บทที่ 7 การพบกันที่ไม่เหมือนการพบกัน
“ตาคุณแล้วครับ คุณคิดว่าไง”
“โดยความคิดเห็นส่วนตัวของฉันนะคะ ถ้าพูดให้ถูกสมัยก่อนวรรณกรรมไม่ได้เป็นที่นิยมในจักรวรรดิทางใต้ แต่มีกลุ่มมหาอำนาจบางกลุ่มต้องการทรัพยากรเพื่อมาพยุงเศษฐกิจของประเทศตนเลยต้องมีการแสวงหาแหล่งวัตถุดิบ ด้วยเหตุนี้จักรวรรดิซัมเซราเลยทำการล่าอาณานิคมฝั่งโซนตะวันออก เริ่มแรกมีการใช้กำลังทหารเข้ามาก่อน ต่อมาก็เริ่มมีการยัดเยียดวิถีชีวิตของตนเองให้ประเทศที่ตกเป็นอาณานิคม”
“วรรณกรรมก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น การเขียนเรื่องราวด้วยตัวหนังสือที่ยาวเป็นหน้าประเทศแถวนี้เขาไม่นิยมทำกันเหรอก วรรณกรรมนั้นเราอาจเห็นโดยทั่วๆไปว่าเป็นแนวสร้างสรรค์และบันเทิงที่เห็นได้ในปัจจุบัน แต่ว่านะช่วงสมัยที่ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศเจ้าอาณานิคมนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของแต่ละฝ่าย ปลุกปั่นให้คนที่คิดเอนเอียงมาฝั่งเราลุกขึ้นสู้กับอีกฝั่ง โดยการบอกเล่าเรื่องราวของผู้คนในสมัยและช่วงเวลานั้น แน่นอนว่าวรรมกรรมบางเรื่องถูกควบคุมโดยรัฐบาลดังนั้นเนื้อหาที่มีค่อนข้างเชียร์รัฐบาล แต่ว่าในยุคของพวกเรา ต้องฟังหูไว้หู”
“ถ้าคิดจะอ่านหนังสือของใครสักคนจริงๆ เกี่ยวกับเรื่องๆพวกนี้ อย่างแรกเลยนะคะคือการหาประวัติผู้แต่งเพื่อเข้าใจผลงานที่ผ่านมาเขาเป็นลักษณะอย่างไร เขียนในแนวแบบไหน และมีทัศนคติอย่างไร จากงานเขียนที่ผ่านมา ค่อยตัดสินใจว่าอ่านหนังสือเล่มนี้ไหมเราจะฟังเนื้อหาข่าวสารข้างเดียวไม่ได้”
“เราต้องอ่านให้หลากหลายเพื่อความถูกต้องของข้อมูล ว่าเนื้อหาที่เขาเขียนมีลักษณะอย่างไรลองมาเปรียบเทียบกัน สิ่งสำคัญเลย ยิ่งผู้เขียนแสดงความคิดเห็นในงานของตนมากเท่าไรก็จะแสดงถึงทัศนคติของผู้ประพันธ์ต่อเรื่องนั้นได้โดยที่เราสามารถเดาออกเลยแหล่ะว่าผู้ประพันธ์….”
“วรรณกรรมเป็นการบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ได้อีกช่องทางหนึ่งแน่นอนว่าผู้แต่งก็ใส่ความรู้สึกขอตัวเองลงไปด้วยโดยทั้งที่รู้และไม่รู้ตัว ทำให้คนอ่านเข้าใจถึงสภาวะในตอนนั้น อดีตเป็นประวัติศาสตร์ไม่ได้ นอกซะจากถูกปรุงแต่งจากผู้มีอำนาจ… แต่ก็ดูถูกไม่ได้นะว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถทำให้ชาติเป็นชาติและสร้างเข้าร่วมหนึ่งน้ำใจเดียวกันมาได้ และสร้างความเจริญให้กับประเทศได้”
“มีคนเคยพูดว่าอยากให้ปากกามีอำนาจมากกว่าปืน…”
“แต่ที่ผ่านมายังไม่ได้พิสูจน์อีกเเหรอว่า…ปากกามีอำนาจมากกว่าปืน….”
“ปืนน่ะบางครั้งอาจจะฆ่าคนได้คนคนเดียว แต่ตัวหนังสือน่ะ...มันฆ่าทุกคนที่ได้อ่านมัน”
“ภาพหลอนที่ติดตาคงไม่หายออกจากชีวิตไปง่ายๆ เหมือนที่พวกเราทุกคนชอบเขียนอะไรไม้ดีลงโซเชี่ยล”
“พูดมากไปก็เท่านั้น ถือว่าเมื่อกี้ ฟังผ่านๆพอนะ ความจริงจะเป็นยังไงก็ไม่ทราบ ให้กาลเวลาพิสูจน์ตัวมันเถอะ” กลายเป็นว่าแทนที่จะคุยกันเรื่องเนื้อหามาถกกันเรื่องผู้เขียนซะงั้น เวิ่นเว๊อร์อีกแล้วเธอ
Half part
‘นั้นสินะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นจริงอย่างที่เธอพูด แต่ว่านะกรรไกรคงไม่ใช่คู่แข่งสำหรับเธอ’ เธอนี่แหล่ะเหมาะสมที่สุด
“หลังจากนี้คุณพอจะมีเวลาว่างไหมครับ”
“ก็ว่างอยู่นะคะ ทำไมเเหรอคะ”
“พอดีผมจะชวนคุณไปพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเกี่ยวกับวัตถุโบราณของจักรวรรดิทางใต้ ผมเห็นว่าคุณมีความรู้ด้านนี้เยอะดี คิดว่าถ้าเชิญคุณไปด้วยมันคงจะสนุกมากกว่าไปคนเดียว”
“ได้ค่ะ ยินดีเสมอ”
“เราแลกไอไอกันไหมคะ”
“ได้ครับ”
“ติ้ง!!! ติ้ง!!! เรียบร้อยแล้วครับ”
.
.
.
วันพฤหัสบดี ตอนหกโมงเย็น 18.00 น.
ติ้ง! ติ้ง! ติ้ง! (เสียงข้อความจากแอพพลิเคชั่นไอไอ)
Halfan: เอราวันเสาร์ตอน 11 โมง คุณว่างหรือเปล่า
Halfan: ผมได้บัตรเชิญ 2 ใบจากเพื่อนในกระทรวงต่างประเทศเป็นนิทรรศการแสดงวัตถุโบราณของซิมบ์
Halfan: ถ้าคุณไปเจอกันที่ร้านเคอดองนะครับ
ว่างค่ะ แล้วเจอกันนะคะ : Ara
Halfan : ครับ แล้วเจอกัน
“ฮั่นแน่ะ! คุยกับใครในเวลาทำงานน่ะเอราเบล” รอนนี่กำลังทำหน้าสงสัยเธอ
“เปล่าไม่มีอะไร”
“เเหรอ มีแฟนก็บอกว่ามีแฟน ไม่ต้องปิดบังเหรอก”
“เพื่อนจริงๆ ไม่เชื่อเเหรอ” เธอกรอกตาบนใส่แล้วเอ่ยประโยคสุดคลาสสิคออกมาว่า
“พี่สาวรอนนี่ เพื่อนทำหน้าที่แทนสามีไม่ได้ สามีก็ทำหน้าที่แทนเพื่อนไม่ได้เช่นกัน มันมีเส้นขนานอยู่นะพี่สาววว”
“ย่ะ! ฉันจะรอดู ว่าถ้าเพื่อนก้าวข้ามเส้นนั้นมันจะเป็นยังไง”
“น้องไม่คุยกับพี่แหละ ไร้...สาระ...”
