเท่าไหร่ เพราะแฮงก์กันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่ามีเรื่องด่วนอะไร

นิ้วเรียวสไลด์หน้าจอรับสาย พร้อมทั้งกดเปิดสปีกเกอร์โฟน กรอกเสียงงัวเงียตอบกลับปลายสายด้วยสภาพยังไม่ทันจะตื่นเต็มตาดี

“อือ~ มีอะไรคะคุณเพื่อน หายแฮงก์แล้วเหรอถึงโทร. มาเนี่ย?”

[ยังจะมานั่งใจเย็นอยู่อีกนะ เธอเห็นเพจซุบซิบของมหา’ลัยหรือยัง ยัยพริก]

“ฮะ? ยังเลย มีอะไรอะ?”

[ตายห่า งั้นดูด่วนเลยค่ะเพื่อน ด่วนที่แปลว่าเดี๋ยวนี้!]

ความร้อนรนผสมกับความรีบร้อนในน้ำเสียงของเพื่อนสนิท ทำให้คนงัวเงียรีบลุกไปหยิบไอแพดคู่ใจขึ้นมาเปิด กดเข้าแอปพลิเคชันดังแล้วค้นหา ‘ใต้เตียงมหา’ลัย SC’ ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเมาท์มอยเรื่องราวคาวๆ ของคนในรั้วมหา’ลัย ซึ่งพริกแกงเป็นหนึ่งในขาประจำ ที่มักมีหน้าไปปรากฏอยู่บนเพจนั้นจนเจ้าตัวเอือมระอา

หลังจากหายเมาขี้ตา คนเพิ่งตื่นรีบกดเสิร์ชหาชื่อเพจที่ว่าทันที ตาคู่สวยกวาดสายตาไล่ดูด้วยความว่องไว ภาพแรกที่ปรากฏบนหน้าจอไอแพด คือภาพของหญิงสาวในชุดเดรสสีดำเปิดไหล่สุดเซ็กซี่ กับชายหนุ่มเชิ้ตสีน้ำเงิน หากมองเพียงรูปลักษณ์คงไม่มีอะไร ทว่าที่ทำให้น่าตกใจคือคนในรูปนั้นกำลังประกบปากจูบกันอย่างดูดดื่มเร่าร้อน ชวนหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง พอเลื่อนสายตาอ่านแคปชันก็เห็นแฮชแท็ก #แม่คาสโนวี่ไม่ทิ้งลาย ติดสอยห้อยตามอยู่ด้านล่าง

แม้จะเห็นหน้าคนในรูปไม่ชัด แต่จากแฮชแท็กที่ใช้และภาพที่เห็น ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าคนคนนั้นคงเป็นใครไปไม่ได้

นอกจากตัวเอง

แถมยิ่งอ่านข้อความบนแคปชันที่ใส่สีตีไข่ พาดหัวเรียกยอดไลก์อย่าง “เอาอีกแล้ว แม่คาสโนวี่ผู้ร้อนแรงไม่ต่างจากชื่อ กินหนุ่มหล่อปริศนาคาผับหรู หลังจากเมื่อสัปดาห์ก่อน เพิ่งจูงมือรุ่นน้องปีหนึ่งขึ้นคอนโดฯ ของฝ่ายชาย” ทำให้เธอกดปิดหน้าจออย่างเสียอารมณ์

เหนื่อยหน่ายกับเรื่องฉาวๆ ของสังคมมหา’ลัยอันน่าปวดหัว ไอ้ที่ว่าขึ้นคอนโดฯ กับรุ่นน้องปีหนึ่งน่ะ เธอแค่บังเอิญไปเจอน้องคนนั้นที่รถเสียระหว่างทางกลับต่างหาก ถึงได้อาสาขอไปส่ง เพราะเห็นเป็นทางผ่านพอดี อีกอย่างเธอส่งแค่ทางเข้าคอนโดฯ เท่านั้น ไม่ได้เข้าไปเหยียบด้านในสักหน่อย ไม่รู้ทำไมแอดมินเพจถึงได้เขียนเนื้อหาแบบมโนไปไกลขนาดนั้น

แล้วในรูปเอาอะไรมาปริศนา? นั่นมันแฟนเธอชัดๆ รู้ว่าผู้หญิงคือเธอ แต่ไม่รู้ว่าผู้ชายคือพี่แทนไท ให้มันได้แบบนี้สิ!

