เรือนเหมยกุ้ย
เรือนเหมยกุ้ยคือเรือนนอนของไป๋ฟางเซียน ที่ชื่อว่าเรือนเหมยกุ้ยเพราะว่ารอบเรือนปลูกดอกเหมยกุ้ย[1] เต็มไปหมด มีทั้งดอกสีขาวและดอกสีแดง สีชมพูมีเพียงเล็กน้อย ซึ่งนี่ก็ทำให้ไป๋ฟางเซียนชอบมาก เพราะดอกเหมยกุ้ยเป็นดอกไม้ที่นางชอบที่สุด
หลังไป๋ฟางเซียนกลับมาถึงเรือนนอนของตน นางก็ไปอาบน้ำอย่างอารมณ์ดี จนตอนนี้ที่จื่อถิงกำลังหวีผมให้ นางยังไม่หยุดยิ้มเลย
“ยิ้มอะไรกันเจ้าคะคุณหนู” จื่อถิงถามขึ้นอย่างสงสัย มือก็สางผมให้เจ้านายสาวไปด้วย ตั้งแต่คุณหนูหายป่วยและมีนิสัยเปลี่ยนไป จื่อถิงก็กล้าถามคุณหนูของตนมากขึ้น ไม่รู้ทำไมเช่นกัน แต่จื่อถิงชอบที่คุณหนูของนางเป็นแบบนี้ที่สุด
“จะมีอันใดเล่า ข้าก็ตลกหลี่เหวินหลางน่ะสิ”
“ท่านแม่ทัพมีอันใดตลกหรือเจ้าคะ”
“เจ้าไม่เห็นหน้าเขาหรือ เจ้าเห็นหน้าเขาหรือไม่ ตอนที่รู้ว่าข้าเป็นคนทำอาหารทั้งสามอย่างในวันนี้น่ะ เขาเหวอไปเลยนะ พูดแล้วก็ขำ หน้าเขาตลกบ้างเลย” ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังหัวเราะด้วย ส่งผลให้จื่อถิงหัวเราะตามเช่นกัน
ท่านแม่ทัพไม่เคยลิ้มรสฝีมือทำอาหารคุณหนูของตนเลยสักครั้ง วันนี้ได้ลิ้มรสครั้งแรกทั้งยังถูกปาก จื่อถิงภูมิใจในตัวคุณหนูของนางจริง ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงใบหน้าของแม่ทัพหนุ่มตอนเสียอาการเพราะรู้ว่าคุณหนูของนางทำอาหารนั้นก็ตลกจริง ๆ จนนางอดหัวเราะตามไม่ได้
สองนายบ่าวไม่รู้เลยว่าคำพูดของพวกนางเข้าหูของแม่ทัพหนุ่มทุกคำ หลี่เหวินหลางกำมือเข้าหากันแน่นมองไปยังร่างบอบบางที่กำลังหัวเราะตนอยู่อย่างหมายมาด คราแรกก็ตั้งใจจะมาพูดคุยตกลงอะไรบางอย่างกับนาง แต่หลังจากที่มาได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะเขาเช่นนี้แล้ว ก็ลืมเรื่องที่ตั้งใจจะคุยไปเลย
ตั้งแต่แต่งงานกันมาร่วมหนึ่งเดือน เขาก็ไม่เคยเข้าหอกับนางสักครั้ง งั้นเข้าหอมันวันนี้เลยก็แล้วกัน
หลี่เหวินหลางจึงเดินเข้าไปในส่วนของห้องนอน นั่งรอบนตั่งเตียงอย่างหมายมาด
เค่อ[2] ต่อมา ไป๋ฟางเซียนเดินเข้ามาในห้องนอน แล้วต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนนั่งรออยู่บนเตียง!
