จวนตระกูลหลี่
หลี่เหวินหลางแม่ทัพหนุ่มรูปงามกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทีเคร่งขรึม ก่อนจะกลายเป็นบูดบึ้งเมื่อคิดถึงคำพูดของโจวเฟิ่งจิ่วที่มาหาเขาถึงเรือน
‘พี่เหวินเจ้าคะ ข้าไม่รู้ว่าสิ่งต่อไปนี้ข้าสมควรพูดหรือไม่ แต่ข้าตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะว่าข้าต้องพูด หากข้าพูดไปแล้วพี่เหวินไม่เชื่อหรือต่อว่าข้า ข้าก็ยอมเจ้าค่ะ’
‘พูดมาเถิด ข้าสัญญาว่าจะไม่ต่อว่าเจ้า’ หลี่เหวินหลางบอกพร้อมทั้งสงสัยว่าเรื่องที่โจวเฟิ่งจิ่วจะพูดคือเรื่องใดกัน เหตุใดนางถึงได้กังวลนัก
‘คือคนของข้าเห็นฟางเซียนนางไปที่ตลาดเจ้าค่ะ’
‘แล้วอย่างไร นางไปตลาดก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ ทั้งร้านผ้าสินทรัพย์ส่วนตัวของนางก็อยู่ที่นั่น... หรือว่ามีอะไรที่ข้าควรรู้กัน’ หลี่
เหวินหลางถามกลับด้วยความสงสัยมากกว่าเดิม หัวคิ้วของเขาขมวดน้อย ๆ เมื่อเห็นว่านางทำท่าทางไม่อยากจะพูด แต่แล้วก็พูดออกมา‘คือฟางเซียนนาง... นางชนเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งแล้วยืนหัวร่อต่อกระซิกกันเจ้าค่ะ นอกจากนี้ยังไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมด้วยเจ้าค่ะ ชาวบ้านทุกคนที่ไปจับจ่ายใช้สอยล้วนเห็นกิริยานี้ของนางกับบุรุษผู้นั้นทั้งสิ้น คนของข้าบอกว่าดูเหมือนนางกับบุรุษผู้นั้นสนิทกันด้วยนะเจ้าคะ ครั้นคนของข้าเห็นว่านางเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมจึงได้รีบมาบอกข้า ข้าจึงได้มาหาพี่เหวินในวันนี้และบอกกล่าวให้ฟังนี่แหละเจ้าค่ะ’
‘พี่เหวินอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ มันอาจไม่ได้เป็นอย่างคำพูดคนของข้าก็ได้ ข้าว่าบางทีคนของข้าอาจเข้าใจผิด แต่ที่ข้าบอกพี่เหวินก็เพราะว่ากลัวพี่เหวินจะไปรู้จากผู้อื่นเข้า แล้วเอ่อ... จะเป็นเรื่องเป็นราวกับฟางเซียนน่ะเจ้าค่ะ สำหรับข้า ข้าคิดว่าฟางเซียนคงจะมีเหตุผล จึงได้ยิ้มแย้มกับบุรุษผู้นั้นอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะมีใครสนใจและต่อว่านางหรือไม่เจ้าค่ะ’ ได้ฟังคำบอกเล่าของโจวเฟิ่งจิ่ว หลี่เหวินหลางก็นิ่งไป ก่อนถามว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร แต่นางก็ไม่ทราบ เขาจึงพูดคุยกับนางเล็กน้อยแล้วให้นางกลับจวนเพราะเกรงว่าจะไม่เหมาะสมแล้วนางจะดูไม่ดี ซึ่งโจวเฟิ่งจิ่วก็รับคำอย่างว่าง่าย ก่อนกลับยังส่งยิ้มหวานสายตาหยาดเยิ้มมาให้เขาด้วย
คล้อยหลังโจวเฟิ่งจิ่ว แม่ทัพหนุ่มก็สั่งให้คนของตนไปสืบดูทันทีว่าเรื่องที่นางนำมาพูดกับเขาจริงหรือไม่ และตอนนี้ที่นั่งหน้าตาบูดบึ้งถมึงทึงก็เพราะว่าคนที่ให้ไปสืบข่าวกลับมาแล้ว และบอกว่าสิ่งที่บุตรสาวตระกูลโจวพูดนั้นเป็นเรื่องจริงที่นางชนกับบุรุษอื่น ยืนพูดคุย และไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมด้วยกัน ส่วนบุรุษผู้นั้นคือ หยางตงเยว่ บุตรชายตระกูลหยาง!
