ภานุวัฒน์ยิ้มบาง ๆ “นายมีหุ้นอยู่ในมือ มีชื่อ มีโครงสร้างที่พร้อมโตต่อได้ทันที…แต่ยังติดกรอบเดิม ๆ ฉันแค่จะเสนอให้นำหุ้นบางส่วนมาเปิดกองทุนผ่านบริษัทกลาง ไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ ไม่ใช้ชื่อจริง แค่ให้นายใช้หุ้นที่มีอยู่ต่อยอดเป็นทุนหมุนเวียน แล้วฉันจะทำให้เงินก้อนนั้นงอกขึ้นทุกเดือน” ปกรณ์นิ่ง สีหน้าเริ่มครุ่นคิดมากขึ้น “นายเคยทำกับซาเลี่ยนจริง?” “ใช่ และฉันไม่ได้ทำแค่ครั้งเดียว” ภานุวัฒน์ตอบทันที “มีนักธุรกิจอีกหลายคนที่ใช้วิธีเดียวกัน แต่ไม่มีใครกล้าพูด เพราะมันคือความได้เปรียบ ที่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าถึงได้” ปกรณ์เอนตัวมาเล็กน้อย กดนิ้วลงบนแฟ้ม “แล้วฉันจะมั่นใจได้ยังไง ว่านายจะไม่เล่นฉันทีหลัง” ภานุวัฒน์มองเขานิ่ง ดวงตานิ่งสงบแต่เจาะลึก “นายไม่ต้องไว้ใจฉันทั้งหมดก็ได้ แต่นายควรเชื่อในตัวเลข และผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากกว่าคำพูด” เขาหยิบแฟ้มเล่มที่สองส่งให้ ภายในคือรายการเคลื่อนไหวบัญชีที่ผ่านการรีวิว ผลตอบแทนของกองทุนที่ใช้โมเดลเดียวกับที่เขาเสนอ “ฉันไม่ได้ให้ความหวัง ฉันให้หลักฐาน” ปกรณ์เปิดแฟ้มด้วยมือที่แน่นขึ้นเล็กน้อย สายตากวาดดูตัวเลขที่เรียงสวยเป็นระเบ
อีกฝั่งของเมือง ในออฟฟิศส่วนตัวของปกรณ์ บรรยากาศกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มในชุดสูทสีเทาเข้มกำลังยืนพิงโต๊ะกระจก มองตัวเลขกำไรบนจอโปรเจกเตอร์ กราฟขึ้นสูงเกินคาด ทุกกองทุนที่เขาฝากไว้กับภานุวัฒน์…เติบโตในอัตราไร้เหตุผล แต่เขาไม่สงสัย เพราะเขาเชื่อ ว่าทั้งหมดเกิดจากฝีมือของเขาเอง “ถึงเวลาแล้ว…” ปกรณ์พึมพำกับตัวเอง ดวงตาเปล่งแสงแรงกล้าภายใต้ความมั่นใจที่เกินพอดี เขาหยิบมือถือขึ้น โทรหาเลขาฯ พร้อมสั่งงานเสียงเข้ม “จัดประชุมคณะกรรมการใหญ่ในวันพรุ่งนี้ ผมต้องการเสนอปรับโครงสร้างผู้บริหาร” ปลายสายเงียบไปเล็กน้อย ก่อนเสียงรับคำสั่งจะดังกลับมาอย่างชัดเจน “ค่ะคุณปกรณ์” ปกรณ์วางสาย ก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้หนังตัวใหญ่กลางห้อง มือวางบนแฟ้มชื่อ 'กรรมการบริหารเดชาสกุลวงศ์' ที่เขาเพิ่งรวบรวมเอกสารมาครบชุด “ผมไม่ใช่แค่ลูกชายไร้ประโยชน์อีกต่อไป…” เสียงเขาเบา แต่น้ำเสียงเปี่ยมอำนาจ “…ผมจะเป็นคนที่นำยุคใหม่ให้ตระกูลนี้เอง” .............................. เสียงฝนโปรยบางเบา ราวกับกล่อมโลกให้สงบชั่วข้ามคืน ภายนอกชื้นเย็นและเงียบงัน แต่ภายในบ้านหลังนี้กลับอบอุ่น ทุกซอกมุมคล้ายถูกแต่ง
