ตระกูลหยาง คือหนึ่งในตระกูลที่รับใช้ราชวงศ์มาช้านาน บุตรหลานทั้งสายหลักสายรองล้วนรับราชการกันหมดทั้งสิ้น นอกจากนี้ตระกูลหยางยังเป็นตระกูลที่รับผิดชอบการสร้างอาวุธให้กับแคว้น ว่ากันว่าอาวุธของตระกูลหยางนั้นพิเศษมาก เพราะนอกจากจะสวยงามแล้ว อาวุธแต่ละชิ้นล้วนร้ายกาจ ความคมของมันย่อมเป็นหนึ่งไม่มีสอง ทั้งนี้หากใครสั่งทำอาวุธกับตระกูลหยางก็จะได้แบบพิเศษและงดงามไม่เหมือนใคร ผู้คนล้วนอยากครอบครองอาวุธของตระกูลหยางทั้งสิ้น
ถึงแม้ว่าตระกูลหยางจะรับใช้ราชวงศ์ เป็นหนึ่งในหัวเรือใหญ่ในราชสำนักก็จริง ทว่าพอมารุ่นบิดาของหยางตงเยว่อย่าง ‘หยางเฉียน’ ก็ไม่ได้เข้ารับราชการเช่นบรรพบุรุษแล้ว เขาหันมาเอาดีด้านการค้าแทน คราแรกราชวงศ์และองค์ฮ่องเต้ทรงไม่เห็นด้วย แต่ตระกูลหยางยืนยันว่าถึงจะออกจากราชสำนักก็ยังขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้เช่นเดิม และยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีจิตคิดเป็นอื่น หากพระองค์ประสงค์สิ่งใดแน่นอนว่าตระกูลหยางจะรีบทำตามรับสั่งทันที และที่สำคัญหยางเฉียนให้เหตุผลว่าตนชอบทำการค้ามากกว่า
ดังนั้นไม่ว่าองค์ฮ่องเต้ผู้ที่เป็นเจ้าครองแคว้นจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร บิดาของหยางตงเยว่ก็ยังยืนยันคำเดิม พระองค์จึงได้แต่จำใจปล่อยตัวหยางเฉียนออกจากราชสำนัก มอบชีวิตอิสระตามที่หยางเฉียนปรารถนา ถึงจะบอกว่าปล่อยให้ใช้ชีวิตอิสระ แต่ก็ใช่ว่าองค์ฮ่องเต้จะปล่อยไปเฉย ๆ เพราะการปล่อยขุนนางที่มีความเก่งกาจอันดับต้น ๆ หลุดรอดออกจากราชสำนักเป็นธรรมดาที่ต้องหวาดระแวง พระองค์จึงสั่งให้อดีตแม่ทัพ นั่นก็คือบิดาของหลี่เหวินหลาง หรือ หลี่เหวินชิงคอยจับตาดูตระกูลหยางอย่างใกล้ชิด เวลาล่วงเลยไปกว่าสิบปี องค์ฮ่องเต้ถึงค่อยวางพระทัยลงได้ จากนั้นจึงยกเลิกคำสั่งไม่ให้จับตาดูตระกูลหยางอีก
และนอกจากตระกูลหยางจะทำการค้าเช่นการตีเหล็กหลอมสร้างอาวุธแล้ว อีกหนึ่งกิจการที่โด่งดังและประสบผลสำเร็จไม่แพ้กันคือ กิจการของโรงเตี๊ยมตระกูลหยาง
แต่ก่อนที่หยางเฉียนริเริ่มกิจการค้าอาหารนี้ไม่ใช่โรงเตี๊ยมเช่นปัจจุบันแต่อย่างใด ในครานั้นหยางเฉียนทำแค่เหลาอาหารเล็ก ๆ พอเสียงตอบรับดีขึ้นถึงได้ขยายกิจการ และกลายมาเป็นโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของเมืองหลวงในปัจจุบัน
โรงเตี๊ยมตระกูลหยางนี้ ขึ้นชื่อเรื่องที่พักและอาหารอย่างมาก นอกจากจะมีรสชาติอร่อยแล้วยังแปลกใหม่ และนี่เองที่ทำให้ไป๋ฟางเซียนอยากลิ้มลอง ส่วนที่พักคงไม่มีโอกาส...
