“คุณหนูเจ้าคะ แบบชุดพวกนี้งดงามมากเลยเจ้าค่ะ หากให้พวกพี่อวี้หรูปัก ร้านของเราจะต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่นอนเจ้าค่ะ” จื่อถิงพูดออกมาอย่างมั่นใจ สายตายังไม่ละไปจากแบบชุดที่คุณหนูของตนวาด นางมองมันด้วยความชื่นชมและภูมิใจยิ่ง คุณหนูของนางเก่งกล้ามากความสามารถจริง ๆจื่อถิงละสายตาจากแบบชุดแล้วมองคุณหนูของตนด้วยสายตาเปล่งประกายระยิบระยับ รู้สึกดียิ่งที่ได้เป็นสาวใช้คนสนิท นางจะรักและเทิดทูนคุณหนูให้มาก และจะเรียนรู้ทุกอย่างจากคุณหนูให้มากขึ้นจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระคุณหนูของนางได้ สายตาและความนึกคิดที่ฉายชัดบนใบหน้าของจื่อถิงทำให้ไป๋ฟางเซียนอดหัวเราะไม่ได้“อะไรกัน นี่แค่แบบชุดปรกติเท่านั้น หาใช่ชุดเลิศหรูอย่างที่เจ้าคิดไม่” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม จื่อถิงยู่หน้าแล้วพูดว่า“คุณหนู... ถึงแบบชุดจะเป็นชุดทั่วไปแต่ที่คุณหนูวาดออกมามันสวยมาก ๆ เลยนะเจ้าคะ โดยเฉพาะลวดลายพวกนี้ จื่อถิงไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อนเลยเจ้าค่ะ ใต้หล้านี้เห็นจะมีเพียงคุณหนูของจื่อถิงเท่านั้นที่สามารถวาดลวดลายแปลกตาพวกนี้ออกมาได้” นางเอ่ยขึ้นพลางพยักหน้าไปมาเสริมคำพูดของตน ทั้งยังไม่วายจะเยินยอคุณหนูของตนด้วยไป๋ฟางเซียนไม่เอ่ยคำ นาง
ระหว่างเดินไปที่หน้าจวนก็คิดเรื่องของหลี่เหวินหลางไปด้วย ตั้งแต่ที่เขาดูถูกและนางได้ตบหน้าเขาไปเมื่อคราวก่อน นางก็ไม่เห็นแม่ทัพหนุ่มอีกเลย ในหลายวันที่ผ่านมาอีกฝ่ายก็มิได้กลับมานอนที่จวน ไม่รู้ว่าโกรธนางจนไม่อยากกลับ หรือไปพลอดรักกับแม่ดอกบัวขาวโจวเฟิ่งจิ่วกันแน่คิดถึงตรงนี้คิ้วเรียวสวยก็ขมวดเป็นปมอย่างไม่ชอบใจ ทำไมต้องรู้สึกไม่พอใจด้วยก็ไม่รู้ นี่คงเป็นเพราะว่านางและเขามีสถานะต่อกันอยู่เป็นแน่ หากพลอดรักกันตอนที่นางไม่มีสถานะเป็นภรรยาเขาก็แล้วไปเถิด แต่นี่นางยังเป็นภรรยาของเขาอยู่นะ หากเป็นเรื่องจริง ก็สมควรแล้วที่นางรู้สึกไม่พอใจ ด้วยรู้สึกว่าตนถูกหักหน้าและหยามศักดิ์ศรี ไป๋ฟางเซียนตั้งมั่น หากทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่คิด นางไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้แน่ พลันนั้นหวนคิดถึงวันที่นางชวนเขาหย่าแต่เขาไม่ยอมหย่าก็หงุดหงิดไม่หาย ไม่รู้จะฉุดรั้งกันไปด้วยเหตุใด แต่ช่างเรื่องนั้นก่อนเถิด กลับมาที่เขาไม่ยอมกลับจวนดีกว่าไป๋ฟางเซียนค่อนข้างมั่นใจ ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ไปพลอดรักกับโจวเฟิ่งจิ่ว แต่นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปอยู่ที่ไหน นอกจากนี้ยังรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่ามีคนจับจ้องตนเองอยู่ตลอดเวลา แรก ๆ ก็ระแ
