ด้านเจ้านายเป็นอย่างไรบ้างสุดรู้ แต่ด้านข้ารับใช้ข้างกายของทั้งสองอย่างตงผิงและจื่อถิงนั้น บรรยากาศค่อนข้างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย สาวใช้คนสนิทของไป๋ฟางเซียนนั่งตัวเกร็งไม่ต่างจากผู้เป็นนาย เมื่อถูกคนสนิทของหลี่เหวินหลางจับข้อมือเดินออกมาจากร้านตระกูลฉิน และอุ้มนางขึ้นนั่งหลังม้าแล้วบังคับให้ม้าเดินอย่างช้า ๆ สองแก้มเนียนแดงปลั่งอย่างเคอะเขิน ยิ่งยามม้าขยับร่างกายของทั้งสองก็จะชิดใกล้เสียดสีกันมากขึ้น ชวนให้ใจหวิวเสียเหลือเกิน“นั่งตัวเกร็งเช่นนั้นเจ้าไม่เมื่อยรึ” ตงผิงเอ่ยถาม สองแขนก็โอบกอดนางไว้กลาย ๆ เพราะใช้มือจับบังเหียนม้า“ว่าเช่นไร ถามเหตุใดจึงไม่ตอบ” ตงผิงถามย้ำหลุบตามองคนในอ้อมแขนด้วยสายตาเรียบนิ่ง“อะ เอ่อ... ไม่ ไม่เมื่อยเจ้าค่ะ” จื่อถิงละล่ำละลักตอบกลับ แล้วก้มหน้างุดซ่อนวงแก้มแดงระเรื่อเอาไว้ แม้ว่านางจะก้มเช่นไรก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของตงผิงได้อยู่ดี เขามองนางด้วยสายตาอ่อนโยนขึ้นน่ารักจริง ๆถึงจะเห็น ตงผิงก็ไม่คิดเปิดโปงให้นางอับอายไปมากกว่านี้ เขายังคงบังคับให้ม้าเดินต่อไปอย่างช้า ๆ ผู้คนในตลาดล้วนจับตามองคนทั้งสอง สายตาของพวกเขามองมาที่คนทั้งคู่ ประหนึ่งว่ากำลังมองคู่
จื่อถิงเดินยิ้มกริ่มเข้าไปหาไป๋ฟางเซียนที่เรือนเหมยกุ้ย หากเข้าไปที่ห้องนอนแล้วกลับเห็นผู้เป็นนายนั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับแค้นเคืองใครอยู่ก็ไม่ปาน ทว่าไม่ต้องถามก็รู้ว่าใครคือสาเหตุนี้“คุณหนู... เป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ” จื่อถิงเอ่ยถามเสียงอ่อน มองผู้เป็นเจ้านายสาวอย่างเป็นห่วง“ไม่เป็นไรหรอกจื่อถิง ข้าแค่โมโหคน” ไปฟางเซียนหันมาตอบ แล้วก็หันไปใส่อารมณ์กับหมอนที่นางหนุนนอนเป็นประจำแทน จื่อถิงมองด้วยความอ่อนใจ ก่อนขอไปทำหน้าที่ของนาง ซึ่งไป๋ฟางเซียนก็ไม่ได้ห้ามอะไรคล้อยหลังจื่อถิง ไป๋ฟางเซียนพยายามสงบสติอารมณ์ด้วยการหยิบกระดาษวาดรูปขึ้นมาเตรียมพร้อมวาดแบบชุด ทว่าไม่ว่าจะพยายามทำให้ตนเองใจเย็นเช่นไร นางก็ไม่หายโมโหบุรุษปากร้ายเสียที สุดท้ายจึงได้แต่ระบายความแค้นลงบนกระดาษเปล่า แล้วภาพที่ปรากฏในนั้นก็ทำให้นางหัวเราะจนน้ำตาไหลอย่างมีความสุขจื่อถิงหลังจากทำงานในส่วนของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงรีบมารับใช้ไป๋ฟางเซียนต่อ อันที่จริงนางไม่ได้มีหน้าที่อะไรมากมายนัก เพราะหน้าที่หลักของนางคือการรับใช้ใกล้ชิดไป๋ฟางเซียน ที่นางขอตัวไปทำงานก็เพียงแค่ไปช่วยงานส่วนอื่นเท่านั้น เมื่อเดินกลับเข้ามาในห