“ย่ะ! แม่คนมีสาระ..”
...
วันเสาร์ 11.00 น.
“คุณฮาฟรอนานไหมคะ”
“ผมเพิ่งมาถึงเมื่อกี้เหมือนกันครับ พร้อมแล้วไปกันเลยไหมครับ”
“ค่ะ”
Musée de l'Espace
“ทำไมคุณใส่แว่นกันแดดล่ะคะ ที่นี่แสงจ้ามากเหรอ” เธอถามด้วยความสงสัยและกังวลแทน
“พอดีผมค่อนข้างดังน่ะ กลัวพบคนรู้จักแล้วจะแซวคุณว่าเป็นแฟนผม อาจทำให้คุณเสียหายได้ผมเลยต้องป้องกันไว้ก่อน”
“อ่อ” เอาความหวังดีเธอคืนมา
“คุณคิดว่าชิ้นนี้เป็นไงครับ”
“หน้าเหมือนคุณค่ะ” เกิดเดดแอร์ระหว่างเราขึ้น เธอเปล่านะ ปากมันพาไปเอง
“คุณโกรธอะไรผมรึเปล่า”
“ไม่ค่ะ งานชิ้นนี้หน้าเหมือนคุณจริงๆ” เธอทำหน้าจริงจังตอบกลับ เราสองคนยืนดูผลงานชิ้นนี้นานมาก ภาพนี้เหมือนเป็นภาพที่วาดขึ้นองค์ประกอบศิลป์มันช่างดูน่าค้นหาจริงๆ…
พอเธอซึมซับอะไรบางอย่างจากภาพนั้นได้แล้ว จึงเดินออกมาโซนประติมากรรมและเดินไปทั่วห้อง มีผลงานของซิมบ์มากมายที่มีเอกลักษณ์และบ่งบอก(แบบตะโกนใส่หน้า)ถึงอารยธรรมที่เจริญแล้วของตนให้โลกได้รับรู้ว่าเวลาก็ไม่สามารถทำลายพวกเขาลงได้ ช่างฝีมือในสมัยนั้นต้องมีความหัวก้าวหน้าอย่างมาก เพราะนี่คือการท้าทายธรรมชาติ
เธอชอบผลงานที่เธอจ้องมองตอนนี้ที่สุด ผลงานนี้ทำให้เธอนึกถึงลูกชายของเธอ ประติมากรรมลูกชายนอนบนตักแม่ เหมือนจะให้แม่กล่อมร้องเพลงนอน ทำเอาเธอน้ำตาคลอคิดถึงลูกชายแม้เขาจะจากไปแล้วเธอก็ยังทำใจไม่ได้
เธออยากให้เขารู้ว่าเขาเป็นหัวใจของแม่เสมอ อยากให้เขารู้ว่าเธอรักเขาแค่ไหน อยากให้เขารู้จริงๆ ทำไมกันนะ...คนสุดท้ายที่อยู่กับลูกถึงไม่เป็นเธอ
“คุณดูอะไรอยู่ครับ”
“ประติมากรรม my son ค่ะ” เธอเบี่ยงหน้าไปถามบางอย่างจากเขา “ฮาฟคุณคิดว่าไง กับครอบครัวหลายๆครอบครัวมีลูกเพื่อเอาไว้เลี้ยงดูตัวเองในยามแก่เฒ่า”
“ผมคิดว่ามันเป็นเหตุผลเล็กๆในหลายล้านเหตุผล”
“ถามได้ไหมคะว่าทำไม”
“ช่วงสงครามของเผ่าพันธ์ุมนุษย์ก็ใช้เด็กเป็นเครื่องมือมาตลอด สงครามทางการเมือง สงครามการค้า สงครามแรงงาน ต่างก็ต้องใช้คน ถ้ามีพูดกันตามความจริงมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ยังไงก็อยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ยามเกิดเราแข็งแรง ยามแก่เราไร้แรง สุดท้ายเราก็ต้องพึ่งพาคนอื่นเป็นวัฏจักร”
“การที่ครอบครัวหลายๆครอบครัวมีลูกเพื่อเอาไว้เลี้ยงดูตัวเองในยามแก่เฒ่า ก็เพื่อปกป้องคนที่อ่อนแอกว่า มันมีดีเทลเล็กๆต่างกันอยู่ ทุกอย่างมันอยู่ที่การเลี้ยงดู นั้นคือเหตุผลที่เป็นจริงที่สุดของการจำเป็นต้องมีการเกิดใหม่ของเด็กและเป็นเหตุผลที่คลาสสิคไม่ว่าจะกี่พันปีกี่ล้านปี เหตุผลนี้ไม่ควรเอามาใช้ผิดๆแบบคนบางกลุ่มทำ โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างที่พัฒนาขึ้นก็เพื่อลดภาระส่วนนี้ของมนุษย์ลง เราควรเรียนรู้ได้แล้วว่าความจริงที่คลาสสิคนี้มีไว้เพื่อให้มนุษย์พัฒนาไม่ใช่ถ่วงการพัฒนา”
“เหรอคะ เด็กที่ถูกทิ้งเป็นเด็กกำพร้าหรือแบบพ่อแม่ใช้เขาเป็นเครื่องมือในการหาเงินล่ะ คุณไม่คิดว่าความจริงนี้ใจร้ายกับเด็กเหล่ามากไปหรือ”
“แน่นอนว่ามันโหดร้ายแต่ไม่มีอะไรโหดร้ายเท่ากับใจคนเหรอกนะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อม ความเป็นคนที่มีคุณภาพไม่ได้ถ่ายทอดทาง DNA เหรอกนะ มันอยู่ที่แบบอย่างต่างหาก เด็กที่เกิดมาไม่มีพ่อแม่แต่ถ้าเขามีบุคคลที่แข็งแกร่งไม่ใช่ที่ร่างกายนะแต่เป็นจิตใจ อยู่รอบข้างตัวเขาเด็กคนนั้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีสภาวะทางอารมณ์สูงควบคุมอารมณ์ได้ดีเพราะมีตัวอย่างที่ดีทำให้เห็นผลลัพธ์ว่าทำลงไปแล้วได้อะไรกลับมา แต่เด็กที่ครอบครัวแบบที่คุณกล่าวมาโดยไม่มีแบบอย่างที่แข็งแกร่งแล้วละก็เด็กเหล่านั้นคงแหลกลานมาก สิ่งที่ผมจะบอกพวกเขาได้ คือ‘อดทน’”
“‘อดทนเท่านั้น’ คุณถึงประสบความสำเร็จ ไม่ได้หมายถึงให้คุณอดทนต่อการถูกทำร้ายในร่างกายและจิตใจนะ แบบนั้นมันไม่มีประโยชน์ แต่ขอให้คุณอดทนเรียนรู้ในสิ่งไม่ดีจะได้รู้ว่าสิ่งที่ดีควรทำยังไง ผมไม่ได้บอกให้ทุกคนเป็นคนดี เพราะพื้นฐานการเติบโตของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน ผมขอแค่พวกเขาโตมาเป็นคนมีคุณภาพไม่ทำความเดือดต่อสังคมใหญ่ก็พอ นั้นคือสิ่งที่ผมจะบอกพวกเขา”
“...เรียนรู้และอดทน...”