“หลี่เหวินหลาง! ท่าน... ท่านมาทำอันใดที่ห้องของข้า” นางถามพร้อมมองเขาอย่างหวาดระแวง คิ้วเรียวสวยของนางย่นเข้าหากันเสียจนใบหน้างามยับยู่ยี่
“ทำอันใดงั้นรึ... สามีเข้าห้องภรรยาจะทำอันใดได้เล่า เจ้าถามข้าเช่นนี้ ไม่แปลกไปหน่อยหรือ” ได้ยินคำตอบของอีกฝ่ายไป๋ฟางเซียนก็ชักสีหน้า นางมองไปยังแม่ทัพหนุ่มอย่างต้องการสำรวจพลางระมัดระวังตนเองมากขึ้น
“จะว่าไปแล้ว ข้ากับเจ้าก็ยังไม่ได้เข้าหอกันเลยนี่นา ไหน ๆ วันนี้ข้าก็มาแล้ว... เรามาเข้าหอกันดีหรือไม่”
“ฝันไปเถอะ! มาทางไหนออกไปทางนั้นเลยนะ” ไป๋ฟางเซียนปฏิเสธเสียงแข็งอย่างไม่ลังเล ทั้งยังขับไล่เขาอีกด้วย
หลี่เหวินหลางมุ่นคิ้วด้วยความไม่พอใจ ผุดลุกขึ้นจากเตียงย่างสามขุมเข้าหาเจ้าของร่างบอบบาง สายตากดดันที่เขาจับจ้องมาราวกับจะตรึงร่างของนางไว้
ไป๋ฟางเซียนที่เห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาหาตน ไม่ออกไปตามที่นางกล่าวไล่ ก็เร่งคิดหาวิธีเพื่อที่จะเอาตัวรอดทันที นางหลุบสายลงต่ำสายตากลอกกลิ้งไปมาหัวสมองแล่นเร็วจี๋
‘ตาบ้านี่ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดมา วันนี้เกิดบ้าอะไรถึงได้มาที่นี่เล่า’ นางต่อว่าเขาในใจ เหลือบสายตามองคนตัวใหญ่ที่ยังไม่หยุดการก้าวเดินอย่างระแวดระวัง พร้อมจับจ้องเขาอย่างไม่คลาดสายตา
“ถอยหนีทำไมเล่า ไม่ปากเก่งแล้วรึ” ไป๋ฟางเซียนไม่ตอบ ยังคงถอยหลังต่อไปเรื่อย ๆ
“เจ้าจะถอยให้ได้อันใดขึ้นมา เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่อยากได้ข้าจนไปขอให้ท่านแม่เร่งจัดงานแต่งงาน พอถึงคราที่ข้าอยากเข้าหอบ้าง เจ้ากลับมาถอยหนีอย่างนี้งั้นรึ”
กึก!
คำพูดของหลี่เหวินหลางทำไป๋ฟางเซียนชะงักเท้า ก่อนที่มุมปากของนางจะกระตุกยิ้ม หญิงสาวหรี่ตาเล็กน้อยปรับเปลี่ยนสายตาที่จ้องอีกฝ่ายอย่างฉับพลัน สายตาของนางทำเอาแม่ทัพหนุ่มนึกหวั่นจนรู้สึกไม่แน่ใจว่าควรเดินเข้าไปหานางต่อดีหรือไม่
ยังไม่ทันที่หลี่เหวินหลางจะให้คำตอบตนเอง ไป๋ฟางเซียนที่ถอยหนีในตอนแรกกลับเป็นฝ่ายเดินเข้าหาเขาแทน สายตาที่มองกันก็ช่างยั่วยวนเสียนี่กระไร ใจของแม่ทัพหนุ่มเต้นโครมคราม สตรีตรงหน้าคิดเล่นสิ่งใดอยู่อีก เหตุใดถึงได้จ้องมองเขาเช่นนี้เล่า มัวแต่ตกตะลึงที่เห็นนางเข้าหาไม่ทันได้ระวังตัว รู้ตัวอีกทีนางก็อยู่ใกล้ตนเสียแล้ว
“ไก่อ่อนเช่นท่านไยข้าต้องกลัวกัน ที่ถอยหนีคราแรกเพราะข้าตกใจเท่านั้น แล้วก็นะ ท่านเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่” ขณะที่พูดไป๋ฟางเซียนก็ยกมือบางลูบไล้แผงอกหนั่นแน่นผ่านอาภรณ์ของอีกฝ่ายไปด้วย
“เข้าใจผิดเรื่อง?” เขาพูดพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ทั้งยังรู้สึกแปลกใจที่ไม่ได้รังเกียจสัมผัสของนางเช่นแต่ก่อน
“ก็เรื่องที่ข้าอยากแต่งกับท่านจนตัวสั่นอย่างไรเล่าเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ข้ายอมรับว่าใช่ แต่ตอนนี้หลังจากที่ฟื้นจากการตกน้ำครานั้น หูตาข้าก็ชัดแจ้ง มันสว่างขึ้นมาก”
ไป๋ฟางเซียนหยุดลูบไล้แผงอกแกร่ง เงยหน้าสบสายตาอีกฝ่ายด้วยสายตาที่แปลกไป
“ตอนนี้ข้าไม่สนใจท่านเลยสักนิด ไก่อ่อนหุ่นธรรมดาเช่นท่านหาได้มีสิ่งใดเร้าใจข้าไม่ วันนี้ที่ท่านมาหาข้าที่นี่ก็เพราะต้องการสินะเจ้าคะ ข้าควรทำเช่นไรดี สนองความต้องการของท่านดีหรือไม่” นางหยุดพูดอีกครั้ง มุมปากบางก็ยกยิ้มหยัน ก่อนจะเอ่ยต่อว่า
“เสียใจด้วยเจ้าค่ะที่ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากล้ำกลืนฝืนทนเสพสมกับบุรุษที่ไม่ได้รักข้าไม่ได้ หากท่านต้องการละก็ เชิญ! เชิญไปที่หอนางโลมได้เลยเจ้าค่ะ!”
