หลังให้อวี้เหนียงติดป้ายประกาศว่าร้านปิดปรับปรุง ไป๋ฟางเซียนจึงเดินสำรวจภายในร้านพร้อมกับจื่อถิงและลูกจ้างร้านเฟยเจินทันที ระหว่างที่เดินสำรวจนางก็ขบคิดถึงสิ่งที่ต้องการปรับปรุงไปด้วยเช่นกัน แม้อวี้เหนียงจะจัดการร้านได้ค่อนข้างดี แต่การจัดตกแต่งร้านกลับไม่ถูกใจนางนัก ดังนั้นนางจึงคิดปรับปรุงและตกแต่งร้านใหม่ทั้งหมด เมื่อดูครบทุกชั้นแล้ว นางจึงบอกจุดประสงค์ของตนออกไป
“เอาละ ข้าจะปรับปรุงร้านและตกแต่งขึ้นมาใหม่ ชั้นล่างสุดใช้สำหรับขายผ้าพับปกติ มีแสดงชุดที่ข้าจะให้อวี้หรูปักหลังจากนี้ด้วย ชั้นที่สองจะเป็นชั้นที่แสดงชุดสำเร็จที่อวี้หรูปักทั้งหมด รวมถึงใครที่จะสั่งตัดผ้าตัดชุดหรือปักลาย ต้องมาติดต่อที่ชั้นนี้ ส่วนชั้นสามข้าจะเก็บไว้เป็นห้องทำงานของข้าและใช้เป็นห้องรับรองสำหรับลูกค้าพิเศษ” ครั้นเห็นทุกคนพยักหน้ารับคำไม่โต้แย้งก็พูดต่อ
“ชั้นแรกอิงฮวาและเหยาเหยาจะทำหน้าที่ดูแลเป็นหลัก เจ้าเคยค้าขายอย่างไรก็ทำเช่นนั้น เพียงแต่ต้องพูดในส่วนอาภรณ์และลายปักชุดใหม่ของทางร้านเพื่อที่จะดึงความสนใจจากลูกค้าด้วย”
“เจ้าค่ะคุณหนู” สองสาวรับคำ
“ชั้นที่สอง ส่วนนี้เป็นหน้าที่ของอวี้หรู อวี้หรูต้องคอยรับแขกที่มาสั่งตัดอาภรณ์โดยเฉพาะ เจ้าต้องพูดคุยความต้องการของลูกค้าให้เข้าใจตรงกันและแจ่มชัดเพื่อที่จะไม่ให้มีปัญหาในภายหลัง ที่สำคัญเจ้าสามารถเย็บปักในห้องนี้ได้”
“เจ้าค่ะคุณหนู ว่าแต่คุณหนูจะให้ข้าปักลายใหม่และอาภรณ์ชุดใหม่เช่นไรหรือเจ้าคะ” อวี้หรูรับคำและถามกลับด้วยความตื่นเต้น นางคิดว่าของที่คุณหนูคิดและให้นางทำต้องไม่มีผู้ใดเคยทำหรือมีมาก่อนแน่ และคิดว่ามันต้องงดงามมากเช่นกัน
ไป๋ฟางเซียนยิ้มรับจากนั้นจึงตอบว่า “ยังก่อน เดี๋ยวข้าวาดแบบและอธิบายให้เจ้าฟังทีหลัง ส่วนเจ้าอวี้เหนียง ด้วยความที่เจ้าเป็นหลงจู๊ของร้าน ข้าจะให้เจ้าจัดการหน้าที่เช่นเดิมรับซื้อขายผ้า และทำบัญชีรายรับรายจ่ายแบบใหม่ แบบที่ข้าจะบอกสอนเจ้าหลังจากนี้ ห้องทำงานของเจ้าจะอยู่ชั้นสองซึ่งจะเป็นห้องตรงข้ามกับห้องตัดชุดของอวี้หรู ส่วนชั้นสามจะเป็นห้องทำงานของข้าทั้งหมด อ้อ ต้องกันเป็นห้องรับรองลูกค้าพิเศษที่ต้องการพบข้าหรือทำการค้ากับข้าด้วย ทั้งนี้ชั้นนี้ทำเป็นห้องพักอีกหนึ่งห้องให้ข้าด้วยเช่นกัน เผื่อวันไหนเหนื่อยจากงานข้าจะได้พักที่นี่เลย”
“เจ้าค่ะคุณหนู นอกจากนี้คุณหนูจะให้จัดตกแต่งร้านแบบใดหรือเจ้าคะ” อวี้เหนียงถาม
ไป๋ฟางเซียนยิ้มรับก่อนจะขอกระดาษกับดินสอ แต่เมื่อนึกได้ว่าที่นี่ไม่มีดังนั้นจึงขอก้อนถ่านแทน นางสั่งให้คนขับรถม้านำก้อนถ่านมาเหลาเป็นแท่งก่อนจะใช้ก็ใช้ผ้าพันโดยรอบเพื่อที่มือนางจะได้ไม่เปรอะเปื้อนความดำของมัน คิดว่าหลังจากกลับจวนไปนางคงไปขอให้บ่าวรับใช้ที่จวนทำดินสอแบบเฉพาะให้นางแน่ ๆ