หากสงสัยว่าไป๋ฟางเซียนรู้ได้อย่างไรคงได้คำตอบเดิม นั่นก็คือความทรงจำของเจ้าของร่าง แม้ไป๋ฟางเซียนคนเก่าจะไม่ค่อยได้ออกจากจวน แต่เรื่องราวในแคว้นและตระกูลใหญ่ทั้งหลายนางย่อมรู้ดี นี่จึงทำให้ไป๋ฟางเซียนไม่ต้องทำความรู้จักหรือทำความเข้าใจใหม่ตั้งแต่แรก แค่อาศัยความทรงจำก็เพียงพอที่จะแยกแยะได้ว่าตระกูลไหนควรยุ่งหรือไม่ควรยุ่ง
สิ่งที่ไป๋ฟางเซียนคิดไม่ถึงคือนางจะได้เจอทายาทของตระกูลหยางวันนี้ ซ้ำยังได้คบหากันเป็นสหายด้วย เรื่องราวช่างบังเอิญจริง ๆ อย่างไรก็ตาม แม้ความสัมพันธ์สหายนี้จะได้มาแบบงง ๆ แต่นางก็ไม่คิดปฏิเสธ การรู้จักและเป็นมิตรกับตระกูลใหญ่นั้นนับว่าดียิ่ง ในยุคสมัยนี้หากเป็นมิตรกับตระกูลเรืองอำนาจไม่ได้ก็อย่าได้เป็นศัตรู แล้วการที่หยางตงเยว่เสนอให้คบหากันเป็นสหายนางจะปฏิเสธได้อย่างไรเล่า หากนางปฏิเสธก็โง่เต็มทนแล้ว
เหนือสิ่งอื่นใดไป๋ฟางเซียนรู้ดีว่าการได้คบหาเป็นสหายกับหยางตงเยว่นับว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่ง เพราะหลังจากนี้นางคงได้ขอความช่วยเหลือ หรือทำการค้ากันบางประการแน่นอน โดยเฉพาะอาวุธ ไป๋ฟางเซียนอยากได้อาวุธเฉพาะตน เจ้าของร้านอยู่ตรงหน้านางจะไม่สั่งทำได้อย่างไร และอีกอย่างสหายคนนี้ก็นับว่าหล่อเหลาเอาการ หน้าตาคล้ายคลึงอี้ป๋อในโลกเดิมหลายส่วน เป็นเช่นนี้นางจะปฏิเสธไม่ทำความรู้จักได้อยู่หรือ
ในโลกเดิมไม่ได้แม้แต่จะใกล้ชิดและจับมือ โลกนี้ได้เป็นสหายนับว่าคุ้มค่าแล้ว
“เจ้าเหม่ออันใด” หยางตงเยว่เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าสหายคนใหม่ที่ตนถูกชะตาตั้งแต่เห็นหน้าเงียบไป
“เปล่าหรอก”
“เปล่าอันใด ข้ามองดูเจ้านานแล้วเจ้าก็ยังนิ่ง ราวกับคิดสิ่งใดอยู่ก็ไม่ปาน”
“เอาน่า... เจ้าอย่าสนใจเลย ใช่ว่าเจ้าจะเลี้ยงข้าวข้าหรือ ไปสิ ข้าหิวแล้ว”
หยางตงเยว่แม้จะไม่เชื่อในคำพูดของนาง แต่ก็ไม่ได้ซักถามให้อีกฝ่ายต้องอึดอัดใจ เพราะคิดว่าเพิ่งจะรู้จักกัน หากถามละลาบละล้วงเกินไปคงไม่สมควรนัก สุดท้ายจึงได้แต่ยอมพยักหน้ารับและเดินตรงไปยังโรงเตี๊ยมของตระกูลตนเองด้วยกัน
เค่อ[1] ต่อมาทั้งสี่ก็มาถึงโรงเตี๊ยมอันดับหนึ่ง ไป๋ฟางเซียนมองโรงเตี๊ยมเบื้องหน้าอย่างพอใจ เพราะทุกอย่างถูกจัดสรรเป็นสัดเป็นส่วนได้อย่างลงตัว และที่นางชื่นชอบมากเป็นพิเศษคือผู้คนไม่วุ่นวาย
ชั้นล่างของโรงเตี๊ยมมีไว้สำหรับลูกค้าทั่วไปที่ต้องการทานอาหารรสเลิศ ชั้นสองสำหรับลูกค้าที่ต้องการหลีกเลี่ยงความวุ่นวายหรือต้องการความเป็นส่วนตัว ส่วนชั้นสามเป็นชั้นสำหรับต้อนรับลูกค้าพิเศษหรือลูกค้าที่มีฐานะไม่ธรรมดา ชั้นนี้นอกจากจะมีห้องรับรองแบบส่วนตัวแล้วยังเป็นชั้นสำหรับที่พักด้วย ซึ่งจะแยกกันอยู่คนละส่วนชัดเจน
