“เรียบร้อยดีหรือไม่จื่อถิง”
“เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ คุณหนูต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ละ เราไปกันเลยดีกว่า ข้าอยากเห็นร้านของข้าเต็มทนแล้ว”
“เจ้าค่ะ คุณหนูอย่าลืมไปบอกกล่าวฮูหยินใหญ่ก่อนนะเจ้าคะ”
“... นั่นสินะ ขอบใจนะจื่อถิงที่เตือน ข้าเกือบลืมไปเลย”
ไป๋ฟางเซียนเอ่ยขอบคุณสาวใช้ของตนที่เอ่ยเตือนเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของคนที่นี่ให้ เป็นผู้น้อยจะไปที่ใดต้องบอกอาวุโสในบ้านให้รับรู้ นางลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท คงเป็นเพราะความเคยชินจากโลกเดิมก่อนมาที่นี่ ด้วยความที่ต้องเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นในมหาวิทยาลัยชื่อดัง นางเลยต้องไปพักที่คอนโดมิเนียมและอยู่คนเดียว เวลาไปที่ใดจึงไม่ต้องขออนุญาตใคร ทว่ากับที่นี่นั้นต่างกัน ถ้าจื่อถิงไม่เตือนนางคงเสียมารยาทไปแล้วจริง ๆ
ส่วนเรื่องก่อนหน้าที่นางและสาวใช้พูดคุยกันว่าเรียบร้อยดีหรือไม่นั้น ล้วนเกี่ยวกับถุงเงินของนางที่ตั้งใจไปจับจ่ายใช้สอยในวันนี้ทั้งสิ้น
เมื่อได้จื่อถิงเอ่ยเตือนเรื่องที่สมควรบอกกล่าวผู้อาวุโสเรือนหลังของจวนแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็ตรงไปหาเหลียนฮวาที่เรือนและบอกกล่าวสถานที่ที่ตนจะไปทันที ครั้นได้รับอนุญาตรวมถึงได้ถุงเงินเพิ่มจากอีกฝ่าย นางก็ออกจากจวนตระกูลหลี่ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า จนจื่อถิงเกรงว่าคุณหนูของตนจะเมื่อยกรามหรือปวดแก้มได้
หากเป็นเรื่องอื่นน้อยนักที่คุณหนูของนางจะฉีกยิ้มอย่างมีความสุขเช่นนี้ รอยยิ้มสว่างไสวเช่นตอนนี้จะได้เห็นก็ต่อเมื่อได้รับถุงเงินหรือเห็นตำลึงเงินตำลึงทองเข้าถุงตนเองแล้วนั่นแหละ แม้เมื่อก่อนคุณหนูของนางจะเห็นแก่เงินไปบ้างมันก็ไม่เท่ากับตอนนี้ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาหากจะบอกว่าคุณหนูของนางงกและหน้าเงินมากกว่าเดิมนั้นไม่ได้เกินจริงเลย เช้าจรดเย็นไม่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งคุณหนูของนางต้องมาเปิดหีบสมบัติและเงินทองของตนเองตรวจนับอยู่เรื่อย จื่อถิงไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไปเพราะอะไร
“เป็นอันใดของเจ้าจื่อถิง ส่ายหัวไปมาอยู่นั่น” ไป๋ฟางเซียนถามด้วยความแปลกใจ ตั้งแต่ขึ้นรถม้ามาสาวใช้ของนางก็ทำท่าครุ่นคิดก่อนจะส่ายหัวไปมา ราวกับว่ามีเรื่องที่คิดไม่ตกเป็นหนักหนา
“เปล่าเจ้าค่ะคุณหนู จื่อถิงคิดเรื่องไร้สาระไม่มีอันใดสำคัญเลยเจ้าค่ะ” เห็นจื่อถิงไม่บอกถึงเหตุผลไป๋ฟางเซียนก็คร้านจะสนใจ
ไม่นานรถม้าของจวนตระกูลหลี่ที่นางนั่งก็มาถึงเขตการค้า และหยุดลงที่บริเวณหน้าร้านขายผ้าของนางทันที ในขณะที่ไป๋ฟางเซียนกำลังจะก้าวขาลงจากรถม้าก็ถูกจื่อถิงยื้อไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปราม นางชะงักไปครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อนึกถึงกิริยามารยาทของสตรีชั้นสูง
ยุ่งยากเสียจริง
ด้วยความที่มาจากยุคสมัยที่ต้องช่วยเหลือตนเอง ไป๋ฟางเซียนจึงนึกรำคาญไม่น้อยแต่ก็ไม่มากกระไรนัก นับว่านางยังพอทำใจประพฤติตนตามได้อยู่
