“นี่คือเหยือกรับวิญญาณที่พ่อมดโบราณใช้เก็บผี” ฉันชี้ไปยังฝาหม้อและพูดว่า “เห็นลวดลายตราประทับนั่นไหม? ถ้ามีตราประทับนี้ แสดงว่ามีวิญญาณอยู่ด้านใน ห้ามเปิดเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะเกิดภัยพิบัติ” กรรมการทั้งสามมองหน้ากันและหัวเราะออกมาเสียงดัง“แม่สาวน้อย คุณดูหนังสยองขวัญมากเกินไปหรือเปล่า? ฉันเป็นนักประเมินสมบัติมาหลายสิบปี ไม่เคยเจอพวกภูต ผี ปีศาจเลย” หานหยุนยิ้มอย่างดูถูกอีกครั้ง เขาโบกมือไปมา “ไม่เป็นไร ถอยออกไปเถอะ อย่ามาขัดขวางพวกเราเลย”ฉันขมวดคิ้ว “คุณหาน เชื่อสิ ถ้าคุณเปิดฝาจะมีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้น ยังมีผู้คนมากมายที่อยู่ในงานอีกนะ นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องของคนหนึ่งคนหรือสองคนแล้ว”หวาโหย่วเหวยพูดอย่างดูถูก “แล้วคุณเรียนรู้มาจากใคร? สำเร็จการศึกษาระดับไหน? มีผลงานวิชาการอะไรบ้าง?”ฉันหน้าแดงเล็กน้อย “ไม่มี”ผู้ชมที่อยู่ข้าง ๆ เขาหัวเราะ “คุณไม่มีอะไรเลย ยังจะกล้ามาวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญอีกเหรอ? คุณเว้ย คุณปล่อยให้คนแบบนี้เข้ามาได้ยังไง?”สีหน้าของเว้ยหลานไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ขยับแต่อย่างใด เขาไม่ได้เชื่อฉัน แต่เขาเชื่ออาจารย์ที่อยู่เบื้องหลัง
“อย่าเพิ่งบูชา” ราชาตัวจริงแห่งเจิ้งหยางกล่าว “ตอนนี้เธอยังไม่คู่ควรที่จะเป็นศิษย์ของฉัน และเธอก็ไม่ควรบูชาอาจารย์ง่าย ๆ แบบนี้ ฉันจะสังเกตดูอีกสักระยะ เมื่อฉันคิดว่าเธอมีคุณสมบัติมากพอแล้วค่อยคุยกันเรื่องการรับลูกศิษย์”ฉันรู้ว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นจึงรีบพูดขึ้นว่า “ค่ะ ท่านวางใจได้ ฉันจะพยายามเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากท่านค่ะ”“พอแล้ว พอแล้ว รีบลุกขึ้นเถอะ เดี๋ยวใครจะเห็นเข้า” เขาบอก“ค่ะ” ฉันยืนขึ้นด้วยความดีใจ และเขาก็พูดต่อ “มีคนอยู่ข้างหลังเธอ” ฉันตกใจและรีบหันหลังไปมองทันที ตรงนั้นมีผู้ชายร่างสูงคนหนึ่ง เขาคือหยินเฉิงเหยา! ฉันรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที เขาจ้องมาที่ฉันอย่างเย็นชา จ้องจนฉันรู้สึกชาที่หัวและจู่ ๆ เขาก็เดินเข้ามาก้าวหนึ่ง ทำเอาฉันตกใจและถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจอะไรบางอย่าง “ทวนที่แทงออกไปตรง ๆ นั้นหลบหลีกง่าย แต่ลูกศรที่ยิงมาจากที่ลับนั้นยากต่อการระวัง ระวังตัวด้วยล่ะ” พูดเสร็จเขาก็เดินจากไป ทำฉันยืนงงอยู่ตรงนั้นร่างบางเดินออกมาจากหลังเวที พลันเหลือบไปเห็นผู้ชายวัยกลางคนที่โดนผีสิงคนนั้นกำลังยืนขึ้นโดยมีภรรยาของเขาช่วยประคองอยู่ เข