แม้ไป๋ฟางเซียนอยากจะขึ้นไปที่ชั้นสามแต่ก็รู้ว่านั่นไม่ใช่การกระทำที่สมควร ถึงนางกับหยางตงเยว่จะคบหากันเป็นสหาย แต่การหายเข้าไปในห้องนานสองนานแม้จะมีคนสนิทเข้าไปด้วยก็ไม่ใช่เรื่องดี นางจึงได้ตัดใจอย่างเสียดาย ไว้มีโอกาสค่อยขึ้นไปเยี่ยมชมและทดลองใช้ห้องพิเศษก็ยังไม่สาย
“เจ้าต้องการกินอาหารชนิดใดเล่า” หยางตงเยว่ถามขึ้นเมื่อเข้ามานั่งโต๊ะห่างไกลผู้คนที่บริเวณชั้นสองเรียบร้อยแล้ว
“แน่นอนว่าต้องเป็นอาหารเลิศรส”
“ฮ่าฮ่า โรงเตี๊ยมตระกูลข้าอาหารย่อมเลิศรสทุกอย่างอยู่แล้ว”
“งั้นเจ้าก็เป็นคนสั่งเถิด ข้าไม่ค่อยออกจากจวนจึงไม่รู้จะสั่งอะไร” ไป๋ฟางเซียนตอบเพราะนางไม่รู้จะสั่งอะไรจริง ๆ
“ได้ เอาอาหารขึ้นชื่อมาสักสามสี่อย่างและชาอย่างดีมารับรองข้ากับสหายด้วยเล่า”
“ขอรับคุณชาย”
หยางตงเยว่สั่งความต้องการกับเสี่ยวเอ้อร์ที่เข้ามาดูแลตนเองกับสหายตั้งแต่ที่มาถึง พอเสี่ยวเอ้อร์ออกไปจึงหันมาสนทนากับสหายสตรีคนแรกที่เขานึกถูกใจ
“ว่าแต่เจ้าเถอะ ออกจากจวนมาโดยไร้เงาท่านแม่ทัพเช่นนี้จะไม่ถูกว่าเอาหรือ” นี่คือสิ่งที่เขาสงสัย เพราะถึงแม้ว่าจะเพิ่งเคยเห็นหน้ากัน แต่ชื่อเสียงและสถานะของอีกฝ่ายที่ออกเรือนแล้วเขาย่อมต้องรู้
“เขาจะว่าอันใดข้ากัน ข้ามิใช่สตรีในดวงใจเขาเสียหน่อย” ไป๋ฟางเซียนตอบด้วยความหงุดหงิด แค่ได้ยินชื่อของหลี่เหวินหลางบุรุษงี่เง่าเอาแต่ใจผู้นั้น อารมณ์ที่ดีในตอนแรกก็หายไปในพริบตา
“หมายความว่าเช่นใด” หยางตงเยว่ถามอย่างไม่แน่ใจ นี่อย่าบอกนะว่าข่าวลือที่คนทั้งเมืองพูดกันเป็นเรื่องจริง
“ก็หมายความตามนั้นแหละ เจ้าอย่าสนใจเลย” ไป๋ฟางเซียนไม่อธิบายแต่หยางตงเยว่ก็เข้าใจ คงเป็นจริงอย่างที่คนลือไว้
‘แม่ทัพหนุ่มรูปงามต้องจำใจแต่งงานกับบุตรสาวบุญธรรมของบิดามารดาทั้งที่ไม่ได้รัก ซ้ำร้ายยังรังเกียจสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาจนไม่สามารถร่วมหอลงโรงได้ เป็นเหตุให้คืนเข้าหอเจ้าสาวต้องนอนเหงาเปล่าเปลี่ยวเพราะเจ้าบ่าวหนีไปอยู่ที่อื่น ทั้งคืนต่อ ๆ มาเจ้าบ่าวก็ไม่คิดกลับไปนอนที่จวน ต้องทนลำบากอยู่กินที่ค่ายทหารเพราะไม่อาจทนเห็นหน้าสตรีที่เป็นภรรยาได้’
นี่คือคำเล่าลือที่หยางตงเยว่ได้ยินมาร่วมเดือน แต่เรื่องของสามีภรรยาจะเป็นเช่นไรก็ช่างเถิด ตอนนี้นางเป็นสหายเขา เขาจะไม่ยอมให้ใครมาว่ากล่าวนางได้อีก
สหายของทายาทตระกูลหยางใช่คนที่เจ้ามาหาเรื่องได้หรือ?