“ฟางเซียน!”
“ไม่พอใจหรือเจ้าคะ ทำไมต้องไม่พอใจด้วยเล่า ในเมื่อข้าพูดเรื่องจริง”
“เจ้า เจ้า!”
“เจ้าเจ้าอยู่นั่นแหละ ถ้าไม่มีสิ่งใดจะพูดก็ออกไปเถอะเจ้าค่ะ ข้าอยากพักผ่อน อ้อ แต่ถ้าต้องการและไม่อยากไปหอนางโลม ท่านก็ไปที่จวนตระกูลโจวสิเจ้าคะ โจวเฟิ่งจิ่วคงยินดีปรีดาปรนเปรอท่านเชียวละ”
“เจ้า! ฮึ่ย!” หลี่เหวินหลางไม่รู้จะพูดสิ่งใดกับนางดี จึงได้เดินฮึดฮัดออกจากห้องไป
คล้อยหลังของชายหนุ่ม ไป๋ฟางเซียนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นางพรูลมหายใจออกจากปากอย่างแผ่วเบา เมื่อกี้นางกลัวและเกร็งแค่ไหนใครเล่าจะรู้ ยืนพูดโต้ตอบเขาเหมือนไม่รู้สึกอะไรเช่นนี้นับว่านางเก่งมากแล้ว
“คิดว่าต้องได้ใช้แม่ไม้มวยไทยที่เคยร่ำเรียนมาเสียแล้วเซียนเซียนเอ๊ย”
ไป๋ฟางเซียนพูดกับตนเอง ยกมือลูบอกไปมา ก่อนที่นางจะรีบวิ่งไปลงกลอนประตูห้องอย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วก็กลับมานอนที่เตียง พอง่วงถึงได้หลับไป
ด้านหลี่เหวินหลางที่เดินออกมาจากห้องของไป๋ฟางเซียนก็ตรงกลับมาที่เรือนส่วนตัวของเขาทันที อาการฮึดฮัดและใบหน้ามืดครึ้มของเขาทำให้ตงผิงรับรู้ได้ว่า แม่ทัพหนุ่มคงมีปากเสียงกับภรรยาอีกแล้ว
หลี่เหวินหลางไม่ได้สนใจว่าตงผิงจะคิดเช่นใด ตอนนี้เขากำลังคิดถึงการกระทำและคำพูดของไป๋ฟางเซียนมากกว่า ทุกอย่างที่เป็นนางเขากลับรู้สึกว่าไม่ใช่นาง
วันนี้หากเป็นไป๋ฟางเซียนคนเดิมคงวิ่งเข้าใส่เขาไปนานแล้ว แต่นี่กลับไม่ ต่อให้นางบอกว่าตาสว่างแล้วมันก็ยังเร็วเกินไปที่นางจะตัดใจจากเขา สายตาของนางที่มองมาก็ไม่เหมือนเดิม มันมิใช่สายตาหยาดเยิ้มที่เขานึกรำคาญทุกครั้งที่ได้รับ ทว่ามันเป็นสายตาราบเรียบ เป็นสายตาของคนไม่มีใจ นี่ทำให้เขาต้องขบคิดเรื่องของนางใหม่อีกครั้ง
บางที... เขาอาจพลาดอะไรบางอย่างไปก็ได้
อย่างไรก็ตาม หลี่เหวินหลางตัดสินใจแล้วว่าจะจับตาดูความประพฤติของนางอย่างใกล้ชิด ให้มันรู้กันไปเลยว่าที่เขาคิดอยู่มันจริงหรือไม่
นางยังคงเป็นนางคนเดิม หรือนางเป็นใครกันแน่ หลังจากนี้คงได้รู้กัน
“ข้าจะจับตาดูเจ้าอย่างไม่คลาดสายตาเลยทีเดียว”
รอยยิ้มร้ายปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา ทำเอาตงผิงอดรู้สึกขนลุกไม่ได้ รอยยิ้มและสายตาเช่นนี้ดูทีว่าไป๋ฟางเซียนคงงานเข้าเสียแล้ว
[1] เหมยกุ้ย คือ ดอกกุหลาบ
[2] 1เค่อ เท่ากับ 15 นาที
“เรียบร้อยดีหรือไม่จื่อถิง”“เรียบร้อยดีเจ้าค่ะ คุณหนูต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่เจ้าคะ”“ไม่ละ เราไปกันเลยดีกว่า ข้าอยากเห็นร้านของข้าเต็มทนแล้ว”“เจ้าค่ะ คุณหนูอย่าลืมไปบอกกล่าวฮูหยินใหญ่ก่อนนะเจ้าคะ”“... นั่นสินะ ขอบใจนะจื่อถิงที่เตือน ข้าเกือบลืมไปเลย”ไป๋ฟางเซียนเอ่ยขอบคุณสาวใช้ของตนที่เอ่ยเตือนเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของคนที่นี่ให้ เป็นผู้น้อยจะไปที่ใดต้องบอกอาวุโสในบ้านให้รับรู้ นางลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท คงเป็นเพราะความเคยชินจากโลกเดิมก่อนมาที่นี่ ด้วยความที่ต้องเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้นในมหาวิทยาลัยชื่อดัง นางเลยต้องไปพักที่คอนโดมิเนียมและอยู่คนเดียว เวลาไปที่ใดจึงไม่ต้องขออนุญาตใคร ทว่ากับที่นี่นั้นต่างกัน ถ้าจื่อถิงไม่เตือนนางคงเสียมารยาทไปแล้วจริง ๆ ส่วนเรื่องก่อนหน้าที่นางและสาวใช้พูดคุยกันว่าเรียบร้อยดีหรือไม่นั้น ล้วนเกี่ยวกับถุงเงินของนางที่ตั้งใจไปจับจ่ายใช้สอยในวันนี้ทั้งสิ้น เมื่อได้จื่อถิงเอ่ยเตือนเรื่องที่สมควรบอกกล่าวผู้อาวุโสเรือนหลังของจวนแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็ตรงไปหาเหลียนฮวาที่เรือนและบอกกล่าวสถานที่ที่ตนจะไปทันที ครั้นได้รับอนุญาตรวมถึงได้ถุงเงินเพิ่มจากอีกฝ่าย
หลังให้อวี้เหนียงติดป้ายประกาศว่าร้านปิดปรับปรุง ไป๋ฟางเซียนจึงเดินสำรวจภายในร้านพร้อมกับจื่อถิงและลูกจ้างร้านเฟยเจินทันที ระหว่างที่เดินสำรวจนางก็ขบคิดถึงสิ่งที่ต้องการปรับปรุงไปด้วยเช่นกัน แม้อวี้เหนียงจะจัดการร้านได้ค่อนข้างดี แต่การจัดตกแต่งร้านกลับไม่ถูกใจนางนัก ดังนั้นนางจึงคิดปรับปรุงและตกแต่งร้านใหม่ทั้งหมด เมื่อดูครบทุกชั้นแล้ว นางจึงบอกจุดประสงค์ของตนออกไป “เอาละ ข้าจะปรับปรุงร้านและตกแต่งขึ้นมาใหม่ ชั้นล่างสุดใช้สำหรับขายผ้าพับปกติ มีแสดงชุดที่ข้าจะให้อวี้หรูปักหลังจากนี้ด้วย ชั้นที่สองจะเป็นชั้นที่แสดงชุดสำเร็จที่อวี้หรูปักทั้งหมด รวมถึงใครที่จะสั่งตัดผ้าตัดชุดหรือปักลาย ต้องมาติดต่อที่ชั้นนี้ ส่วนชั้นสามข้าจะเก็บไว้เป็นห้องทำงานของข้าและใช้เป็นห้องรับรองสำหรับลูกค้าพิเศษ” ครั้นเห็นทุกคนพยักหน้ารับคำไม่โต้แย้งก็พูดต่อ“ชั้นแรกอิงฮวาและเหยาเหยาจะทำหน้าที่ดูแลเป็นหลัก เจ้าเคยค้าขายอย่างไรก็ทำเช่นนั้น เพียงแต่ต้องพูดในส่วนอาภรณ์และลายปักชุดใหม่ของทางร้านเพื่อที่จะดึงความสนใจจากลูกค้าด้วย”“เจ้าค่ะคุณหนู” สองสาวรับคำ“ชั้นที่สอง ส่วนนี้เป็นหน้าที่ของอวี้หรู อวี้หรูต้องคอยรับแ
หลังจากแจกแจงและสั่งงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินสำรวจตลาด ไป๋ฟางเซียนและจื่อถิงออกจากร้านเฟยเจินทันที ตอนนี้นางอยากใช้เงินตำลึงที่อยู่ในถุงอย่างมาก เป็นธรรมดาของสตรี เพราะสตรีไม่ว่ายุคสมัยใดล้วนชื่นชอบการจับจ่ายซื้อของทั้งสิ้นไป๋ฟางเซียนเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้อย่างมีความสุข มือขวายังถือถังหูลู่ข้างทางที่ซื้อมากินไปด้วย ในมือของจื่อถิงก็มีเช่นเดียวกัน รสชาติถังหูลู่ที่นางไม่เคยกินของจีนโบราณนี่มันหวานมากและอร่อยยิ่ง แต่ถ้าให้กินทุกวันคงไม่ไหวอ้วนกันพอดี“ไปไหนต่อเจ้าคะคุณหนู นี่ยามอู่[1] จวนจะยามเว่ย[2] แล้วนะเจ้าคะคุณหนูยังไม่ได้กินข้าวเลย ไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” จื่อถิงถามและเสนอขึ้นด้วยความเป็นห่วงคุณหนูของตน“ข้าว่าไปร้านเครื่องประดับกันก่อน