จื่อถิงลงจากรถม้ามาแล้วจึงยื่นแขนของตนให้เจ้านายสาว ไป๋ฟางเซียนถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือเล็กขาวผ่องของตนเองจับที่แขนของสาวใช้คนสนิทแล้วก้าวลงจากรถม้าอย่างช้า ๆ
ทันทีที่ร่างระหงเผยโฉม ผู้คนที่เดินจับจ่ายใช้สอยซื้อข้าวของก็ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกตกตะลึงกับความงามเบื้องหน้า อาภรณ์สีฟ้าสดใสที่สวมอยู่บนร่างบางนั้นช่างขับเน้นให้ผู้สวมใส่น่าทะนุถนอมเสียจริง ผิวหรือก็ขาวใสปานหยกชั้นดี ครั้นได้ยลโฉมทุกผู้ก็ได้แต่ตะลึงงันที่สตรีเบื้องหน้ามีใบหน้าล่อลวงผู้คนเช่นนี้
มีบ้างบางคนที่จำได้ว่านางคือสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงที่แต่งงานกับท่านแม่ทัพ เป็นสตรีที่ไม่ออกมานอกจวนมากนัก พอเห็นว่านางออกมาก็นึกสนใจและสงสัยอยู่บ้าง แต่ฟางเซียนกลับไม่สนใจ นางมัวแต่มองสภาพร้านของตนเองอย่างพินิจพิจารณา ‘ร้านเฟยเจิน’
ร้านเฟยเจินคือร้านขายผ้าพับและชุดอาภรณ์ที่ทำสำเร็จแล้ว เป็นทรัพย์สมบัติเพียงอย่างเดียวที่บิดามารดาของเจ้าของร่างทิ้งไว้ให้ ไป๋ฟางเซียนพอใจกับชื่อร้านมาก เฟยเจิน โบยบินสู่ทรัพย์สมบัติ ใช่แล้วละ หลังจากนี้นางจะโบยบินอยู่ท่ามกลางตำลึงเงินตำลึงทอง
เบื้องหน้าของไป๋ฟางเซียนเป็นอาคารสูงสามชั้น มองจากภายนอกนับว่าใหญ่โตไม่น้อย อันที่จริงมันดีกว่าที่นางคิดภาพไว้มาก เห็นทีจื่อถิงจะพูดเกินจริงไปสักหน่อย ทว่าแม้จะใหญ่โตแต่กลับไม่ได้รับความนิยมนัก ดูจากจำนวนผู้คนที่เข้าไปในร้านแล้วกลับน้อยนิดจนน่าใจหาย นี่ทำให้นางปวดใจอยู่บ้าง ดูเอาเถิดมีร้านค้าอยู่ย่านการค้าและทำเลดีเยี่ยงนี้กลับไร้คนสนใจ เจ้าของร่างเดิมก็โง่เหลือแสน วัน ๆ ไม่ทำอะไรนอกจากหึงหวงบุรุษที่ไม่คิดมีใจให้ตน พลันคิดถึงบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ดวงตาของไป๋ฟางเซียนก็มีริ้วรอยความไม่พอใจพาดผ่านก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ไป๋ฟางเซียนมองไปยังอาคารร้านที่อยู่ใกล้ ๆ และละแวกเดียวกันก็เห็นว่า พื้นที่ตรงนี้น่าจะเป็นย่านผ้าและอาภรณ์เสียส่วนใหญ่ แม้ผู้คนไม่พลุกพล่านเท่าย่านที่มีโรงเตี๊ยมและตลาดแต่ก็ถือว่ามีผู้คนเดินอยู่ไม่น้อย ฉับพลันสายตาของไป๋ฟางเซียนสังเกตเห็นถึงลวดลายของชุดที่ถูกปักสำเร็จวางขายของแต่ละร้าน ให้นึกรู้ว่าลวดลายของผ้ามีความคล้ายคลึงกัน ไม่มีอะไรแตกต่างทั้งยังซ้ำซากจำเจหาได้มีความน่าสนใจไม่ หากมีอะไรแตกต่างคงเป็นคุณภาพของผ้าเท่านั้น เพียงเท่านั้นในดวงตาของนางก็สว่างวาบเปล่งประกายสดใสเสียจนผู้คนที่มองมาอดยิ้มตามไม่ได้
‘ยอดไปเลย ลวดลายและแบบชุดค่อนข้างเหมือนกัน งั้นข้าก็สามารถออกแบบและวาดลวดลายให้ช่างปักตามที่ข้าคิดได้สิ แบบนี้ถึงจะแตกต่างเรียกคนเข้าร้านของข้าได้!’ นางคิดอย่างยินดี
ทว่าก่อนอื่นที่นางจะทำสิ่งที่คิดให้เป็นจริง ไป๋ฟางเซียนก็มองเห็นปัญหา แม้ย่านนี้จะเป็นย่านการค้า แต่ร้านอาภรณ์กลับอยู่ใกล้เคียงกัน นี่อาจก่อให้เกิดปัญหาแย่งลูกค้ากันได้ หากร้านตนไม่มีความน่าสนใจพอคงไม่มีคนเข้าร้านแน่ เห็นทีสิ่งแรกที่นางควรทำคือการปรับปรุงร้าน ปรับปรุงให้เหมาะสมรอรับตำลึงเงินตำลึงทองที่จะลอยเข้าถุงเงินของนาง! แค่คิดดวงตาของไป๋ฟางเซียนก็ระยิบระยับแล้ว