[นี่! เงียบไปเลย ยังอยู่ไหมพริกแกง] ข้าวฟ่างถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นเพื่อนสนิทเงียบเสียงไป

“อยู่ๆ ฉันแค่...แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ”

[เดี๋ยวๆ พริกแกงอย่ากลบเกลื่อน โอเคจริงใช่ปะวะ]

“อื้อ โอเคสิ ทำไมต้องไม่โอเคด้วยล่ะ”

[ดีแล้ว แล้วเมื่อคืนเป็นอะไร เมาเหรอ? ปกติเธอกับพี่แทนไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้นี่] ข้าวฟ่างถามสิ่งที่สงสัย รู้จักกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่ รู้นิสัยเพื่อนสนิทดี พริกแกงไม่ใช่คนชอบทำอะไรโจ่งแจ้งต่อหน้าคนอื่น แม้ต่อหน้าเพื่อนสนิทอย่างพวกเธอก็ยังไม่เคยหลุดทำอะไรแบบนั้น

“หึ” มีเพียงเสียงแค่นหัวเราะในลำคอตอบกลับปลายสาย อันที่จริงเรื่องนี้มันก็เป็นแค่การแสดงความรักแบบคู่รักทั่วไป แต่เพราะว่าเป็นเธอมันถึงได้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา อีกอย่างถึงเธอไม่ใช่คนเริ่ม ทว่าทุกครั้งที่แอดมินเพจเริ่มโพสต์ข่าวซุบซิบทีไร คนโดนเพ่งเล็งมักเป็นเธอเสมอ ไม่ว่าจะอยู่กับใครก็ตาม

[เธอมีอะไรบอกพวกฉันได้นะ ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้คนเดียว]

“...ข้าว หรือเพราะภายนอกฉันมันดูแรงเกินไปอะ ถึงมีแต่คนมองกันในแง่ลบตลอดเลย” เธอไม่ตอบ แต่เลือกตั้งคำถามกลับไปเสียงเบา เหมือนเป็นการพึมพำกับตัวเองมากกว่า

[เป็นไรวะ ความอ่อนไหวของคนใกล้ได้ผัวเหรอ] แผ่นดินที่ยืนฟังอยู่นาน แทรกขึ้นทันทีเมื่อรับรู้ถึงน้ำเสียงไม่ปกติของเพื่อนสาว เขากับพริกแกงเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนม.ปลาย ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไร แต่เพราะสนิทกันมานาน ทำให้เขาเลือกจะแดกดันกลับไป มากกว่าส่งต่อคำพูดปลอบโยนหวานหู

“เพ้อเจ้อ ฉันแค่เหนื่อยๆ ย่ะ แค่นี้นะคู่รักคู่กรรม ฉันจะไปช็อปปิงหน่อย พี่ SA เพิ่งบอกเมื่อวานว่ามีกระเป๋าเข้าใหม่”

[ให้ไปเป็นเพื่อนมั้ย?]

“โนค่ะ ไม่อยากขัดเวลาพวกแก ได้ข่าวว่าเตรียมตัวจะไปเที่ยวทะเลกันไม่ใช่เหรอ? งั้นแค่นี้นะ บาย”

พริกแกงพยายามทำเสียงให้ร่าเริงเป็นปกติ ก่อนจะกดตัดสายเพราะไม่อยากให้ใครเป็นห่วงไปมากกว่านี้ อีกอย่างตอนนี้เธออยากอยู่เงียบๆ คนเดียว...

ตั้งแต่ก่อนจะคบกับแทนไท หรือแม้แต่หลังคบกับแฟนหนุ่มรุ่นพี่แล้วก็ตาม ชื่อของพริกแกงกับแผ่นดินก็ยังเป็นประเด็นเรื่องแอบแซ่บกันอยู่เนืองๆ ทั้งที่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าแผ่นดินกับข้าวฟ่างคบหากัน แต่ทุกคนกลับปิดหูปิดตา แล้วเลือกมองแต่สิ่งที่อยากจะเห็น และต้องการจะเห็นเท่านั้น บางทีก็เขียนแคปชันมั่วๆ ไปยันว่า เป็นรักสามเศร้าของเหล่าเพื่อนสนิทโน่นแน่ะ จะบ้า!

Phikkaeng Part

@ห้างสรรพสินค้า

ฉันก้าวเดินบนรองเท้าสีขาวพื้นแดงรุ่นใหม่ มุ่งหน้าสู่ช็อปกระเป๋าแบรนด์ไฮเอนด์ในเวลาที่ห้างฯ ใกล้ปิดทำการ

ใช่แล้วค่ะ! ฉันมัวแต่นอนโง่ ๆ นอนนิ่ง ๆ ปล่อยความคิดให้ไหลไปเรื่อยเปื่อยคนเดียว กว่าจะเรียกสติกลับเข้าร่างได้ ก็กินเวลาจนเย็นย่ำค่ำมืด แล้วกว่าจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จอีก ทำเอาเวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้แหละ