นี่คือสิ่งที่หยางตงเยว่คิด ซึ่งแน่นอนว่าไป๋ฟางเซียนไม่รับรู้เพราะตอนนี้นางกำลังสนใจอาหารมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้ามากกว่า
นางแปลกใจ แต่ไม่ได้แปลกตา...
[1] เค่อ เท่ากับ 15 นาที
“มีอันใดหรือ”“อาหารพวกนี้ล้วนแปลกตาเสียจริง” ไป๋ฟางเซียนตอบอย่างคนทั่วไปที่เห็นอาหารตรงหน้าครั้งแรก เพราะหากไม่ตอบอันใดเลยนางคงจะแปลกแยกเกินไป ซึ่งอาหารชั้นนำของโรงเตี๊ยมตระกูลหยางที่หยางตงเยว่ได้สั่งมานั้นประกอบไปด้วย เต้าหู้ทอด ซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน ไก่ผัดถั่วลิสง เปาะเปี๊ยะ และปลากะพงนึ่ง นอกจากนี้ยังมีอาหารอีก 2-3 อย่างขึ้นโต๊ะ แต่ฟางเซียนไม่ได้สนใจมากนัก เพราะเป็นอาหารจานผักธรรมดาหลังจากเห็นรายการอาหารนางก็แปลกใจอย่างมาก ด้วยไม่คิดว่ายุคสมัยนี้จะมีอาหารคุ้นตาที่นางกินประจำในยุคสมัยที่จากมา“รสชาติดียิ่ง” หลังจากคีบหมูผัดเปรี้ยวหวานขึ้นมากิน รสชาติคุ้นเคยก็อบอวลอยู่ในปากของนาง ก่อนที่จะคีบอาหารที่เหลือมาชิมบ้างจึงพบว่าทั้งหมดล้วนรสชาติดีจนต้องเอ่ยชมหยางตงเยว่เห็นสหายคนใหม่พอใจกับรสชาติอาหารจึงยืดอกรับด้วยความภูมิใจ ก่อนจะลังเลเล็กน้อยแล้วพูดความลับบางอย่างให้นางฟัง“แน่นอนสิ ถ้าอาหารโรงเตี๊ยมข้าไม่อร่อยจะมีที่ไหนอร่อยอีกเล่า แม้แต่ในวังรสชาติเช่นนี้ใช่ว่าเจ้าจะได้กินนะ”“อ๋อเหรอ”“ก็ใช่น่ะสิ... อันที่จริงอาหารพวกนี้ไม่ใช่โรงเตี๊ยมข้าคิดเองหรอกนะ แต่ข้าซื้อสูตรมาจากตระกูลฮุ่
“ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าหากนางฟางเซียนกลับถึงจวนแล้วจะทำหน้าเช่นใด แล้วพี่เหวินจะทำสิ่งใดกับมันบ้าง หึ!” โจวเฟิ่งจิ่วพูดด้วยแววตามาดร้ายและมีความสุขในคราวเดียวกัน ในขณะที่มือก็ม้วนผมยาวสลวยของตนเองเล่นไปมา“จะเป็นอย่างไรเล่าเจ้าคะคุณหนู ก็ต้องถูกท่านแม่ทัพต่อว่าอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ลี่หวา สาวใช้คนสนิทพูดเอาใจเจ้านายของตนพร้อมมองหน้าอย่างสื่อความหมาย“นั่นสินะ มันจะต้องถูกพี่เหวินต่อว่าอยู่แล้ว เดิมทีพี่เหวินก็เกลียดชังมันเสียยิ่งกว่าอะไร นี่มันออกจากจวนไปเดินหัวร่อต่อกระซิกกับบุรุษอื่นที่ไม่ใช่สามีตนเองให้ชาวบ้านเห็น อย่างไรก็ต้องถูกต่อว่าเป็นธรรมดา แทนที่จะเจียมตัวให้พี่เหวินสงสาร กลับทำให้พี่เหวินรังเกียจและเกลียดมากยิ่งขึ้น ข้าละสงสารท่านแม่ของพี่เหวินเสียจริงที่เลี้ยงดูนางมาเสียข้าวสุกเช่นนี้ นางช่างไม่รู้ความ ไม่รู้หรือไรว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ”“จริงเจ้าค่ะคุณหนู ทั้งที่ตัวเองแต่งงานแล้วแท้ ๆ ยังมีหน้าสนิทสนมกับชายอื่นอีก น่าละอายนักเจ้าค่ะ”โจวเฟิ่งจิ่วปรายตามองลี่หวาสาวใช้คนสนิทอย่างพอใจกับคำพูดของนาง ก่อนจะตกรางวัลด้วยเงินตำลึงสองเหรียญ จากนั้นทั้งสองนายบ่าวก็หัวเราะคิกคักกันอย่างมี