“นางกลับมาหรือยังตงผิง”
“กำลังกลับขอรับท่านแม่ทัพ”
“นางออกไปตั้งแต่ยามซื่อ[1] จนตอนนี้จะเข้ายามเซิน[2] แล้ว มาคิดดูแล้วนางออกไปจากจวนถึงสามชั่วยาม![3] ดียิ่ง! แล้วองครักษ์ที่ข้าสั่งให้จับตาดูนางไว้เล่าได้บอกอันใดหรือไม่” หลี่เหวินหลางพูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ไม่ขอรับ บอกแค่ว่าทุกอย่างปกติดี ส่วนคุณชายหยางตงเยว่กับฮู... เอ่อ คุณหนูฟางเซียนน่ะขอรับ ทั้งสองเดินชนกันจึงได้ขอโทษและแนะนำตัวจากนั้นจึงได้เลือกคบหากันเป็นสหาย” ตงผิงเอ่ยบอก เกือบถูกทำโทษแล้วเชียวเพียงเพราะเรียกไป๋ฟางเซียนว่า ‘ฮูหยิน’ ดีที่เห็นสายตาผู้เป็นนายมองมาจึงเปลี่ยนคำเรียกขานได้ทัน แล้วรายงานไปตามที่ตนสืบรู้มาจากองครักษ์ที่ให้ติดตามไป๋ฟางเซียนอย่างลับ ๆ อีกที
“เหอะ สหายรึ สตรีกับบุรุษเป็นสหายกันเช่นนั้นรึ” หลี่เหวินหลางหัวเราะหยันในลำคอพร้อมพูด ดวงตาฉายแววไม่พอใจคลื่นอารมณ์ความไม่ยินยอมพาดผ่านในดวงตา
“ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมานิสัยนางก็เปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อก่อนเกรงกลัวข้า แต่หลังฟื้นขึ้นมากลับไม่กลัวข้าเลยสักนิด เห็นทีข้าคงต้องสั่งสอนเจ้าสักครา”
หลี่เหวินหลางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่คนที่ฟังอย่างตงผิงรวมถึงองครักษ์กลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบ พลางไว้อาลัยให้แก่คุณหนูฟางเซียนและภาวนาให้นางไม่เป็นอันใด เพียงเค่อ[4] ต่อมาหลี่เหวินหลางก็พาตนเองไปที่ห้องของนาง เขายืนรอนางอยู่ด้านในด้วยความสงบนิ่งหลังจากคนของเขามาบอกว่านางมาถึงหน้าประตูจวนแล้ว และไม่นานหลังจากนั้นแม่ทัพหนุ่มก็ได้ยินเสียงหวานใสพูดคุยหยอกล้อกับสาวใช้คนสนิทของนางดังมาจากด้านนอก
“เจ้าไปพักเถิดจื่อถิง ข้าก็จะพักเช่นกัน”
“เจ้าค่ะคุณหนู หากคุณหนูต้องการสิ่งใดเรียกหาข้านะเจ้าคะ” ไป๋ฟางเซียนไม่ตอบแต่พยักหน้ารับ จากนั้นจึงเปิดประตูเข้าไปห้องนอนของตนทันที
ทว่าเพียงบานประตูเปิดออกนางก็ต้องมุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อคนที่ออกปากว่าเกลียดชังนางมายืนรอนางเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ภายในห้อง ไป๋ฟางเซียนมองเขาขึ้น ๆ ลง ๆ หลายครั้ง ยังไม่ทันจะถามหรือพูดอะไรก็ถูกอีกฝ่ายกระชากเข้าไปในห้องอย่างแรง พร้อมทั้งปิดประตูลงกลอนเองเสร็จสรรพ
ปัง!