“สองคำนี้มันทรงพลังมากเลยนะคะ ฉันเชื่อว่าใครเข้าใจ สองคำนี้ ทุกวันนี้พวกเขาเติบโตมาอย่างมีคุณภาพแล้ว”
“ครับ”
“ถ้าฉันจะมีลูกฉันจะเลือกพ่อของลูกให้ดี” ฮาฟหันมามองหน้าเธอ
“ก็คุณบอกว่าทุกอย่างที่การเลี้ยงดู ฉันก็ต้องการคนที่มาสอนเขาให้มีคุณภาพด้วยสิ ฉันทำคนเดียวไม่ได้ถูกไหม”
“ครับๆ” ฮาฟตอบรับแบบยิ้มๆ
...
“จบการแสดงแล้วไปดื่มกาแฟกันไหมครับ”
“ฉันชอบดื่มชาค่ะ”
“ครับๆ ไปไหม”
“ไปค่ะ”
ร้านที่ฮาฟพาเธอไปคือร้านข้างๆพิพิธภัณฑ์ ตอนแรกเธอคิดว่าจบจากงานแสดงแยกย้ายกันกลับ เธอจะแวะมาเสียหน่อย
ฮาฟสั่งกาแฟตามที่เขาอยากกิน ส่วนเธอจัดจัสมินทีไปชุดหนึ่ง ไม่นานนักของได้ชาแล้ว เธอรู้สึกประทับใจ~~ สงสัยต้องทิปหนักๆ!
เราทั้งสองต่างใช้เวลาดื่มด่ำกับเครื่องดื่มของตนเองเป็นเวลานานพอสมควรที่ไม่มีบทสนทนาอะไร และเป็นเธอที่ทนไม่ไหวเอ่ยปากคนแรก
“ฉันไม่เห็นด้วยกับความคิดของคุณนะ” ในฐานะคนที่เคยเติบโตมาแบบนั้นฉันรู้ดีว่ามันเหนื่อยและเจ็บปวดมากแค่ไหน เราต่างต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด คำพูดที่ฮาฟพูดมันดูเห็นแก่ตัวมากๆ
‘ใช่ มันไม่ผิด เติบโตมาแบบนั้นไม่ใช่ว่าไม่มีใครรู้ แต่ไม่จำเป็นต้องตอกย้ำ มันทำให้เราชิงชังคนในโลกใบนี้มากกว่าเดิม’
“คุณว่ามาได้เลย”
“เด็กที่คุณพูดถึงคือเด็กที่มีแบบอย่าง มีจิตใจที่เข้มแข็ง แต่ไม่ใช่ทุกคน พวกเขาไม่สามารถหาทางออกให้กับตัวเองได้ ทำไมผู้ใหญ่อย่างเราไม่ช่วยพวกเขา โลกใบนี้โหดร้ายกับเราๆทุกคนเป็นอย่างมาก พวกเราโตมาขนาดนี้แล้ว เห็นและทำ ได้ยิน ผัส ในความโหดร้ายนั้นแล้วใจของเราก็ไม่ได้ต่างจากเด็กพวกนั้นที่ต้องการที่พึ่งพิง เราอย่าโหดร้ายกับเด็กพวกนั้นนักเลย แน่นอนว่าฉันไม่ได้ต้องการให้เราๆทั้งหลายเปลี่ยนอะไรเหรอก…”
“เปลี่ยนแค่ความคิดก็พอ…”
“ค่อยๆเป็น...ค่อยๆไป…”
“เรามีหน้าที่แค่สร้างรากฐานกับเสาเท่านั้น ส่วนผนังและหลังคาให้พวกเขาไปต่อเติมกันเอาเอง”
“ก็เหมือนที่เราให้ความเมตตาและชี้แนะไง แม้ไม่รู้จักก็ชี้แนะได้เพราะพวกเขาจะโตมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไง”
“สิ่งที่ฉันคิดว่าคุณมองขาดไป คือความเมตตาไง”
“ถ้าคุณเป็นนายกฯเด็กได้ยิน คงเกลียดคุณน่าดู” ผมเป็นปธน.
“ดีที่คุณไม่ได้เป็นนักการเมือง” ฮาฟเริ่มเหงื่อตก
“ทำไมครับ”
“เราคงต้องเลิกเป็นเพื่อนกันแล้วล่ะนะ”
“มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอ” ฮาฟถามด้วยความแปลกใจกลับไป
“ก็ไม่ขนาดนั้นเหรอก มีอยู่บ้างเพื่อนที่ครอบครัวเล่นการเมือง แต่เป็นเพื่อกลุ่มนอกนะ ครอบครัวฉันถือน่ะ”
“ครอบครัวคุณดูไม่ชอบเอามากๆเลย”
“ใช่ ถ้าจะแต่งงานต้องผ่านผู้อาวุโสในครอบครัวก่อน ต้องสืบประวัติกันถึงบรรพบุรุษเลยแหล่ะ แค่คิดก็ขนลุกแล้วววว” ฮาฟเริ่มคิดมากกว่าเดิม เพราะเดิมทีคิดว่ายังไงมันก็ยากอยู่แล้วแต่ไม่คิดว่าจะยากขนาดนี้ ครอบครัวเธอมีผู้อาวุโสที่ไหนกัน ถ้าหมายถึงผู้อาวุโสจริงๆ คงเป็นท่านผู้นั้น ท่านคงไม่ยอมแน่ ๆ
“คุณจะกลับบ้านเลยไหม”
“ค่ะ ฉันจะกลับเลย” ใครบอกว่าฉันจะกลับ ฉันจะไปชอปปิ้ง วันหยุดทั้งทีไม่ควรพลาด
"ผมเดินไปส่งครับ"
"ขอบคุณค่ะ"
"กลับถึงบ้านส่งข้อความมาหาผมด้วยนะครับ" ฉันทำหน้าแปลกใจอยู่นิดนึง ก่อนจะตอบตกลง
"ค่ะ" เฮ้ยยย มีการเด็กมาเต๊าะนี่มันกระชุ่มกระชวยจริ๊งจริงงงง แต่ว่านะเธอน่ะแก่แล้ว เจอและเจ็บมากเยอะ เธอต้องการ life partner ไม่ใช่ boyfriend หรือ husband ของแค่นี้ทำให้หัวใจเหล็กฝั่งเพชรของเธอกะเทาะออกมาไม่ได้เหรอก
หลังจากนั่งรถเมลล์มาถึงห้างที่มาชอปปิ้งประจำ คราวนี้ไม่ได้มาชอปปิ้งของ hi-end แต่มาซื้อบางอย่างในร้านของแต่งบ้าน นั้นคือโต๊ะเขียนแบบ ถามว่าเอาไปใช้อะไร เอาไปวาดรูป รู้ค่ะรู้ว่าใช้ผิดฟังก์ชั่น โดยส่วนตัวคิดว่าสะดวกมากกว่า มันอยู่ที่จริตของแต่ละคนค่ะ~~ (จีบปากจีบคอพูด) ซื้อกระปอกใส่แบบไปด้วยละกันซื้อให้ครบๆจะได้ไม่มีอะไรคาใจ จ่ายเงินเสร็จไปซื้อสี ปากกา อุปกรณ์ต่างๆ
"สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ"
"ฉันอยากได้สมุดกราฟสันเกลียว A3 10 เล่มค่ะ กระดาษ A2 2 ริมค่ะ” เธอเคยอ่านมาจากหนังสือว่าถ้าเราใช้สมุดกราฟจะทำให้การจัดการในการเรียนรู้ต่างๆไม่ว่าจะเป็นงานหรือจะจัดตารางชีวิตมันช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น
หลังจากจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยหมดทุกอย่าง สรุปได้ว่าซื้อมาทั้งหมดนั้นก็จะมีโต๊ะเขียนแบบ กระดานไวท์บอร์ด กระดาษ A2 2 ริม สมุดกราฟสันเกลียว A3 10 เล่มแล้วก็ปากกาที่ใช้บ่อยๆมี 3 สี 3 ยี่ห้ออย่างละ 10 แท่ง มีปากกาแบบหัวปรัชประมาณ 4 ยี่ห้อไม่รู้ว่ามีกี่สี เลยเหมามาหมดทุกสี มีสีน้ำมัน สีอะคริลิค สีน้ำ สีชอล์ค ผ้าใบ ‘แวะซื้อชาเขียวก่อนกลับบ้านละกัน’