ณ ห้องประชุมกรรมการบริษัทเดชาสกุลวงศ์ของเช้าวันใหม่ บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยแสงไฟสว่างจ้า โต๊ะประชุมวงรียาวสะท้อนเงาร่างของเหล่ากรรมการบริหารระดับสูง ปกรณ์นั่งหัวโต๊ะอย่างสง่างาม เขาใส่สูทเข้ารูป สีหน้าเปี่ยมความมั่นใจ จับตาทุกคนในห้องด้วยแววตาของนักล่า แฟ้มข้อมูลในมือถูกวางลงกลางโต๊ะ พร้อมกับคำพูดชัดถ้อยของเขา “ผมขอเสนอให้มีการพิจารณาปรับโครงสร้างกรรมการบริหารบางส่วน เพื่อความคล่องตัวในการลงทุนระหว่างประเทศ” เสียงของเขานุ่มลึก แต่แฝงความกดดันอย่างชัดเจน สายตาหลายคู่มองไปยัง พฤกษ์ไพศาล ที่นั่งนิ่งอยู่ปลายโต๊ะอีกฝั่ง ปกรณ์ไม่ได้ตอบโต้ในทันที แต่เพียงพยักหน้าให้กรรมการอีกคนเริ่มเปิดวาระ ทว่าสิ่งที่เขาไม่คาดคิด…คือบรรยากาศในห้องที่ นิ่ง! อย่างผิดปกติ กรรมการหลายคนที่เขาคิดว่าคุมได้กลับมีสีหน้าลังเล ไม่เอ่ยแสดงความเห็น บางคนแค่ก้มหน้า บางคนเพียงจดบันทึกโดยไม่สบตาเขา ไม่มีเสียงเห็นด้วย…ไม่มีแม้แต่คำค้าน มีเพียงความเงียบ ที่กดดันกว่าอะไรทั้งหมด ปกรณ์รู้ทันที พ่อของเขา ยังคุมกระดูกสันหลังของบริษัทไว้แน่น หลังประชุมกรรมการสิ้นสุดลง เสียงเก้าอี้ถูกเลื่อนกลับเ
เสียงฝนตกเบา ๆ นอกหน้าต่างคล้ายบทกล่อมของค่ำคืน ห้องหออบอวลด้วยกลิ่นกุหลาบขาว และแสงไฟอุ่นละมุนราวอยู่ในฝัน กานต์ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาจับจ้องด้วยแววตาที่ไม่อาจละไปไหน มือของเขาเลื่อนมาถอดผ้าคลุมผมเจ้าสาวออกอย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำและนุ่มนวล “รู้ไหมครับ ผมเคยคิดถึงภาพในวันนี้มาตลอด แต่พอเห็นคุณจริง ๆ ในชุดเจ้าสาว ผมกลับไม่แน่ใจว่ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า” นารายิ้มบาง ๆ ดวงตาเธอเป็นประกาย ปลายนิ้วแตะมือเขาเบา ๆ ไม่มีคำพูดใดจำเป็นในตอนนั้น ความเงียบของหัวใจพูดแทนทุกอย่าง “เหนื่อยไหมวันนี้” เสียงทุ้มแผ่วเบาของกานต์ดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยสัมผัสอ่อนโยนที่แตะลงบนไหล่นารา เขานั่งลงข้างเธอ พลางยื่นมือมาจับมือเธอไว้แน่น “นิดหน่อยค่ะ แต่ตอนนี้หายแล้ว” นารายิ้มจาง ๆ ก่อนจะเอนศีรษะลงบนไหล่เขาอย่างไว้ใจ กานต์ก้มหน้าลงจูบเบา ๆ ที่หน้าผากเธอ “ขอบคุณนะ ที่ยอมเดินมาจนถึงวันนี้ด้วยกัน” “ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ... ขอบคุณที่ไม่เคยปล่อยมือฉันเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” กานต์ขยับกายเข้ามาใกล้ รั้งตัวเธอเข้าสู่อ้อมแขนแน่นขึ้น ลมหายใจเขาอุ่นอยู่ใกล้ใบหน้าเธอ ราวกับจะบอกให้รู้ว่า เขาอ