เกือบไม่ทันแล้วไหมล่ะ

ฉันกวาดตามองสำรวจกระเป๋ารุ่นต่าง ๆ ก่อนสายตาจะเป็นประกาย เมื่อไปสะดุดตากับกระเป๋าหนังสีน้ำตาลขนาดพอดีใบหนึ่ง มันวางอยู่ตรงชั้นกระจกบริเวณทางเข้า น่าแปลกที่ฉันกลับไม่สังเกตเห็นมันในตอนที่เดินเข้ามา แต่อย่างว่า คนเราบางทีก็เป็นแบบนี้ ‘ชอบมองข้ามอะไรใกล้ตัวเสมอ’

“ขอดูใบนั้นค่ะ” ฉันบอกพี่พนักงานที่ยืนรอให้บริการ

ไม่นานกระเป๋าที่ต้องการก็มายั่วกิเลสอยู่ตรงหน้า ฉันรีบรับมันมาถือต่อจากพี่พนักงานแล้วลองคล้องแขน หันตัวไปส่องกระจกกระจกที่ตั้งวางอยู่ด้านข้าง เพื่อดูความเข้ากันได้ของฉันกับมัน

ขณะที่ฉันกำลังพลิกกระเป๋าไปมาเพื่อชื่นชมความงามและความประณีตในการผลิตของว่าที่ลูกรักใบใหม่ หางตาก็ดันเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่คุ้นตา เดินเคียงคู่มากับสาวในชุดเดรสสีครีม และกำลังจะเดินเลี้ยวไปทางหัวมุมพอดิบพอดี

“ฝากก่อนนะคะ เดี๋ยวมาค่ะ” ไวเท่าความคิด ฉันรีบบอกพี่พนักงานที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด พร้อมทั้งยัดกระเป๋าใบนั้นใส่มือเธอที่กำลังยืนมองฉันด้วยสีหน้างุนงง

เหมือน! เหมือนมาก ผู้ชายคนนั้น...เหมือนพี่แทนของฉันมากเลย แต่ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ? สมองกำลังตั้งคำถามกับตัวเอง ส่วนขาก็พยายามออกแรงวิ่งเพื่อจะก้าวตามไปให้ทัน แต่เพราะมัวจดจ่อกับคนตรงหน้ามากไปจนไม่ทันระวัง เหตุไม่คาดฝันจึงเกิดขึ้น

พลั่ก

ฉันชนเข้ากับใครบางคนอย่างจัง แต่โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

“เดินก็มองทางบ้าง” คู่กรณีตำหนิเสียงนิ่ง

เอ้า ตานี่ ก็คนกำลังรีบ ๆ อยู่นี่ ฉันคิดในใจ ส่วนปาก...

“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

แวบแรกยอมรับนะว่าเสียงเขาหล่อ ตัวก็หอม แต่ฉันไม่มีเวลามาเพ้อฝันหรือโต้เถียงอะไรกับใครทั้งนั้น ฉันกำลังรีบ!

“ขอโทษจริง ๆ ค่ะ พอดีฉันรีบอยู่ ขอโทษอีกทีนะคะ” ฉันรีบรวบเอกสารของเขาที่ร่วงหล่นจากการโดนชนลวก ๆ ก่อนจะยัดทั้งหมดใส่มือเขา โดยไม่ได้แหงนมองหน้าคู่กรณีแม้แต่น้อย ทำเพียงกล่าวขอโทษเขาอีกครั้งแล้ววิ่งจากมา

แต่...

ไม่ทัน คนคนนั้นหายไปแล้ว หายไปแบบไร้ร่องรอย

โธ่ เป็นเพราะตานั่นแท้ ๆ ทำให้ฉันอดรู้เลยว่าผู้ชายคนนั้น ใช่พี่แทนไทไหม แล้วแบบนี้จะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าเขาใช่แฟนของฉันหรือเปล่าน่ะ?

แต่เอ๊ะ ใช่สิ โทร. หาเขา! แต่ถ้าโทร. ไป พี่เขาจะสงสัยไหม ปกติถ้าเขาบอกว่าติดงาน ฉันไม่เคยโทร.ไปกวนเลย และก่อนหน้านี้เขาแชตมาบอกไว้แล้ว ว่าติดคุยงานจนถึงดึก แต่ผู้ชายคนนั้นก็เหมือนพี่เขามากเลยนะ

เอาไงดี โทร. ดีไหม หรือไม่โทร. ดี? ฉันเดินไปเดินมาพลางเคาะมือถือกับมืออีกข้างอย่างใช้ความคิด ไม่เคยคิดหนักขนาดนี้มาก่อน แต่ด้วยอะไรหลายอย่างในช่วงนี้ ก็ทำให้อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้

เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ก็คนมันสงสัยนี่!