‘งานฝีมือตระกูลฉิน’“มีใครอยู่หรือไม่” จื่อถิงเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเข้ามาในร้านแล้วยังไม่มีใครออกมาต้อนรับ ส่วนไป๋ฟางเซียนนั้นยังมองสำรวจสินค้าทุกอย่างในร้านอย่างละเอียด“มาแล้ว มาแล้วขอรับ ขออภัยแม่นาง พอดีเสี่ยวเอ้อร์ป่วยจึงลาหยุด แล้ววันนี้ที่ร้านมีกำหนดส่งงานลูกค้ารายใหญ่จึงทำให้ยุ่งมาก มาต้อนรับช้าขออภัยด้วยขอรับ” หลงจู๊ของร้านกล่าวขออภัยพร้อมก้มหัวขอโทษไปมา จื่อถิงยังไม่ทันจะได้เอ่ยอันใด เสียงทุ้มของบุรุษเพศก็ดังขึ้น“ว่าอย่างไร ใครมาหรือหลงจู๊”“เป็นแม่นางน้อยสองท่านขอรับคุณชาย”จบคำพูดของหลงจู๊ของร้านทุกอย่างก็นิ่งไป จื่อถิงมองไปยังคนใหม่ที่เดินมาจากหลังร้านอย่างพิจารณา นางรู้สึกคุ้นหน้าและคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน“ขออภัยด้วย วันนี้ที่ร้านยุ่งจึงได้ต้อนรับไม่เต็มที่ ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดให้ร้านฝีมือตระกูลฉินรับใช้หรือขอรับ” บุรุษผู้มาใหม่ที่ถูกหลงจู๊เรียกว่าคุณชายเอ่ยอย่างนอบน้อมจนจื่อถิงทำตัวไม่ถูก“เกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นเพียงสาวใช้ที่ตามคุณหนูของข้าเข้ามาเท่านั้น คุณชายอย่าให้เกียรติข้านักเลยเจ้าค่ะ คุณหนูเจ้าคะ” จื่อถิงบอกแล้วหันไปเอ่ยเรียกนายของตน ที่ตอน
“ท่านแม่ทัพปล่อยข้านะ ปล่อยข้าลง!”“ปล่อยให้เจ้าลงไปหาไอ้หน้าจืดนั่นหรือ ฝันไปเถอะ!”“พูดอะไรของท่าน ข้าไม่เข้าใจ”“หึ ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ คงจะมีความสุขมากเลยใช่หรือไม่ ที่ถูกมันมองด้วยสายตาหวานเชื่อมเยี่ยงนั้น”“นี่ท่าน!”“ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ว่าเจ้าเป็นของข้า”ไป๋ฟางเซียนยังไม่ทันจะพูดอันใดต่อก็ต้องนั่งตัวเกร็ง เมื่อถูกคนตัวโตนั่งซ้อนหลังโอบกอดเอวคอดกิ่วของนางไว้แน่น นางได้ยินเสียงเขาหัวเราะหยันในลำคอด้วย จะค้านก็เกรงว่าเขาจะทำอะไรน่าอายมากกว่านี้ เพราะตั้งแต่ออกจากร้านงานฝีมือตระกูลฉิน เจ้าของวงแขนแกร่งก็ไม่ยอมปล่อยนางลงจากหลังม้าเลย ครั้นต่อว่าก็ยิ่งถูกเขาโอบกอดแน่นขึ้น เท่านั้นยังไม่พอ ไม่รู้ว่าเขาไม่พอใจอะไรนางนักหนาถึงต้องโน้มหน้ามาพูดใกล้ใบหู ชาวบ้านที่เดินไปมาก็มองมาที่พวกนางด้วยท่าทีสงสัยใคร่รู้ บางคนถึงขั้นเอียงอายอายอันใดกัน! นางอึดอัดจะบ้าตายแล้ว!ไม่รู้เขารู้ได้เยี่ยงไรว่านางอยู่ที่ร้านค้าตระกูลฉิน จึงได้มาหานางที่นี่ จะมาก็ไม่ว่าอันใดหรอก หากไม่ใช่มาแล้วต้องทำให้นางขายหน้าแบบนี้! มีที่ไหนพูดแทรกขึ้นกลางปล้องในจังหวะที่นางกำลังจะแนะนำตัว จะว่าหึงหวงหรือคงไม่ใช่ นาง
ชายหนุ่มก้าวฉับ ๆ อีกไม่นานก็มาถึงเรือนเหมยกุ้ย เขาไม่แม้แต่จะปรายตามองบ่าวไพร่บริเวณนั้นที่กำลังทำความสะอาด เพราะทันทีที่เข้าเขตเรือนก็พาเจ้าของร่างนุ่มนิ่มตรงเข้าห้องนอนเลยทีเดียวตุบ!“อ๊ะ! วางเบา ๆ ไม่ได้หรือไง” ไป๋ฟางเซียนที่ถูกโยนไปที่เตียงด้วยความแรงไร้ความทะนุถนอมส่งค้อนให้อีกฝ่ายพร้อมทั้งกระชากเสียงถามเขาอย่างมีอารมณ์“ทำไมข้าต้องอ่อนโยนหรือทะนุถนอมคนที่ทำร้ายร่างกายข้ามาตลอดทางด้วยเล่า ดูมือและแขนข้าสิโดนเจ้าจิกและหยิกมานานเท่าไหร่แล้ว หลังข้าอีกคงแดงหมดแล้วกระมัง”“ข้าบอกให้ท่านปล่อยข้าเหตุใดจึงไม่ปล่อยเล่า