เสียงเครื่องช่วยหายใจดังเป็นจังหวะช้า ๆ ก้องสะท้อนในห้อง ICU ที่เย็นเยียบและเงียบงันร่างของกานต์นอนนิ่งอยู่บนเตียง รายล้อมด้วยสายระโยงระยาง และกลิ่นยาฆ่าเชื้อที่ลอยปะปนกับกลิ่นแห่งความหวาดกลัวที่ไม่มีใครพูดออกมานารานั่งอยู่ข้างเตียง มือเล็กกุมมือเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเพียงปล่อยมือเดียว…เขาจะหลุดลอยหายไปจากชีวิตเธอตลอดกาล“กานต์…ได้ยินฉันไหม…” เสียงเธอเบาราวเสียงกระซิบ แต่สั่นจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์เขาไม่ตอบ ไม่มีแม้แต่การขยับเปลือกตาแต่ภายใต้ความนิ่งเงียบเช่นนั้น...ที่ปลายลมหายใจอ่อนแรง เขา ยังอยู่เขาติดอยู่ในร่างกายที่ไม่อาจขยับเขยื้อนหัวใจของเขายังพยายามต่อลมหายใจสุดท้ายเขาอยากตอบ อยากบีบมือนั้นกลับแต่โลกของเขาค่อย ๆ มืดลง...เหมือนถูกดูดกลืนไปในความเงียบของจักรวาลที่ไม่มีใครได้ยินเสียงเรียกหมอเดินเข้ามาเงียบ ๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่มแต่จริงจัง“หัวใจเขาอ่อนแรงลงมากแล้วครับ เราพยายามเต็มที่หากมีอะไรที่คุณอยากพูดกับเขา...ตอนนี้คงเป็นเวลาสุดท้ายแล้ว”คำว่า “สุดท้าย” กระแทกเข้าใส่หัวใจเธอเหมือนคลื่นโถมซัดใส่ฝั่งไม่หยุดยั้งนาราก้มหน้าลงแนบหน้าผากกับมือเขา สะอื้นอย่างเงีย
ในมุมหนึ่งของห้องกรอบรูปขาวดำตั้งอยู่เงียบ ๆ บนโต๊ะทำงานของกานต์นาราหันไปมองแวบหนึ่ง แม้ว่าวันนี้โต๊ะทำงานข้าง ๆ เธอ จะไม่มีกานต์ สามีอันเป็นที่รักของเธอนั่งอยู่แล้วแต่เธอก็ยังคงปล่อยให้โต๊ะตัวนั้นตั้งอยู่ที่เดิม เธอคิดเสมอว่าเขายังคงอยู่เคียงข้างเธอ ไม่เคยจากเธอไปไหนและในหัวใจของเธอยังมีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาเบา ๆ“แม้ว่าจะเจอเรื่องอะไรอย่ากังวล ผมจะอยู่ข้างคุณเสมอ”คิดถึงวันที่เขาเคยอยู่กับเธอ ไม่ว่าเธอจะต้องเผชิญกับปัญหาที่ถาถมมามากมายเพียงไหน กานต์จะอยู่ข้างๆ เธอเสมอ และจะพูดประโยคนี้กับเธอทุกครั้งที่เธอรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่ต้องเผชิญขอแค่มีเขา เธอก็ไม่เคยหวาดกลัวต่ออุปสรรคใด ๆ ทั้งนั้นเช้าวันใหม่มาถึงโดยไม่มีเสียงปลุกจากคนที่เธอเคยตื่นมาเจอทุกวันนารายังคงต้องลุกขึ้นมาทำงานด้วยความรู้สึกที่ขาดหายโต๊ะไม้สีเข้มยังคงวางอยู่ที่เดิมกองเอกสารงานด้านการออกแบบที่กานต์ดูแลยังคงวางอยู่บนนั้นปลายนิ้วไล้ลงไปบนเส้นดินสอที่ยังมีเศษฝุ่นเล็ก ๆ ติดอยู่ลมหายใจสั้นลงอย่างไม่รู้ตัวนี่คือภาพเครื่องประดับที่เขาวาดไว้ล่าสุดเขาเคยบอกว่า...เขากำลังจะออกแบบชิ้นงาน ที่ได้แรงบันดาลใจจากหญิงสาว
แสงแดดยามสายส่องลอดม่านหน้าต่างกระจกของห้องประชุมใหญ่ บรรยากาศเงียบขรึมถูกแต่งแต้มด้วยสีเทาเงินของผนังและโต๊ะไม้โอ๊กขัดเงาริมหน้าต่างเผยให้เห็นภาพเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ เลือนรางหลังม่านบางๆ ให้ความรู้สึกทั้งเปิดเผยและปกปิดในคราวเดียวกัน นารานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ดวงตาคมสบมองแผ่นกระดาษเอกสารเบื้องหน้า ท่ามกลางความเงียบงันของช่วงต้นการประชุม