“เข้าข้างในเถอะเจ้าค่ะคุณหนู อยู่ตรงนี้นานไม่งามนัก” จื่อถิงสะกิดแขนเรียกเจ้านายก่อนชี้แนะให้เข้าไปในร้าน ซึ่งไป๋ฟางเซียนก็เห็นด้วย ถึงจะบอกว่าไม่สนใจสายตาของผู้คนที่มองมา แต่เมื่อถูกมองจนเป็นจุดรวมสายตามากเข้าก็ให้รู้สึกเก้อเขินเช่นกัน
ว่าแล้วหนึ่งนายหนึ่งบ่าวก็เข้าไปในร้าน และแน่นอนทั้งสองได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเสี่ยวเอ้อร์และหลงจู๊ที่รออยู่ด้านใน เห็นกิริยาอีกฝ่ายที่มีต่อตนและลูกค้าจากที่จื่อถิงรายงานให้ฟังก็นึกพอใจไม่น้อย พอใจที่คนของนางไม่ดูคนที่ภายนอก ไม่เหยียดหยามคนยากจน และไม่ทรยศนาง ทว่าเรื่องนี้ต้องดูกันต่อไปใช่ว่านางจะเชื่อใจใครง่าย ๆ เสียเมื่อไร
จื่อถิงก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าจื่อถิงคือคนที่อยู่ใกล้ชิดนางที่สุด จึงสามารถทำลายกำแพงที่นางตั้งไว้ไปทีละขั้น ๆ ได้ ส่วนคนอื่น ๆ ที่จะมาเป็นคนของนางนับจากนี้นั้น คงต้องรอดูกันต่อไป“คารวะเจ้าค่ะฮูหยิน” สี่เสียงสอดประสานดังขึ้นจากสตรีสี่คน สี่ช่วงวัย ต่างหน้าตา ไป๋ฟางเซียนกลอกตาเล็กน้อยเมื่อถูกเรียกขานว่าฮูหยิน ได้ยินกี่ครั้งล้วนไม่เคยชิน คำเรียกขานเช่นนี้ช่างขัดหูคนงามอย่างนางเสียจริง นางจึงบอกทุกคนเช่นที่บอกกับจื่อถิง
“เรียกข้าว่าคุณหนูก็พอ ส่วนฮูหยินอะไรนั่นไม่ต้องไปสนใจหรอก”
“เจ้าค่ะคุณหนู” แม้พวกนางทั้งสี่จะแปลกใจแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยถาม ทุกคนต่างแย้มยิ้มให้กับเจ้านายสาวผู้เป็นเจ้าของร้านอย่างยินดี ในที่สุดนางก็มาที่ร้านแล้ว หลังจากนั้นพวกนางทั้งสี่จึงแนะนำตัวให้ไป๋ฟางเซียนได้รู้จัก
คนแรกเป็นสตรีวัยกลางคนหน้าตาสะอาดสะอ้านดูมีความรู้และความชำนาญเรื่องผ้าไม่น้อย นางมีชื่อว่า อวี้เหนียง ทำหน้าที่เป็นหลงจู๊ของร้าน หรือผู้จัดการร้านนั่นเอง อวี้เหนียงผู้นี้ทำหน้าที่เกือบทุกอย่างแทนผู้เป็นเจ้าของร้านตัวจริง ตั้งแต่รับผ้า ส่งผ้า ทำบัญชี คิดค่าแรง และจิปาถะอีกหลายอย่าง เมื่อไป๋ฟางเซียนได้ฟังแล้วก็พยักหน้ารับด้วยใบหน้าสงบนิ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนในแววตาคือความพอใจ อวี้เหนียงผู้นี้เป็นสตรีที่เก่งกาจอย่างมากจึงประคองร้านผ้าให้อยู่รอดมาได้
สตรีคนที่สองมีหน้าที่เย็บปักผ้าและตัดชุดให้กับทางร้านเป็นน้องสาวของอวี้เหนียง อายุห่างกันสองปี นางชื่อว่า อวี้หรู จากที่ได้คุยไป๋ฟางเซียนพบว่า คนคนนี้เป็นคนเก่งงานฝีมืออย่างมาก เย็บปักก็เรียบร้อยเป็นระเบียบ ที่ทำให้นางอดทึ่งกับความสามารถของคนยุคนี้ไม่ได้คือ แม้ไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างเครื่องจักร มีเพียงแค่มือ เข็ม และด้ายเท่านั้นเอง กลับทำให้งานออกมาดียิ่ง ไป๋ฟางเซียนจึงหมดปัญหาเรื่องลวดลายต่าง ๆ ที่นางจะออกแบบมาให้อวี้หรูได้ปักหลังจากนี้ไป
ส่วนสตรีสองคนสุดท้ายมีชื่อว่า อิงฮวากับเหยาเหยา ทั้งสองนางทำหน้าที่เป็นเสี่ยวเอ้อร์ของร้าน หน้าตาสะสวยใช้ได้ กิริยามารยาทดี เหนือสิ่งอื่นใดคือความฉลาดหลักแหลม ด้วยความที่พูดเก่งและมีรอยยิ้มอยู่เป็นนิจ และช่างเอาอกเอาใจลูกค้า จึงสามารถพูดชักจูงผู้คนให้ซื้อผ้าร้านนางได้อย่างชำนาญ นี่คงเป็นคุณสมบัติของฝ่ายขายกระมัง ซึ่งนั่นทำให้ไป๋ฟางเซียนพอใจอย่างมาก