"รับอะไรดีคะ"
"เอาชาเขียวปั่น 1 แก้วเพิ่มวิปครีมแล้วก็เอาครัวซอง 2 ชิ้นกลับบ้านค่ะ"
"คุณลูกค้าวันนี้มีโปรโมชั่นเปิดร้านใหม่เพิ่ม 10 ซัม (หน่วยเงินของประเทศนี้) เป็น 1 แถม 1 เป็นแก้วใหญ่ด้วยเอาไหมคะ" แบ่งกับใครก๊อนนน กินคนเดียวไม่หมดเหรอกนะใส่ตู้เย็นไว้สะสมเป็นคอลเลคชั่นเหรอ
"ค่ะ เอาค่ะ"
สุดท้ายเธอก็มานั่งดูดชาเขียว 2 แก้วพร้อมกันที่หน้าร้านเคยมีแต่กระโดดขาคู่ แต่ตอนนี้คือดูดหลอดคู่
โอ๊ยยยย ไม่ไหวแล้วเย็นจนขึ้นสมองแล้วเนี่ยเก็บไปใส่ตู้เย็นเหมือนเดิมดีกว่า
บทที่ 8 นิคโคสัน ฮาฟ เอ็มไพร คือใคร?ครืนๆๆ“เชิญนั่ง”“เรื่องที่ให้ไปทำ ถึงไหนแล้ว”“ทางเราได้จัดหาคนที่เหมาะสมเรียบร้อยแล้วพร้อมเดินทางในอีก สามเดือนข้างหน้าค่ะ”“นโยบายเอกสารข้อตกลง เตรียมเรียบร้อยแล้วครับ”“เพิ่มไปอีกคน” ทุกคนต่างทำหน้างง“ใครคะท่าน”“คนนี้” ฮาฟได้ยื่นเอกสารให้กับผู้ดูแล“แต่เธอไม่ได้ทำงานในส่วนของเรานะคะท่าน”“เธอมีความสำคัญกับการทำสัญญาครั้งนี้เป็นอย่างมาก เราไม่ได้ไปที่นั่นเรื่องความพันธ์ทางการทูตอย่างเดียว เราไปมากกว่านั้น…..”“ค่ะท่าน”...พักเที่ยง“เอรา คุณเข้ามาพบผมในห้องทำงานหน่อย”“ค่ะ ผอ.”“มีจดหมายด่วนจากทำเนียบประธานาธิบดี”“คะ?" 'เธองงมาก เอราเธอไปทำเรื่องอะไรไว้อีกแล้วใช่ไหม!' เธอรับจดหมายมาแล้วเปิดอ่าน เนื้อหาข้างในทำเธอตกใจแล้วตกใจอีก“ผอ. คะ คือฉันงงไปหมดแล้วค่ะ”“บอกตามตรงว่าผมเองก็งงเหมือนกับคุณ มีหนังสือแต่งตั้งคุณมาเรียบร้อยแล้วว่าให้คุณไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษร่วมกับคณะทูตที่จะเดินทางไปจักรวรรดิทางใต้เป็นการเฉพาะกิจ ผมได้เซ็นเอกสารอนุมัติให้คุณไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไงคุณก็เป็นคนของที่นี่ เสาร์อาทิตย์คุณมาทำงานที่หอสมุดตามเดิมพอทางนั้นเรียบร้อ
บทที่ 9 เพื่อบ้านข้างๆที่ชอบสร้าปัญหาเฮือก!!! ฝันหรอกเหรอ…ฝันสินะ…เป็นฝันที่ไม่ดีเลยจริงๆ… พวกสารเลว…“อ้าวเอราเพิ่งตื่นเหรอ เร็วเข้า คุณโจวเรียกประชุมแล้ว”“ค่ะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” โธ่เอ้ย…สภาพดูไม่ได้เลย“มากันครบแล้วสินะ คุณชิกิประชุมได้เลย” คุณชิกิพูดเปิดประชุมไปเรื่อย ๆ ส่วนเธอขอนั่งตั้งสติสักครู่ เหมือนจะถอดสมองก่อนเข้าห้องประชุมแฮะ“ อย่างที่ทุกคนเห็นข่าวที่ออกมาตอนเช้าของวันที่ 8 เมษายน ผู้นำกวันซาได้เดินทางเยือนซิมบ์ในตอนนี้นานาชาติวิจารณ์การกระทำของผู้นำกวันซาที่ได้ไปเยือนซิมบ์ประเทศที่พึ่งทำรัฐประหารไป ” ทุกคนต่างตกอยู่ในสภาวะความกดดันโดยไม่รู้ตัว บรรยากาศเย็นๆเริ่มเข้ามาปะทะรอบๆตัวเรา“มีใครอยากจะเสนออะไรไหม”“ผมคิดว่าในช่วงนี้ยังไม่เหมาะเท่าไรที่ประเทศเราจะไปทำกิจการหรือลงทุนอะไรในซิมบ์”“ในมุมของผม ผมว่าเราไม่ควรตัดโอกาสขนาดนั้น เท่าที่ดูผมว่าซิมบ์ก่อนหน้าที่จะมีข่าวนี้ออกมา ซิมบ์ถือเป็นตัวเลือกที่ดีมาก”ตอนนนี้หลาฝ่ายต่างหนักใจเพราะซิมบ์ถือเป็นตัวเลือกที่ดีอันดับต้นของทุกๆฝ่ายพอข่าวที่ออกมาทำให้เราทุกคนขยับตัวลำบาก แต่ถ้าเรากระโดดเข้าไปตอนนี้เลย จะเป็นเราที่
บทที่ 1 เอมมาริน เคิร์ก“บอกว่าอย่ามายุ่ง!!”“แต่คุณคะ--”เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!“อย่ามาให้เห็นหน้าอีก!! และเอาไอ้เด็กเวรนี่ออกไปด้วย”เธอไม่รู้ว่าสามีของตัวเองเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ เขาเริ่มมีพฤติกรรมรุนแรงแบบนี้ตั้งแต่ลูกเกิด หมอบอกว่าอุบัติเหตุรอบทำร้ายตอนนั้น เขาสูญเสียความทรงจำไป ผ่านมา 10 ปี ลูกของเราโตขึ้นมาก คาเชนก็ยังจำพวกเราไม่ได้ เธอได้แต่หวังว่าเขาจะจำพวกเราได้โดยเร็ว เอมมาริน เคิร์ก เป็นสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของโซเรลคนนั้นคือเธอ สามีของเธอคาเชน เคิร์ก ประธานาธิบดีโซเรล คาเชน ปกครองโซเรลมากว่าสามทศวรรษ หลายปีที่ผ่านมาเขาเปลี่ยนไปมาก...เขาเหมือนคนที่เธอไม่รู้จัก ผู้คนต่างเรียกเขาว่า 'เผด็จการ''เผด็จการ' ไม่มีใครชอบความหมายของมัน แต่เราต่างถูกยกย่องด้วยถ่อยคำนี้ เราเผชิญกับหลายสิ่งหลายอย่างถูกกล่าวหาว่าคดโกงประเทศชาติ ขายชาติบ้างล่ะ‘ทั้งที่เป็นความจริงมันมีอะไรซับซ้อนกว่านั้น’ เบื้องหลังมีความจริงมากมายที่ถูกซ้อนเร้นอยู่‘แต่ใครจะสนกัน เขาสนแต่เรื่องฉาวโฉดของอีกฝ่ายกันทั้งนั้น’มีคนกล่าวหาว่าความฟุ้งเฟ้อของเธอมาจากการคอรัปชั่นของสามี...และใช่เธอรู้... แต่เพราะรักมาก