จวนตระกูลหลี่หลี่เหวินหลางแม่ทัพหนุ่มรูปงามกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทีเคร่งขรึม ก่อนจะกลายเป็นบูดบึ้งเมื่อคิดถึงคำพูดของโจวเฟิ่งจิ่วที่มาหาเขาถึงเรือน‘พี่เหวินเจ้าคะ ข้าไม่รู้ว่าสิ่งต่อไปนี้ข้าสมควรพูดหรือไม่ แต่ข้าตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะว่าข้าต้องพูด หากข้าพูดไปแล้วพี่เหวินไม่เชื่อหรือต่อว่าข้า ข้าก็ยอมเจ้าค่ะ’‘พูดมาเถิด ข้าสัญญาว่าจะไม่ต่อว่าเจ้า’ หลี่เหวินหลางบอกพร้อมทั้งสงสัยว่าเรื่องที่โจวเฟิ่งจิ่วจะพูดคือเรื่องใดกัน เหตุใดนางถึงได้กังวลนัก‘คือคนของข้าเห็นฟางเซียนนางไปที่ตลาดเจ้าค่ะ’‘แล้วอย่างไร นางไปตลาดก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ ทั้งร้านผ้าสินทรัพย์ส่วนตัวของนางก็อยู่ที่นั่น... หรือว่ามีอะไรที่ข้าควรรู้กัน’ หลี่เหวินหลางถามกลับด้วยความสงสัยมากกว่าเดิม หัวคิ้วของเขาขมวดน้อย ๆ เมื่อเห็นว่านางทำท่าทางไม่อยากจะพูด แต่แล้วก็พูดออกมา‘คือฟางเซียนนาง... นางชนเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งแล้วยืนหัวร่อต่อกระซิกกันเจ้าค่ะ นอกจากนี้ยังไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมด้วยเจ้าค่ะ ชาวบ้านทุกคนที่ไปจับจ่ายใช้สอยล้วนเห็นกิริยานี้ของนางกับบุรุษผู้นั้นทั้งสิ้น คนของข้าบอกว่าดูเหมือนนางกับบุรุษผู้นั้นสนิทกั
“เป็นบ้าอันใดของท่าน! จู่ ๆ มากระชากแขนข้า ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษควรกระทำรึ” ไป๋ฟางเซียนตะคอกเสียงถามด้วยความโกรธ มือซ้ายยกขึ้นลูบข้อมือขวาที่ถูกกระชากอย่างแผ่วเบาเพราะรู้สึกเจ็บ การกระทำของฝ่ามือใหญ่เมื่อครู่ยังเผยให้เห็นรอยแดงเป็นปื้นด้วย“ข้าควรเป็นฝ่ายถามเจ้ามากกว่าว่าการกระทำที่เจ้ากระทำตนเช่นในวันนี้มันเหมาะสมแล้วรึ” หลี่เหวินหลางถามกลับอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน ทั้งสองส่งสายตาประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างโกรธ ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ทนไม่ไหวถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจว่านางทำอันใดผิดกัน อีกฝ่ายถึงได้มาอารมณ์เสียใส่และมีท่าทีกรุ่นโกรธเช่นนี้“ข้าทำอะไร”“ยังมีหน้ามาถาม” หลี่เหวินหลางมองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อพร้อมทั้งสะบัดหน้าหนี“ถ้าท่านไม่พูดข้าจะรู้ไหมว่าข้าทำอันใดผิด” นางถามกลับเรียบ ๆ ในห้วงความคิดพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวว่าตนได้เผลอไปทำลายนางในดวงใจของเขาหรือไม่ ครั้นคิดกี่ตลบคำตอบก็เป็นเช่นเดียวกันคือนางไม่ได้วุ่นวายกับโจวเฟิ่งจิ่วเลย แล้วการที่อีกฝ่ายหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะเหตุใด?“ฮึ่ม! ไป๋ฟางเซียน ข้าไม่รู้นะว่าตอนที่เจ้าตกน้ำหัวของเจ้าไปกระแ
บนเตียงกว้างในเรือนนอนของไป๋ฟางเซียน มีบุรุษผู้หนึ่งยกมือกุมท้ายทอยของตนไว้ พลางนิ่วหน้าคิดถึงเหตุการณ์ของคืนที่ผ่านมา พลันนั้นใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็บิดเบี้ยว นัยน์ตาดำขลับลึกล้ำคู่นั้นฉายแววหงุดหงิดระคนไม่พอใจคละเคล้ากับความไม่ยินยอม เขาขบเม้มริมฝีปากและคาดโทษคนที่ทำให้ตนเองตกอยู่ในสภาพน่าอายไว้ในใจหากมีผู้อื่นรู้เข้าว่าท่านแม่ทัพผู้ที่ได้รับฉายาเจ้าสงครามเช่นเขาพ่ายแพ้ให้กับสตรีบอบบางอย่างนางคงไม่มีใครเกรงกลัวเขาแล้ว!แค่คิดหลี่เหวินหลางก็ต้องข่มกลั้นโทสะทั้งหมดเอาไว้ เพราะเกรงว่าตนจะกลายเป็นฆาตกรฆ่าภรรยาของตนเอง เมื่อทำสิ่งใดไม่ได้จึงพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเดือดดาล“คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการกับเจ้าเช่นไรจิ้งจอกน้อย”ใช่! ไป๋ฟางเซียนเป็นนางจิ้งจอก เป็นนางจิ้งจอกที่ล่อลวงเขาให้ติดกับ ดูอย่างเมื่อคืนเถิด เห็นนอนนิ่งไม่ไหวติงคิดว่าจะยินยอมพร้อมใจที่ไหนได้...มันน่านัก!นางฉวยโอกาสในจังหวะที่เขาไม่ทันระวังตัว ฟาดสันมือลงท้ายทอยเขาจนสลบเสียนี่ จะว่าไปเรื่องนี้โทษนางฝ่ายเดียวคงไม่ได้ เพราะเป็นเขาเองที่ลดการระมัดระวังตัว ทว่าใครจะไปคิดเล่าว่าสตรีบอบบางอย่างนางจะมีแรงทำให้ชายชาตรีเช่นเขาสลบ
“ข้าบอกให้ปล่อยข้า!” แล้วชายหนุ่มก็ต้องหลุดออกจากห้วงความคิด เมื่อคนตัวเล็กพูดขึ้นเสียงพร้อมบิดตัวออกจากอ้อมกอดเขาอย่างแรงหลี่เหวินหลางหรี่ตาจ้องมองอีกฝ่ายที่หลุดจากอ้อมกอดเขาไปด้วยสายตาไม่พอใจ อารมณ์ดีที่เพิ่งจะมีมลายหายไปในพริบตา แทนที่ด้วยความหงุดหงิด พลางรู้สึกโกรธคนตรงหน้าขึ้นมาเล็กน้อย มันจะอะไรกันนักกันหนากับแค่กอดนิดกอดหน่อย เมื่อก่อนวิ่งตามเขาจนน่ารำคาญ พอเขาอยากแตะต้องนางบ้างทำทีกระบิดกระบวนนี่มันหมายความว่าอย่างไร“เจ้ากล้าขึ้นเสียงใส่ข้ารึ!” ด้วยความที่ไม่เคยมีใครขึ้นเสียงใส่มาก่อนทั้งยังไม่เคยถูกขัดใจ เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกไม่พอใจ ยิ่งมาถูกคนที่เคยยอมเขามาตลอดกระทำใส่เช่นนี้ แม่ทัพหนุ่มก็รู้สึกไม่ยินยอมทั้งยังหงุดหงิดเป็นอย่างมาก “ใช่! มากกว่านี้ข้าก็กล้าหากท่านยังกล้าดูถูกข้าอีก”“ข้าดูถูกตรงไหน สิ่งที่ข้าพูดไปก็มีแต่ความจริง หรือเจ้าจะเถียงว่าเมื่อก่อนเจ้าไม่ได้วิ่งตามก้นข้า ไม่ได้ยั่วยวนข้า ส่งสายตาหยาดเยิ้มให้ข้า”“ท่าน!”“อะไรเล่า เถียงไม่ออกใช่หรือไม่ ก็แน่สิ ในเมื่อมันคือเรื่องจริง หึ!” หลี่เหวินหลางพูดพร้อมยกยิ้มอย่างคนเหนือกว่าไป๋ฟางเซียนหายใจแรงมือกำเข้าหาก
“คุณหนูเจ้าคะ แบบชุดพวกนี้งดงามมากเลยเจ้าค่ะ หากให้พวกพี่อวี้หรูปัก ร้านของเราจะต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่นอนเจ้าค่ะ” จื่อถิงพูดออกมาอย่างมั่นใจ สายตายังไม่ละไปจากแบบชุดที่คุณหนูของตนวาด นางมองมันด้วยความชื่นชมและภูมิใจยิ่ง คุณหนูของนางเก่งกล้ามากความสามารถจริง ๆจื่อถิงละสายตาจากแบบชุดแล้วมองคุณหนูของตนด้วยสายตาเปล่งประกายระยิบระยับ รู้สึกดียิ่งที่ได้เป็นสาวใช้คนสนิท นางจะรักและเทิดทูนคุณหนูให้มาก และจะเรียนรู้ทุกอย่างจากคุณหนูให้มากขึ้นจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระคุณหนูของนางได้ สายตาและความนึกคิดที่ฉายชัดบนใบหน้าของจื่อถิงทำให้ไป๋ฟางเซียนอดหัวเราะไม่ได้“อะไรกัน นี่แค่แบบชุดปรกติเท่านั้น หาใช่ชุดเลิศหรูอย่างที่เจ้าคิดไม่” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม จื่อถิงยู่หน้าแล้วพูดว่า“คุณหนู... ถึงแบบชุดจะเป็นชุดทั่วไปแต่ที่คุณหนูวาดออกมามันสวยมาก ๆ เลยนะเจ้าคะ โดยเฉพาะลวดลายพวกนี้ จื่อถิงไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อนเลยเจ้าค่ะ ใต้หล้านี้เห็นจะมีเพียงคุณหนูของจื่อถิงเท่านั้นที่สามารถวาดลวดลายแปลกตาพวกนี้ออกมาได้” นางเอ่ยขึ้นพลางพยักหน้าไปมาเสริมคำพูดของตน ทั้งยังไม่วายจะเยินยอคุณหนูของตนด้วยไป๋ฟางเซียนไม่เอ่ยคำ นาง