[1] ยามซื่อ คือ 09:00 -10:59 น.
[2] ยามเซิน คือ 15:00 - 16:59 น.
[3] 1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง ดังนั้น สามชั่วยาม เท่ากับ 6 ชั่วโมง
[4] เค่อ เท่ากับ 15 นาที
“เป็นบ้าอันใดของท่าน! จู่ ๆ มากระชากแขนข้า ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษควรกระทำรึ” ไป๋ฟางเซียนตะคอกเสียงถามด้วยความโกรธ มือซ้ายยกขึ้นลูบข้อมือขวาที่ถูกกระชากอย่างแผ่วเบาเพราะรู้สึกเจ็บ การกระทำของฝ่ามือใหญ่เมื่อครู่ยังเผยให้เห็นรอยแดงเป็นปื้นด้วย“ข้าควรเป็นฝ่ายถามเจ้ามากกว่าว่าการกระทำที่เจ้ากระทำตนเช่นในวันนี้มันเหมาะสมแล้วรึ” หลี่เหวินหลางถามกลับอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน ทั้งสองส่งสายตาประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างโกรธ ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ทนไม่ไหวถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจว่านางทำอันใดผิดกัน อีกฝ่ายถึงได้มาอารมณ์เสียใส่และมีท่าทีกรุ่นโกรธเช่นนี้“ข้าทำอะไร”“ยังมีหน้ามาถาม” หลี่เหวินหลางมองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อพร้อมทั้งสะบัดหน้าหนี“ถ้าท่านไม่พูดข้าจะรู้ไหมว่าข้าทำอันใดผิด” นางถามกลับเรียบ ๆ ในห้วงความคิดพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวว่าตนได้เผลอไปทำลายนางในดวงใจของเขาหรือไม่ ครั้นคิดกี่ตลบคำตอบก็เป็นเช่นเดียวกันคือนางไม่ได้วุ่นวายกับโจวเฟิ่งจิ่วเลย แล้วการที่อีกฝ่ายหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะเหตุใด?“ฮึ่ม! ไป๋ฟางเซียน ข้าไม่รู้นะว่าตอนที่เจ้าตกน้ำหัวของเจ้าไปกระแ
บนเตียงกว้างในเรือนนอนของไป๋ฟางเซียน มีบุรุษผู้หนึ่งยกมือกุมท้ายทอยของตนไว้ พลางนิ่วหน้าคิดถึงเหตุการณ์ของคืนที่ผ่านมา พลันนั้นใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็บิดเบี้ยว นัยน์ตาดำขลับลึกล้ำคู่นั้นฉายแววหงุดหงิดระคนไม่พอใจคละเคล้ากับความไม่ยินยอม เขาขบเม้มริมฝีปากและคาดโทษคนที่ทำให้ตนเองตกอยู่ในสภาพน่าอายไว้ในใจหากมีผู้อื่นรู้เข้าว่าท่านแม่ทัพผู้ที่ได้รับฉายาเจ้าสงครามเช่นเขาพ่ายแพ้ให้กับสตรีบอบบางอย่างนางคงไม่มีใครเกรงกลัวเขาแล้ว!แค่คิดหลี่เหวินหลางก็ต้องข่มกลั้นโทสะทั้งหมดเอาไว้ เพราะเกรงว่าตนจะกลายเป็นฆาตกรฆ่าภรรยาของตนเอง เมื่อทำสิ่งใดไม่ได้จึงพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเดือดดาล“คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการกับเจ้าเช่นไรจิ้งจอกน้อย”ใช่! ไป๋ฟางเซียนเป็นนางจิ้งจอก เป็นนางจิ้งจอกที่ล่อลวงเขาให้ติดกับ ดูอย่างเมื่อคืนเถิด เห็นนอนนิ่งไม่ไหวติงคิดว่าจะยินยอมพร้อมใจที่ไหนได้...