หลังจากที่รู้จักทุกคนแล้วนางจึงบอกจุดประสงค์ของตนเองที่มาในวันนี้ทันที
“อวี้เหนียง เจ้าไปเขียนป้ายติดหน้าร้านว่าร้านปิดปรับปรุงชั่วคราวเสีย เราจะได้มาคุยรายละเอียดกัน”
“เจ้าค่ะคุณหนู” อวี้เหนียงรับคำและจัดการงานที่ได้รับมอบหมายอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่เดินผ่านต่างสงสัย ร้อยวันพันปีร้านผ้าเฟยเจินไม่เคยติดประกาศเช่นนี้ วันนี้ติดไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทว่าแม้จะสงสัยแต่กลับไม่มีใครรู้คำตอบ อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะรู้ในเร็ว ๆ นี้
หลังให้อวี้เหนียงติดป้ายประกาศว่าร้านปิดปรับปรุง ไป๋ฟางเซียนจึงเดินสำรวจภายในร้านพร้อมกับจื่อถิงและลูกจ้างร้านเฟยเจินทันที ระหว่างที่เดินสำรวจนางก็ขบคิดถึงสิ่งที่ต้องการปรับปรุงไปด้วยเช่นกัน แม้อวี้เหนียงจะจัดการร้านได้ค่อนข้างดี แต่การจัดตกแต่งร้านกลับไม่ถูกใจนางนัก ดังนั้นนางจึงคิดปรับปรุงและตกแต่งร้านใหม่ทั้งหมด เมื่อดูครบทุกชั้นแล้ว นางจึงบอกจุดประสงค์ของตนออกไป “เอาละ ข้าจะปรับปรุงร้านและตกแต่งขึ้นมาใหม่ ชั้นล่างสุดใช้สำหรับขายผ้าพับปกติ มีแสดงชุดที่ข้าจะให้อวี้หรูปักหลังจากนี้ด้วย ชั้นที่สองจะเป็นชั้นที่แสดงชุดสำเร็จที่อวี้หรูปักทั้งหมด รวมถึงใครที่จะสั่งตัดผ้าตัดชุดหรือปักลาย ต้องมาติดต่อที่ชั้นนี้ ส่วนชั้นสามข้าจะเก็บไว้เป็นห้องทำงานของข้าและใช้เป็นห้องรับรองสำหรับลูกค้าพิเศษ” ครั้นเห็นทุกคนพยักหน้ารับคำไม่โต้แย้งก็พูดต่อ“ชั้นแรกอิงฮวาและเหยาเหยาจะทำหน้าที่ดูแลเป็นหลัก เจ้าเคยค้าขายอย่างไรก็ทำเช่นนั้น เพียงแต่ต้องพูดในส่วนอาภรณ์และลายปักชุดใหม่ของทางร้านเพื่อที่จะดึงความสนใจจากลูกค้าด้วย”“เจ้าค่ะคุณหนู” สองสาวรับคำ“ชั้นที่สอง ส่วนนี้เป็นหน้าที่ของอวี้หรู อวี้หรูต้องคอยรับแ
หลังจากแจกแจงและสั่งงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินสำรวจตลาด ไป๋ฟางเซียนและจื่อถิงออกจากร้านเฟยเจินทันที ตอนนี้นางอยากใช้เงินตำลึงที่อยู่ในถุงอย่างมาก เป็นธรรมดาของสตรี เพราะสตรีไม่ว่ายุคสมัยใดล้วนชื่นชอบการจับจ่ายซื้อของทั้งสิ้นไป๋ฟางเซียนเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างมีความสุข มือขวายังถือถังหูลู่ข้างทางที่ซื้อมากินไปด้วย ในมือของจื่อถิงก็มีเช่นเดียวกัน รสชาติถังหูลู่ที่นางไม่เคยกินของจีนโบราณนี่มันหวานมากและอร่อยยิ่ง แต่ถ้าให้กินทุกวันคงไม่ไหวอ้วนกันพอดี“ไปไหนต่อเจ้าคะคุณหนู นี่ยามอู่[1] จวนจะยามเว่ย[2] แล้วนะเจ้าคะคุณหนูยังไม่ได้กินข้าวเลย ไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” จื่อถิงถามและเสนอขึ้นด้วยความเป็นห่วงคุณหนูของตน“ข้าว่าไปร้านเครื่องประดับกันก่อน ส่วนข้าวค่อยไปกินยามเว่ยนะแล้วยามเซิน[3] ค่อยกลับจวนกัน”เมื่อรู้ที่หมายจื่อถิงจึงพาไป๋ฟางเซียนไปยังร้านเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดทันที แม้จะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของนายสาว ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะถือว่าวันนี้คุณหนูทำงานใช้สมองขบคิดไปมากแล้ว ให้นางผ่อนคลายบ้างย่อมดีที่สุดพอไปถึงร้านเครื่องประดับแล้วไป๋ฟางเซีย