ส่วนข้าวค่อยไปกินยามเว่ยนะแล้วยามเซิน[3] ค่อยกลับจวนกัน”เมื่อรู้ที่หมายจื่อถิงจึงพาไป๋ฟางเซียนไปยังร้านเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดทันที แม้จะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของนายสาว ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะถือว่าวันนี้คุณหนูทำงานใช้สมองขบคิดไปมากแล้ว ให้นางผ่อนคลายบ้างย่อมดีที่สุดพอไปถึงร้านเครื่องประดับแล้วไป๋ฟางเซีย
ตระกูลหยาง คือหนึ่งในตระกูลที่รับใช้ราชวงศ์มาช้านาน บุตรหลานทั้งสายหลักสายรองล้วนรับราชการกันหมดทั้งสิ้น นอกจากนี้ตระกูลหยางยังเป็นตระกูลที่รับผิดชอบการสร้างอาวุธให้กับแคว้น ว่ากันว่าอาวุธของตระกูลหยางนั้นพิเศษมาก เพราะนอกจากจะสวยงามแล้ว อาวุธแต่ละชิ้นล้วนร้ายกาจ ความคมของมันย่อมเป็นหนึ่งไม่มีสอง ทั้งนี้หากใครสั่งทำอาวุธกับตระกูลหยางก็จะได้แบบพิเศษและงดงามไม่เหมือนใคร ผู้คนล้วนอยากครอบครองอาวุธของตระกูลหยางทั้งสิ้นถึงแม้ว่าตระกูลหยางจะรับใช้ราชวงศ์ เป็นหนึ่งในหัวเรือใหญ่ในราชสำนักก็จริง ทว่าพอมารุ่นบิดาของหยางตงเยว่อย่าง ‘หยางเฉียน’ ก็ไม่ได้เข้ารับราชการเช่นบรรพบุรุษแล้ว เขาหันมาเอาดีด้านการค้าแทน คราแรกราชวงศ์และองค์ฮ่องเต้ทรงไม่เห็นด้วย แต่ตระกูลหยางยืนยันว่าถึงจะออกจากราชสำนักก็ยังขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้เช่นเดิม และยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีจิตคิดเป็นอื่น หากพระองค์ประสงค์สิ่งใดแน่นอนว่าตระกูลหยางจะรีบทำตามรับสั่งทันที และที่สำคัญหยางเฉียนให้เหตุผลว่าตนชอบทำการค้ามากกว่า ดังนั้นไม่ว่าองค์ฮ่องเต้ผู้ที่เป็นเจ้าครองแคว้นจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร บิดาของหยางตงเยว่ก็ยังยืนยันคำเดิม พระองค์จึงได
“มีอันใดหรือ”“อาหารพวกนี้ล้วนแปลกตาเสียจริง” ไป๋ฟางเซียนตอบอย่างคนทั่วไปที่เห็นอาหารตรงหน้าครั้งแรก เพราะหากไม่ตอบอันใดเลยนางคงจะแปลกแยกเกินไป ซึ่งอาหารชั้นนำของโรงเตี๊ยมตระกูลหยางที่หยางตงเยว่ได้สั่งมานั้นประกอบไปด้วย เต้าหู้ทอด ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน ไก่ผัดถั่วลิสง เปาะเปี๊ยะ และปลากะพงนึ่ง นอกจากนี้ยังมีอาหารอีก 2-3 อย่างขึ้นโต๊ะ แต่ฟางเซียนไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเป็นอาหารจานผักธรรมดาหลังจากเห็นรายการอาหารนางก็แปลกใจอย่างมาก ด้วยไม่คิดว่ายุคสมัยนี้จะมีอาหารคุ้นตาที่นางกินประจำในยุคสมัยที่จากมา“รสชาติดียิ่ง” หลังจากคีบหมูผัดเปรี้ยวหวานขึ้นมากิน รสชาติคุ้นเคยก็อบอวลอยู่ในปากของนาง ก่อนที่จะคีบอาหารที่เหลือมาชิมบ้างจึงพบว่าทั้งหมดล้วนรสชาติดีจนต้องเอ่ยชมหยางตงเยว่เห็นสหายคนใหม่พอใจกับรสชาติอาหารจึงยืดอกรับด้วยความภูมิใจ ก่อนจะลังเลเล็กน้อยแล้วพูดความลับบางอย่างให้นางฟัง“แน่นอนสิ ถ้าอาหารโรงเตี๊ยมข้าไม่อร่อยจะมีที่ไหนอร่อยอีกเล่า แม้แต่ในวังรสชาติเช่นนี้ใช่ว่าเจ้าจะได้กินนะ”“อ๋อเหรอ”“ก็ใช่น่ะสิ... อันที่จริงอาหารพวกนี้ไม่ใช่โรงเตี๊ยมข้าคิดเองหรอกนะ แต่ข้าซื้อสูตรมาจากตระกูลฮุ่
“ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าหากนางฟางเซียนกลับถึงจวนแล้วจะทำหน้าเช่นใด แล้วพี่เหวินจะทำสิ่งใดกับมันบ้าง หึ!” โจวเฟิ่งจิ่วพูดด้วยแววตามาดร้ายและมีความสุขในคราวเดียวกัน ในขณะที่มือก็ม้วนผมยาวสลวยของตนเองเล่นไปมา“จะเป็นอย่างไรเล่าเจ้าคะคุณหนู ก็ต้องถูกท่านแม่ทัพต่อว่าอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ลี่หวา สาวใช้คนสนิทพูดเอาใจเจ้านายของตนพร้อมมองหน้าอย่างสื่อความหมาย“นั่นสินะ มันจะต้องถูกพี่เหวินต่อว่าอยู่แล้ว เดิมทีพี่เหวินก็เกลียดชังมันเสียยิ่งกว่าอะไร นี่มันออกจากจวนไปเดินหัวร่อต่อกระซิกกับบุรุษอื่นที่ไม่ใช่สามีตนเองให้ชาวบ้านเห็น อย่างไรก็ต้องถูกต่อว่าเป็นธรรมดา แทนที่จะเจียมตัวให้พี่เหวินสงสาร กลับทำให้พี่เหวินรังเกียจและเกลียดมากยิ่งขึ้น ข้าละสงสารท่านแม่ของพี่เหวินเสียจริงที่เลี้ยงดูนางมาเสียข้าวสุกเช่นนี้ นางช่างไม่รู้ความ ไม่รู้หรือไรว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ”“จริงเจ้าค่ะคุณหนู ทั้งที่ตัวเองแต่งงานแล้วแท้ ๆ ยังมีหน้าสนิทสนมกับชายอื่นอีก น่าละอายนักเจ้าค่ะ”โจวเฟิ่งจิ่วปรายตามองลี่หวาสาวใช้คนสนิทอย่างพอใจกับคำพูดของนาง ก่อนจะตกรางวัลด้วยเงินตำลึงสองเหรียญ จากนั้นทั้งสองนายบ่าวก็หัวเราะคิกคักกันอย่างมี
จวนตระกูลหลี่หลี่เหวินหลางแม่ทัพหนุ่มรูปงามกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทีเคร่งขรึม ก่อนจะกลายเป็นบูดบึ้งเมื่อคิดถึงคำพูดของโจวเฟิ่งจิ่วที่มาหาเขาถึงเรือน‘พี่เหวินเจ้าคะ ข้าไม่รู้ว่าสิ่งต่อไปนี้ข้าสมควรพูดหรือไม่ แต่ข้าตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะว่าข้าต้องพูด หากข้าพูดไปแล้วพี่เหวินไม่เชื่อหรือต่อว่าข้า ข้าก็ยอมเจ้าค่ะ’‘พูดมาเถิด ข้าสัญญาว่าจะไม่ต่อว่าเจ้า’ หลี่เหวินหลางบอกพร้อมทั้งสงสัยว่าเรื่องที่โจวเฟิ่งจิ่วจะพูดคือเรื่องใดกัน เหตุใดนางถึงได้กังวลนัก‘คือคนของข้าเห็นฟางเซียนนางไปที่ตลาดเจ้าค่ะ’‘แล้วอย่างไร นางไปตลาดก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ ทั้งร้านผ้าสินทรัพย์ส่วนตัวของนางก็อยู่ที่นั่น... หรือว่ามีอะไรที่ข้าควรรู้กัน’ หลี่เหวินหลางถามกลับด้วยความสงสัยมากกว่าเดิม หัวคิ้วของเขาขมวดน้อย ๆ เมื่อเห็นว่านางทำท่าทางไม่อยากจะพูด แต่แล้วก็พูดออกมา‘คือฟางเซียนนาง... นางชนเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งแล้วยืนหัวร่อต่อกระซิกกันเจ้าค่ะ นอกจากนี้ยังไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมด้วยเจ้าค่ะ ชาวบ้านทุกคนที่ไปจับจ่ายใช้สอยล้วนเห็นกิริยานี้ของนางกับบุรุษผู้นั้นทั้งสิ้น คนของข้าบอกว่าดูเหมือนนางกับบุรุษผู้นั้นสนิทกั