ที่ทุกคนต่างกำลังจับจ้องรายละเอียดบนหน้ากระดาษตรงข้ามเธอ ตัวแทนฝ่ายประสานงานธุรกิจของตระกูลเดชาสกุลวงศ์นั่งตัวตรง แววตาเชื่อมั่นหลังกรอบแว่น เขาสวมสูทเนี๊ยบสีเข้ม ด้านข้างมีผู้ช่วยหนุ่มถือแฟ้มเอกสารประกบอยู่ไม่ห่าง ส่วนทางด้านซ้ายมือของนารา อรดา เลขาคนสนิท นั่งสงบนิ่งคอยจดบันทึกตามนิสัยถี่ถ้วน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองนาราแวบหนึ่ง ก่อนก้มหน้าลงดังเดิมเมื่อสบสายตาของเจ้านายสาว“ก่อนอื่น ทางเราขอขอบคุณที่คุณนาราให้เกียรติรับฟังข้อเสนอความร่วมมือในวันนี้” เสียงทุ้มนุ่มของตัวแทนดังขึ้นทำลายความเงียบ เขาเผยยิ้มบางตามมารยาท พลางสบตาทุกคนในห้อง “โครงการโรงแรมและศูนย์การค้าที่เราจะร่วมกันพัฒนาครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับทั้งวรเมธินทร์กรุ๊ป และตระกูลเดชาสกุลวงศ
อรดาลอบมองสีหน้าของตัวแทนที่เริ่มเคร่งเครียดขึ้น เธอสูดลมหายใจช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาแต่ชัดถ้อยชัดคำ “คุณนาราคะ ดิฉันคิดว่าเงื่อนไขที่ทางคุณ...” เธอหันไปทางตัวแทนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตร “...ทางคุณศักดิ์ดาเสนอมา อาจจะดูเหมือนฝ่ายเราต้องรับภาระมาก แต่ถ้ามองในระยะยาว ดิฉันเห็นว่าเป็นการลงทุนเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้พันธมิตรทางธุรกิจนะคะ หากโครงการสะดุด ทางเราชดเชยไปก่อนก็เพื่อให้โครงการไม่ล้ม แล้วภายหลังเมื่อโครงการเริ่มทำกำไร เราก็จะได้รับส่วนแบ่งคืนมาพร้อมดอกผล ความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างสองบริษัทก็จะยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นด้วยค่ะ”ตัวแทนเหลือบสายตามองอรดาเล็กน้อย ริมฝีปากยกยิ้มเหมือนคนได้ที ขณะที่นาราหันขวับไปมองเลขาคนสนิท แววตาฉายความประหลาดใจผสมไม่พอใจเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะกลับเป็นเยือกเย็นเช่นเดิม เธอไม่คิดว่าอรดาจะออกหน้าสนับสนุนอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้“อรดา” นาราเอ่ยชื่อเลขาด้วยเสียงเรียบเย็น ปราศจากสรรพนามหรือคำลงท้ายใดๆ น้ำเสียงนั้นห้วนสั้นจนอรดาสะดุ้งน้อยๆ “ฉันเข้าใจว่าเธอหวังดี แต่ขอให้จำไว้ว่าเราอยู่ฝ่ายไหน” แค่ประโยคสั้นๆ แต่ทุกคำหนักแน่นดั่งหินผาที่ตกกระทบพื้นห้
ณ ห้องประชุมกรรมการบริษัทเดชาสกุลวงศ์ของเช้าวันใหม่ บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยแสงไฟสว่างจ้า โต๊ะประชุมวงรียาวสะท้อนเงาร่างของเหล่ากรรมการบริหารระดับสูง ปกรณ์นั่งหัวโต๊ะอย่างสง่างาม เขาใส่สูทเข้ารูป สีหน้าเปี่ยมความมั่นใจ จับตาทุกคนในห้องด้วยแววตาของนักล่า แฟ้มข้อมูลในมือถูกวางลงกลางโต๊ะ พร้อมกับคำพูดชัดถ้อยของเขา “ผมขอเสนอให้มีการพิจารณาปรับโครงสร้างกรรมการบริหารบางส่วน เพื่อความคล่องตัวในการลงทุนระหว่างประเทศ” เสียงของเขานุ่มลึก แต่แฝงความกดดันอย่างชัดเจน สายตาหลายคู่มองไปยัง พฤกษ์ไพศาล ที่นั่งนิ่งอยู่ปลายโต๊ะอีกฝั่ง ปกรณ์ไม่ได้ตอบโต้ในทันที แต่เพียงพยักหน้าให้กรรมการอีกคนเริ่มเปิดวาระ ทว่าสิ่งที่เขาไม่คาดคิด…คือบรรยากาศในห้องที่ นิ่ง! อย่างผิดปกติ กรรมการหลายคนที่เขาคิดว่าคุมได้กลับมีสีหน้าลังเล ไม่เอ่ยแสดงความเห็น บางคนแค่ก้มหน้า บางคนเพียงจดบันทึกโดยไม่สบตาเขา ไม่มีเสียงเห็นด้วย…ไม่มีแม้แต่คำค้าน มีเพียงความเงียบ ที่กดดันกว่าอะไรทั้งหมด ปกรณ์รู้ทันที พ่อของเขา ยังคุมกระดูกสันหลังของบริษัทไว้แน่น หลังประชุมกรรมการสิ้นสุดลง เสียงเก้าอี้ถูกเลื่อนกลับเ
อีกฝั่งของเมือง ในออฟฟิศส่วนตัวของปกรณ์ บรรยากาศกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มในชุดสูทสีเทาเข้มกำลังยืนพิงโต๊ะกระจก มองตัวเลขกำไรบนจอโปรเจกเตอร์ กราฟขึ้นสูงเกินคาด ทุกกองทุนที่เขาฝากไว้กับภานุวัฒน์…เติบโตในอัตราไร้เหตุผล แต่เขาไม่สงสัย เพราะเขาเชื่อ ว่าทั้งหมดเกิดจากฝีมือของเขาเอง “ถึงเวลาแล้ว…” ปกรณ์พึมพำกับตัวเอง ดวงตาเปล่งแสงแรงกล้าภายใต้ความมั่นใจที่เกินพอดี เขาหยิบมือถือขึ้น โทรหาเลขาฯ พร้อมสั่งงานเสียงเข้ม “จัดประชุมคณะกรรมการใหญ่ในวันพรุ่งนี้ ผมต้องการเสนอปรับโครงสร้างผู้บริหาร” ปลายสายเงียบไปเล็กน้อย ก่อนเสียงรับคำสั่งจะดังกลับมาอย่างชัดเจน “ค่ะคุณปกรณ์” ปกรณ์วางสาย ก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้หนังตัวใหญ่กลางห้อง มือวางบนแฟ้มชื่อ 'กรรมการบริหารเดชาสกุลวงศ์' ที่เขาเพิ่งรวบรวมเอกสารมาครบชุด “ผมไม่ใช่แค่ลูกชายไร้ประโยชน์อีกต่อไป…” เสียงเขาเบา แต่น้ำเสียงเปี่ยมอำนาจ “…ผมจะเป็นคนที่นำยุคใหม่ให้ตระกูลนี้เอง” .............................. เสียงฝนโปรยบางเบา ราวกับกล่อมโลกให้สงบชั่วข้ามคืน ภายนอกชื้นเย็นและเงียบงัน แต่ภายในบ้านหลังนี้กลับอบอุ่น ทุกซอกมุมคล้ายถูกแต่ง
ภานุวัฒน์ยิ้มบาง ๆ “นายมีหุ้นอยู่ในมือ มีชื่อ มีโครงสร้างที่พร้อมโตต่อได้ทันที…แต่ยังติดกรอบเดิม ๆ ฉันแค่จะเสนอให้นำหุ้นบางส่วนมาเปิดกองทุนผ่านบริษัทกลาง ไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ ไม่ใช้ชื่อจริง แค่ให้นายใช้หุ้นที่มีอยู่ต่อยอดเป็นทุนหมุนเวียน แล้วฉันจะทำให้เงินก้อนนั้นงอกขึ้นทุกเดือน” ปกรณ์นิ่ง สีหน้าเริ่มครุ่นคิดมากขึ้น “นายเคยทำกับซาเลี่ยนจริง?” “ใช่ และฉันไม่ได้ทำแค่ครั้งเดียว” ภานุวัฒน์ตอบทันที “มีนักธุรกิจอีกหลายคนที่ใช้วิธีเดียวกัน แต่ไม่มีใครกล้าพูด เพราะมันคือความได้เปรียบ ที่ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าถึงได้” ปกรณ์เอนตัวมาเล็กน้อย