ยามซวี[1] ภายในห้องนอนของไป๋ฟางเซียน เจ้าของห้องกำลังนั่งร่างแบบอาภรณ์ชุดใหม่อยู่ นางนั่งทำงานของตนเองตั้งแต่กินข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นเวลานับชั่วยาม[2] เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกเมื่อยล้า จึงได้หยุดมือเก็บของเข้าที่ ไล่จื่อถิงออกจากห้องนอนไป เพราะตนต้องการพักผ่อนแล้วร่างบอบบางบิดตัวไปมาอย่างเมื่อยล้าในขณะที่กำลังจะขึ้นเตียงประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออก ครั้นเห็นคนที่เดินเข้ามาใหม่ดวงตากลมโตของนางก็เบิกกว้างขึ้น กระทั่งเขาเดินเข้ามาใกล้แล้วนางถึงตั้งสติได้ “ท่านมาที่ห้องข้าทำไม”“ข้าจะนอนห้องนี้”“ได้อย่างไร ห้องท่านก็มีกลับไปนอนที่ห้องท่านสิ” ไป๋ฟางเซียนแย้งอย่างไม่ยินยอมระคนไม่เข้าใจเขาด้วย “ห้องภรรยาก็นับเป็นห้องของสามีเช่นกัน ข้าจะนอนห้องนี้”ไป๋ฟางเซียนมองหลี่เหวินหลางบุรุษหน้าด้านที่เข้ามาในห้องนอนของนางโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเหลือเชื่อ นางหลุบตามองเขาขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่เช่นนั้น ก่อนจะจ้องไปที่ดวงตาคมดุคู่นั้นอย่างไม่ยินยอม แต่แล้วก็ต้องยอมแพ้ไป เนื่องจากว่าวันนี้รู้สึกเหนื่อยล้าอยากนอนหลับพักผ่อนเต็มทน อีกอย่างคือบุรุษหน้าด้านหน้ามึนเช่นเขาต่อให้พูดปากจะฉีกถึงรูหูคงไม่สะเทื
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปที่ไป๋ฟางเซียนรู้สึกเบื่อยิ่งนัก เห็นสิ่งใดก็ขัดหูขัดตาไปเสียหมด ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่านางอุดอู้อยู่แต่ในจวน อยากไปดูความคืบหน้าที่ร้านเฟยเจินของตนก็ไม่สามารถทำได้ ส่วนสาเหตุมาจากผู้ใดคงพอคาดเดาได้ใช่หรือไม่ ทุกอย่างเป็นเพราะหลี่เหวินหลาง เขาบอกบิดามารดาของตนว่า ไป๋ฟางเซียนออกจากจวนบ่อยจนเกินไปในช่วงนี้ ทั้งยังติดต่อสนทนากับบุรุษอื่น แม้จะเป็นเรื่องงานหรือสหายก็นับว่าไม่สมควร เนื่องจากบุรุษผู้เป็นสามีไม่ได้อยู่รับรู้ด้วย เหตุนี้ทำให้ผู้คนมากหน้าหลายตาภายนอกต่างพูดคุยกันปากต่อปากถึงเรื่องนี้ แน่นอนเรื่องที่พวกเขาพูดล้วนเป็นด้านลบครั้นบิดามารดาบุญธรรมทั้งสองได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายใจยิ่ง หากก็เข้าใจในการกระทำของไป๋ฟางเซียน และมั่นใจว่านางไม่มีทางประพฤติตัวเสียหายเด็ดขาด เพียงแต่ว่าต่อให้ไม่ใช่เรื่องจริง แต่มีคนพูดจาว่าร้ายเช่นนี้พวกท่านก็ไม่ใคร่พอใจนักไม่พอใจที่คนพวกนั้นพูดมากเกินไป และกังวลในชื่อเสียงของลูกสาวบุญธรรมผู้มีศักดิ์เป็นสะใภ้คนโปรดของตนหลี่เหวินหลางเห็นท่าทีของบิดามารดาก็รู้สึกพอใจยิ่ง เขาเสนอความคิดเห็นที่คิดมาอย่างดีแล้วทันที ความคิดเห็นที่ว่า‘ท่านพ่อท่า
“ขอโทษแทนเขาด้วย เขาแค่หยอกเจ้าเล่นเท่านั้น” นางจึงหันไปขอโทษสหายตนแทน ทว่านั่นยิ่งทำให้หลี่เหวินหลางไม่พอใจมากกว่าเดิม“จริงสิเจ้าเอาของมาให้ข้าไม่ใช่หรือ เอาออกมาเร็วเข้า ข้าอยากดูยิ่ง แล้วก็นะเจ้าสบายใจได้ ข้าสบายดี แค่มีข่าวไม่ดีนิดหน่อยจึงต้องอยู่เงียบ ๆ ในจวนชั่วคราวน่ะ คาดว่าอีกวันสองวันก็ไปตลาดได้แล้วละ”“ดียิ่ง เอาเป็นว่าเจ้าออกจากจวนเมื่อไหร่ก็ให้คนไปแจ้งข้าเล่า ข้าจะได้พาหลินหลินมาแนะนำให้รู้จัก” ดวงตาของไป๋ฟางเซียนพราวระยับพยักหน้ารับด้วยความตื่นเต้นทันที หลี่เหวินหลางมองแล้วขัดตายิ่งนัก แต่ก็ไม่อยากพูดแทรก เพราะกลัวว่าตนจะพลาดข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ที่คนทั้งสองจะพูดคุยกัน“ไหนเล่าของที่ข้าสั่ง