มันน่านัก!นางฉวยโอกาสในจังหวะที่เขาไม่ทันระวังตัว ฟาดสันมือลงท้ายทอยเขาจนสลบเสียนี่ จะว่าไปเรื่องนี้โทษนางฝ่ายเดียวคงไม่ได้ เพราะเป็นเขาเองที่ลดการระมัดระวังตัว ทว่าใครจะไปคิดเล่าว่าสตรีบอบบางอย่างนางจะมีแรงทำให้ชายชาตรีเช่นเขาสลบ
“ข้าบอกให้ปล่อยข้า!” แล้วชายหนุ่มก็ต้องหลุดออกจากห้วงความคิด เมื่อคนตัวเล็กพูดขึ้นเสียงพร้อมบิดตัวออกจากอ้อมกอดเขาอย่างแรงหลี่เหวินหลางหรี่ตาจ้องมองอีกฝ่ายที่หลุดจากอ้อมกอดเขาไปด้วยสายตาไม่พอใจ อารมณ์ดีที่เพิ่งจะมีมลายหายไปในพริบตา แทนที่ด้วยความหงุดหงิด พลางรู้สึกโกรธคนตรงหน้าขึ้นมาเล็กน้อย มันจะอะไรกันนักกันหนากับแค่กอดนิดกอดหน่อย เมื่อก่อนวิ่งตามเขาจนน่ารำคาญ พอเขาอยากแตะต้องนางบ้างทำทีกระบิดกระบวนนี่มันหมายความว่าอย่างไร“เจ้ากล้าขึ้นเสียงใส่ข้ารึ!” ด้วยความที่ไม่เคยมีใครขึ้นเสียงใส่มาก่อนทั้งยังไม่เคยถูกขัดใจ เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกไม่พอใจ ยิ่งมาถูกคนที่เคยยอมเขามาตลอดกระทำใส่เช่นนี้ แม่ทัพหนุ่มก็รู้สึกไม่ยินยอมทั้งยังหงุดหงิดเป็นอย่างมาก “ใช่! มากกว่านี้ข้าก็กล้าหากท่านยังกล้าดูถูกข้าอีก”“ข้าดูถูกตรงไหน สิ่งที่ข้าพูดไปก็มีแต่ความจริง หรือเจ้าจะเถียงว่าเมื่อก่อนเจ้าไม่ได้วิ่งตามก้นข้า ไม่ได้ยั่วยวนข้า ส่งสายตาหยาดเยิ้มให้ข้า”“ท่าน!”“อะไรเล่า เถียงไม่ออกใช่หรือไม่ ก็แน่สิ ในเมื่อมันคือเรื่องจริง หึ!” หลี่เหวินหลางพูดพร้อมยกยิ้มอย่างคนเหนือกว่าไป๋ฟางเซียนหายใจแรงมือกำเข้าหาก
“คุณหนูเจ้าคะ แบบชุดพวกนี้งดงามมากเลยเจ้าค่ะ หากให้พวกพี่อวี้หรูปัก ร้านของเราจะต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่นอนเจ้าค่ะ” จื่อถิงพูดออกมาอย่างมั่นใจ สายตายังไม่ละไปจากแบบชุดที่คุณหนูของตนวาด นางมองมันด้วยความชื่นชมและภูมิใจยิ่ง คุณหนูของนางเก่งกล้ามากความสามารถจริง ๆจื่อถิงละสายตาจากแบบชุดแล้วมองคุณหนูของตนด้วยสายตาเปล่งประกายระยิบระยับ รู้สึกดียิ่งที่ได้เป็นสาวใช้คนสนิท นางจะรักและเทิดทูนคุณหนูให้มาก และจะเรียนรู้ทุกอย่างจากคุณหนูให้มากขึ้นจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระคุณหนูของนางได้ สายตาและความนึกคิดที่ฉายชัดบนใบหน้าของจื่อถิงทำให้ไป๋ฟางเซียนอดหัวเราะไม่ได้“อะไรกัน นี่แค่แบบชุดปรกติเท่านั้น หาใช่ชุดเลิศหรูอย่างที่เจ้าคิดไม่” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม จื่อถิงยู่หน้าแล้วพูดว่า“คุณหนู... ถึงแบบชุดจะเป็นชุดทั่วไปแต่ที่คุณหนูวาดออกมามันสวยมาก ๆ เลยนะเจ้าคะ โดยเฉพาะลวดลายพวกนี้ จื่อถิงไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อนเลยเจ้าค่ะ ใต้หล้านี้เห็นจะมีเพียงคุณหนูของจื่อถิงเท่านั้นที่สามารถวาดลวดลายแปลกตาพวกนี้ออกมาได้” นางเอ่ยขึ้นพลางพยักหน้าไปมาเสริมคำพูดของตน ทั้งยังไม่วายจะเยินยอคุณหนูของตนด้วยไป๋ฟางเซียนไม่เอ่ยคำ นาง
ระหว่างเดินไปที่หน้าจวนก็คิดเรื่องของหลี่เหวินหลางไปด้วย ตั้งแต่ที่เขาดูถูกและนางได้ตบหน้าเขาไปเมื่อคราวก่อน นางก็ไม่เห็นแม่ทัพหนุ่มอีกเลย ในหลายวันที่ผ่านมาอีกฝ่ายก็มิได้กลับมานอนที่จวน ไม่รู้ว่าโกรธนางจนไม่อยากกลับ หรือไปพลอดรักกับแม่ดอกบัวขาวโจวเฟิ่งจิ่วกันแน่คิดถึงตรงนี้คิ้วเรียวสวยก็ขมวดเป็นปมอย่างไม่ชอบใจ ทำไมต้องรู้สึกไม่พอใจด้วยก็ไม่รู้ นี่คงเป็นเพราะว่านางและเขามีสถานะต่อกันอยู่เป็นแน่ หากพลอดรักกันตอนที่นางไม่มีสถานะเป็นภรรยาเขาก็แล้วไปเถิด แต่นี่นางยังเป็นภรรยาของเขาอยู่นะ หากเป็นเรื่องจริง ก็สมควรแล้วที่นางรู้สึกไม่พอใจ ด้วยรู้สึกว่าตนถูกหักหน้าและหยามศักดิ์ศรี ไป๋ฟางเซียนตั้งมั่น หากทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่คิด นางไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้แน่ พลันนั้นหวนคิดถึงวันที่นางชวนเขาหย่าแต่เขาไม่ยอมหย่าก็หงุดหงิดไม่หาย ไม่รู้จะฉุดรั้งกันไปด้วยเหตุใด แต่ช่างเรื่องนั้นก่อนเถิด กลับมาที่เขาไม่ยอมกลับจวนดีกว่าไป๋ฟางเซียนค่อนข้างมั่นใจ ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ไปพลอดรักกับโจวเฟิ่งจิ่ว แต่นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปอยู่ที่ไหน นอกจากนี้ยังรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่ามีคนจับจ้องตนเองอยู่ตลอดเวลา แรก ๆ ก็ระแ
‘งานฝีมือตระกูลฉิน’“มีใครอยู่หรือไม่” จื่อถิงเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเข้ามาในร้านแล้วยังไม่มีใครออกมาต้อนรับ ส่วนไป๋ฟางเซียนนั้นยังมองสำรวจสินค้าทุกอย่างในร้านอย่างละเอียด“มาแล้ว มาแล้วขอรับ ขออภัยแม่นาง พอดีเสี่ยวเอ้อร์ป่วยจึงลาหยุด แล้ววันนี้ที่ร้านมีกำหนดส่งงานลูกค้ารายใหญ่จึงทำให้ยุ่งมาก มาต้อนรับช้าขออภัยด้วยขอรับ” หลงจู๊ของร้านกล่าวขออภัยพร้อมก้มหัวขอโทษไปมา จื่อถิงยังไม่ทันจะได้เอ่ยอันใด เสียงทุ้มของบุรุษเพศก็ดังขึ้น“ว่าอย่างไร ใครมาหรือหลงจู๊”“เป็นแม่นางน้อยสองท่านขอรับคุณชาย”จบคำพูดของหลงจู๊ของร้านทุกอย่างก็นิ่งไป