เมื่อได้ดินสอถ่านที่ต้องการแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็เริ่มวาดแบบที่ต้องการตกแต่งของร้านเฟยเจินทันที ชั้นแรกทุกอย่างถูกจัดอย่างเป็นสัดส่วน ตรงกลางจะโล่งโปร่งเดินสวนได้สะดวก ด้านซ้ายที่ติดผนังร้านให้ต่อไม้เป็นชั้น ๆ เพื่อที่จะวางแสดงผ้าพับชนิดต่าง ๆ มีตู้เก็บผ้าพับอยู่ฝั่งเดียวกัน ส่วนด้านขวานางวาดเป็นรูปเก้าอี้ไม้ตัวยาว นางอธิบายให้ลูกจ้างทั้งหมดฟังว่า ส่วนนี้ใช้สำหรับรองรับลูกค้า ให้สามารถนั่งรอได้ หากยืนรอเกรงว่าลูกค้าจะเมื่อยเกินไป
ส่วนหน้าร้านที่ติดกับประตูนางเว้นไว้บอกลูกจ้างว่าใกล้ถึงวันเปิดค่อยเอาของมาวางแสดง ทุกคนทำหน้าฉงนแต่ไม่นานก็เข้าใจ ทั้งนี้ที่ไป๋ฟางเซียนเน้นย้ำเป็นพิเศษคือโต๊ะเก้าอี้สำหรับเสี่ยวเอ้อร์ของร้าน ด้านในของชั้นแรกนางเพิ่มโต๊ะตัวยาวเข้าไป หากยืนจะมีความสูงเหนือเอวเล็กน้อย หากนั่งจะมีความสูงอยู่ระดับอก ซึ่งโต๊ะตัวนั้นจะมีลิ้นชักและสมุดเล็ก ๆ ไว้จดบันทึกด้วย ทั้งนี้รูปแบบของโต๊ะตัวยาวนางเลียนแบบเคาน์เตอร์แคชเชียร์ในโลกเดิมของตน จุดเด่นก็คือเมื่อเดินเข้าประตูไปจะเห็นโต๊ะยาวตัวนี้พอดี แต่ที่เด่นที่สุดของร้านคือผ้าและชุดต่างหาก
ชั้นสองไม่มีอันใดมากเพียงกั้นห้องออกเป็นสองห้อง ห้องด้านซ้ายและห้องฝั่งขวา ขวามือเป็นห้องทำงานของอวี้เหนียง ภายในมีเพียงโต๊ะเก้าอี้ทำงาน ตู้เอกสาร และโต๊ะพักผ่อนหรือโต๊ะน้ำชาเท่านั้น ทว่าห้องทางฝั่งซ้ายนั้นต่างออกไป
ห้องฝั่งซ้ายจะถูกปรับแต่งให้เป็นห้องทำงานของอวี้หรู รวมถึงแสดงผลงานด้านการเย็บปักลวดลายใหม่ ๆ และอาภรณ์ชุดใหม่ด้วย เรียกได้ว่าชั้นสองจะเป็นจุดเด่นของร้านและเป็นจุดที่เรียกตำลึงเงินตำลึงทองเข้าถุงเงินของนางได้อย่างดีทีเดียว
ส่วนชั้นสามนางแบ่งออกเป็นสามห้อง ห้องทำงานส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดของนาง ด้านในมีโต๊ะทำงาน เก้าอี้ โต๊ะน้ำชา มุมพักผ่อน ส่วนอีกห้องเป็นห้องรับรองแขกที่ต้องการทำการค้ากับนาง ห้องนี้เป็นห้องขนาดกลาง นางไม่ได้ตกแต่งอะไรมากนัก มีเพียงแค่โต๊ะและเก้าอี้เอาไว้รับรองแขกเท่านั้น รอบห้องจะถูกตกแต่งด้วยภาพและแจกันไม้ประดับต่าง ๆ แล้วแต่นางต้องการหลังจากนี้ ส่วนห้องพักก็คือห้องพักปกติ เป็นห้องขนาดเล็กมีไว้สำหรับนอนเท่านั้น ห้องนี้นางไม่ได้เน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษ
หลังจากทุกคนได้ฟังก็ตกใจกันยกใหญ่ พวกนางทุกคนต่างคิดว่านี่มันไม่ใช่ปิดปรับปรุงร้านชั่วคราวแล้ว มันแทบจะเรียกได้ว่าซ่อมแซมและสร้างร้านใหม่เลยด้วยซ้ำ แต่พอเห็นรูปแบบที่คุณหนูอธิบายให้ฟังแล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ คุณหนูของพวกนางเก่งกาจมากความสามารถจริง ๆ
“เข้าใจกันหรือไม่”
“เข้าใจเจ้าค่ะคุณหนู”