บทที่ 2 โลกใบใหม่ของเอมมาริน เคิร์ก-- จักรวรรดิเอเดน ย.ศ.2698 การประชุมสสมัชชา ในงาน SEEC (Southern Empire Economic Cooperation – SEEC) ครั้งที่ 49 –“Mr. President In the name of the Eden Empire. Our empire has been developing the space industry for a long time. Whether it's human resources or space technology. We have a great interest and desire to invest in your Southern Empire. When you have a cooperation policy open to investors. Our Empire welcomes and cooperates with the Southern Empire to develop its economy together. Thank you.”(เรียนท่านประธาน ในนามของจักรวรรดิเอเดนจักรวรรดิของเรามีการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านอวกาศมาเป็นเวลาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรคนหรือเทคโนโลยีอวกาศ ทางเรามีความสนใจและประสงค์อย่างยิ่งจะที่เข้าไปลงทุนในจักรวรรดิทางใต้ของพวกท่าน เมื่อพวกท่านมีนโยบายความร่วมมือเปิดรับนักลงทุน ทางจักรวรรดิของเรายินดีและจะให้ความร่วมมือกับจักรวรรดิทางใต้เพื่อพัฒนาเศรษกิจร่วมกัน ขอบคุณครับ)“And now I give the floor representative of Quanzaa ---”(ตอนไปผมจะให้พื้นที่นี้แก่ป
บทที่ 3 ตัวตนของเอราเบล ลีคุณแม่มาราลินชอบอ่าหนังสือมาก มีบริษัทสำนักพิมพ์เป็นของตนเอง ถ้าเอาชื่อสำนักพิมพ์ไปค้นพบว่ามีชื่อเสียงมากๆในประเทศนี้ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ของสำนักพิมพ์นี้คือเด็กตั้งแต่อายุ 13-35 ปี หนังสือส่วนใหญ่เป็นวรรณกรรม จิตวิทยา การพัฒนาตนเอง ที่อ่านง่ายมาก นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เอราเบลอยากไปเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดมั้งในความคิดเธอ ถ้าเอราเบลเรียนบรรณารักษ์ตั้งแต่แรกพ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรไม่ใช่เเหรอ ดูจากการใช้ชีวิตสปอยลูกขั้นสุดของครอบครัวนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะไม่อนุญาตให้เธอเรียน แล้วก็มีอีกธุรกิจหนึ่งที่คุณแม่เอราเบลทำไปควบคู่กับการเปิดสำนักพิมพ์คือการให้เช่าพื้นที่สำนักงานและห้องสมุดสาธารณะ สรุปแล้วตระกลูลีเป็นตระกุลราชนิกูลของประเทศนี้และรวยมาก เป็นตะกูลที่ดีงาม เอราเบลเป็นลูกคนที่สองของตระกูลนี้ แต่เท่าที่ดูไม่ค่อยมีข่าวหรือรูปเกี่ยวกับเธอในเน็ตเลยหรือเธอไม่ชอบ?‘เธอจะเป็นเอราเบลต่อไป จนกว่าจะหาคำตอบได้ว่าเธอต้องมาทำอะไรที่นี่ และทำไมต้องเป็นคนนี้’‘เธอต้องไปอยู่ในที่ ๆ พระเจ้าเห็นสมควรไม่ใช่หรือ’ เธอใช้ชีวิตกับคนที่มีความโลภมานับไม่ถ้วน สิ่งที
บทที่ 4 บรรณารักษ์หอสมุดแห่งชาติก่อนพักกลางวัน“ทุกคน ขออนุญาตครับ ผมขอรบกวนเวลาอันมีค่าของพวกท่านสักครู่ ผมมีข่าวจะแจ้ง ทางสำนักงานได้ส่งเอกสารมาให้ผมสักพักแล้ว แต่ตอนนี้ผมเห็นควรแล้วว่า เราจะแนะนำสมาชิกใหม่แต่ก็ไม่ใหม่เพิ่มาหนึ่งคน นั้นคือเอราเบล ลี จะเข้ามาเป็นบรรณารักษ์อย่างเต็มตัว (เสียงปรบมือ)” เธอยืนขึ้นเพื่อขอบคุณเสียงปรบมือ“ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับเอราเบลบ้างไม่มากก็น้อย”“แต่ว่าเป็นที่น่าหนักใจไม่น้อยสำหรับการจัดเอราเบลไปดูแลตำราแขนงอะไร ดังนั้นเรามารับน้องกันเถอะ5555” หลายคนต่างหัวเราะกันอย่างมีความสุขเหมือนหลุดออกมาอีกโลก เมื่อกี้ยังทำหน้าเคร่งเครียดกันอยู่เลย“รอนนี่ ทำไมพูดถึงรับน้องแล้วทำไมทุกคนดีใจขนาดนี้เเหรอ”“ไม่! บอก!” รอนนี่ทำหน้าแบบเยาะเย้ยเธอ อารมณ์แบบเธอเสร็จแน่!“เอาล่ะครับ ช่วงนี้เราจะทำการคัดเลือกน้องใหม่กัน ขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมครับ อะไรที่สมควรพูดก็พูดแล้ว ดังนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ผู้ชายคนนั้นได้จากไปแล้ว แล้วทุกคนหันมายอมให้เธอแบบมีเลศนัย รูสึกขนลุกอย่างไรก็ไม่รู้“ไป เที่ยงล่ะ ไปกินข้าวกิน” รอนนี่ดึงสติเธอกลับมา“ฉันลืมเอากระเป๋าตังมา มีมาแต่โทรศัพท