“เป็นบ้าอันใดของท่าน! จู่ ๆ มากระชากแขนข้า ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษควรกระทำรึ” ไป๋ฟางเซียนตะคอกเสียงถามด้วยความโกรธ มือซ้ายยกขึ้นลูบข้อมือขวาที่ถูกกระชากอย่างแผ่วเบาเพราะรู้สึกเจ็บ การกระทำของฝ่ามือใหญ่เมื่อครู่ยังเผยให้เห็นรอยแดงเป็นปื้นด้วย“ข้าควรเป็นฝ่ายถามเจ้ามากกว่าว่าการกระทำที่เจ้ากระทำตนเช่นในวันนี้มันเหมาะสมแล้วรึ” หลี่เหวินหลางถามกลับอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน ทั้งสองส่งสายตาประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างโกรธ ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ทนไม่ไหวถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจว่านางทำอันใดผิดกัน อีกฝ่ายถึงได้มาอารมณ์เสียใส่และมีท่าทีกรุ่นโกรธเช่นนี้“ข้าทำอะไร”“ยังมีหน้ามาถาม” หลี่เหวินหลางมองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อพร้อมทั้งสะบัดหน้าหนี“ถ้าท่านไม่พูดข้าจะรู้ไหมว่าข้าทำอันใดผิด” นางถามกลับเรียบ ๆ ในห้วงความคิดพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวว่าตนได้เผลอไปทำลายนางในดวงใจของเขาหรือไม่ ครั้นคิดกี่ตลบคำตอบก็เป็นเช่นเดียวกันคือนางไม่ได้วุ่นวายกับโจวเฟิ่งจิ่วเลย แล้วการที่อีกฝ่ายหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะเหตุใด?“ฮึ่ม! ไป๋ฟางเซียน ข้าไม่รู้นะว่าตอนที่เจ้าตกน้ำหัวของเจ้าไปกระแ
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร
“เซียนเซียน! เซียนเซียน ฟื้นสิเซียนเซียน” หลี่เหวินหลางร้องเรียกชื่อภรรยาด้วยความกระวนกระวายใจ ภายในอกของเขาร้อนรุ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวเหลือเกินว่านางจะเป็นอันใดไป กลัวสูญเสียนางอย่างไม่มีวันหวนกลับ ความกังวลฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา โชคยังดีที่เขามาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นกังวลมากกว่านี้“พาคุณหนุกลับจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ จะได้รีบตามท่านหมอมาดูอาการ” จื่อถิงบอกอย่างร้อนรนและกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน พลางมองเจ้านายสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุด น้ำตาเอ่อคลอไปทั่วดวงตาสวย เหตุใดจึงเกิดเรื่องกับคุณหนูทุกครั้งที่นางไม่ได้อยู่ด้วยก็ไม่รู้ โชคดีที่ทั้งนางและท่านแม่ทัพมาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางจะเป็นเช่นไร“รีบกลับจวนให้เร็วที่สุด!” หลี่เหวินหลางบอกคนขับรถม้าพร้อมทั้งอุ้มนางเข้าไปนั่งภายใน โอบกอดนางไว้อย่างหวงแหน มองดวงหน้าหวานด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุดก่อนหน้านี้หลี่เหวินหลางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าไปรายงานทุกอย่างให้องค์ฮ่องเต้รับรู้เรียบร้อยถึงการปราบโจรของตน หลังจากนั้นก็รีบพาตนเองออกจากวังหลวงอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดถ
“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ เจ้าอย่ามาโกหกข้า ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นคนคิด ในเมื่อพี่เหวินเป็นคนทำเขาก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าก็ด้วย ในเมื่อวันนี้ข้าสูญสิ้นไม่เหลืออะไร พวกเจ้าก็ต้องสูญสิ้นไม่เหลือสิ่งใดเช่นเดียวกัน อย่างไรวันนี้ทุกอย่างก็ต้องจบลง ไม่ข้าและเจ้าก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ครั้งที่แล้วข้าหวังให้เจ้าจมน้ำตายที่นี่ เพราะต้องการให้เจ้าทรมานถึงที่สุด กระทั่งหลังความตายก็ยังคงทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของกระแสน้ำ ได้แต่เหน็บหนาวแต่เพียงผู้เดียวไร้ซึ่งคนเหลียวแล ครั้งที่แล้วเป็นโชคดีของเจ้าที่ข้าทำไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนเดิม เจ้าต้องตาย ตายเพราะข้า!” โจวเฟิ่งจิ่วตวาดกร้าว ไป๋ฟางเซียนได้ฟังแล้วรู้ว่าถึงเจรจาต่อไปย่อมไม่เป็นผล ดังนั้นจึงโพล่งไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน เช่นไรนางก็เคยตายมาแล้ว ตายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเลยสักนิด ห่วงก็แต่หลี่เหวินหลาง หากนางจากไปเขาจะรู้สึกเช่นไร จะเสียใจหรือคิดถึงนางบ้างหรือไม่เท่านั้นเอง “ตายก็ตายสิ คนอย่างไป๋ฟางเซียนไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว หากข้าตาย เจ้าก็ต้องตายเช่นกัน” จบคำพูดของไป๋ฟางเซียนร่างของโจวเฟิ่วจิ่วก็พุ่งตรงเข้ามาหวังจะกร
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้านักหนาจึงได้คิดทำร้ายข้า”“ฮ่าฮ่า เพราะเจ้ามาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไปไงเล่า! คนไม่มีบิดามารดาเป็นกำพร้าเช่นเจ้า กล้าดีอย่างไรลงประกวดสาวงาม แย่งชิงตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจากข้าไป เท่านั้นยังไม่พอเจ้ายังเป็นคู่หมั้นของพี่เหวิน คิดอยากได้และครอบครองเขา เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าตนเองเหมาะสมกับบุรุษเก่งกล้าและรูปงามเช่นเขา แทนที่เจ้าจะสำนึกในบุญคุณของบิดามารดาของพี่เหวิน กล่าวยกเลิกงานหมั้นนั่นเสีย เจ้ากลับเร่งรัดให้ทุกอย่างเร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เจ้าก็รู้ตนเองดี ว่าพี่เหวินมิได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้วข้าจะให้คนหน้าด้านเช่นเจ้าเชิดหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับข้าได้เช่นไร คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าคิดเทียบเคียงข้ามาโดยตลอด หวังใช้ฐานะฮูหยินแม่ทัพตีเสมอข้าน่ะสิ หึ ไม่เจียมตน”“เจ้าบ้าไปแล้วโจวเฟิ่งจิ่ว ข้าไม่เคยคิดตีตนเสมอเจ้า ข้ารู้ตนเองดี เจ้าเอาแต่ว่าข้าแล้วเจ้าเล่าดีตรงไหน วัน ๆ ตามแต่คู่หมั้นของสหาย นอกจากไม่รู้สึกผิดแล้ว ยังคิดทำร้ายผู้อื่น นี่มันไม่น่ารังเกียจกว่าข้ารึ” ไป๋ฟางเซียนย้อนกลับทันควัน เพราะนางไม่ชอบให้ใครมาว่านางเช่นกัน แม้ว่าคนที่ถูก