เอามาสิข้าจะได้ดู” ไป๋ฟางเซียนเอ่ยเร่งรัดจนหยางตงเยว่ส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ ก่อนจะหันไปหาคนสนิทให้นำของสิ่งนั้นที่เขาถืออยู่ให้ตน เสร็จแล้วจึงยื่นมาให้นางระหว่างที่ไป๋ฟางเซียนกำลังยื่นมือขาวผ่องของตนเองออกไปรับก็ทำได้แค่จับอากาศเท่านั้น เพราะสิ่งของที่นางสั่งไว้ถูกมือใหญ่ของหลี่เหวินหลางคว้าจับไปเสียแล้ว นางหันไปมองเขาอย่างไม่พอใจพลันอ้าปากเตรียมต่อว่าก็ต้องหุบฉับลง เพราะเขายื่นของดัง
ใบหน้าของหลี่เหวินหลางสะบัดหันไปตามแรงตบ ไป๋ฟางเซียนจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแดงก่ำ มือของนางสั่นระริกอย่างพยายามระงับอารมณ์โกรธเขาดูถูกนางเกินไปแล้ว เกินไปแล้วจริง ๆหลี่เหวินหลางค่อย ๆ หันหน้ากลับมามองไป๋ฟางเซียนช้า ๆ นัยน์ตาของเขาลุกโชนไปด้วยไฟโทสะ นางถึงกับกล้าตบหน้าเขา ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีผู้ใดกล้ามาก่อน นางไปเอาความมั่นใจและความกล้ามาจากไหน ความไม่พอใจ ความหงุดหงิดผสมปนเปจนกลายเป็นความโกรธ สายตาเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ถูกส่งออกไปพร้อมกับเค้นเสียงถามนางว่า“เจ้ากล้าตบข้า” ชายหนุ่มไม่ได้ตะคอกเสียงถาม แต่กลับถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเรียบนิ่งเสียจนน่ากลัว กระทั่งตงผิงและจื่อถิงที่อยู่ใกล้ ๆ ยังอดขนลุกชันไม่ได้ ทั้งสองลอบสบตากันเงียบ ๆ และด้วยความเป็นห่วงคุณหนูของตนนางจึงทำท่าจะเอ่ยปาก เพียงแต่ว่า“ตงผิงพาสาวใช้นางนี้ออกไป” แน่นอนว่าตงผิงรีบทำตามคำสั่งทันที แม้ว่าจื่อถิงจะไม่ยินยอม แต่แรงสตรีและบุรุษนั้นต่างกันมาก สุดท้ายตงผิงก็พาจื่อถิงออกจากศาลาหลังน้อยได้บรรยากาศในศาลาพลันร้อนระอุขึ้น ร้อนยิ่งกว่าแสงแดดที่กำลังส่องกระทบตอนนี้เสียอีก ทั้งสองจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ไป๋ฟางเซีย
“เป็นเช่นไร อึ้งไปเลยใช่หรือไม่ จะบอกให้รู้เอาไว้นะว่า ข้าหาได้รักท่านไม่ เมื่อก่อนเป็นข้าเองที่หลงผิด จึงหลงมัวเมาในความรูปงามของท่าน หลงจนหน้ามืดตามัว เป็นเหตุให้ทำตัวร้าย ๆ ชื่อเสียงที่เลื่องลือออกไปจึงไม่ค่อยดี ทว่าตอนนี้ข้าตาสว่างแล้ว และรู้ได้ด้วยตนเองว่าต่อให้หน้าตาดีก็ใช่ว่านิสัยจะดีด้วย และไม่ว่าข้าจะเพียรพยายามสักเท่าใด ท่านก็ไม่มีวันรักข้า ท่านไม่เคยสนใจไยดีข้า ซ้ำร้ายยังมีแต่รังเกียจข้า มอบสายตาเดียดฉันท์ให้ข้ามาโดยตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมข้าต้องทนให้ท่านต่อว่า ทนรับสายตาเช่นนั้นจากท่านกัน ไหน ๆ ท่านก็ไม่ได้รักข้าสู้ข้าไปหาคนที่รักข้าไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยคนผู้นั้นคงเอาใจใส่ข้า และทำให้ข้ามีความสุขบ้าง และเมื่อความรู้สึกของข้าชัดเจนเช่นนี้แล้ว เหตุใดต้องจำทนอยู่เล่า จะหย่ากันก็เหมาะสมแล้วไม่ใช่หรือ เกลียดกันนักก็หย่า ๆ กันไปเลย เรื่องระหว่างข้ากับท่านจะได้จบลงเสียที!” นางพูดกระแทกกระทั้น“ท่านไม่ต้องห่วง หลังจากที่หย่ากันแล้ว ข้าจะเป็นคนปล่อยข่าวเองว่าที่ข้าหย่าออกมา เพราะว่าข้าให้ความสุขต่อสามีไม่ได้ และเรื่องงามหน้าหลาย ๆ อย่างข้าจะรับไว้เอง ดังนั้น หย่าให้ข้าซะ!”“หย