ตระกูลหยาง คือหนึ่งในตระกูลที่รับใช้ราชวงศ์มาช้านาน บุตรหลานทั้งสายหลักสายรองล้วนรับราชการกันหมดทั้งสิ้น นอกจากนี้ตระกูลหยางยังเป็นตระกูลที่รับผิดชอบการสร้างอาวุธให้กับแคว้น ว่ากันว่าอาวุธของตระกูลหยางนั้นพิเศษมาก เพราะนอกจากจะสวยงามแล้ว อาวุธแต่ละชิ้นล้วนร้ายกาจ ความคมของมันย่อมเป็นหนึ่งไม่มีสอง ทั้งนี้หากใครสั่งทำอาวุธกับตระกูลหยางก็จะได้แบบพิเศษและงดงามไม่เหมือนใคร ผู้คนล้วนอยากครอบครองอาวุธของตระกูลหยางทั้งสิ้นถึงแม้ว่าตระกูลหยางจะรับใช้ราชวงศ์ เป็นหนึ่งในหัวเรือใหญ่ในราชสำนักก็จริง ทว่าพอมารุ่นบิดาของหยางตงเยว่อย่าง ‘หยางเฉียน’ ก็ไม่ได้เข้ารับราชการเช่นบรรพบุรุษแล้ว เขาหันมาเอาดีด้านการค้าแทน คราแรกราชวงศ์และองค์ฮ่องเต้ทรงไม่เห็นด้วย แต่ตระกูลหยางยืนยันว่าถึงจะออกจากราชสำนักก็ยังขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้เช่นเดิม และยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีจิตคิดเป็นอื่น หากพระองค์ประสงค์สิ่งใดแน่นอนว่าตระกูลหยางจะรีบทำตามรับสั่งทันที และที่สำคัญหยางเฉียนให้เหตุผลว่าตนชอบทำการค้ามากกว่า ดังนั้นไม่ว่าองค์ฮ่องเต้ผู้ที่เป็นเจ้าครองแคว้นจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร บิดาของหยางตงเยว่ก็ยังยืนยันคำเดิม พระองค์จึงได
“มีอันใดหรือ”“อาหารพวกนี้ล้วนแปลกตาเสียจริง” ไป๋ฟางเซียนตอบอย่างคนทั่วไปที่เห็นอาหารตรงหน้าครั้งแรก เพราะหากไม่ตอบอันใดเลยนางคงจะแปลกแยกเกินไป ซึ่งอาหารชั้นนำของโรงเตี๊ยมตระกูลหยางที่หยางตงเยว่ได้สั่งมานั้นประกอบไปด้วย เต้าหู้ทอด ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน ไก่ผัดถั่วลิสง เปาะเปี๊ยะ และปลากะพงนึ่ง นอกจากนี้ยังมีอาหารอีก 2-3 อย่างขึ้นโต๊ะ แต่ฟางเซียนไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเป็นอาหารจานผักธรรมดาหลังจากเห็นรายการอาหารนางก็แปลกใจอย่างมาก ด้วยไม่คิดว่ายุคสมัยนี้จะมีอาหารคุ้นตาที่นางกินประจำในยุคสมัยที่จากมา“รสชาติดียิ่ง” หลังจากคีบหมูผัดเปรี้ยวหวานขึ้นมากิน รสชาติคุ้นเคยก็อบอวลอยู่ในปากของนาง ก่อนที่จะคีบอาหารที่เหลือมาชิมบ้างจึงพบว่าทั้งหมดล้วนรสชาติดีจนต้องเอ่ยชมหยางตงเยว่เห็นสหายคนใหม่พอใจกับรสชาติอาหารจึงยืดอกรับด้วยความภูมิใจ ก่อนจะลังเลเล็กน้อยแล้วพูดความลับบางอย่างให้นางฟัง“แน่นอนสิ ถ้าอาหารโรงเตี๊ยมข้าไม่อร่อยจะมีที่ไหนอร่อยอีกเล่า แม้แต่ในวังรสชาติเช่นนี้ใช่ว่าเจ้าจะได้กินนะ”“อ๋อเหรอ”“ก็ใช่น่ะสิ... อันที่จริงอาหารพวกนี้ไม่ใช่โรงเตี๊ยมข้าคิดเองหรอกนะ แต่ข้าซื้อสูตรมาจากตระกูลฮุ่
“ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าหากนางฟางเซียนกลับถึงจวนแล้วจะทำหน้าเช่นใด แล้วพี่เหวินจะทำสิ่งใดกับมันบ้าง หึ!” โจวเฟิ่งจิ่วพูดด้วยแววตามาดร้ายและมีความสุขในคราวเดียวกัน ในขณะที่มือก็ม้วนผมยาวสลวยของตนเองเล่นไปมา“จะเป็นอย่างไรเล่าเจ้าคะคุณหนู ก็ต้องถูกท่านแม่ทัพต่อว่าอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ลี่หวา สาวใช้คนสนิทพูดเอาใจเจ้านายของตนพร้อมมองหน้าอย่างสื่อความหมาย“นั่นสินะ มันจะต้องถูกพี่เหวินต่อว่าอยู่แล้ว เดิมทีพี่เหวินก็เกลียดชังมันเสียยิ่งกว่าอะไร นี่มันออกจากจวนไปเดินหัวร่อต่อกระซิกกับบุรุษอื่นที่ไม่ใช่สามีตนเองให้ชาวบ้านเห็น อย่างไรก็ต้องถูกต่อว่าเป็นธรรมดา แทนที่จะเจียมตัวให้พี่เหวินสงสาร กลับทำให้พี่เหวินรังเกียจและเกลียดมากยิ่งขึ้น ข้าละสงสารท่านแม่ของพี่เหวินเสียจริงที่เลี้ยงดูนางมาเสียข้าวสุกเช่นนี้ นางช่างไม่รู้ความ ไม่รู้หรือไรว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ”“จริงเจ้าค่ะคุณหนู ทั้งที่ตัวเองแต่งงานแล้วแท้ ๆ ยังมีหน้าสนิทสนมกับชายอื่นอีก น่าละอายนักเจ้าค่ะ”โจวเฟิ่งจิ่วปรายตามองลี่หวาสาวใช้คนสนิทอย่างพอใจกับคำพูดของนาง ก่อนจะตกรางวัลด้วยเงินตำลึงสองเหรียญ จากนั้นทั้งสองนายบ่าวก็หัวเราะคิกคักกันอย่างมี
จวนตระกูลหลี่หลี่เหวินหลางแม่ทัพหนุ่มรูปงามกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทีเคร่งขรึม ก่อนจะกลายเป็นบูดบึ้งเมื่อคิดถึงคำพูดของโจวเฟิ่งจิ่วที่มาหาเขาถึงเรือน‘พี่เหวินเจ้าคะ ข้าไม่รู้ว่าสิ่งต่อไปนี้ข้าสมควรพูดหรือไม่ แต่ข้าตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะว่าข้าต้องพูด หากข้าพูดไปแล้วพี่เหวินไม่เชื่อหรือต่อว่าข้า ข้าก็ยอมเจ้าค่ะ’‘พูดมาเถิด ข้าสัญญาว่าจะไม่ต่อว่าเจ้า’ หลี่เหวินหลางบอกพร้อมทั้งสงสัยว่าเรื่องที่โจวเฟิ่งจิ่วจะพูดคือเรื่องใดกัน เหตุใดนางถึงได้กังวลนัก‘คือคนของข้าเห็นฟางเซียนนางไปที่ตลาดเจ้าค่ะ’‘แล้วอย่างไร นางไปตลาดก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ ทั้งร้านผ้าสินทรัพย์ส่วนตัวของนางก็อยู่ที่นั่น... หรือว่ามีอะไรที่ข้าควรรู้กัน’ หลี่เหวินหลางถามกลับด้วยความสงสัยมากกว่าเดิม หัวคิ้วของเขาขมวดน้อย ๆ เมื่อเห็นว่านางทำท่าทางไม่อยากจะพูด แต่แล้วก็พูดออกมา‘คือฟางเซียนนาง... นางชนเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งแล้วยืนหัวร่อต่อกระซิกกันเจ้าค่ะ นอกจากนี้ยังไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมด้วยเจ้าค่ะ ชาวบ้านทุกคนที่ไปจับจ่ายใช้สอยล้วนเห็นกิริยานี้ของนางกับบุรุษผู้นั้นทั้งสิ้น คนของข้าบอกว่าดูเหมือนนางกับบุรุษผู้นั้นสนิทกั
“เป็นบ้าอันใดของท่าน! จู่ ๆ มากระชากแขนข้า ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษควรกระทำรึ” ไป๋ฟางเซียนตะคอกเสียงถามด้วยความโกรธ มือซ้ายยกขึ้นลูบข้อมือขวาที่ถูกกระชากอย่างแผ่วเบาเพราะรู้สึกเจ็บ การกระทำของฝ่ามือใหญ่เมื่อครู่ยังเผยให้เห็นรอยแดงเป็นปื้นด้วย“ข้าควรเป็นฝ่ายถามเจ้ามากกว่าว่าการกระทำที่เจ้ากระทำตนเช่นในวันนี้มันเหมาะสมแล้วรึ” หลี่เหวินหลางถามกลับอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน ทั้งสองส่งสายตาประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างโกรธ ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ทนไม่ไหวถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจว่านางทำอันใดผิดกัน อีกฝ่ายถึงได้มาอารมณ์เสียใส่และมีท่าทีกรุ่นโกรธเช่นนี้“ข้าทำอะไร”“ยังมีหน้ามาถาม” หลี่เหวินหลางมองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อพร้อมทั้งสะบัดหน้าหนี“ถ้าท่านไม่พูดข้าจะรู้ไหมว่าข้าทำอันใดผิด” นางถามกลับเรียบ ๆ ในห้วงความคิดพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวว่าตนได้เผลอไปทำลายนางในดวงใจของเขาหรือไม่ ครั้นคิดกี่ตลบคำตอบก็เป็นเช่นเดียวกันคือนางไม่ได้วุ่นวายกับโจวเฟิ่งจิ่วเลย แล้วการที่อีกฝ่ายหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะเหตุใด?“ฮึ่ม! ไป๋ฟางเซียน ข้าไม่รู้นะว่าตอนที่เจ้าตกน้ำหัวของเจ้าไปกระแ
บนเตียงกว้างในเรือนนอนของไป๋ฟางเซียน มีบุรุษผู้หนึ่งยกมือกุมท้ายทอยของตนไว้ พลางนิ่วหน้าคิดถึงเหตุการณ์ของคืนที่ผ่านมา พลันนั้นใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็บิดเบี้ยว นัยน์ตาดำขลับลึกล้ำคู่นั้นฉายแววหงุดหงิดระคนไม่พอใจคละเคล้ากับความไม่ยินยอม เขาขบเม้มริมฝีปากและคาดโทษคนที่ทำให้ตนเองตกอยู่ในสภาพน่าอายไว้ในใจหากมีผู้อื่นรู้เข้าว่าท่านแม่ทัพผู้ที่ได้รับฉายาเจ้าสงครามเช่นเขาพ่ายแพ้ให้กับสตรีบอบบางอย่างนางคงไม่มีใครเกรงกลัวเขาแล้ว!แค่คิดหลี่เหวินหลางก็ต้องข่มกลั้นโทสะทั้งหมดเอาไว้ เพราะเกรงว่าตนจะกลายเป็นฆาตกรฆ่าภรรยาของตนเอง เมื่อทำสิ่งใดไม่ได้จึงพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเดือดดาล“คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการกับเจ้าเช่นไรจิ้งจอกน้อย”ใช่! ไป๋ฟางเซียนเป็นนางจิ้งจอก เป็นนางจิ้งจอกที่ล่อลวงเขาให้ติดกับ ดูอย่างเมื่อคืนเถิด เห็นนอนนิ่งไม่ไหวติงคิดว่าจะยินยอมพร้อมใจที่ไหนได้...มันน่านัก!นางฉวยโอกาสในจังหวะที่เขาไม่ทันระวังตัว ฟาดสันมือลงท้ายทอยเขาจนสลบเสียนี่ จะว่าไปเรื่องนี้โทษนางฝ่ายเดียวคงไม่ได้ เพราะเป็นเขาเองที่ลดการระมัดระวังตัว ทว่าใครจะไปคิดเล่าว่าสตรีบอบบางอย่างนางจะมีแรงทำให้ชายชาตรีเช่นเขาสลบ
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร
“เซียนเซียน! เซียนเซียน ฟื้นสิเซียนเซียน” หลี่เหวินหลางร้องเรียกชื่อภรรยาด้วยความกระวนกระวายใจ ภายในอกของเขาร้อนรุ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวเหลือเกินว่านางจะเป็นอันใดไป กลัวสูญเสียนางอย่างไม่มีวันหวนกลับ ความกังวลฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา โชคยังดีที่เขามาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นกังวลมากกว่านี้“พาคุณหนุกลับจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ จะได้รีบตามท่านหมอมาดูอาการ” จื่อถิงบอกอย่างร้อนรนและกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน พลางมองเจ้านายสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุด น้ำตาเอ่อคลอไปทั่วดวงตาสวย เหตุใดจึงเกิดเรื่องกับคุณหนูทุกครั้งที่นางไม่ได้อยู่ด้วยก็ไม่รู้ โชคดีที่ทั้งนางและท่านแม่ทัพมาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางจะเป็นเช่นไร“รีบกลับจวนให้เร็วที่สุด!” หลี่เหวินหลางบอกคนขับรถม้าพร้อมทั้งอุ้มนางเข้าไปนั่งภายใน โอบกอดนางไว้อย่างหวงแหน มองดวงหน้าหวานด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุดก่อนหน้านี้หลี่เหวินหลางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าไปรายงานทุกอย่างให้องค์ฮ่องเต้รับรู้เรียบร้อยถึงการปราบโจรของตน หลังจากนั้นก็รีบพาตนเองออกจากวังหลวงอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดถ
“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ เจ้าอย่ามาโกหกข้า ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นคนคิด ในเมื่อพี่เหวินเป็นคนทำเขาก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าก็ด้วย ในเมื่อวันนี้ข้าสูญสิ้นไม่เหลืออะไร พวกเจ้าก็ต้องสูญสิ้นไม่เหลือสิ่งใดเช่นเดียวกัน อย่างไรวันนี้ทุกอย่างก็ต้องจบลง ไม่ข้าและเจ้าก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ครั้งที่แล้วข้าหวังให้เจ้าจมน้ำตายที่นี่ เพราะต้องการให้เจ้าทรมานถึงที่สุด กระทั่งหลังความตายก็ยังคงทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของกระแสน้ำ ได้แต่เหน็บหนาวแต่เพียงผู้เดียวไร้ซึ่งคนเหลียวแล ครั้งที่แล้วเป็นโชคดีของเจ้าที่ข้าทำไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนเดิม เจ้าต้องตาย ตายเพราะข้า!” โจวเฟิ่งจิ่วตวาดกร้าว ไป๋ฟางเซียนได้ฟังแล้วรู้ว่าถึงเจรจาต่อไปย่อมไม่เป็นผล ดังนั้นจึงโพล่งไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน เช่นไรนางก็เคยตายมาแล้ว ตายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเลยสักนิด ห่วงก็แต่หลี่เหวินหลาง หากนางจากไปเขาจะรู้สึกเช่นไร จะเสียใจหรือคิดถึงนางบ้างหรือไม่เท่านั้นเอง “ตายก็ตายสิ คนอย่างไป๋ฟางเซียนไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว หากข้าตาย เจ้าก็ต้องตายเช่นกัน” จบคำพูดของไป๋ฟางเซียนร่างของโจวเฟิ่วจิ่วก็พุ่งตรงเข้ามาหวังจะกร
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้านักหนาจึงได้คิดทำร้ายข้า”“ฮ่าฮ่า เพราะเจ้ามาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไปไงเล่า! คนไม่มีบิดามารดาเป็นกำพร้าเช่นเจ้า กล้าดีอย่างไรลงประกวดสาวงาม แย่งชิงตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจากข้าไป เท่านั้นยังไม่พอเจ้ายังเป็นคู่หมั้นของพี่เหวิน คิดอยากได้และครอบครองเขา เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าตนเองเหมาะสมกับบุรุษเก่งกล้าและรูปงามเช่นเขา แทนที่เจ้าจะสำนึกในบุญคุณของบิดามารดาของพี่เหวิน กล่าวยกเลิกงานหมั้นนั่นเสีย เจ้ากลับเร่งรัดให้ทุกอย่างเร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เจ้าก็รู้ตนเองดี ว่าพี่เหวินมิได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้วข้าจะให้คนหน้าด้านเช่นเจ้าเชิดหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับข้าได้เช่นไร คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าคิดเทียบเคียงข้ามาโดยตลอด หวังใช้ฐานะฮูหยินแม่ทัพตีเสมอข้าน่ะสิ หึ ไม่เจียมตน”“เจ้าบ้าไปแล้วโจวเฟิ่งจิ่ว ข้าไม่เคยคิดตีตนเสมอเจ้า ข้ารู้ตนเองดี เจ้าเอาแต่ว่าข้าแล้วเจ้าเล่าดีตรงไหน วัน ๆ ตามแต่คู่หมั้นของสหาย นอกจากไม่รู้สึกผิดแล้ว ยังคิดทำร้ายผู้อื่น นี่มันไม่น่ารังเกียจกว่าข้ารึ” ไป๋ฟางเซียนย้อนกลับทันควัน เพราะนางไม่ชอบให้ใครมาว่านางเช่นกัน แม้ว่าคนที่ถูก