“ดีแล้ว อวี้เหนียงเดี๋ยวเจ้าไปติดต่อช่างไม้และช่างก่อสร้างมาปรับปรุงร้านได้เลยนะ เรื่องเงินข้าไม่เกี่ยง ขอแค่ทุกอย่างออกมาดีก็พอ ที่สำคัญข้าขอของมีคุณภาพดีที่สุดนะ แจ้งช่างด้วย”
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู เดี๋ยวพวกข้าเก็บผ้าพับต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วจะรีบไปแจ้งช่างเลยเจ้าค่ะ”
“ดี ส่วนเจ้าอวี้หรู เจ้ารอก่อน รอข้าวาดแบบและลวดลายต่าง ๆ เสร็จก่อน แล้วข้าจะเอามาให้เจ้าปักไปพลาง ๆ รอร้านเปิด ส่วนเจ้าสองคนก็รอไปก่อนเช่นกัน ช่วงนี้ก็ช่วยงานส่วนอื่นไปแล้วกัน”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
หลังทุกคนรับคำ ไป๋ฟางเซียนก็สอนทั้งหมดเรียนรู้การทำบัญชีรายรับรายจ่าย และการจดบันทึกผ้าพับหรือชุดที่ขายออกไป นี่ทำให้พวกนางตกตะลึงอย่างมาก เพราะสิ่งที่คุณหนูบอกให้ทำและสอนมันเข้าใจง่ายและเป็นระเบียบยิ่ง หากมาเปิดรายการหรือต้องการตรวจสอบย้อนหลังก็จะทำได้ง่ายทั้งยังชัดเจน ทั้งนี้พวกนางจะรู้ถึงต้นทุนและกำไร รวมถึงค่านิยมของผ้าและชุดที่ถูกขายออกไปด้วย ทุกคนต่างจ้องไปที่ไป๋ฟางเซียนผู้เป็นเจ้าของความคิดด้วยสายตาชื่นชม สายตาพวกนางบอกว่า
สมแล้วที่เป็นคุณหนูของพวกนาง ชั่งเก่งกาจมากจริง ๆ
หลังจากแจกแจงและสั่งงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินสำรวจตลาด ไป๋ฟางเซียนและจื่อถิงออกจากร้านเฟยเจินทันที ตอนนี้นางอยากใช้เงินตำลึงที่อยู่ในถุงอย่างมาก เป็นธรรมดาของสตรี เพราะสตรีไม่ว่ายุคสมัยใดล้วนชื่นชอบการจับจ่ายซื้อของทั้งสิ้นไป๋ฟางเซียนเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างมีความสุข มือขวายังถือถังหูลู่ข้างทางที่ซื้อมากินไปด้วย ในมือของจื่อถิงก็มีเช่นเดียวกัน รสชาติถังหูลู่ที่นางไม่เคยกินของจีนโบราณนี่มันหวานมากและอร่อยยิ่ง แต่ถ้าให้กินทุกวันคงไม่ไหวอ้วนกันพอดี“ไปไหนต่อเจ้าคะคุณหนู นี่ยามอู่[1] จวนจะยามเว่ย[2] แล้วนะเจ้าคะคุณหนูยังไม่ได้กินข้าวเลย ไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” จื่อถิงถามและเสนอขึ้นด้วยความเป็นห่วงคุณหนูของตน“ข้าว่าไปร้านเครื่องประดับกันก่อน ส่วนข้าวค่อยไปกินยามเว่ยนะแล้วยามเซิน[3] ค่อยกลับจวนกัน”เมื่อรู้ที่หมายจื่อถิงจึงพาไป๋ฟางเซียนไปยังร้านเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดทันที แม้จะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของนายสาว ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะถือว่าวันนี้คุณหนูทำงานใช้สมองขบคิดไปมากแล้ว ให้นางผ่อนคลายบ้างย่อมดีที่สุดพอไปถึงร้านเครื่องประดับแล้วไป๋ฟางเซีย