บทที่ 5 shopping ของคนรวยที่ชื่อเอราเบล7.00 น. ตี๊ดดดดดวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ที่ตื่นมาต้องเช็คเมล ดื่มชามะนาว แซนวิชชิ้นหนึ่ง เธอกดเข้าในไอจี ในอดีตเธอเป็นเจ้าแม่แฟชั่นยังไงทุกวันนี้เธอก็เป็นอย่างนั้น แต่ส่วนใหญ่เวลาสั่งเธอจะให้พนักงานมาส่งให้ที่บ้าน แต่วันนี้เบื่อๆอาจจะเข้าไปรับเอง สองสามวันก่อนเธอเห็น กระเป๋ารุ่น BB เธอโทรสอบถามทางช็อป ว่ากระเป๋าใบเนี้ยเข้าที่ร้านไหม พนักงานบอกว่าอีกสองสามวันจะเข้า เธอบอกทางชอปว่าช่วยเก็บไว้ให้หน่อยได้ยินว่าของเข้าวันนี้ มีของเข้าชอปหลายอย่างเลย วันนี้วันหยุดว่าจะไปดูสักหน่อย อัพเดทไอเทม เธอสนใจกระเป๋าใบหนึ่งที่อยู่บนรันเวย์คือ caro bag (ที่ลายกระเป๋าเหมือนผ้ามัดย้อม)วันนี้เธอจะไปดูแบรนด์น้องใหม่จากนิตยสารแฟชั่นของประเทศนี้ เห็นว่ามีคนไปทำนายทายทักว่าจะขึ้นเป็นไฮเอนในอีกไปกี่ปี ไปดูหน่อยสิจริตเราจะตรงกันไหม ..The mall RHALoxxxxx “สวัสดีค่ะคุณท่าน รับชาหรือกาแฟดีคะ” สามสิบนาทีผ่านไป“คุณวีร่าของที่ offer มาฉันเอาทั้งหมดเลยนะคะ.”“ค่ะ คุณท่าน”..Dixxxxxx“สวัสดีค่ะคุณท่าน รับชาหรือน้ำส้มดีคะ” ยี่สิบนาทีผ่านไป“คุณเธอร์ ยังไงก็จัดส่
บทที่ 6 เยี่ยมเยือนบอกเลยว่าโต๊ะทำงานของเอราเบลเธอไม่ค่อยได้ใช้เท่าไร มันดูทางการเกินไป ส่วนใหญ่เธอจะมานั่งทำงานที่ห้องครัวและถือเป็นห้องนอนไปเลย เพราะโต๊ะทานข้าวฝั่งหนึ่งเป็นโซฟาติดกำแพง เป็นที่ดึงดูดคนจริงๆ ดูดให้ง่วงนะ ส่วนอีกฝั่งเป็นเก้าอี้ที่นิ่มมากจำนวนสามตัว ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้นั่งเหรอก วางเอกสารเสียมากกว่า และไม่ต้องกลัวว่ามันจะรก เพราะแม่ของเอราเบลได้จัดการให้แม่บ้านที่คฤหาสน์มาทำความสะอาดประจำ เธอมีของไม่มากและจัดเก็บใส่กล่องเหมือนกล่องไปปิคนิกสองใบ ใบหนึ่งใส่เอกสาร อีกไปใส่เครื่องเขียนแล้วก็อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รับรองว่ามันไม่รกขนาดนั้น สภาพตอนนี้ไม่ต่างกับเด็กมหาลัยที่ชอบทำตัวเป็น one night miracle ดีหน่อยที่เอราเบลตัดแว่นแบบกรองแสงสีฟ้าไว้เยอะ ไม่งั้นได้สายตาสั้นและล้าแน่ ๆ ไหน ๆก็นอนดึกแล้ว ฉันคลิกที่หน้าเว็บไซต์มหาลัยเพื่อเข้าไปดูคณะการบินและอวกาศ อืมมม…. บางทีก็พูดไม่ออกกับมหาลัยนี้แฮะคณะนี้กินเนื้อที่แล้วไปครึ่งหนึ่งของมหาลัย เอาไปทำอะไรเยอะแยะ จากนั้นเข้ามาอ่านหระทู้(คล้ายกับกระทู้พันทิพย์บ้านเรา) เม้าว่า ความจริงแล้วมหาลัยนี้จะสร้างมาเพื่อผลิตคนที่
บทที่ 9 เพื่อบ้านข้างๆที่ชอบสร้าปัญหาเฮือก!!! ฝันหรอกเหรอ…ฝันสินะ…เป็นฝันที่ไม่ดีเลยจริงๆ… พวกสารเลว…“อ้าวเอราเพิ่งตื่นเหรอ เร็วเข้า คุณโจวเรียกประชุมแล้ว”“ค่ะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” โธ่เอ้ย…สภาพดูไม่ได้เลย“มากันครบแล้วสินะ คุณชิกิประชุมได้เลย” คุณชิกิพูดเปิดประชุมไปเรื่อย ๆ ส่วนเธอขอนั่งตั้งสติสักครู่ เหมือนจะถอดสมองก่อนเข้าห้องประชุมแฮะ“ อย่างที่ทุกคนเห็นข่าวที่ออกมาตอนเช้าของวันที่ 8 เมษายน ผู้นำกวันซาได้เดินทางเยือนซิมบ์ในตอนนี้นานาชาติวิจารณ์การกระทำของผู้นำกวันซาที่ได้ไปเยือนซิมบ์ประเทศที่พึ่งทำรัฐประหารไป ” ทุกคนต่างตกอยู่ในสภาวะความกดดันโดยไม่รู้ตัว บรรยากาศเย็นๆเริ่มเข้ามาปะทะรอบๆตัวเรา“มีใครอยากจะเสนออะไรไหม”“ผมคิดว่าในช่วงนี้ยังไม่เหมาะเท่าไรที่ประเทศเราจะไปทำกิจการหรือลงทุนอะไรในซิมบ์”“ในมุมของผม ผมว่าเราไม่ควรตัดโอกาสขนาดนั้น เท่าที่ดูผมว่าซิมบ์ก่อนหน้าที่จะมีข่าวนี้ออกมา ซิมบ์ถือเป็นตัวเลือกที่ดีมาก”ตอนนนี้หลาฝ่ายต่างหนักใจเพราะซิมบ์ถือเป็นตัวเลือกที่ดีอันดับต้นของทุกๆฝ่ายพอข่าวที่ออกมาทำให้เราทุกคนขยับตัวลำบาก แต่ถ้าเรากระโดดเข้าไปตอนนี้เลย จะเป็นเราที่
บทที่ 8 นิคโคสัน ฮาฟ เอ็มไพร คือใคร?ครืนๆๆ“เชิญนั่ง”“เรื่องที่ให้ไปทำ ถึงไหนแล้ว”“ทางเราได้จัดหาคนที่เหมาะสมเรียบร้อยแล้วพร้อมเดินทางในอีก สามเดือนข้างหน้าค่ะ”“นโยบายเอกสารข้อตกลง เตรียมเรียบร้อยแล้วครับ”“เพิ่มไปอีกคน” ทุกคนต่างทำหน้างง“ใครคะท่าน”“คนนี้” ฮาฟได้ยื่นเอกสารให้กับผู้ดูแล“แต่เธอไม่ได้ทำงานในส่วนของเรานะคะท่าน”“เธอมีความสำคัญกับการทำสัญญาครั้งนี้เป็นอย่างมาก เราไม่ได้ไปที่นั่นเรื่องความพันธ์ทางการทูตอย่างเดียว เราไปมากกว่านั้น…..”“ค่ะท่าน”...พักเที่ยง“เอรา คุณเข้ามาพบผมในห้องทำงานหน่อย”“ค่ะ ผอ.”“มีจดหมายด่วนจากทำเนียบประธานาธิบดี”“คะ?" 'เธองงมาก เอราเธอไปทำเรื่องอะไรไว้อีกแล้วใช่ไหม!' เธอรับจดหมายมาแล้วเปิดอ่าน เนื้อหาข้างในทำเธอตกใจแล้วตกใจอีก“ผอ. คะ คือฉันงงไปหมดแล้วค่ะ”“บอกตามตรงว่าผมเองก็งงเหมือนกับคุณ มีหนังสือแต่งตั้งคุณมาเรียบร้อยแล้วว่าให้คุณไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษร่วมกับคณะทูตที่จะเดินทางไปจักรวรรดิทางใต้เป็นการเฉพาะกิจ ผมได้เซ็นเอกสารอนุมัติให้คุณไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไงคุณก็เป็นคนของที่นี่ เสาร์อาทิตย์คุณมาทำงานที่หอสมุดตามเดิมพอทางนั้นเรียบร้อ