ระหว่างเดินไปที่หน้าจวนก็คิดเรื่องของหลี่เหวินหลางไปด้วย ตั้งแต่ที่เขาดูถูกและนางได้ตบหน้าเขาไปเมื่อคราวก่อน นางก็ไม่เห็นแม่ทัพหนุ่มอีกเลย ในหลายวันที่ผ่านมาอีกฝ่ายก็มิได้กลับมานอนที่จวน ไม่รู้ว่าโกรธนางจนไม่อยากกลับ หรือไปพลอดรักกับแม่ดอกบัวขาวโจวเฟิ่งจิ่วกันแน่คิดถึงตรงนี้คิ้วเรียวสวยก็ขมวดเป็นปมอย่างไม่ชอบใจ ทำไมต้องรู้สึกไม่พอใจด้วยก็ไม่รู้ นี่คงเป็นเพราะว่านางและเขามีสถานะต่อกันอยู่เป็นแน่ หากพลอดรักกันตอนที่นางไม่มีสถานะเป็นภรรยาเขาก็แล้วไปเถิด แต่นี่นางยังเป็นภรรยาของเขาอยู่นะ หากเป็นเรื่องจริง ก็สมควรแล้วที่นางรู้สึกไม่พอใจ ด้วยรู้สึกว่าตนถูกหักหน้าและหยามศักดิ์ศรี ไป๋ฟางเซียนตั้งมั่น หากทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่คิด นางไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้แน่ พลันนั้นหวนคิดถึงวันที่นางชวนเขาหย่าแต่เขาไม่ยอมหย่าก็หงุดหงิดไม่หาย ไม่รู้จะฉุดรั้งกันไปด้วยเหตุใด แต่ช่างเรื่องนั้นก่อนเถิด กลับมาที่เขาไม่ยอมกลับจวนดีกว่าไป๋ฟางเซียนค่อนข้างมั่นใจ ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ไปพลอดรักกับโจวเฟิ่งจิ่ว แต่นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปอยู่ที่ไหน นอกจากนี้ยังรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่ามีคนจับจ้องตนเองอยู่ตลอดเวลา แรก ๆ ก็ระแ
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร
“เซียนเซียน! เซียนเซียน ฟื้นสิเซียนเซียน” หลี่เหวินหลางร้องเรียกชื่อภรรยาด้วยความกระวนกระวายใจ ภายในอกของเขาร้อนรุ่มเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวเหลือเกินว่านางจะเป็นอันใดไป กลัวสูญเสียนางอย่างไม่มีวันหวนกลับ ความกังวลฉายชัดทั้งสีหน้าและแววตา โชคยังดีที่เขามาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเขาคงเป็นกังวลมากกว่านี้“พาคุณหนุกลับจวนก่อนเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ จะได้รีบตามท่านหมอมาดูอาการ” จื่อถิงบอกอย่างร้อนรนและกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน พลางมองเจ้านายสาวด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุด น้ำตาเอ่อคลอไปทั่วดวงตาสวย เหตุใดจึงเกิดเรื่องกับคุณหนูทุกครั้งที่นางไม่ได้อยู่ด้วยก็ไม่รู้ โชคดีที่ทั้งนางและท่านแม่ทัพมาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของนางจะเป็นเช่นไร“รีบกลับจวนให้เร็วที่สุด!” หลี่เหวินหลางบอกคนขับรถม้าพร้อมทั้งอุ้มนางเข้าไปนั่งภายใน โอบกอดนางไว้อย่างหวงแหน มองดวงหน้าหวานด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างถึงที่สุดก่อนหน้านี้หลี่เหวินหลางกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าไปรายงานทุกอย่างให้องค์ฮ่องเต้รับรู้เรียบร้อยถึงการปราบโจรของตน หลังจากนั้นก็รีบพาตนเองออกจากวังหลวงอย่างรวดเร็ว ด้วยคิดถ