ตระกูลหยาง คือหนึ่งในตระกูลที่รับใช้ราชวงศ์มาช้านาน บุตรหลานทั้งสายหลักสายรองล้วนรับราชการกันหมดทั้งสิ้น นอกจากนี้ตระกูลหยางยังเป็นตระกูลที่รับผิดชอบการสร้างอาวุธให้กับแคว้น ว่ากันว่าอาวุธของตระกูลหยางนั้นพิเศษมาก เพราะนอกจากจะสวยงามแล้ว อาวุธแต่ละชิ้นล้วนร้ายกาจ ความคมของมันย่อมเป็นหนึ่งไม่มีสอง ทั้งนี้หากใครสั่งทำอาวุธกับตระกูลหยางก็จะได้แบบพิเศษและงดงามไม่เหมือนใคร ผู้คนล้วนอยากครอบครองอาวุธของตระกูลหยางทั้งสิ้นถึงแม้ว่าตระกูลหยางจะรับใช้ราชวงศ์ เป็นหนึ่งในหัวเรือใหญ่ในราชสำนักก็จริง ทว่าพอมารุ่นบิดาของหยางตงเยว่อย่าง ‘หยางเฉียน’ ก็ไม่ได้เข้ารับราชการเช่นบรรพบุรุษแล้ว เขาหันมาเอาดีด้านการค้าแทน คราแรกราชวงศ์และองค์ฮ่องเต้ทรงไม่เห็นด้วย แต่ตระกูลหยางยืนยันว่าถึงจะออกจากราชสำนักก็ยังขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้เช่นเดิม และยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีจิตคิดเป็นอื่น หากพระองค์ประสงค์สิ่งใดแน่นอนว่าตระกูลหยางจะรีบทำตามรับสั่งทันที และที่สำคัญหยางเฉียนให้เหตุผลว่าตนชอบทำการค้ามากกว่า ดังนั้นไม่ว่าองค์ฮ่องเต้ผู้ที่เป็นเจ้าครองแคว้นจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร บิดาของหยางตงเยว่ก็ยังยืนยันคำเดิม พระองค์จึงได
“มีอันใดหรือ”“อาหารพวกนี้ล้วนแปลกตาเสียจริง” ไป๋ฟางเซียนตอบอย่างคนทั่วไปที่เห็นอาหารตรงหน้าครั้งแรก เพราะหากไม่ตอบอันใดเลยนางคงจะแปลกแยกเกินไป ซึ่งอาหารชั้นนำของโรงเตี๊ยมตระกูลหยางที่หยางตงเยว่ได้สั่งมานั้นประกอบไปด้วย เต้าหู้ทอด ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน ไก่ผัดถั่วลิสง เปาะเปี๊ยะ และปลากะพงนึ่ง นอกจากนี้ยังมีอาหารอีก 2-3 อย่างขึ้นโต๊ะ แต่ฟางเซียนไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเป็นอาหารจานผักธรรมดาหลังจากเห็นรายการอาหารนางก็แปลกใจอย่างมาก ด้วยไม่คิดว่ายุคสมัยนี้จะมีอาหารคุ้นตาที่นางกินประจำในยุคสมัยที่จากมา“รสชาติดียิ่ง” หลังจากคีบหมูผัดเปรี้ยวหวานขึ้นมากิน รสชาติคุ้นเคยก็อบอวลอยู่ในปากของนาง ก่อนที่จะคีบอาหารที่เหลือมาชิมบ้างจึงพบว่าทั้งหมดล้วนรสชาติดีจนต้องเอ่ยชมหยางตงเยว่เห็นสหายคนใหม่พอใจกับรสชาติอาหารจึงยืดอกรับด้วยความภูมิใจ ก่อนจะลังเลเล็กน้อยแล้วพูดความลับบางอย่างให้นางฟัง“แน่นอนสิ ถ้าอาหารโรงเตี๊ยมข้าไม่อร่อยจะมีที่ไหนอร่อยอีกเล่า แม้แต่ในวังรสชาติเช่นนี้ใช่ว่าเจ้าจะได้กินนะ”“อ๋อเหรอ”“ก็ใช่น่ะสิ... อันที่จริงอาหารพวกนี้ไม่ใช่โรงเตี๊ยมข้าคิดเองหรอกนะ แต่ข้าซื้อสูตรมาจากตระกูลฮุ่
“ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าหากนางฟางเซียนกลับถึงจวนแล้วจะทำหน้าเช่นใด แล้วพี่เหวินจะทำสิ่งใดกับมันบ้าง หึ!” โจวเฟิ่งจิ่วพูดด้วยแววตามาดร้ายและมีความสุขในคราวเดียวกัน ในขณะที่มือก็ม้วนผมยาวสลวยของตนเองเล่นไปมา“จะเป็นอย่างไรเล่าเจ้าคะคุณหนู ก็ต้องถูกท่านแม่ทัพต่อว่าอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ลี่หวา สาวใช้คนสนิทพูดเอาใจเจ้านายของตนพร้อมมองหน้าอย่างสื่อความหมาย“นั่นสินะ มันจะต้องถูกพี่เหวินต่อว่าอยู่แล้ว เดิมทีพี่เหวินก็เกลียดชังมันเสียยิ่งกว่าอะไร นี่มันออกจากจวนไปเดินหัวร่อต่อกระซิกกับบุรุษอื่นที่ไม่ใช่สามีตนเองให้ชาวบ้านเห็น อย่างไรก็ต้องถูกต่อว่าเป็นธรรมดา แทนที่จะเจียมตัวให้พี่เหวินสงสาร กลับทำให้พี่เหวินรังเกียจและเกลียดมากยิ่งขึ้น ข้าละสงสารท่านแม่ของพี่เหวินเสียจริงที่เลี้ยงดูนางมาเสียข้าวสุกเช่นนี้ นางช่างไม่รู้ความ ไม่รู้หรือไรว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ”“จริงเจ้าค่ะคุณหนู ทั้งที่ตัวเองแต่งงานแล้วแท้ ๆ ยังมีหน้าสนิทสนมกับชายอื่นอีก น่าละอายนักเจ้าค่ะ”โจวเฟิ่งจิ่วปรายตามองลี่หวาสาวใช้คนสนิทอย่างพอใจกับคำพูดของนาง ก่อนจะตกรางวัลด้วยเงินตำลึงสองเหรียญ จากนั้นทั้งสองนายบ่าวก็หัวเราะคิกคักกันอย่างมี
จวนตระกูลหลี่หลี่เหวินหลางแม่ทัพหนุ่มรูปงามกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทีเคร่งขรึม ก่อนจะกลายเป็นบูดบึ้งเมื่อคิดถึงคำพูดของโจวเฟิ่งจิ่วที่มาหาเขาถึงเรือน‘พี่เหวินเจ้าคะ ข้าไม่รู้ว่าสิ่งต่อไปนี้ข้าสมควรพูดหรือไม่ แต่ข้าตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะว่าข้าต้องพูด หากข้าพูดไปแล้วพี่เหวินไม่เชื่อหรือต่อว่าข้า ข้าก็ยอมเจ้าค่ะ’‘พูดมาเถิด ข้าสัญญาว่าจะไม่ต่อว่าเจ้า’ หลี่เหวินหลางบอกพร้อมทั้งสงสัยว่าเรื่องที่โจวเฟิ่งจิ่วจะพูดคือเรื่องใดกัน เหตุใดนางถึงได้กังวลนัก‘คือคนของข้าเห็นฟางเซียนนางไปที่ตลาดเจ้าค่ะ’‘แล้วอย่างไร นางไปตลาดก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ ทั้งร้านผ้าสินทรัพย์ส่วนตัวของนางก็อยู่ที่นั่น... หรือว่ามีอะไรที่ข้าควรรู้กัน’ หลี่เหวินหลางถามกลับด้วยความสงสัยมากกว่าเดิม หัวคิ้วของเขาขมวดน้อย ๆ เมื่อเห็นว่านางทำท่าทางไม่อยากจะพูด แต่แล้วก็พูดออกมา‘คือฟางเซียนนาง... นางชนเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งแล้วยืนหัวร่อต่อกระซิกกันเจ้าค่ะ นอกจากนี้ยังไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมด้วยเจ้าค่ะ ชาวบ้านทุกคนที่ไปจับจ่ายใช้สอยล้วนเห็นกิริยานี้ของนางกับบุรุษผู้นั้นทั้งสิ้น คนของข้าบอกว่าดูเหมือนนางกับบุรุษผู้นั้นสนิทกั