จื่อถิงมองไปยังคนใหม่ที่เดินมาจากหลังร้านอย่างพิจารณา นางรู้สึกคุ้นหน้าและคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน“ขออภัยด้วย วันนี้ที่ร้านยุ่งจึงได้ต้อนรับไม่เต็มที่ ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดให้ร้านฝีมือตระกูลฉินรับใช้หรือขอรับ” บุรุษผู้มาใหม่ที่ถูกหลงจู๊เรียกว่าคุณชายเอ่ยอย่างนอบน้อมจนจื่อถิงทำตัวไม่ถูก“เกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นเพียงสาวใช้ที่ตามคุณหนูของข้าเข้ามาเท่านั้น คุณชายอย่าให้เกียรติข้านักเลยเจ้าค่ะ คุณหนูเจ้าคะ” จื่อถิงบอกแล้วหันไปเอ่ยเรียกนายของตน ที่ตอน
“ท่านแม่ทัพปล่อยข้านะ ปล่อยข้าลง!”“ปล่อยให้เจ้าลงไปหาไอ้หน้าจืดนั่นหรือ ฝันไปเถอะ!”“พูดอะไรของท่าน ข้าไม่เข้าใจ”“หึ ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ คงจะมีความสุขมากเลยใช่หรือไม่ ที่ถูกมันมองด้วยสายตาหวานเชื่อมเยี่ยงนั้น”“นี่ท่าน!”“ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ว่าเจ้าเป็นของข้า”ไป๋ฟางเซียนยังไม่ทันจะพูดอันใดต่อก็ต้องนั่งตัวเกร็ง เมื่อถูกคนตัวโตนั่งซ้อนหลังโอบกอดเอวคอดกิ่วของนางไว้แน่น นางได้ยินเสียงเขาหัวเราะหยันในลำคอด้วย จะค้านก็เกรงว่าเขาจะทำอะไรน่าอายมากกว่านี้ เพราะตั้งแต่ออกจากร้านงานฝีมือตระกูลฉิน เจ้าของวงแขนแกร่งก็ไม่ยอมปล่อยนางลงจากหลังม้าเลย ครั้นต่อว่าก็ยิ่งถูกเขาโอบกอดแน่นขึ้น เท่านั้นยังไม่พอ ไม่รู้ว่าเขาไม่พอใจอะไรนางนักหนาถึงต้องโน้มหน้ามาพูดใกล้ใบหู ชาวบ้านที่เดินไปมาก็มองมาที่พวกนางด้วยท่าทีสงสัยใคร่รู้ บางคนถึงขั้นเอียงอายอายอันใดกัน! นางอึดอัดจะบ้าตายแล้ว!ไม่รู้เขารู้ได้เยี่ยงไรว่านางอยู่ที่ร้านค้าตระกูลฉิน จึงได้มาหานางที่นี่ จะมาก็ไม่ว่าอันใดหรอก หากไม่ใช่มาแล้วต้องทำให้นางขายหน้าแบบนี้! มีที่ไหนพูดแทรกขึ้นกลางปล้องในจังหวะที่นางกำลังจะแนะนำตัว จะว่าหึงหวงหรือคงไม่ใช่ นาง
ชายหนุ่มก้าวฉับ ๆ อีกไม่นานก็มาถึงเรือนเหมยกุ้ย เขาไม่แม้แต่จะปรายตามองบ่าวไพร่บริเวณนั้นที่กำลังทำความสะอาด เพราะทันทีที่เข้าเขตเรือนก็พาเจ้าของร่างนุ่มนิ่มตรงเข้าห้องนอนเลยทีเดียวตุบ!“อ๊ะ! วางเบา ๆ ไม่ได้หรือไง” ไป๋ฟางเซียนที่ถูกโยนไปที่เตียงด้วยความแรงไร้ความทะนุถนอมส่งค้อนให้อีกฝ่ายพร้อมทั้งกระชากเสียงถามเขาอย่างมีอารมณ์“ทำไมข้าต้องอ่อนโยนหรือทะนุถนอมคนที่ทำร้ายร่างกายข้ามาตลอดทางด้วยเล่า ดูมือและแขนข้าสิโดนเจ้าจิกและหยิกมานานเท่าไหร่แล้ว หลังข้าอีกคงแดงหมดแล้วกระมัง”“ข้าบอกให้ท่านปล่อยข้าเหตุใดจึงไม่ปล่อยเล่า