กดนิ้วลงบนแฟ้ม “แล้วฉันจะมั่นใจได้ยังไง ว่านายจะไม่เล่นฉันทีหลัง” ภานุวัฒน์มองเขานิ่ง ดวงตานิ่งสงบแต่เจาะลึก “นายไม่ต้องไว้ใจฉันทั้งหมดก็ได้ แต่นายควรเชื่อในตัวเลข และผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากกว่าคำพูด” เขาหยิบแฟ้มเล่มที่สองส่งให้ ภายในคือรายการเคลื่อนไหวบัญชีที่ผ่านการรีวิว ผลตอบแทนของกองทุนที่ใช้โมเดลเดียวกับที่เขาเสนอ “ฉันไม่ได้ให้ความหวัง ฉันให้หลักฐาน” ปกรณ์เปิดแฟ้มด้วยมือที่แน่นขึ้นเล็กน้อย สายตากวาดดูตัวเลขที่เรียงสวยเป็นระเบ
นาราก้าวช้าลงนิดหนึ่ง สายตาของเธอทอดมองแผ่นหลังของธีภพที่เดินนำอยู่ครึ่งก้าว แผ่นหลังที่เธอเคยมองเห็นจากระยะไกล… บัดนี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม เสื้อเชิ้ตสีอ่อนแนบกับกล้ามเนื้อใต้ผ้า บ่งบอกถึงร่างกายที่ผ่านความเจ็บปวดและเข้มแข็งมาเท่าใด และในจังหวะหนึ่ง เธอก็ยื่นมืออีกข้างแตะแผ่นหลังเขาเบา ๆ ปลายนิ้วของเธอแตะลงบนผ้าอย่างแผ่วเบาเหมือนกลัวว่าจะเป็นเพียงความฝัน แต่สัมผัสนั้นกลับทำให้ธีภพหยุดก้าวในทันที เขาหันกลับมา ดวงตานิ่งแน่นแต่สั่นเล็กน้อยในเงาแสง นาราเงยหน้าขึ้นมองเขา ยิ้มบาง ๆ ที่ไม่ต้องการอธิบายอะไร แต่เพียงการแตะมือ…ก็สื่อออกไปหมดแล้วว่า เธอกำลังมองเขาใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้ชายคนเดิม แต่ในฐานะคนที่เธอกำลังยอมวางหัวใจลงให้…โดยไม่มีกำแพงกั้น ธีภพไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงยกมือขึ้นแตะแก้มเธอเบา ๆ ก่อนจะโน้มหน้าลง จูบหน้าผากเธอแนบแน่นหนึ่งครั้ง เสียงเขาเอ่ยในลมหายใจ “ขอบคุณ…” แล้วมือของเขาก็กลับมากุมมือเธอแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย แน่นพอให้เธอรู้ว่า…เขาจะเดินเคียงข้างเธอตลอดไป ................ เลานจ์ส่วนตัว ณ โรงแรมหรูใจกลางเมือง ค่ำคืนคลี่ตัวลงท่ามกลางแส
หลังพายุอารมณ์สงบลง ร่างสองร่างยังแนบชิดกันอย่างเหนื่อยหอบ ธีภพยังคงกอดเธอไว้แน่น ทั้งที่เขารู้ว่าเธอหมดแรงแล้ว แขนเขาประคองร่างเธอไว้ราวกับกลัวว่าเธอจะสลายไปกับน้ำที่ยังไหลพร่าข้างตัว นาราซบหน้าลงกับไหล่เขา ลมหายใจยังสะท้อนอยู่บนอก ธีภพโน้มหน้าลง กดริมฝีปากเบา ๆ บนแก้มนวลของเธอ “คุณโอเคไหม…” เขาถามเสียงแผ่วพร่า แฝงความห่วงใยเต็มเปี่ยม ปลายนิ้วของเขาไล้ปอยผมเปียกที่แนบแก้มเธอออกอย่างแผ่วเบา สัมผัสของเขานุ่มนวลราวกับกำลังลูบดอกไม้ที่กลัวจะช้ำเพียงเพราะแรงนิ้ว นาราหลับตาอยู่ในอ้อมกอดเขา ลมหายใจยังไม่ทันเรียบสนิท “เหนื่อยนิดหน่อย…” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว “คุณ...กินดุเกินไป” ถ้อยคำเรียบง่ายนั้นกลับดังชัดในอกเขา ธีภพชะงักเล็กน้อย ดวงตาเขานิ่งนาน…ก่อนจะยิ้มบาง ๆ อย่างที่เขาไม่เคยยิ้มให้ใครแบบนั้นมาก่อน เขากระชับวงแขนแน่นขึ้น ประคองร่างบางในอ้อมอกให้ใกล้ขึ้นอีก แล้วเอ่ยเสียงอ่อน… “งั้นก็ปล่อยให้ผมดูแลคุณ…จนกว่าจะไม่รู้สึกเหนื่อยอีกต่อไปนะ” หลังเช็ดตัวให้เธออย่างเบามือจนหยดน้ำแทบไม่หลงเหลือบนผิว ธีภพหยิบชุดลำลองผ้าฝ้ายสีอ่อนมาวางบนตักเธอ แล้วคุกเข่าลงตรงหน้า ราวกับไม