“เป็นบ้าอันใดของท่าน! จู่ ๆ มากระชากแขนข้า ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษควรกระทำรึ” ไป๋ฟางเซียนตะคอกเสียงถามด้วยความโกรธ มือซ้ายยกขึ้นลูบข้อมือขวาที่ถูกกระชากอย่างแผ่วเบาเพราะรู้สึกเจ็บ การกระทำของฝ่ามือใหญ่เมื่อครู่ยังเผยให้เห็นรอยแดงเป็นปื้นด้วย“ข้าควรเป็นฝ่ายถามเจ้ามากกว่าว่าการกระทำที่เจ้ากระทำตนเช่นในวันนี้มันเหมาะสมแล้วรึ” หลี่เหวินหลางถามกลับอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน ทั้งสองส่งสายตาประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างโกรธ ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ทนไม่ไหวถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจว่านางทำอันใดผิดกัน อีกฝ่ายถึงได้มาอารมณ์เสียใส่และมีท่าทีกรุ่นโกรธเช่นนี้“ข้าทำอะไร”“ยังมีหน้ามาถาม” หลี่เหวินหลางมองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อพร้อมทั้งสะบัดหน้าหนี“ถ้าท่านไม่พูดข้าจะรู้ไหมว่าข้าทำอันใดผิด” นางถามกลับเรียบ ๆ ในห้วงความคิดพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวว่าตนได้เผลอไปทำลายนางในดวงใจของเขาหรือไม่ ครั้นคิดกี่ตลบคำตอบก็เป็นเช่นเดียวกันคือนางไม่ได้วุ่นวายกับโจวเฟิ่งจิ่วเลย แล้วการที่อีกฝ่ายหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะเหตุใด?“ฮึ่ม! ไป๋ฟางเซียน ข้าไม่รู้นะว่าตอนที่เจ้าตกน้ำหัวของเจ้าไปกระแ
บนเตียงกว้างในเรือนนอนของไป๋ฟางเซียน มีบุรุษผู้หนึ่งยกมือกุมท้ายทอยของตนไว้ พลางนิ่วหน้าคิดถึงเหตุการณ์ของคืนที่ผ่านมา พลันนั้นใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็บิดเบี้ยว นัยน์ตาดำขลับลึกล้ำคู่นั้นฉายแววหงุดหงิดระคนไม่พอใจคละเคล้ากับความไม่ยินยอม เขาขบเม้มริมฝีปากและคาดโทษคนที่ทำให้ตนเองตกอยู่ในสภาพน่าอายไว้ในใจหากมีผู้อื่นรู้เข้าว่าท่านแม่ทัพผู้ที่ได้รับฉายาเจ้าสงครามเช่นเขาพ่ายแพ้ให้กับสตรีบอบบางอย่างนางคงไม่มีใครเกรงกลัวเขาแล้ว!แค่คิดหลี่เหวินหลางก็ต้องข่มกลั้นโทสะทั้งหมดเอาไว้ เพราะเกรงว่าตนจะกลายเป็นฆาตกรฆ่าภรรยาของตนเอง เมื่อทำสิ่งใดไม่ได้จึงพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเดือดดาล“คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการกับเจ้าเช่นไรจิ้งจอกน้อย”ใช่! ไป๋ฟางเซียนเป็นนางจิ้งจอก เป็นนางจิ้งจอกที่ล่อลวงเขาให้ติดกับ ดูอย่างเมื่อคืนเถิด เห็นนอนนิ่งไม่ไหวติงคิดว่าจะยินยอมพร้อมใจที่ไหนได้...มันน่านัก!นางฉวยโอกาสในจังหวะที่เขาไม่ทันระวังตัว ฟาดสันมือลงท้ายทอยเขาจนสลบเสียนี่ จะว่าไปเรื่องนี้โทษนางฝ่ายเดียวคงไม่ได้ เพราะเป็นเขาเองที่ลดการระมัดระวังตัว ทว่าใครจะไปคิดเล่าว่าสตรีบอบบางอย่างนางจะมีแรงทำให้ชายชาตรีเช่นเขาสลบ