พอฉันขึ้นไปชั้นบน ฉันก็อายมากจนหัวตกลงมาที่หน้าอก โดยเฉพาะเมื่อครู่ตอนพบกับป้าหลี่ ป้าเพื่อนบ้านของฉัน เธอกวาดสายตามองไปมองมาที่ฉันและถังหมิงหลี แล้วสีหน้าของเธอแสดงออกมาเหมือนกับเห็นผีร่างเล็กพูดตะกุกตะกัก “นี่คือลูกพี่ลูกน้องของฉัน เจ้าของเดิมของห้องห้องนี้” รู้สึกว่ายิ่งแก้ก็ยิ่งแย่ แต่ช่างมันเถอะ ยังไงเธอก็ไม่เชื่ออยู่ดีมือเรียวเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่นก่อน ก่อนจะเข้าไปในห้องนอนและยุ่งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นค่อยเอ่ยเรียกอีกคน “คุณถัง ฉันเตรียมพร้อมแล้ว เชิญเข้ามาได้” ถังหมิงหลีอมยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินตรงเข้าไปในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของยา เขาผงะไปครู่หนึ่ง พลางจ้องมองไปยังถังไม้ที่อยู่ข้างหน้า“นี่คือ?” เขาถาม“นี่คือน้ำยาสำหรับอาบเพื่อปรับสภาพร่างกาย” ฉันพูดขึ้น “สามารถปรับสภาพกล้ามเนื้อและกระดูก แถมยังช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนักสู้อย่างพวกนาย”ในตาของเขาดูมีประกายความสุข เขาจับมือฉันพลันเอ่ย “จุนเหยา ขอบคุณนะ” ใบหน้าแดงเห่อร้อน ร่างสูงเปลื้องผ้าเดินเข้าไปแช่ในอ่างยาอย่างช้า ๆ ฉันหันหน้าออกไปอีกทางไม่กล้ามอง แต่
“โอ้มายกอด สิ่งที่อยู่บนหน้าหล่อนมันคืออะไรกัน?” หญิงสาวหน้าตาสะสวยเอ่ยถามเสียงสูง “น่าขยะแขยงชะมัด ฉันแทบจะกินอาหารเช้าไม่ลงแล้วเนี่ย” ถังหมิงหลีขมวดคิ้วจนย่น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กัวซวน ดูแลผู้หญิงของนายด้วย” กัวซวนหัวเราะด้วยความเย้ยหยัน “ถังหมิงหลี นี่คือผู้หญิงของนายเหรอ? รสนิยมนายเนี่ยแปลกดีเนอะ เมื่อก่อนนายก็ไม่ได้อะไรกับผู้หญิงสักเท่าไหร่ ฉันยังนึกว่านายน่ะบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่เลย ไม่คิดเลยว่าจะมีความชอบแปลก ๆ” ถังหมิงหลีค่อย ๆ ยืนขึ้นแล้วใช้สายตาที่คมดุจดั่งมีดจ้องไปที่เขาอย่างเชือดเฉียด “กัวซวน นายอยากมีเรื่องหรือไง?” กัวซวนถอยหลังไปก้าวหนึ่งพลางมองเขาด้วยท่าทางขลาดกลัว “ถังหมิงหลี นายมันก็เป็นแค่คนนอกที่มาอาศัยอยู่กับตระกูลกัวของพวกเราเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะลุงของนายได้รับความเคารพจากคุณปู่ล่ะก็ นายคิดว่านายจะอยู่ที่บ้านกัวได้กี่วัน?” ถังหมิงหลีใช้สายตามองเขาเหมือนกับว่าเขาเป็นมดตัวหนึ่ง “แล้วไงล่ะ? กัวซวน นายคิดว่าตัวเองเป็นสายเลือดโดยตรงของตระกูลกัว แต่สมบัติของตระกูลนายได้มาเท่าไหร่ล่ะ? คุณปู่ท่านดูออกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่านายมันไม่เอาไหน ไม่มีอนาคต แต่