บทที่ 7 การพบกันที่ไม่เหมือนการพบกัน“ตาคุณแล้วครับ คุณคิดว่าไง”“โดยความคิดเห็นส่วนตัวของฉันนะคะ ถ้าพูดให้ถูกสมัยก่อนวรรณกรรมไม่ได้เป็นที่นิยมในจักรวรรดิทางใต้ แต่มีกลุ่มมหาอำนาจบางกลุ่มต้องการทรัพยากรเพื่อมาพยุงเศษฐกิจของประเทศตนเลยต้องมีการแสวงหาแหล่งวัตถุดิบ ด้วยเหตุนี้จักรวรรดิซัมเซราเลยทำการล่าอาณานิคมฝั่งโซนตะวันออก เริ่มแรกมีการใช้กำลังทหารเข้ามาก่อน ต่อมาก็เริ่มมีการยัดเยียดวิถีชีวิตของตนเองให้ประเทศที่ตกเป็นอาณานิคม” “วรรณกรรมก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น การเขียนเรื่องราวด้วยตัวหนังสือที่ยาวเป็นหน้าประเทศแถวนี้เขาไม่นิยมทำกันเหรอก วรรณกรรมนั้นเราอาจเห็นโดยทั่วๆไปว่าเป็นแนวสร้างสรรค์และบันเทิงที่เห็นได้ในปัจจุบัน แต่ว่านะช่วงสมัยที่ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศเจ้าอาณานิคมนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของแต่ละฝ่าย ปลุกปั่นให้คนที่คิดเอนเอียงมาฝั่งเราลุกขึ้นสู้กับอีกฝั่ง โดยการบอกเล่าเรื่องราวของผู้คนในสมัยและช่วงเวลานั้น แน่นอนว่าวรรมกรรมบางเรื่องถูกควบคุมโดยรัฐบาลดังนั้นเนื้อหาที่มีค่อนข้างเชียร์รัฐบาล แต่ว่าในยุคของพวกเรา ต้องฟังหูไว้หู” “ถ้าคิดจะอ่านหนังสือของใครสักคนจริงๆ เกี่
บทที่ 6 เยี่ยมเยือนบอกเลยว่าโต๊ะทำงานของเอราเบลเธอไม่ค่อยได้ใช้เท่าไร มันดูทางการเกินไป ส่วนใหญ่เธอจะมานั่งทำงานที่ห้องครัวและถือเป็นห้องนอนไปเลย เพราะโต๊ะทานข้าวฝั่งหนึ่งเป็นโซฟาติดกำแพง เป็นที่ดึงดูดคนจริงๆ ดูดให้ง่วงนะ ส่วนอีกฝั่งเป็นเก้าอี้ที่นิ่มมากจำนวนสามตัว ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้นั่งเหรอก วางเอกสารเสียมากกว่า และไม่ต้องกลัวว่ามันจะรก เพราะแม่ของเอราเบลได้จัดการให้แม่บ้านที่คฤหาสน์มาทำความสะอาดประจำ เธอมีของไม่มากและจัดเก็บใส่กล่องเหมือนกล่องไปปิคนิกสองใบ ใบหนึ่งใส่เอกสาร อีกไปใส่เครื่องเขียนแล้วก็อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รับรองว่ามันไม่รกขนาดนั้น สภาพตอนนี้ไม่ต่างกับเด็กมหาลัยที่ชอบทำตัวเป็น one night miracle ดีหน่อยที่เอราเบลตัดแว่นแบบกรองแสงสีฟ้าไว้เยอะ ไม่งั้นได้สายตาสั้นและล้าแน่ ๆ ไหน ๆก็นอนดึกแล้ว ฉันคลิกที่หน้าเว็บไซต์มหาลัยเพื่อเข้าไปดูคณะการบินและอวกาศ อืมมม…. บางทีก็พูดไม่ออกกับมหาลัยนี้แฮะคณะนี้กินเนื้อที่แล้วไปครึ่งหนึ่งของมหาลัย เอาไปทำอะไรเยอะแยะ จากนั้นเข้ามาอ่านหระทู้(คล้ายกับกระทู้พันทิพย์บ้านเรา) เม้าว่า ความจริงแล้วมหาลัยนี้จะสร้างมาเพื่อผลิตคนที่
บทที่ 5 shopping ของคนรวยที่ชื่อเอราเบล7.00 น. ตี๊ดดดดดวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ที่ตื่นมาต้องเช็คเมล ดื่มชามะนาว แซนวิชชิ้นหนึ่ง เธอกดเข้าในไอจี ในอดีตเธอเป็นเจ้าแม่แฟชั่นยังไงทุกวันนี้เธอก็เป็นอย่างนั้น แต่ส่วนใหญ่เวลาสั่งเธอจะให้พนักงานมาส่งให้ที่บ้าน แต่วันนี้เบื่อๆอาจจะเข้าไปรับเอง สองสามวันก่อนเธอเห็น กระเป๋ารุ่น BB เธอโทรสอบถามทางช็อป ว่ากระเป๋าใบเนี้ยเข้าที่ร้านไหม พนักงานบอกว่าอีกสองสามวันจะเข้า เธอบอกทางชอปว่าช่วยเก็บไว้ให้หน่อยได้ยินว่าของเข้าวันนี้ มีของเข้าชอปหลายอย่างเลย วันนี้วันหยุดว่าจะไปดูสักหน่อย อัพเดทไอเทม เธอสนใจกระเป๋าใบหนึ่งที่อยู่บนรันเวย์คือ caro bag (ที่ลายกระเป๋าเหมือนผ้ามัดย้อม)วันนี้เธอจะไปดูแบรนด์น้องใหม่จากนิตยสารแฟชั่นของประเทศนี้ เห็นว่ามีคนไปทำนายทายทักว่าจะขึ้นเป็นไฮเอนในอีกไปกี่ปี ไปดูหน่อยสิจริตเราจะตรงกันไหม ..The mall RHALoxxxxx “สวัสดีค่ะคุณท่าน รับชาหรือกาแฟดีคะ” สามสิบนาทีผ่านไป“คุณวีร่าของที่ offer มาฉันเอาทั้งหมดเลยนะคะ.”“ค่ะ คุณท่าน”..Dixxxxxx“สวัสดีค่ะคุณท่าน รับชาหรือน้ำส้มดีคะ” ยี่สิบนาทีผ่านไป“คุณเธอร์ ยังไงก็จัดส่
บทที่ 4 บรรณารักษ์หอสมุดแห่งชาติก่อนพักกลางวัน“ทุกคน ขออนุญาตครับ ผมขอรบกวนเวลาอันมีค่าของพวกท่านสักครู่ ผมมีข่าวจะแจ้ง ทางสำนักงานได้ส่งเอกสารมาให้ผมสักพักแล้ว แต่ตอนนี้ผมเห็นควรแล้วว่า เราจะแนะนำสมาชิกใหม่แต่ก็ไม่ใหม่เพิ่มาหนึ่งคน นั้นคือเอราเบล ลี จะเข้ามาเป็นบรรณารักษ์อย่างเต็มตัว (เสียงปรบมือ)” เธอยืนขึ้นเพื่อขอบคุณเสียงปรบมือ“ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับเอราเบลบ้างไม่มากก็น้อย”“แต่ว่าเป็นที่น่าหนักใจไม่น้อยสำหรับการจัดเอราเบลไปดูแลตำราแขนงอะไร ดังนั้นเรามารับน้องกันเถอะ5555” หลายคนต่างหัวเราะกันอย่างมีความสุขเหมือนหลุดออกมาอีกโลก เมื่อกี้ยังทำหน้าเคร่งเครียดกันอยู่เลย“รอนนี่ ทำไมพูดถึงรับน้องแล้วทำไมทุกคนดีใจขนาดนี้เเหรอ”“ไม่! บอก!” รอนนี่ทำหน้าแบบเยาะเย้ยเธอ อารมณ์แบบเธอเสร็จแน่!“เอาล่ะครับ ช่วงนี้เราจะทำการคัดเลือกน้องใหม่กัน ขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมครับ อะไรที่สมควรพูดก็พูดแล้ว ดังนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ผู้ชายคนนั้นได้จากไปแล้ว แล้วทุกคนหันมายอมให้เธอแบบมีเลศนัย รูสึกขนลุกอย่างไรก็ไม่รู้“ไป เที่ยงล่ะ ไปกินข้าวกิน” รอนนี่ดึงสติเธอกลับมา“ฉันลืมเอากระเป๋าตังมา มีมาแต่โทรศัพท