“ข้าบอกให้ปล่อยข้า!” แล้วชายหนุ่มก็ต้องหลุดออกจากห้วงความคิด เมื่อคนตัวเล็กพูดขึ้นเสียงพร้อมบิดตัวออกจากอ้อมกอดเขาอย่างแรงหลี่เหวินหลางหรี่ตาจ้องมองอีกฝ่ายที่หลุดจากอ้อมกอดเขาไปด้วยสายตาไม่พอใจ อารมณ์ดีที่เพิ่งจะมีมลายหายไปในพริบตา แทนที่ด้วยความหงุดหงิด พลางรู้สึกโกรธคนตรงหน้าขึ้นมาเล็กน้อย มันจะอะไรกันนักกันหนากับแค่กอดนิดกอดหน่อย เมื่อก่อนวิ่งตามเขาจนน่ารำคาญ พอเขาอยากแตะต้องนางบ้างทำทีกระบิดกระบวนนี่มันหมายความว่าอย่างไร“เจ้ากล้าขึ้นเสียงใส่ข้ารึ!” ด้วยความที่ไม่เคยมีใครขึ้นเสียงใส่มาก่อนทั้งยังไม่เคยถูกขัดใจ เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกไม่พอใจ ยิ่งมาถูกคนที่เคยยอมเขามาตลอดกระทำใส่เช่นนี้ แม่ทัพหนุ่มก็รู้สึกไม่ยินยอมทั้งยังหงุดหงิดเป็นอย่างมาก “ใช่! มากกว่านี้ข้าก็กล้าหากท่านยังกล้าดูถูกข้าอีก”“ข้าดูถูกตรงไหน สิ่งที่ข้าพูดไปก็มีแต่ความจริง หรือเจ้าจะเถียงว่าเมื่อก่อนเจ้าไม่ได้วิ่งตามก้นข้า ไม่ได้ยั่วยวนข้า ส่งสายตาหยาดเยิ้มให้ข้า”“ท่าน!”“อะไรเล่า เถียงไม่ออกใช่หรือไม่ ก็แน่สิ ในเมื่อมันคือเรื่องจริง หึ!” หลี่เหวินหลางพูดพร้อมยกยิ้มอย่างคนเหนือกว่าไป๋ฟางเซียนหายใจแรงมือกำเข้าหาก
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร
“เซียนเซียน! เซียนเซียน ฟื้นสิเซียนเซียน” หลี่เหวินหลางร้องเรียกชื่อภรรยาด้วยความกระวนกระวายใจ ภายในอกของเขาร้อนรุ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวเหลือเกินว่านางจะเป็นอันใดไป กลัวสูญเสียนางอย่างไม่มีวันหวนกลับ ความกังวลฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา โชคยังดีที่เขามาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นกังวลมากกว่านี้“พาคุณหนุกลับจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ จะได้รีบตามท่านหมอมาดูอาการ” จื่อถิงบอกอย่างร้อนรนและกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน พลางมองเจ้านายสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุด น้ำตาเอ่อคลอไปทั่วดวงตาสวย เหตุใดจึงเกิดเรื่องกับคุณหนูทุกครั้งที่นางไม่ได้อยู่ด้วยก็ไม่รู้ โชคดีที่ทั้งนางและท่านแม่ทัพมาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางจะเป็นเช่นไร“รีบกลับจวนให้เร็วที่สุด!” หลี่เหวินหลางบอกคนขับรถม้าพร้อมทั้งอุ้มนางเข้าไปนั่งภายใน โอบกอดนางไว้อย่างหวงแหน มองดวงหน้าหวานด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุดก่อนหน้านี้หลี่เหวินหลางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าไปรายงานทุกอย่างให้องค์ฮ่องเต้รับรู้เรียบร้อยถึงการปราบโจรของตน หลังจากนั้นก็รีบพาตนเองออกจากวังหลวงอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดถ
“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ เจ้าอย่ามาโกหกข้า ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นคนคิด ในเมื่อพี่เหวินเป็นคนทำเขาก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าก็ด้วย ในเมื่อวันนี้ข้าสูญสิ้นไม่เหลืออะไร พวกเจ้าก็ต้องสูญสิ้นไม่เหลือสิ่งใดเช่นเดียวกัน อย่างไรวันนี้ทุกอย่างก็ต้องจบลง ไม่ข้าและเจ้าก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ครั้งที่แล้วข้าหวังให้เจ้าจมน้ำตายที่นี่ เพราะต้องการให้เจ้าทรมานถึงที่สุด กระทั่งหลังความตายก็ยังคงทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของกระแสน้ำ ได้แต่เหน็บหนาวแต่เพียงผู้เดียวไร้ซึ่งคนเหลียวแล ครั้งที่แล้วเป็นโชคดีของเจ้าที่ข้าทำไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนเดิม เจ้าต้องตาย ตายเพราะข้า!” โจวเฟิ่งจิ่วตวาดกร้าว ไป๋ฟางเซียนได้ฟังแล้วรู้ว่าถึงเจรจาต่อไปย่อมไม่เป็นผล ดังนั้นจึงโพล่งไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน เช่นไรนางก็เคยตายมาแล้ว ตายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเลยสักนิด ห่วงก็แต่หลี่เหวินหลาง หากนางจากไปเขาจะรู้สึกเช่นไร จะเสียใจหรือคิดถึงนางบ้างหรือไม่เท่านั้นเอง “ตายก็ตายสิ คนอย่างไป๋ฟางเซียนไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว หากข้าตาย เจ้าก็ต้องตายเช่นกัน” จบคำพูดของไป๋ฟางเซียนร่างของโจวเฟิ่วจิ่วก็พุ่งตรงเข้ามาหวังจะกร
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้านักหนาจึงได้คิดทำร้ายข้า”“ฮ่าฮ่า เพราะเจ้ามาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไปไงเล่า! คนไม่มีบิดามารดาเป็นกำพร้าเช่นเจ้า กล้าดีอย่างไรลงประกวดสาวงาม แย่งชิงตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจากข้าไป เท่านั้นยังไม่พอเจ้ายังเป็นคู่หมั้นของพี่เหวิน คิดอยากได้และครอบครองเขา เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าตนเองเหมาะสมกับบุรุษเก่งกล้าและรูปงามเช่นเขา แทนที่เจ้าจะสำนึกในบุญคุณของบิดามารดาของพี่เหวิน กล่าวยกเลิกงานหมั้นนั่นเสีย เจ้ากลับเร่งรัดให้ทุกอย่างเร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เจ้าก็รู้ตนเองดี ว่าพี่เหวินมิได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้วข้าจะให้คนหน้าด้านเช่นเจ้าเชิดหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับข้าได้เช่นไร คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าคิดเทียบเคียงข้ามาโดยตลอด หวังใช้ฐานะฮูหยินแม่ทัพตีเสมอข้าน่ะสิ หึ ไม่เจียมตน”“เจ้าบ้าไปแล้วโจวเฟิ่งจิ่ว ข้าไม่เคยคิดตีตนเสมอเจ้า ข้ารู้ตนเองดี เจ้าเอาแต่ว่าข้าแล้วเจ้าเล่าดีตรงไหน วัน ๆ ตามแต่คู่หมั้นของสหาย นอกจากไม่รู้สึกผิดแล้ว ยังคิดทำร้ายผู้อื่น นี่มันไม่น่ารังเกียจกว่าข้ารึ” ไป๋ฟางเซียนย้อนกลับทันควัน เพราะนางไม่ชอบให้ใครมาว่านางเช่นกัน แม้ว่าคนที่ถูก