สุดท้ายฉันก็กดต่อสายหาพี่แทน

[ว่าไงครับน้องพริก] สัญญาณรอสายดังไม่นาน เขาก็รับเสียงอบอุ่นที่แสนคิดถึงตอบกลับมาทันที

“พี่แทนทำอะไรอยู่คะ” ฉันกลั้นใจถามออกไป พร้อมกับพยายามตั้งใจฟังเสียงปลายสาย ถ้าคนนั้นเป็นพี่แทนจริง มันต้องมีเสียงอะไรเล็ดลอดเข้ามาบ้างแหละ

[ทำงานไงครับ เตรียมแผนงานของเดือนหน้าอยู่น่ะ ตอนเย็นพี่บอกน้องพริกไปแล้วนี่ครับ]

เออนั่นสิ ไม่เนียนเลยฉัน

เอาใหม่ ๆ

“คะ...คือพริกจะโทร. มาถามว่าคุณลุงคุณป้านัดกี่โมงนะคะ พอดีพริกลืมน่ะค่ะ ช่วงนี้มัวแต่ยุ่ง ๆ เรื่องเตรียมเอกสารรายงานตัว” ฉันไม่ได้โกหกนะ เพราะพรุ่งนี้ฉันต้องไปรายงานตัวกับบริษัทที่ต้องเข้าฝึกงานแล้ว

[เที่ยงครับ ร้านอาหารนานาชาติใกล้ ๆ บริษัทที่น้องพริกไปรายงานตัวเลยครับ]

“อ๋อ จริงด้วย ลืมได้ไงนะ แหะ ๆ” หัวเราะกลบเกลื่อน

[น้องพริกมีอะไรอีกมั้ยครับ พอดีพี่ต้องรีบเคลียร์งาน เลขาพี่รอเอกสารอยู่น่ะ ไว้เดี๋ยวพี่กลับถึงบ้านแล้วจะโทร. หานะ คิดถึงนะครับ]

แล้วเขาก็วางสายไปทันที

ฉันยืนมองรูปรูปคู่ของเราบนหน้าจอ พลางถามตัวเองว่ามันเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่เขาจะโกหกกัน?

ความทรงจำในวันที่เราตกลงเป็นแฟนกัน กลับมาฉายชัดในความทรงจำฉันอีกครั้ง

วันนั้น...วันที่พี่แทนไทรับปริญญา เขาเดินฝ่าวงล้อม ฝ่าสายตาของผู้คนมากมายเข้ามาหา เพื่อคุกเข่าขอฉันเป็นแฟน

“เป็นแฟนกับพี่นะครับ น้องพริก”

“คะ...คือ”

“ถ้าไม่ตอบ พี่จะคิดว่าตกลงนะครับ”

“น้องพริก...”

“...คะ”

“ว่าไงครับ”

“พะ...พริก” ตอนนั้นความมั่นใจที่มีมากล้น มันกลับมลายหายไปหมด

“มองหน้าพี่”

“ไม่ต้องสนใจใคร สนแค่พี่ คิดว่ามีแค่เราสองคน” ตอนพี่แทนพูดคำนั้น ฉันรู้สึกเหมือนต้องมนตร์ หัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิดออกมาเต้นระบำอยู่นอกอก

“ไม่ต้องปิด พี่อยากได้ยิน” เขากระซิบเบาข้างใบหู ก่อนพูดย้ำอีกครั้ง “เป็นแฟนกับพี่นะครับ”

น้ำเสียงที่หนักแน่น แววตาที่จริงจัง และการกระทำที่ตอกย้ำว่าเขาพร้อมเปิดเผย ไม่แคร์และไม่เสียดายผู้หญิงมากมายที่หมายปองเขาอยู่ และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันยิ้มรับ...และตอบตกลง

เราคบหากันมาระยะหนึ่ง ช่วงเวลานั้นเขาทำให้ฉันมั่นใจมาโดยตลอด แล้วทำไมตอนนี้ ฉันถึงได้หวาดระแวงเขาล่ะ?

แม้เขาจะไม่ค่อยมีเวลาให้กันเหมือนตอนเริ่มศึกษาดูใจ แต่นั่นเป็นเพราะภาระงานที่หนักอึ้งไม่ใช่เหรอพริกแกง?

ทุกคนต่างมีหน้าที่

ฉันนี่บ้าจริง ๆ ทำไมถึงได้มานั่งสงสัยแฟนตัวเองซะได้

ที่ผ่านมา เขาก็แสดงชัดเจนตลอดว่ารักฉันมากขนาดไหน

พริกแกง เธอนี่มันฟุ้งซ่านจริง ๆ พักค่ะ! เลิกคิดได้แล้ว!

~ End Phikkaeng Part ~

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status