โดนเช่นนั้นก็นับว่าสมควรแล้ว” นางเถียงกลับอย่างไม่ยินยอม“เจ้ากล้าเถียงข้า?” ชายหนุ่มกดเสียงต่ำถามกลับ ไป๋ฟางเซียนเชิดหน้าขึ้นเลิกคิ้วหนึ่งข้างแล้วถามกลับว่า“แล้วเหตุใดข้าต้องไม่กล้าเถียงท่านกันเล่า ข้ามีปากย่อมต้องพูดได้ หรือท่านว่าไม่จริง”สายตาคมเข้มของหลี่เหวินหลางหดวูบลง ปากนางเก่งขึ้นจริง ๆ ดูท่าไม่สั่งสอนคงจะไม่เกรงกลัวกันแล้วแม่ทัพหนุ่มกระตุกยิ้มร้ายสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้เจ้าของร่างบอบบางที่ยังนั่งลูบบั้นท้ายตนเองอยู่ที่เตียงอย่างช้า ๆ คราแรกไป๋ฟางเซียนก็ไม่ทันไ
ด้านเจ้านายเป็นอย่างไรบ้างสุดรู้ แต่ด้านข้ารับใช้ข้างกายของทั้งสองอย่างตงผิงและจื่อถิงนั้น บรรยากาศค่อนข้างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย สาวใช้คนสนิทของไป๋ฟางเซียนนั่งตัวเกร็งไม่ต่างจากผู้เป็นนาย เมื่อถูกคนสนิทของหลี่เหวินหลางจับข้อมือเดินออกมาจากร้านตระกูลฉิน และอุ้มนางขึ้นนั่งหลังม้าแล้วบังคับให้ม้าเดินอย่างช้า ๆ สองแก้มเนียนแดงปลั่งอย่างเคอะเขิน ยิ่งยามม้าขยับร่างกายของทั้งสองก็จะชิดใกล้เสียดสีกันมากขึ้น ชวนให้ใจหวิวเสียเหลือเกิน“นั่งตัวเกร็งเช่นนั้นเจ้าไม่เมื่อยรึ” ตงผิงเอ่ยถาม สองแขนก็โอบกอดนางไว้กลาย ๆ เพราะใช้มือจับบังเหียนม้า“ว่าเช่นไร ถามเหตุใดจึงไม่ตอบ” ตงผิงถามย้ำหลุบตามองคนในอ้อมแขนด้วยสายตาเรียบนิ่ง“อะ เอ่อ... ไม่ ไม่เมื่อยเจ้าค่ะ” จื่อถิงละล่ำละลักตอบกลับ แล้วก้มหน้างุดซ่อนวงแก้มแดงระเรื่อเอาไว้ แม้ว่านางจะก้มเช่นไรก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของตงผิงได้อยู่ดี เขามองนางด้วยสายตาอ่อนโยนขึ้นน่ารักจริง ๆถึงจะเห็น ตงผิงก็ไม่คิดเปิดโปงให้นางอับอายไปมากกว่านี้ เขายังคงบังคับให้ม้าเดินต่อไปอย่างช้า ๆ ผู้คนในตลาดล้วนจับตามองคนทั้งสอง สายตาของพวกเขามองมาที่คนทั้งคู่ ประหนึ่งว่ากำลังมองคู่
จื่อถิงเดินยิ้มกริ่มเข้าไปหาไป๋ฟางเซียนที่เรือนเหมยกุ้ย หากเข้าไปที่ห้องนอนแล้วกลับเห็นผู้เป็นนายนั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับแค้นเคืองใครอยู่ก็ไม่ปาน ทว่าไม่ต้องถามก็รู้ว่าใครคือสาเหตุนี้“คุณหนู... เป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ” จื่อถิงเอ่ยถามเสียงอ่อน มองผู้เป็นเจ้านายสาวอย่างเป็นห่วง“ไม่เป็นไรหรอกจื่อถิง ข้าแค่โมโหคน” ไปฟางเซียนหันมาตอบ แล้วก็หันไปใส่อารมณ์กับหมอนที่นางหนุนนอนเป็นประจำแทน จื่อถิงมองด้วยความอ่อนใจ ก่อนขอไปทำหน้าที่ของนาง ซึ่งไป๋ฟางเซียนก็ไม่ได้ห้ามอะไรคล้อยหลังจื่อถิง ไป๋ฟางเซียนพยายามสงบสติอารมณ์ด้วยการหยิบกระดาษวาดรูปขึ้นมาเตรียมพร้อมวาดแบบชุด ทว่าไม่ว่าจะพยายามทำให้ตนเองใจเย็นเช่นไร นางก็ไม่หายโมโหบุรุษปากร้ายเสียที สุดท้ายจึงได้แต่ระบายความแค้นลงบนกระดาษเปล่า แล้วภาพที่ปรากฏในนั้นก็ทำให้นางหัวเราะจนน้ำตาไหลอย่างมีความสุขจื่อถิงหลังจากทำงานในส่วนของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงรีบมารับใช้ไป๋ฟางเซียนต่อ อันที่จริงนางไม่ได้มีหน้าที่อะไรมากมายนัก เพราะหน้าที่หลักของนางคือการรับใช้ใกล้ชิดไป๋ฟางเซียน ที่นางขอตัวไปทำงานก็เพียงแค่ไปช่วยงานส่วนอื่นเท่านั้น เมื่อเดินกลับเข้ามาในห