ในห้องน้ำ เสียงน้ำไหลไม่ดังนัก แต่พอจะกลบความเงียบที่เต็มไปด้วยความใกล้ชิดที่แทบไม่ต้องอธิบาย ธีภพยืนอยู่ข้างหลังเธอ มือหนึ่งประคองไหล่ อีกมือค่อย ๆ สระผมให้เธออย่างเบามือ ฟองสีขาวละมุนไหลผ่านลำคอและแผ่นหลังเปลือย นาราหลับตา ปล่อยให้เขาดูแลเธอโดยไม่ต่อต้าน เธอไม่เคยคิดว่าการให้ใครแตะร่างกายเธอ…จะทำให้รู้สึกปลอดภัยได้ถึงเพียงนี้ นิ้วมือของเขานวดเบา ๆ ที่กลางศีรษะ ไล้จากโคนผมไปจนถึงท้ายทอยด้วยจังหวะมั่นคงสม่ำเสมอ และมันชวนให้เธอรู้สึกเหมือนทุกเศษความกลัว…กำลังถูกล้างออกไปช้า ๆ “ผมอยากทำสิ่งพวกนี้ให้คุณ…ทุกวัน” ธีภพยังคงยืนแนบชิดด้านหลัง มือหนึ่งสางผมเธอเบา ๆ ขณะที่อีกมือประคองไหล่เปลือยเปล่าไว้อย่างแนบแน่นแต่ไม่รุนแรง เขาโน้มหน้าลง…ริมฝีปากสัมผัสซอกคอเธอแผ่ว ๆ ก่อนจะกดจูบแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย เสียงหอบของเธอดังแผ่วเมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนจัดที่เป่ารดบนผิวเนื้อ เขาไม่ได้เร่ง แต่เคลื่อนริมฝีปากไปช้า ๆ จูบไล้เล็ม และลูบไล้ ไล่ผ่านลาดไหล่ บ่าบาง…ลงมาที่แผ่นหลังขาวจนกระทั่งเธอเริ่มสะท้านไม่รู้ตัว ธีภพจับเธอให้หมุนตัวช้า ๆ หันกลับมาสบตาเขา แววตาเธอสะท้อนแสงในห้องน้ำระยิบระยับ
มือของธีภพเลื่อนไปตามเรียวแขนของเธอ ไล้ผ่านเนินไหล่ ลำคอ และแผ่นอกอย่างเนิบช้า ทุกสัมผัสของเขา…ร้อนจัดอย่างไม่อาจควบคุม แต่แฝงความอ่อนโยนราวกับกำลังหลอมละลายร่างกายเธอทีละส่วน ปลายนิ้วเขาไล้ผ่านเนินอกนุ่มด้วยจังหวะช้าและทรมานใจ นาราสะดุ้งเล็กน้อย หอบลมหายใจเฮือกแรก ไม่ใช่เพราะเจ็บ…แต่เพราะความซ่านซึมที่ไหลผ่านผิวกายแบบที่ไม่อาจควบคุมได้ “ธีภพ…” เธอเรียกชื่อเขาเสียงสั่นพร่า ริมฝีปากเผยอน้อย ๆ ราวกับจะยอมรับทุกสัมผัสที่เขากำลังจะมอบให้ เขาก้มลง จูบที่ปลายคางของเธอ…แล้วลากริมฝีปากผ่านลำคอขาวเนียน ไล่ลงมาเรื่อย ๆ จนถึงยอดอกที่สั่นไหวเพียงปลายนิ้วแตะ เขาใช้ปลายลิ้นแตะสัมผัสเบา ๆ ที่นั่น ก่อนจะดูดกลืนมันด้วยจังหวะช้า ร้อน และชื้นละมุน นาราร้องครางแผ่ว ร่างกายเธอกระตุกเล็กน้อยพร้อมเสียงหอบหายใจที่เริ่มขาดช่วง มือของเธอจิกลงที่แผ่นหลังเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ขณะเขาสลับใช้มืออีกข้างบีบเคล้นอกอีกข้างของเธอเบา ๆ สัมผัสนั้นไม่รุนแรง…แต่มากพอจะทำให้เธอเสียววาบจนแทบต้องกัดริมฝีปากตัวเองกลั้นเสียง “คุณกำลัง…” เธอพูดไม่จบ เพราะในจังหวะถัดมา มือของเขาเลื่อนลงไปยังต้นขาของเธอ ปลายนิ้วสัมผัส