โดนเช่นนั้นก็นับว่าสมควรแล้ว” นางเถียงกลับอย่างไม่ยินยอม“เจ้ากล้าเถียงข้า?” ชายหนุ่มกดเสียงต่ำถามกลับ ไป๋ฟางเซียนเชิดหน้าขึ้นเลิกคิ้วหนึ่งข้างแล้วถามกลับว่า“แล้วเหตุใดข้าต้องไม่กล้าเถียงท่านกันเล่า ข้ามีปากย่อมต้องพูดได้ หรือท่านว่าไม่จริง”สายตาคมเข้มของหลี่เหวินหลางหดวูบลง ปากนางเก่งขึ้นจริง ๆ ดูท่าไม่สั่งสอนคงจะไม่เกรงกลัวกันแล้วแม่ทัพหนุ่มกระตุกยิ้มร้ายสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้เจ้าของร่างบอบบางที่ยังนั่งลูบบั้นท้ายตนเองอยู่ที่เตียงอย่างช้า ๆ คราแรกไป๋ฟางเซียนก็ไม่ทันไ
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร
“เซียนเซียน! เซียนเซียน ฟื้นสิเซียนเซียน” หลี่เหวินหลางร้องเรียกชื่อภรรยาด้วยความกระวนกระวายใจ ภายในอกของเขาร้อนรุ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวเหลือเกินว่านางจะเป็นอันใดไป กลัวสูญเสียนางอย่างไม่มีวันหวนกลับ ความกังวลฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา โชคยังดีที่เขามาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นกังวลมากกว่านี้“พาคุณหนุกลับจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ จะได้รีบตามท่านหมอมาดูอาการ” จื่อถิงบอกอย่างร้อนรนและกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน พลางมองเจ้านายสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุด น้ำตาเอ่อคลอไปทั่วดวงตาสวย เหตุใดจึงเกิดเรื่องกับคุณหนูทุกครั้งที่นางไม่ได้อยู่ด้วยก็ไม่รู้ โชคดีที่ทั้งนางและท่านแม่ทัพมาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางจะเป็นเช่นไร“รีบกลับจวนให้เร็วที่สุด!” หลี่เหวินหลางบอกคนขับรถม้าพร้อมทั้งอุ้มนางเข้าไปนั่งภายใน โอบกอดนางไว้อย่างหวงแหน มองดวงหน้าหวานด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุดก่อนหน้านี้หลี่เหวินหลางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าไปรายงานทุกอย่างให้องค์ฮ่องเต้รับรู้เรียบร้อยถึงการปราบโจรของตน หลังจากนั้นก็รีบพาตนเองออกจากวังหลวงอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดถ
“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ เจ้าอย่ามาโกหกข้า ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นคนคิด ในเมื่อพี่เหวินเป็นคนทำเขาก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าก็ด้วย ในเมื่อวันนี้ข้าสูญสิ้นไม่เหลืออะไร พวกเจ้าก็ต้องสูญสิ้นไม่เหลือสิ่งใดเช่นเดียวกัน อย่างไรวันนี้ทุกอย่างก็ต้องจบลง