ไป๋ฟางเซียนกระตุกยิ้มมุมปาก แววตาของนางฉายความเจ้าเล่ห์ ก่อนที่นางจะกระโดดขึ้นไปนั่งลงบนตักแกร่งของหลี่เหวินหลาง สองแขนเรียวคล้องคอแม่ทัพหนุ่มไว้แน่น พลางเอนซบใบหน้าหวานบนไหล่กว้าง ช้อนสายตาขึ้นมองเขาอีกครั้งอย่างสื่อความนัยหลี่เหวินหลางขมวดคิ้วมองดูการกระทำของคนตัวเล็กแล้วอดส่ายหน้าไม่ได้ นางทำราวกับว่าเมื่อครู่เขาและนางไม่ได้ทะเลาะ หรือส่งสายตาเชือดเฉือน สาดวาจาว่าร้ายกันเสียอย่างนั้น ช่างเปลี่ยนอารมณ์ไวเสียจริง ช่างน่านับถือ แม่ทัพหนุ่มสลัดความคิดทั้งหมดออกไปแล้วหลุบสายตาลงต่ำมองการกระทำของนางอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้งหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงได้ผลักนางกระเด็นออกไปแล้ว ทว่าตอนนี้กลับไม่รู้สึกอยากผลักไสเลยแม้แต่นิดเดียว กระทั่งว่าอยากให้นางทำเช่นนี้กับเขาต่อไปเรื่อย ๆ เพียงแต่ว่านางทำเช่นนี้ตอนนี้คงไม่เหมาะกระมัง นางจะทำเช่นนี้กับเขาเมื่อไหร่เวลาใดย่อมได้ แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้! ไม่ใช่ตอนที่สตรีอีกนางกำลังจะเข้ามา ความกังวลของแม่ทัพหนุ่มฉายชัด สมองสั่งให้จับนางออกแต่ร่างกายกับไม่ยอมทำตาม ทั้งหัวใจยังไม่ยินยอมหากว่าเขาจะทำเช่นนั้นจริง ไป๋ฟางเซียนหาได้สนใจเขาไม่ ยิ่งเห็นเขากระวนกระวายนางยิ่
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร
“เซียนเซียน! เซียนเซียน ฟื้นสิเซียนเซียน” หลี่เหวินหลางร้องเรียกชื่อภรรยาด้วยความกระวนกระวายใจ ภายในอกของเขาร้อนรุ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวเหลือเกินว่านางจะเป็นอันใดไป กลัวสูญเสียนางอย่างไม่มีวันหวนกลับ ความกังวลฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา โชคยังดีที่เขามาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นกังวลมากกว่านี้“พาคุณหนุกลับจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ จะได้รีบตามท่านหมอมาดูอาการ” จื่อถิงบอกอย่างร้อนรนและกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน พลางมองเจ้านายสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุด น้ำตาเอ่อคลอไปทั่วดวงตาสวย เหตุใดจึงเกิดเรื่องกับคุณหนูทุกครั้งที่นางไม่ได้อยู่ด้วยก็ไม่รู้ โชคดีที่ทั้งนางและท่านแม่ทัพมาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางจะเป็นเช่นไร“รีบกลับจวนให้เร็วที่สุด!” หลี่เหวินหลางบอกคนขับรถม้าพร้อมทั้งอุ้มนางเข้าไปนั่งภายใน โอบกอดนางไว้อย่างหวงแหน มองดวงหน้าหวานด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุดก่อนหน้านี้หลี่เหวินหลางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าไปรายงานทุกอย่างให้องค์ฮ่องเต้รับรู้เรียบร้อยถึงการปราบโจรของตน หลังจากนั้นก็รีบพาตนเองออกจากวังหลวงอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดถ
“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ เจ้าอย่ามาโกหกข้า ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นคนคิด ในเมื่อพี่เหวินเป็นคนทำเขาก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าก็ด้วย ในเมื่อวันนี้ข้าสูญสิ้นไม่เหลืออะไร พวกเจ้าก็ต้องสูญสิ้นไม่เหลือสิ่งใดเช่นเดียวกัน อย่างไรวันนี้ทุกอย่างก็ต้องจบลง ไม่ข้าและเจ้าก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ครั้งที่แล้วข้าหวังให้เจ้าจมน้ำตายที่นี่ เพราะต้องการให้เจ้าทรมานถึงที่สุด กระทั่งหลังความตายก็ยังคงทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของกระแสน้ำ ได้แต่เหน็บหนาวแต่เพียงผู้เดียวไร้ซึ่งคนเหลียวแล ครั้งที่แล้วเป็นโชคดีของเจ้าที่ข้าทำไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนเดิม เจ้าต้องตาย ตายเพราะข้า!” โจวเฟิ่งจิ่วตวาดกร้าว ไป๋ฟางเซียนได้ฟังแล้วรู้ว่าถึงเจรจาต่อไปย่อมไม่เป็นผล ดังนั้นจึงโพล่งไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน เช่นไรนางก็เคยตายมาแล้ว ตายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเลยสักนิด ห่วงก็แต่หลี่เหวินหลาง หากนางจากไปเขาจะรู้สึกเช่นไร จะเสียใจหรือคิดถึงนางบ้างหรือไม่เท่านั้นเอง “ตายก็ตายสิ คนอย่างไป๋ฟางเซียนไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว หากข้าตาย เจ้าก็ต้องตายเช่นกัน” จบคำพูดของไป๋ฟางเซียนร่างของโจวเฟิ่วจิ่วก็พุ่งตรงเข้ามาหวังจะกร
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้านักหนาจึงได้คิดทำร้ายข้า”“ฮ่าฮ่า เพราะเจ้ามาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไปไงเล่า! คนไม่มีบิดามารดาเป็นกำพร้าเช่นเจ้า กล้าดีอย่างไรลงประกวดสาวงาม แย่งชิงตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจากข้าไป เท่านั้นยังไม่พอเจ้ายังเป็นคู่หมั้นของพี่เหวิน คิดอยากได้และครอบครองเขา เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าตนเองเหมาะสมกับบุรุษเก่งกล้าและรูปงามเช่นเขา แทนที่เจ้าจะสำนึกในบุญคุณของบิดามารดาของพี่เหวิน กล่าวยกเลิกงานหมั้นนั่นเสีย เจ้ากลับเร่งรัดให้ทุกอย่างเร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เจ้าก็รู้ตนเองดี ว่าพี่เหวินมิได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้วข้าจะให้คนหน้าด้านเช่นเจ้าเชิดหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับข้าได้เช่นไร คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าคิดเทียบเคียงข้ามาโดยตลอด หวังใช้ฐานะฮูหยินแม่ทัพตีเสมอข้าน่ะสิ หึ ไม่เจียมตน”“เจ้าบ้าไปแล้วโจวเฟิ่งจิ่ว ข้าไม่เคยคิดตีตนเสมอเจ้า ข้ารู้ตนเองดี เจ้าเอาแต่ว่าข้าแล้วเจ้าเล่าดีตรงไหน วัน ๆ ตามแต่คู่หมั้นของสหาย นอกจากไม่รู้สึกผิดแล้ว ยังคิดทำร้ายผู้อื่น นี่มันไม่น่ารังเกียจกว่าข้ารึ” ไป๋ฟางเซียนย้อนกลับทันควัน เพราะนางไม่ชอบให้ใครมาว่านางเช่นกัน แม้ว่าคนที่ถูก