บทที่ 3 ตัวตนของเอราเบล ลีคุณแม่มาราลินชอบอ่าหนังสือมาก มีบริษัทสำนักพิมพ์เป็นของตนเอง ถ้าเอาชื่อสำนักพิมพ์ไปค้นพบว่ามีชื่อเสียงมากๆในประเทศนี้ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ของสำนักพิมพ์นี้คือเด็กตั้งแต่อายุ 13-35 ปี หนังสือส่วนใหญ่เป็นวรรณกรรม จิตวิทยา การพัฒนาตนเอง ที่อ่านง่ายมาก นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เอราเบลอยากไปเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดมั้งในความคิดเธอ ถ้าเอราเบลเรียนบรรณารักษ์ตั้งแต่แรกพ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรไม่ใช่เเหรอ ดูจากการใช้ชีวิตสปอยลูกขั้นสุดของครอบครัวนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะไม่อนุญาตให้เธอเรียน แล้วก็มีอีกธุรกิจหนึ่งที่คุณแม่เอราเบลทำไปควบคู่กับการเปิดสำนักพิมพ์คือการให้เช่าพื้นที่สำนักงานและห้องสมุดสาธารณะ สรุปแล้วตระกลูลีเป็นตระกุลราชนิกูลของประเทศนี้และรวยมาก เป็นตะกูลที่ดีงาม เอราเบลเป็นลูกคนที่สองของตระกูลนี้ แต่เท่าที่ดูไม่ค่อยมีข่าวหรือรูปเกี่ยวกับเธอในเน็ตเลยหรือเธอไม่ชอบ?‘เธอจะเป็นเอราเบลต่อไป จนกว่าจะหาคำตอบได้ว่าเธอต้องมาทำอะไรที่นี่ และทำไมต้องเป็นคนนี้’‘เธอต้องไปอยู่ในที่ ๆ พระเจ้าเห็นสมควรไม่ใช่หรือ’ เธอใช้ชีวิตกับคนที่มีความโลภมานับไม่ถ้วน สิ่งที
บทที่ 2 โลกใบใหม่ของเอมมาริน เคิร์ก-- จักรวรรดิเอเดน ย.ศ.2698 การประชุมสสมัชชา ในงาน SEEC (Southern Empire Economic Cooperation – SEEC) ครั้งที่ 49 –“Mr. President In the name of the Eden Empire. Our empire has been developing the space industry for a long time. Whether it's human resources or space technology. We have a great interest and desire to invest in your Southern Empire. When you have a cooperation policy open to investors. Our Empire welcomes and cooperates with the Southern Empire to develop its economy together. Thank you.”(เรียนท่านประธาน ในนามของจักรวรรดิเอเดนจักรวรรดิของเรามีการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านอวกาศมาเป็นเวลาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรคนหรือเทคโนโลยีอวกาศ ทางเรามีความสนใจและประสงค์อย่างยิ่งจะที่เข้าไปลงทุนในจักรวรรดิทางใต้ของพวกท่าน เมื่อพวกท่านมีนโยบายความร่วมมือเปิดรับนักลงทุน ทางจักรวรรดิของเรายินดีและจะให้ความร่วมมือกับจักรวรรดิทางใต้เพื่อพัฒนาเศรษกิจร่วมกัน ขอบคุณครับ)“And now I give the floor representative of Quanzaa ---”(ตอนไปผมจะให้พื้นที่นี้แก่ป
บทที่ 1 เอมมาริน เคิร์ก“บอกว่าอย่ามายุ่ง!!”“แต่คุณคะ--”เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!“อย่ามาให้เห็นหน้าอีก!! และเอาไอ้เด็กเวรนี่ออกไปด้วย”เธอไม่รู้ว่าสามีของตัวเองเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ เขาเริ่มมีพฤติกรรมรุนแรงแบบนี้ตั้งแต่ลูกเกิด หมอบอกว่าอุบัติเหตุรอบทำร้ายตอนนั้น เขาสูญเสียความทรงจำไป ผ่านมา 10 ปี ลูกของเราโตขึ้นมาก คาเชนก็ยังจำพวกเราไม่ได้ เธอได้แต่หวังว่าเขาจะจำพวกเราได้โดยเร็ว เอมมาริน เคิร์ก เป็นสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของโซเรลคนนั้นคือเธอ สามีของเธอคาเชน เคิร์ก ประธานาธิบดีโซเรล คาเชน ปกครองโซเรลมากว่าสามทศวรรษ หลายปีที่ผ่านมาเขาเปลี่ยนไปมาก...เขาเหมือนคนที่เธอไม่รู้จัก ผู้คนต่างเรียกเขาว่า 'เผด็จการ''เผด็จการ' ไม่มีใครชอบความหมายของมัน แต่เราต่างถูกยกย่องด้วยถ่อยคำนี้ เราเผชิญกับหลายสิ่งหลายอย่างถูกกล่าวหาว่าคดโกงประเทศชาติ ขายชาติบ้างล่ะ‘ทั้งที่เป็นความจริงมันมีอะไรซับซ้อนกว่านั้น’ เบื้องหลังมีความจริงมากมายที่ถูกซ้อนเร้นอยู่‘แต่ใครจะสนกัน เขาสนแต่เรื่องฉาวโฉดของอีกฝ่ายกันทั้งนั้น’มีคนกล่าวหาว่าความฟุ้งเฟ้อของเธอมาจากการคอรัปชั่นของสามี...และใช่เธอรู้... แต่เพราะรักมาก