ไม่ข้าและเจ้าก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ครั้งที่แล้วข้าหวังให้เจ้าจมน้ำตายที่นี่ เพราะต้องการให้เจ้าทรมานถึงที่สุด กระทั่งหลังความตายก็ยังคงทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของกระแสน้ำ ได้แต่เหน็บหนาวแต่เพียงผู้เดียวไร้ซึ่งคนเหลียวแล ครั้งที่แล้วเป็นโชคดีของเจ้าที่ข้าทำไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนเดิม เจ้าต้องตาย ตายเพราะข้า!” โจวเฟิ่งจิ่วตวาดกร้าว ไป๋ฟางเซียนได้ฟังแล้วรู้ว่าถึงเจรจาต่อไปย่อมไม่เป็นผล ดังนั้นจึงโพล่งไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน เช่นไรนางก็เคยตายมาแล้ว ตายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเลยสักนิด ห่วงก็แต่หลี่เหวินหลาง หากนางจากไปเขาจะรู้สึกเช่นไร จะเสียใจหรือคิดถึงนางบ้างหรือไม่เท่านั้นเอง “ตายก็ตายสิ คนอย่างไป๋ฟางเซียนไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว หากข้าตาย เจ้าก็ต้องตายเช่นกัน” จบคำพูดของไป๋ฟางเซียนร่างของโจวเฟิ่วจิ่วก็พุ่งตรงเข้ามาหวังจะกร
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้านักหนาจึงได้คิดทำร้ายข้า”“ฮ่าฮ่า เพราะเจ้ามาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไปไงเล่า! คนไม่มีบิดามารดาเป็นกำพร้าเช่นเจ้า กล้าดีอย่างไรลงประกวดสาวงาม แย่งชิงตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจากข้าไป เท่านั้นยังไม่พอเจ้ายังเป็นคู่หมั้นของพี่เหวิน คิดอยากได้และครอบครองเขา เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าตนเองเหมาะสมกับบุรุษเก่งกล้าและรูปงามเช่นเขา แทนที่เจ้าจะสำนึกในบุญคุณของบิดามารดาของพี่เหวิน กล่าวยกเลิกงานหมั้นนั่นเสีย เจ้ากลับเร่งรัดให้ทุกอย่างเร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เจ้าก็รู้ตนเองดี ว่าพี่เหวินมิได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้วข้าจะให้คนหน้าด้านเช่นเจ้าเชิดหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับข้าได้เช่นไร คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าคิดเทียบเคียงข้ามาโดยตลอด หวังใช้ฐานะฮูหยินแม่ทัพตีเสมอข้าน่ะสิ หึ ไม่เจียมตน”“เจ้าบ้าไปแล้วโจวเฟิ่งจิ่ว ข้าไม่เคยคิดตีตนเสมอเจ้า ข้ารู้ตนเองดี เจ้าเอาแต่ว่าข้าแล้วเจ้าเล่าดีตรงไหน วัน ๆ ตามแต่คู่หมั้นของสหาย นอกจากไม่รู้สึกผิดแล้ว ยังคิดทำร้ายผู้อื่น นี่มันไม่น่ารังเกียจกว่าข้ารึ” ไป๋ฟางเซียนย้อนกลับทันควัน เพราะนางไม่ชอบให้ใครมาว่านางเช่นกัน แม้ว่าคนที่ถูก