มันคือหน้ากากสีขาวอันหนึ่ง เมื่อมองดูแล้วก็เป็นสีขาวซีด ๆ ธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ภายใต้แสงจันทร์เช่นนี้ มันกลับยิ่งเพิ่มความสยองขวัญขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจน เมื่อมาถึงโรงงานเคมี ฉันก็เปิดห้องไลฟ์สด และตั้งชื่อว่า ‘ค่ำคืนสยองขวัญเมื่อยี่สิบปีก่อน ไขความลับโรงงานร้าง’ ทันทีที่เปิดไลฟ์ ก็มีผู้คนกว่าหมื่นคนรีบเข้ามาอย่างดุเดือด [ครั้งนี้เป็นที่โรงงานงั้นเหรอ? ดูบรรยากาศรอบ ๆ ก็รู้สึกสยองแล้วอะ แอดมินเว้นช่วงไปนานกว่าจะกลับมาไลฟ์ครั้งนี้ มันต้องเป็นอะไรที่สุดยอดแน่ ๆ] [แอดมินผมจำภาพเนินอกของคุณได้ไม่ลืมเลย มันช่างตราตรึงใจเสียเหลือเกิน] [แอดมิน ผมคือหมัดใต้หล้า รุ่นพี่จอมเผด็จการอยู่ไหม? รุ่นพี่โปรดรับมงกุฎของผมด้วยครับ] [การไลฟ์สดของแอดมินครั้งที่แล้วสุดยอดมากเลยครับ ผมได้บันทึกวิดีโอเก็บไว้แล้วก็เปิดวนซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งเลย นี่แค่ไม่ได้ดูวันเดียวผมถึงกับไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลยนะครับ จนแฟนผมเขาคิดว่าผมจะนอกลู่นอกทางซะแล้ว] ดูม่านกระสุนพวกนี้แล้ว เกือบจะทำให้ฉันต้องเผยยิ้มออกมา ยอดผู้ชมในห้องไลฟ์สดเพิ่มขึ้นถึงแสนคนด้วยความรวดเร็ว “ทุกคน ฉันกลับมาแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันจะอธิบา
“บ้าหรือเปล่า” สี่คนนั้นมองมาที่ฉันด้วยสายตาหยิ่งยโส “ออกไปให้พ้นทาง คุณชายฮวงของพวกเราจะเข้าไปสำรวจ” หนึ่งในสี่คนนั้น มีอยู่คนหนึ่งที่ท่าทางเพลย์บอยสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม ในปากคาบบุหรี่อยู่หนึ่งมวนด้วยท่าทีที่ไม่สนใจอะไร ฉันรีบตอบกลับไปทันควัน “โรงงานนี้อันตรายมาก ถ้าพวกเธออยากจะมากันนัก ก็รอให้เช้าก่อนค่อยกลับมา” “หลีกไป” ผู้หญิงที่แต่งหน้าจัดคนนั้นก้าวเข้ามาจะผลักฉันออก ฉันจึงหลบตามสัญชาติญาณทำให้หล่อนทรงตัวไม่อยู่จนเกือบจะล้มลงไป หล่อนรู้สึกอายพลันโกรธมาก ร่างนั้นพุ่งเข้ามาเตรียมจะคว้าใบหน้าฉันเอาไว้ แต่ตอนนี้ฉันมีแรงเยอะกว่า เพียงแค่ฉันผลักหล่อนเบา ๆ แบบไม่ได้ตั้งใจก็ทำให้หล่อนถึงกับล้มหงายหลังไปเลย หล่อนตะโกนออกไปอย่างไม่ยอมแพ้ “คุณชายฮวงคะ มันทำร้ายฉัน” พวกของคุณชายฮวงพุ่งเข้ามาล้อมจุนเหยาเอาไว้ “จะเอายังไง โรงงานนี้เป็นของที่บ้านเธอหรือไง ถึงไม่ให้คนเข้า แถมยังมาทำร้ายคนของฉันอีก?” “วันนี้ถ้าเธอไม่คุกเข่าขอโทษ ก็อย่าคิดว่าจะหลุดไปได้” “ใช่ รีบคุกเข่าซะ! แล้วก็ก้มกราบเสี่ยวลี่ของพวกเราด้วย” [บ้าจริง เด็กเวรอย่างพวกแกกล้ามาทำอะไรแอดมินของเราเหรอ ไม่อยากมีชีวิตแล้ว