“คุณธีภพ!” เธอร้องเสียงหลง ใบหน้าแดงจัด “วันนี้…” เขาก้มหน้าลง เอ่ยเสียงทุ้มกระซิบแนบหู “ยังไงผมก็ต้องได้รางวัลของผมอยู่ดี” น้ำเสียงของเขานุ่มละมุน ราวกับโอบคลุมเธอไว้ทั้งร่างกายและหัวใจ นาราทุบไหล่เขาเบา ๆ “นี่...ฉันยังทำงานไม่เสร็จ วางฉันลงเดี๋ยวนี้เลยนะ!” “ช้าไปแล้วครับคุณนารา…” เขาหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นอ่อนโยน ละลายทุกความแข็งกร้าว เสียงหัวเราะของธีภพยังคงก้องเบา ๆ อยู่ข้างหูนารา ขณะที่เขาอุ้มเธอขึ้นจากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานในห้องทำงานส่วนตัว ภายในบ้านเงียบสงบ แสงไฟสีอุ่นถูกหรี่ลงเหลือเพียงพอให้มองเห็น นอกหน้าต่างเป็นเพียงท้องฟ้ายามค่ำที่มืดสนิท มีเพียงแสงดาวเร้นอยู่ไกล ๆ ราวกับเฝ้ามองโลกอย่างเงียบงัน เขาก้มลงกระซิบใกล้หูเธอ เสียงนุ่มทุ้มฟังคล้ายรอยยิ้ม “พอแล้วครับ เลิกทำงานได้แล้ว…คืนนี้คุณควรพักผ่อน” นาราทำท่าจะค้าน แต่ก่อนที่คำพูดจะหลุดออกจากริมฝีปาก ร่างของเธอก็ถูกอุ้มขึ้นในอ้อมแขนอย่างไม่ทันตั้งตัว “คุณมันเอาเปรียบ…” เธอบ่นเบา ๆ พลางตีไหล่เขาอย่างเขิน ๆ “ผมก็แค่รับรางวัล...ในฐานะคนที่ทุ่มเทที่สุดในรอบปี” เขาตอบเรียบ ๆ แต่ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ เข
ภานุวัฒน์ฟังเงียบ ๆ ดวงตาคมหลุบต่ำซ่อนแววบางอย่างที่ไม่มีใครทันสังเกต เขายิ้มบาง ๆ ...ในใจกลับเยือกเย็นกว่าครั้งไหน เขาวางแก้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้า “แต่ถ้านายอยากได้ผลประโยชน์มากกว่านั้น โดยไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องให้ใครฟ้องร้อง…มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี” “หมายความว่าไง?” ปกรณ์เลิกคิ้ว “มีช่องทางอื่น…ที่สะอาดกว่า ฉลาดกว่า และเติบโตได้เร็วกว่า” ปกรณ์ยังคงลังเล แววตายังเฝ้าจับผิดเล็ก ๆ “อะไรของนายอีกวัฒน์…จะให้ฉันเล่นหุ้นเถื่อนหรือไง?” ภานุวัฒน์หัวเราะนุ่ม ๆ “ไม่ใช่ของเถื่อน…แต่มันคือการมองให้ออกว่า ‘ใคร’ กำลังใช้ระบบให้เป็นประโยชน์ ดูอย่างซาเลียนสิ อยู่ ๆ ก็เข้าตลาดมาได้…ภายในเวลาแค่ปีเดียว จนใคร ๆ ก็ต้องหันมามอง” เขาเอนหลังอย่างคนที่ไม่เร่งเร้า แต่ปล่อยให้คำพูดไหลซึมเข้าสู่ความคิดของอีกฝ่าย “นายไม่อยากรู้เหรอว่า…พวกเขาทำยังไง?” ปกรณ์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่แววตาจะฉายประกายความสนใจ “แล้วถ้าฉันสนใจล่ะ?” ภานุวัฒน์ยิ้มมุมปาก “ถ้านายสนใจ…นายก็ต้องเชื่อใจฉันก่อน” ................. เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ในบ้านที่ถูกล้อมด้วยบรรยากาศ