“ไม่จริง! ข้าไม่เชื่อ เจ้าอย่ามาโกหกข้า ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นคนคิด ในเมื่อพี่เหวินเป็นคนทำเขาก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าก็ด้วย ในเมื่อวันนี้ข้าสูญสิ้นไม่เหลืออะไร พวกเจ้าก็ต้องสูญสิ้นไม่เหลือสิ่งใดเช่นเดียวกัน อย่างไรวันนี้ทุกอย่างก็ต้องจบลง ไม่ข้าและเจ้าก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ครั้งที่แล้วข้าหวังให้เจ้าจมน้ำตายที่นี่ เพราะต้องการให้เจ้าทรมานถึงที่สุด กระทั่งหลังความตายก็ยังคงทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของกระแสน้ำ ได้แต่เหน็บหนาวแต่เพียงผู้เดียวไร้ซึ่งคนเหลียวแล ครั้งที่แล้วเป็นโชคดีของเจ้าที่ข้าทำไม่สำเร็จ แต่ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนเดิม เจ้าต้องตาย ตายเพราะข้า!” โจวเฟิ่งจิ่วตวาดกร้าว ไป๋ฟางเซียนได้ฟังแล้วรู้ว่าถึงเจรจาต่อไปย่อมไม่เป็นผล ดังนั้นจึงโพล่งไปอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน เช่นไรนางก็เคยตายมาแล้ว ตายอีกสักครั้งจะเป็นไรไป ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเลยสักนิด ห่วงก็แต่หลี่เหวินหลาง หากนางจากไปเขาจะรู้สึกเช่นไร จะเสียใจหรือคิดถึงนางบ้างหรือไม่เท่านั้นเอง “ตายก็ตายสิ คนอย่างไป๋ฟางเซียนไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว หากข้าตาย เจ้าก็ต้องตายเช่นกัน” จบคำพูดของไป๋ฟางเซียนร่างของโจวเฟิ่วจิ่วก็พุ่งตรงเข้ามาหวังจะกร
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้านักหนาจึงได้คิดทำร้ายข้า”“ฮ่าฮ่า เพราะเจ้ามาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไปไงเล่า! คนไม่มีบิดามารดาเป็นกำพร้าเช่นเจ้า กล้าดีอย่างไรลงประกวดสาวงาม แย่งชิงตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจากข้าไป เท่านั้นยังไม่พอเจ้ายังเป็นคู่หมั้นของพี่เหวิน คิดอยากได้และครอบครองเขา เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าตนเองเหมาะสมกับบุรุษเก่งกล้าและรูปงามเช่นเขา แทนที่เจ้าจะสำนึกในบุญคุณของบิดามารดาของพี่เหวิน กล่าวยกเลิกงานหมั้นนั่นเสีย เจ้ากลับเร่งรัดให้ทุกอย่างเร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่เจ้าก็รู้ตนเองดี ว่าพี่เหวินมิได้รักเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้วข้าจะให้คนหน้าด้านเช่นเจ้าเชิดหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับข้าได้เช่นไร คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าคิดเทียบเคียงข้ามาโดยตลอด หวังใช้ฐานะฮูหยินแม่ทัพตีเสมอข้าน่ะสิ หึ ไม่เจียมตน”“เจ้าบ้าไปแล้วโจวเฟิ่งจิ่ว ข้าไม่เคยคิดตีตนเสมอเจ้า ข้ารู้ตนเองดี เจ้าเอาแต่ว่าข้าแล้วเจ้าเล่าดีตรงไหน วัน ๆ ตามแต่คู่หมั้นของสหาย นอกจากไม่รู้สึกผิดแล้ว ยังคิดทำร้ายผู้อื่น นี่มันไม่น่ารังเกียจกว่าข้ารึ” ไป๋ฟางเซียนย้อนกลับทันควัน เพราะนางไม่ชอบให้ใครมาว่านางเช่นกัน แม้ว่าคนที่ถูก