นัยน์ตาเขาฉายแววมุ่งมั่น “เราจะต้องหาข้อมูลพวกนั้นให้เจอให้ได้” ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากด้านในโรงงานจนพวกก็เราตกใจ เราจึงตัดสินใจตามเสียงนั้นไป พื้นที่ในโรงงานแห่งนี้ก็เหมือนกับเขาวงกต หันไปทางไหนก็มีแต่ตะไคร่น้ำกับสนิมขึ้นเต็มไปหมด ขณะที่พวกเราเพิ่งจะเดินเลี้ยวตรงหัวมุมมา จู่ ๆ ก็มีเด็กวัยรุ่นสามคนพุ่งตัวออกมา ทั้งสามคนนั้นเป็นพวกฮวงเย่ พวกเขาตะโกนร้องด้วยความหวาดกลัว “ผี ผีหลอก! ช่วยด้วย!” “มาอยู่ข้างหลังฉัน” ฉันตะโกนเรียกเสียงดัง ทั้งสามคนจึงรีบวิ่งมาหลบหลังร่างบาง จากนั้นเธอก็รีบเข้าไปด้านใน ก็เห็นว่าเสี่ยวลี่กำลังตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นอย่างไม่หยุดหย่อน มีมวลแรงมหาศาลดึงหล่อนเอาไว้แล้วลากเข้าไปในห้องมืด ครั้นฉันจะเดินตามเข้าไปมันก็สายไปแล้ว ภายในห้องนั้นมีมือขาดซีดนับไม่ถ้วนยืดออกมาจับขาของเสี่ยวลี่ไว้แน่น “ช่วยฉันด้วย! ช่วย…ด้วย!” เล็บของเสี่ยวลี่ทิ้งคราบเลือดไว้บนพื้น จากนั้นหล่อนก็ถูกแรงมหาศาลลากเข้าไปในส่วนลึกของห้อง พลันประตูเหล็กก็ประกบเข้าหากันดังปัง เลือดสดสีแดงเข้มก็ไหลออกมาทางประตู ฉันพยายามจะง้างประตูออก แต่ก็พบว่าข้างบนประตูเหล็กมีแม่กุญแจเหล็
ดวงตาที่เสี่ยวหลินซ่อนเอาไว้ภายใต้หน้ากากค่อย ๆ หรี่ลง มันคือสายตาที่คมดุจใบมีด ฮวงเย่รู้สึกเย็นวาบขึ้นที่หลัง เขาผลักเสี่ยวหลินออกอย่างแรงแล้วหันหลังวิ่งออกไปทันที ส่วนเด็กวัยรุ่นสองคนนั้นเองก็วิ่งตามไปด้วยเช่นกัน หลังจากวิ่งอย่างบ้าคลั่งเป็นเวลานาน เด็กหนุ่มในชุดยืดสีขาวก็เอ่ยอย่างหอบเหนื่อย “ไม่ไหวแล้ว ฉันวิ่งไม่ไหวแล้วจริง ๆ ฉันว่านายเองก็เหมือนกัน วิ่งหนีอะไรเนี่ย ฮวงชิวหว๋าก็พ่อของฮวงเย่นู่น ไม่ใช่พ่อพวกเราซะหน่อย” เด็กหนุ่งร่างบางที่วิ่งอยู่กับเขาเอ่ย “แต่นายเป็นเพื่อนของฮวงเย่ เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของเขานะ” พลันเด็กหนุ่มเสื้อยืดขาวก็มองไปทางเขาอย่างแปลกใจ ก่อนพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายภายใต้แสงจันทร์อันมืดมิดนั้นมีสีเขียวช้ำอยู่เล็กน้อย “นาย…” เด็กหนุ่มเสื้อยืดขาวเกิดสับสนขึ้นมาพักหนึ่ง “เอ๊ะ? นายชื่ออะไรนะ ทำไมฉันถึงจำชื่อนายไม่ได้?” เขาใช้เวลาคิดอยู่นาน แต่ก็คิดไม่ออกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ชื่ออะไร แถมยังนึกไม่ออกด้วยว่าตนเองไปรู้จักกับอีกคนตอนไหน ความหวาดกลัวค่อย ๆ คลืบคลานเข้ามาที่หลังของเขาทีละนิด จนเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว “นาย…หรือนายจะเป็น…” ขณะที่ฉันคิดจะไล่ตามพวกนั้