ยามซวี[1] ภายในห้องนอนของไป๋ฟางเซียน เจ้าของห้องกำลังนั่งร่างแบบอาภรณ์ชุดใหม่อยู่ นางนั่งทำงานของตนเองตั้งแต่กินข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นเวลานับชั่วยาม[2] เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกเมื่อยล้า จึงได้หยุดมือเก็บของเข้าที่ ไล่จื่อถิงออกจากห้องนอนไป เพราะตนต้องการพักผ่อนแล้วร่างบอบบางบิดตัวไปมาอย่างเมื่อยล้าในขณะที่กำลังจะขึ้นเตียงประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออก ครั้นเห็นคนที่เดินเข้ามาใหม่ดวงตากลมโตของนางก็เบิกกว้างขึ้น กระทั่งเขาเดินเข้ามาใกล้แล้วนางถึงตั้งสติได้ “ท่านมาที่ห้องข้าทำไม”“ข้าจะนอนห้องนี้”“ได้อย่างไร ห้องท่านก็มีกลับไปนอนที่ห้องท่านสิ” ไป๋ฟางเซียนแย้งอย่างไม่ยินยอมระคนไม่เข้าใจเขาด้วย “ห้องภรรยาก็นับเป็นห้องของสามีเช่นกัน ข้าจะนอนห้องนี้”ไป๋ฟางเซียนมองหลี่เหวินหลางบุรุษหน้าด้านที่เข้ามาในห้องนอนของนางโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเหลือเชื่อ นางหลุบตามองเขาขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่เช่นนั้น ก่อนจะจ้องไปที่ดวงตาคมดุคู่นั้นอย่างไม่ยินยอม แต่แล้วก็ต้องยอมแพ้ไป เนื่องจากว่าวันนี้รู้สึกเหนื่อยล้าอยากนอนหลับพักผ่อนเต็มทน อีกอย่างคือบุรุษหน้าด้านหน้ามึนเช่นเขาต่อให้พูดปากจะฉีกถึงรูหูคงไม่สะเทื
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร
“เซียนเซียน! เซียนเซียน ฟื้นสิเซียนเซียน” หลี่เหวินหลางร้องเรียกชื่อภรรยาด้วยความกระวนกระวายใจ ภายในอกของเขาร้อนรุ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวเหลือเกินว่านางจะเป็นอันใดไป กลัวสูญเสียนางอย่างไม่มีวันหวนกลับ ความกังวลฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา โชคยังดีที่เขามาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นกังวลมากกว่านี้“พาคุณหนุกลับจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ จะได้รีบตามท่านหมอมาดูอาการ” จื่อถิงบอกอย่างร้อนรนและกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน พลางมองเจ้านายสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุด น้ำตาเอ่อคลอไปทั่วดวงตาสวย เหตุใดจึงเกิดเรื่องกับคุณหนูทุกครั้งที่นางไม่ได้อยู่ด้วยก็ไม่รู้ โชคดีที่ทั้งนางและท่านแม่ทัพมาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางจะเป็นเช่นไร“รีบกลับจวนให้เร็วที่สุด!” หลี่เหวินหลางบอกคนขับรถม้าพร้อมทั้งอุ้มนางเข้าไปนั่งภายใน โอบกอดนางไว้อย่างหวงแหน มองดวงหน้าหวานด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุดก่อนหน้านี้หลี่เหวินหลางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าไปรายงานทุกอย่างให้องค์ฮ่องเต้รับรู้เรียบร้อยถึงการปราบโจรของตน หลังจากนั้นก็รีบพาตนเองออกจากวังหลวงอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดถ
“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ เจ้าอย่ามาโกหกข้า ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นคนคิด ในเมื่อพี่เหวินเป็นคนทำเขาก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าก็ด้วย ในเมื่อวันนี้ข้าสูญสิ้นไม่เหลืออะไร พวกเจ้าก็ต้องสูญสิ้นไม่เหลือสิ่งใดเช่นเดียวกัน อย่างไรวันนี้ทุกอย่างก็ต้องจบลง ไม่ข้าและเจ้าก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ครั้งที่แล้วข้าหวังให้เจ้าจมน้ำตายที่นี่ เพราะต้องการให้เจ้าทรมานถึงที่สุด กระทั่งหลังความตายก็ยังคงทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของกระแสน้ำ ได้แต่เหน็บหนาวแต่เพียงผู้เดียวไร้ซึ่งคนเหลียวแล ครั้งที่แล้วเป็นโชคดีของเจ้าที่ข้าทำไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนเดิม เจ้าต้องตาย ตายเพราะข้า!” โจวเฟิ่งจิ่วตวาดกร้าว ไป๋ฟางเซียนได้ฟังแล้วรู้ว่าถึงเจรจาต่อไปย่อมไม่เป็นผล ดังนั้นจึงโพล่งไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน เช่นไรนางก็เคยตายมาแล้ว ตายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเลยสักนิด ห่วงก็แต่หลี่เหวินหลาง หากนางจากไปเขาจะรู้สึกเช่นไร จะเสียใจหรือคิดถึงนางบ้างหรือไม่เท่านั้นเอง “ตายก็ตายสิ คนอย่างไป๋ฟางเซียนไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว หากข้าตาย เจ้าก็ต้องตายเช่นกัน” จบคำพูดของไป๋ฟางเซียนร่างของโจวเฟิ่วจิ่วก็พุ่งตรงเข้ามาหวังจะกร
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้านักหนาจึงได้คิดทำร้ายข้า”“ฮ่าฮ่า เพราะเจ้ามาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไปไงเล่า! คนไม่มีบิดามารดาเป็นกำพร้าเช่นเจ้า กล้าดีอย่างไรลงประกวดสาวงาม แย่งชิงตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจากข้าไป เท่านั้นยังไม่พอเจ้ายังเป็นคู่หมั้นของพี่เหวิน คิดอยากได้และครอบครองเขา เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าตนเองเหมาะสมกับบุรุษเก่งกล้าและรูปงามเช่นเขา แทนที่เจ้าจะสำนึกในบุญคุณของบิดามารดาของพี่เหวิน กล่าวยกเลิกงานหมั้นนั่นเสีย เจ้ากลับเร่งรัดให้ทุกอย่างเร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เจ้าก็รู้ตนเองดี ว่าพี่เหวินมิได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้วข้าจะให้คนหน้าด้านเช่นเจ้าเชิดหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับข้าได้เช่นไร คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าคิดเทียบเคียงข้ามาโดยตลอด หวังใช้ฐานะฮูหยินแม่ทัพตีเสมอข้าน่ะสิ หึ ไม่เจียมตน”“เจ้าบ้าไปแล้วโจวเฟิ่งจิ่ว ข้าไม่เคยคิดตีตนเสมอเจ้า ข้ารู้ตนเองดี เจ้าเอาแต่ว่าข้าแล้วเจ้าเล่าดีตรงไหน วัน ๆ ตามแต่คู่หมั้นของสหาย นอกจากไม่รู้สึกผิดแล้ว ยังคิดทำร้ายผู้อื่น นี่มันไม่น่ารังเกียจกว่าข้ารึ” ไป๋ฟางเซียนย้อนกลับทันควัน เพราะนางไม่ชอบให้ใครมาว่านางเช่นกัน แม้ว่าคนที่ถูก